Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 4 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10546636/W10546636.html

บทที่ 4

ต้องปกป้องชีวิตไว้ให้ถึงที่สุด หากจะต้องตายในป่า เป็นดวงวิญญาณเร่ร่อน ซากศพถูกสัตว์แทะเนื้อ เหลือโครงกระดูกก็ไม่ครบ สามแสนก็ยินดีจะเผชิญ

เพราะการดิ้นรนไปตายดาบหน้าเช่นนั้น หาได้น่าสะพรึงกลัวไปกว่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ทรชนทั้งกลุ่มหักหาญกักขฬะ

ราวป่าเบื้องหน้ามืดมาก พื้นขรุขระเจิ่งฉ่ำด้วยฝนหนาหนัก กิ่งไม้โอนเอน ใบดกหนาไหวพลิ้ว ก่อเกิดรูปร่างตะคุ่มในความมืด

แสงแลบแปลบบนท้องฟ้า ส่องลงมาให้เห็นใบหน้านองน้ำตาและซีดเผือดของสามแสน สองเท้าบาดเจ็บซอยรัวถี่ยิบ กระแสเจ็บคมกริบทิ่มแทงซ้ำๆ จนกลายเป็นชาและหมดความรู้สึกไปในที่สุด เพราะสามแสนยังคงมุ่งหน้าวิ่ง

"พี่ชาย.. พี่ชายมาช่วยสามแสนด้วย พี่ชาย"

เธอร้องตะโกนปนหอบหนัก รากไม้ผุดโผล่ขึ้นในทางมืด เธอมองไม่เห็น และสะดุดมันเต็มเหนี่ยว ร่างบอบช้ำเหน็บหนาวคะมำรุนแรง แล้วคว่ำปะปนกับน้ำฝนบนดิน

เสียงหัวเราะหื่นหยาบของกลุ่มทรชนดังประสานกัน มันทำให้สามแสนไม่อาจพิรี้พิไรกับความเพลี่ยงพล้ำ หางคิ้วแตก เพราะกระแทกกับก้อนหินแถวนั้น โชคดีที่กิ่งไม้ใกล้ๆ ไม่ทิ่มตาเอาด้วย

แต่นี่สิ ปัญหาใหญ่ของสามแสนมาเยือนแล้ว ข้อเท้าของเธอมันแพลงจนฝืนยกย่างไม่ไหวอีก เธอร้องไห้อย่างหวาดกลัว แผลตรงท่อนแขนเริ่มพองและบวมขึ้น มันเกิดขึ้นในจังหวะชุลมุน

สามแสนถีบชายหน้าชั่วด้วยความตกใจ ขณะที่ฝ่ายนั้นยื่นพรวดมาแสยะยิ้มข่มขวัญ ไฟฉายกระบอกจิ๋วหลุดมือ หันแสงสว่างไปยังหน้าประตู สามแสนจึงฉวยโอกาสนั้นคลานหนีทุลักทุเล

แต่ก็มีมือข้างหนึ่งตะปบขาทันท่วงที เธอถีบเร่าๆ พร้อมกับป่ายแขนป่ายมือปัดป้อง ทำให้โดนมีดที่เจ้าของมือถืออยู่ บาดท่อนแขนเล็กน้อย แต่ตอนนั้น เธอไม่สนใจกระแสเจ็บจี๊ด

เพราะพอใจว่าคนถือมีดโดนถีบหน้ากระเด็นวืดไปชนกับเพื่อนข้างหลัง แล้วเธอก็ตะเกียกตะกายหนีลงจากกระท่อม วิ่งหน้าตั้งฝ่าความมืดมาถึงตรงนี้ และคราวนี้ มันก็อาจจะเป็นที่สุดท้ายของสามแสน

"ซนจังเลยนะจ๊ะแม่สาวน้อย" หัวโจกเจ้าของเสียงหื่นหยาบ หย่อนกายลงคุกคาม แสยะยิ้มเครียด ตาร้อนโชน "แต่ก็ดี พี่ชอบ มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าเราเป็นนายพราน กำลังไล่ล่ากวางตัวน้อยๆ "

"แต่ถ้าเราล่ากวาง สิ่งที่เราอยากได้ก็คือเขาสวยๆ เอาไปขายในเมือง รับรองว่าเงินงาม" ลูกน้องอีกคน เท้าไหล่หัวโจกอย่างสนิทสนม "ส่วนแม่สาวน้อย เอ๊ะ เราล่ามาเพื่ออะไรกันนะ เฮ้ย ใครฉลาดบ้างวะ ตอบซิ"

เสียงหัวเราะดังครืนใหญ่ มือเล็กที่จมอยู่ใต้น้ำเจิ่ง ควานไปเจอท่อนไม้ขนาดกำลังเหมาะ ฉวยจังหวะตอนกลุ่มทรชนหัวเราะคึกคัก เหวี่ยงหน้าไอ้คนที่อยู่ที่ใกล้ที่สุดก่อน แล้วตามด้วยฟาดแข้งไอ้คนที่ยืนล้อมข้างหลัง

'คลานก็ต้องคลานล่ะ' สามแสนบอกตัวเอง เธอจะไม่ขอหมดหวังง่ายๆ เพียงเพราะข้อเท้าแพลง

ทางมืดข้างหน้า ลาดต่ำลงโดยที่สามแสนไม่ทราบสักนิด เธอกลิ้งหลุนๆ ลงไป เสียงกรีดร้องก้องอย่างตระหนก ความมืดเคลื่อนวาบๆ ผ่านตาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้นึกไปถึงภาพทิวทัศน์ที่เคลื่อนฉับๆ นอกหน้าต่างรถไฟ

'ฉาด' สิ้นเสียงทำร้ายด้วยใจเหี้ยม สามแสนก็สิ้นฤทธิ์ หน้าช้ำผงะไปตามแรงตบเต็มเหนี่ยว ผมเปียกลีบโดนจิกแล้ว กระตุกจนใบหน้าแหงนรับน้ำฝนที่กระแทกลงมา

มันเจ็บทารุณอย่างบอกไม่ถูก เธอสำลักเพราะน้ำเข้าปากเข้าจมูก แล้วอึดใจต่อมา ก็จุกหนึบหนักกับหมัดกำราบ ที่คนเลวอัดอย่างไม่ปรานีใส่ช่องท้อง

"ก็ว่าจะเล่นบทหวานเสียหน่อย แต่แกมันซนเกินเหตุ รนหาที่เจ็บตัวเอง เอ้า ดูซิ หน้าฉัน ปากฉัน เห็นเลือดไหม ฉันเสียเลือดมากแค่ไหน ฉันก็จะเอาคืนจากแกให้เปรอะป่าเลยเว้ย"

สามแสนน้ำตาไหลไร้สะอื้น ตาพร่าตามัวไม่ต่างกับสติที่ใกล้จะดับรอมร่อ กลุ่มทรชนแยกย้ายกันจับเธอกดลงนอนแช่น้ำ กางแขนกางขา แล้วยึดไว้อย่างมั่นคง เพื่อให้หัวโจกกำราบเหยื่อก่อนตามธรรมเนียม

กางเกงตัวโคร่งของพี่ชาย ถูกกระชากทึ้งหยาบๆ จนหลุดจากกายท่อนล่าง หัวโจกผิวปากคึกคัก ในดวงตาหื่น โชนฉานด้วยไฟกาม และเงาในนั้น ก็ประทับความอวบอัดสมบูรณ์ของเนื้อผุดผ่อง ที่สะพรั่งตามวัยสาวรุ่น

"โอ้โฮ ขาวอวบไม่เบาเลยนี่หว่าแม่สาวน้อย เสียดายเวลาพี่มีน้อย ไม่อย่างนั้นจะลูบเล่นให้นานกว่านี้ เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน ขอดูข้างบนซิ จะขาวอวบเต็มไม้เต็มมือเหมือนข้างล่างหรือเปล่า"

เพื่อนทั้งกลุ่มหัวเราะครืนๆ ไม่รู้สึกเหน็บหนาวกับฝนหนาหนักที่ยังเทโครมๆ อาจเพราะนึกรู้ว่า อีกประเดี๋ยวไฟสวาทก็จะลุกโหม หนาวหนักกว่านี้ ก็รับมือได้สบายมาก

"โอ้ น่าหลงใหลไม่เบาเลย ขอพี่สัมผัสหน่อยนะ เอ.. มือหรือปากดีหว่า เฮ้ย แสดงความเห็นสิเว้ยเพื่อนพ้อง"

เพื่อนพ้องก็สามัคคีระเบิดเสียงหัวเราะฮึกเหิม สามแสนตัวสั่นระริก แรงสะอื้นหนักหน่วง บังคับให้ทรวงอวบอิ่มสะท้อนถี่รัว หัวโจกจอมหื่นเห็นแล้ว ก็ยิ่งเกิดอาการกระสัน ใคร่ถาโถมลงฟอนเฟ้นเค้นขยำให้หนำใจ

ทรวงแม่สาวตัวเล็กคนนี้ ช่างขาวผ่องและอวบอิ่มเกินวัยนัก ไม่ต้องเสียเวลาถามว่า ผุดผ่องหรือแปดเปื้อน เพราะวัยรุ่นใจแตก ผ่านสังเวียนกามมานักต่อนัก มองปราดเดียวก็ออกว่า 'บริสุทธิ์เต็มร้อย'

'ปัง' เสียงปืนนัดเดียวที่ดังก้องกลางความมืด ปลุกความหวังที่สิ้นไปแล้วให้ตื่นอย่างลิงโลด สามแสนรีบกรีดร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมกับดิ้นขลุกขลักสุดกำลัง ทรชนคนเลวชะงักอารมณ์หื่นไว้ชั่วขณะ ทุกคนปราดไปคนละทิศ ทิ้งเหยื่อนอนตากฝนอย่างไม่แยแส

หัวโจกบดกรามหลังพงหญ้าทึบ ตาวาววับดุร้าย ปืนยาวจ่อเล็งไปยังร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏตัวพร้อมกับแสงตะเกียง ตอนแรกก็ตั้งใจระเบิดสมองเสียเลย แต่เพื่อนอีกคนชูมือส่งสัญญาณให้รีบถอย พยักพเยิดให้หันไปมองข้างหลัง

หัวโจกจึงค่อยตาโตตกใจ เพราะเห็นชาวบ้านหญิงหิ้วตะเกียงกางร่ม ชายกุมอาวุธเหมาะมือ ทั้งปืนทั้งมีด เดินเกาะกลุ่มยาวเป็นขบวน ถ้ายังอวดเก่งไม่ถอยอีก ก็อาจจะถูกลบชื่อออกจากกองโจรวัยรุ่นกันคราวนี้เอง

ประสบการณ์โชกโชนของโจรวัยรุ่น สอนให้สลายตัวกันไปคนละทิศคนละทางได้อย่างว่องไวและเงียบเชียบ หัวโจกอดเหลียวไปมองร่างเหยื่อแวบหนึ่งไม่ได้ ใจมันเสียดายที่อดยึดครองของดี

มือเล็กพยายามควานหาเสื้อผ้า มันโดนทึ้งอย่างหยาบหื่น แล้วโยนไปทิ้งแถวไหนก็ไม่รู้ ความมืดคืออุปสรรคผืนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็พอจะช่วยอำพรางเรือนร่างบอบช้ำที่จมอยู่ใต้น้ำเจิ่ง

ภภีมโชคดีที่สุด เพราะมาถึงก่อนใคร ส่องตะเกียงก่อน และเห็นก่อน ชายหนุ่มไม่เสียเวลามองหาอาภรณ์ แต่รีบถอดเสื้อตัวเองลงสวมปกปิดทันที

ระหว่างนั้น หางตาก็เหลือบไปเห็นกางเกงจมพาดพงหญ้าลีบลู่ ก็รีบคว้ามาสวมลวกๆ อีก เรือนร่างเหยื่อทรชนมิดชิดพอดิบพอดีกับการมาถึงพร้อมเสียงเซ็งแซ่ของชาวบ้าน

แสงจากตะเกียงหลายสิบดวง ส่องบริเวณป่ารกให้สว่างเป็นวงกว้าง และทำให้เห็นสภาพเปรอะเปื้อนมอมแมมของสามแสนในอ้อมกอดเวทนาของชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน

"โอ้ โชคดีจริงๆ ที่หูไม่ฝาดนะนายดุ" หญิงวัยกลางคนกล่าวขึ้น ตาใคร่รู้ก็เมียงมองเป็นการใหญ่

"พวกมันมากี่คน ตอบไหวไหมสามแสน" ชายหนุ่มกระซิบถาม

"หก"

"อืม"

เขาไม่คิดซักไซ้มากกว่านั้น สามแสนอ่อนเพลียและเสียขวัญมาก ร่างน้อยบาดเจ็บสาหัส เขาทายว่า เธอพลัดหล่นแล้วกลิ้งลงมาจากข้างบน

"พวกมันคงหนีไปแล้ว คิดว่าคงจะไม่มาที่นี่อีกสักระยะ แต่ระหว่างนี้ ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจ จัดเวรยามตรวจตราแบบนี้ไปก่อน" เขาอุ้มสามแสนขึ้น แล้วหันไปกล่าวขรึมกับลุงแม้น

"อืม ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น แหม พวกมันเลวจริงๆ ทำได้กระทั่งเด็กผู้หญิงอ่อนแอบาดเจ็บ จับได้เมื่อไหร่ละก็ ต้องส่งไปประหารสถานเดียว"

ลุงแม้นบ่นพึมพำอย่างเคียดแค้น พยักพเยิดกับชาวบ้าน ให้หันเหเลี้ยวกลับบ้านกลับช่อง เพราะนายดุได้เจอกับสามแสนเรียบร้อยแล้ว

โชคยังดีที่คลำทางมาถูกทิศ ทันได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของสาวน้อย หาไม่แล้ว ชีวิตบริสุทธิ์ก็คงต้องสังเวยให้กับความป่าเถื่อนทารุณของไอ้โจรชั่วไปอีกหนึ่ง

ลุงแม้นคิดเพียงเท่านั้นก็จบ แต่สำหรับภภีม เขาคิดไกลกว่านั้นอีก หากสามแสนมีอันเป็นไป เขาจะโทษว่าตัวเองผิดเอง เพราะมัวแต่หารือกับชาวบ้าน จนทำให้ลืมเวลากลับกระท่อม

พอรู้สึกตัว ฝนก็ตกหนัก ลุงแม้นก็คะยั้นคะยอให้รอฝนซา ดีเท่าไหร่แล้ว ที่เขาเกิดอาการกระวนกระวาย ทรวงรุ่มร้อน คลับคล้ายกับวันที่เกิดเหตุบัดซบกับชุลียา

วันนั้น อาการกระวนกระวายจู่โจมทรวงระส่ำระสายไม่เป็นสุขอยู่พักใหญ่ เขาอดรนทนไม่ไหว เรียนก็ไม่รู้เรื่อง จึงบ่ายหน้ากลับบ้าน

โกรธรถเมล์ที่ประสานงากับรถแท็กซี่ กีดขวางการจราจรบนถนนสายเดียวที่ทอดตรงสู่บ้าน กว่าจะหลุดออกไป ยามเย็นก็มาเยือนแล้ว มิหนำซ้ำ ฝนยังตกหนักโดยไม่ส่อเค้ามาก่อนอีกด้วย

กลางสนามหญ้าหน้าระเบียงโค้งของบ้านลือสาย ปรากฏร่างบอบช้ำและจวนหมดลม ฟุบตะแคงให้ฝนชโลม และบนระเบียง ก็ปรากฏร่างของประมุขทั้งสองยืนกระสับกระส่าย

"ชุ" เขาตะโกน พลางปราดเข้าไปประคอง ใจหายกับเลือดที่นองเปรอะสองขา "เป็นอะไร ลื่นล้มหรือ ฝนตกอย่างนี้ ออกมาเดินย่ำอะไรแถวนี้ แล้วนี่ลูก.. "

"แกไปแล้ว แกจะไม่อยู่กับเรา คุณภีม แกจะไม่อยู่กับเรา" ชุลียาเค้นเสียงครางเครือ น้ำตาไหลเนืองชโลมสีหน้าช้ำใจ

"พูดอะไร ไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวฉันด่าทั้งเจ็บเลย ไปโรงพยาบาลกัน"

เขาไม่เคยด่าชุลียาเลย ปากก็ทำเก่งไปอย่างนั้นเอง หล่อนขืนตัวไม่ยอมให้อุ้ม เขาพยายามอยู่สองสามครั้ง แต่หล่อนก็ยืนกรานว่า

"ไม่ต้องไปไหน ไม่ทันแล้ว ให้ชุได้ตายที่นี่ ในอ้อมกอดของคุณ ไม่ต้องห่วงเราสองแม่ลูก เราจะรอคุณ รอจนกว่าคุณจะไปอยู่กับเรา อยู่กับความรักของเรา"

"หุบปากนะ เพ้อเจ้อ ตายบ้าบออะไร อย่าดื้อนะ ฝนตกเห็นไหม ไม่ไปโรงพยาบาลก็ได้ เข้าบ้านก่อน"

"ไม่เข้า ชุจะไม่ขอเข้าไปพิงพักในบ้านของคนใจร้ายอีกแล้ว คุณท่านใจร้ายมาก คุณภีม ท่านพรากลูกไปจากเรา คุณภีม ลูกไปแล้ว"

"ทะ.. ทำไม.. ทะ.. ทำไมพูดอย่างนั้น ชุ มะ.. มันอะไรกัน"

"ชุอยากอยู่กับคุณ ชุเป็นของคุณคนเดียว อยู่หรือตายก็เป็นของคุณคนเดียว ชุรักคุณ.. คุณภีม ชุรักคุณ"

"ชุ.. ชุ.. ชุ"

เสียงเรียกแผ่ว ค่อยเพิ่มระดับความหนักหน่วงทีละน้อย กระทั่งแผดก้องอย่างพรั่นพรึงนัก ชุลียาของเขาไม่ขานอีกแล้ว หล่อนสิ้นใจอย่างชอกช้ำในอ้อมกอดรัดแน่นกลางสายฝน

ใบหน้าของเขาในเย็นวันนั้น มันเจ็บปวดมากไหม ตรงนั้น ไม่มีกระจกส่องสักบาน เขาแหงนมันขึ้น ระเบิดเสียงร้องไห้คับแค้น รู้สึกเหมือนใจจะขาด มวลฝนถาโถมลงมา ชะล้างน้ำตาทุกหยด มันจึงได้แต่ไหลย้อนกลับลงทับท่วมทรวงสลาย




สามแสนถูกประคองลงนอนบนฟูกอุ่น เธอหมดสติแล้ว ดั่งว่าคลายใจหายห่วงที่ตนปลอดภัยในอ้อมกอดของพี่ชาย

ภภีมเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เอง เขาไม่คิดมากกับการได้เห็นเนื้อนวลในส่วนสงวน ใจกระวนกระวาย หวังแค่ว่า สาวน้อยจะฟื้นในวันพรุ่งนี้

"ชุ" เสียงทุ้มแผ่วกระซิบชิดพวงแก้มซีด "อย่าทิ้งฉันไปอีกนะ เธอคือชุของฉัน ในเมื่อตั้งใจกลับมาแล้ว ก็อย่าไปอีก แข็งใจหน่อยนะ ฉันคงทนสูญเสียเธอเป็นหนสองไม่ได้อีกแล้ว"

หน้าผากเย็นชืดถูกประทับด้วยจุมพิตวิงวอน ไออุ่นแผ่ซ่านลงตรงนั้น แต่สามแสนไม่รับรู้ เพราะหมดสตินานแล้ว กว่าเธอจะฟื้น ก็น่าจะพ้นรุ่งสางไปก่อน

บาดแผลทุกรอยได้รับการปฐมพยาบาลอย่างดี อันที่จริง สรรพคุณของสมุนไพรสมานแผลสด มันก็แสบไม่เบาอยู่ ถ้าสามแสนไม่สลบใสล เธอต้องร้องเอะอะโวยวาย ประท้วงว่าเขาใจร้ายลั่นกระท่อมไปแล้วล่ะ

ไม่นานนัก ร่างน้อยค่อยไหลเข้ามานอนเกยบนร่างแกร่งอุ่นจัด เธอตากฝนเปียกปอนเกือบชั่วโมง ขวัญกระเจิดกระเจิงจากการคุกคามของโจรเถื่อน ความตระหนกน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ทำให้ภภีมอดหวั่นใจไม่ได้ เกรงว่าสาวน้อยจะโดนไข้เล่นงาน

"พี่ชาย"

"อืม นอนเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว พี่สัญญาจะกอดเราไว้อย่างนี้ทั้งคืน จะไม่ไปไหน ไม่อยู่ห่างเราแม้แต่ก้าวเดียว"

"จริงนะ อย่าทิ้งสามแสนไปอีกนะ"

หยาดน้ำในเบ้าตาแดงก่ำร้อนมาก พี่ชายต้องรีบเงยหน้าขึ้น ขังมันให้ปริ่ม กระทั่งเหือดแห้งไปเอง สงสารสาวละเมอจับใจ กว่าจะได้กลับบ้าน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเรื่องแล้วเรื่องเล่า แผลเก่ายังไม่ทันทุเลาดี แผลใหม่ก็มาซ้ำเติมอีก

"สามแสนจะกลับบ้าน สามแสนคิดถึงพ่อแม่แล้ว พี่ชายพาสามแสนกลับบ้านนะ"

"ได้ พี่สัญญา พี่จะพาเรากลับบ้าน นอนเถอะ"

"จริงนะพี่ชาย สัญญากับสามแสนแล้ว ห้ามคืนคำนะ"

"ไม่.. ไม่คืนคำ นอนเถอะสามแสน"

หัวใจแกว่งไกวเล็กน้อย มันเคยนิ่งสงบมานานถึงสิบห้าปี ความหลังบัดซบเกือบจะเลือนหาย แผลรักที่เคยกัดกร่อน แห้งสนิทแล้ว เหลือแค่ริ้วรอยจางๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกตก็จะไม่เห็นมัน แต่พอนึกว่า ต้องส่งสามแสนกลับบ้าน ทำไมเขาต้องเจ็บหนึบหนักหน่วงถึงเพียงนี้

สามแสนไม่ใช่ชุลียา เธอเป็นเด็กสาววัยรุ่น ที่ถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวอันทรงเกียรติ กลับถึงบ้านแล้ว ก็ต้องเรียนหนังสือ มีสังคมที่แวดล้อมด้วยเพื่อนฝูง

ชีวิตเพียบพร้อมเช่นนั้น ชุลียาของเขา ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เพราะหล่อนถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวต่ำต้อย และเติบโตขึ้นบนเส้นทางของสาวใช้ เป็นเช่นนั้นจนถึงวาระสุดท้าย

บนโลกใบนี้ จะไม่มีชุลียาคนที่สอง ในเมื่อไม่มี ความรักหนสองก็จะไม่มีวันอุบัติขึ้นในหัวใจแตกสลายดวงนี้อีกเช่นกัน ทันทีที่ส่งสามแสนกลับสู่แวดวงชีวิตเดิม เขากับเธอก็จะหันหลังให้กันตลอดกาลนับแต่นั้น

ดังนั้น หัวใจที่กำลังหวั่นไหวในเวลานี้ ก็ควรจะหักห้ามและควบคุมความระส่ำระสายให้สงบลงโดยเร็ว




ฟ้าสางอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ นอกหน้าต่างแน่นไปด้วยมวลหมอกยามรุ่งอรุณ ฝนซาเม็ดลง เหลือเพียงละอองบางเบา

หยดน้ำที่เกาะฉ่ำเหนือผิวยอดหญ้า ไม่อาจแยกแยะได้ว่า เป็นหยดน้ำฝน หรือน้ำค้าง ควันสีเทาลอยเป็นริ้ว แล้วค่อยไปแตกตัวสลายกลืนกับมวลหมอก

เปลวไฟในเตาลุกโชน กระจายความอบอุ่นสู่หน้าขรึมของชายหนุ่ม เขาลุกมาหุงข้าวต้มยา ระหว่างที่รอให้มันสุก ก็ลงไปเด็ดผักเด็ดหญ้ามาทำอาหารง่ายๆ

เดาว่าสามแสนคงจะตื่นสาย เขาจะไม่ปลุกล่ะ อยากนอนนานแค่ไหนก็ตามสบาย คิดเสียว่าทดแทนขวัญกระเจิดกระเจิงเมื่อคืนวานไปก็แล้วกัน

"แม่หนูเป็นยังไงบ้าง นายดุ ป่วยไข้ไหม" ลุงแม้นกำลังจะออกไปหาของป่า แวะผ่านมาถาม

"ยังหลับอยู่ เมื่อคืนก็ดูว่าปกติดี ละเมอนิดหน่อย คงจะคิดถึงบ้าน" เขาตอบ พลางโยนแตงกวากับบวบลงตะกร้า

"มีอะไรหนักหนาสาหัส ก็ไปบอกนะ ช่วยอะไรได้ก็จะช่วยๆ กันไป"

ชายหนุ่มพยักหน้า คลี่ยิ้มซาบซึ้งแทนคำขอบคุณ ชาวบ้านใจดีก็โบกมืออำลา มุ่งหน้าเข้าป่าพร้อมกับไฟฉาย และย่ามสะพายใบใหญ่ กว่าจะกลับออกมาอีกที ย่ามใบใหญ่ก็คงเต็มตุง สะพายกันไหล่แทบทรุดเชียวล่ะ

พื้นกระดานหน้าชานชื้นเล็กน้อย ภภีมจึงปูเสื่อทับอีกชั้น ก่อนจะยกอาหารเช้ามาตั้งพรักพร้อม

จากนั้น ค่อยลงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แวะดูสามแสนกลางแสงตะเกียงแค่แวบเดียว เห็นว่าเจ้าตัวยังหลับปุ๋ย จึงออกไปกินข้าวเช้าตามลำพัง สลับกับเฝ้าดูยาต้มบนเตาเป็นพักๆ





แสงแดดกระจายจับราวป่าเบื้องหน้า พรายรุ้งเต้นระริกงดงาม อาหารเช้าถูกย้ายลงไปเก็บในครัวแล้ว สามแสนไม่ยอมตื่นเสียที ฟ้าทางทิศตะวันตกเริ่มมืดมาอีกแล้ว คืนนี้ฝนอาจจะตกหนักอีก

ชายหนุ่มหรี่ตามองสภาพอากาศขมุกขมัวอย่างเบื่อๆ ก่อนจะลุกไปสอดส่องสาวนอนหลับ เธอพลิกตะแคงหันหลังให้ ผ้าห่มเลื่อนลงมากองเอว เขาจึงช่วยดึงขึ้นไปคลุมถึงไหล่ ปลายนิ้วเฉียดไปกระทบเนื้ออ่อนใต้คาง แล้วไอร้อนจัดก็แผ่ซ่านให้ตกใจ

ร่างสูงรีบลุกย้ายไปจดจ้องหน้าสาวน้อย แล้วเบิกตากว้าง เมื่อพบว่า ใบหน้าของสามแสนแดงก่ำทีเดียว ใจฉุกคิดไปถึงอาการป่วยไข้ จึงอังมือแตะหน้าผาก แล้วก็ตกใจจริงจัง เมื่อกระทบความร้อนเกินปกติ

"แย่แล้ว"

เขาพึมพำกับตัวเองอย่างโมโห ชะล่าใจมากไปจริงๆ ที่ปล่อยให้เธอหลับอุตุ สามแสนไม่ได้หลับ แต่หมดสติด้วยพิษไข้

"สามแสน รู้สึกตัวไหม สามแสน"

เขาลองปลุกเบาๆ พลางตบแก้ม ลูบแขน ทุกตำแหน่งร้อนจัดเกินอุณหภูมิปกติ สาวน้อยไม่รู้สึกตัวเลย ลองยกมือแล้วปล่อย มันก็ร่วงราวกับเจ้าของหมดลมหายใจไปแล้ว

"ไม่ได้นะสามแสน เราจะจากพี่ไปเงียบๆ แบบนี้ไม่ได้รู้ไหม พี่ไม่ยอม"

เสียงทุ้มครวญร้อนรน รีบผลุงออกไปหาผ้าชุบหน้ามาเช็ดตัว รินยาต้มมาป้อนทีละช้อน มันไหลเปรอะคางและลำคอ มากกว่าจะเข้าปาก ด้วยความห่วงใยระคนกระวนกระวาย ภภีมจึงเผลอจูบหน้าผากดั่งจะปลุกขวัญ และเติมความเข้มแข็งลงในจิตอันอ่อนล้า

"ตื่นขึ้นมาสิสามแสน อย่าทำอย่างนี้ คุยว่าตัวเองเก่งมากไม่ใช่หรือ โดนฝนไม่ถึงชั่วโมง ทำไมใจเสาะ เราหลงป่า อดข้าวอดน้ำตั้งสองวันสองคืน เรายังตื่นขึ้นมาอย่างกระชุ่มกระชวย พูดโน่นพล่ามนี่ป่วนประสาทพี่ได้เป็นวันๆ ไม่ใช่หรือ"

รำพันเครืออย่างหวาดกลัว สองแขนก็หมั่นเขย่าปลุกร่างแน่นิ่ง ไอร้อนที่ถ่ายสู่เนื้อแกร่ง มันร้อนจัดมากจริงๆ สาวจอมซนอาจช็อกก็ได้ ถ้าปล่อยให้ความร้อนรุกรานสูงไปกว่านี้





ไม่มีการเสี่ยงด้วยการรอไปจนถึงค่ำ หากความร้อนไม่ยอมลดลง ถึงตอนนั้น จะยิ่งลำบากต่อการเดินทางเข้าเมือง ชาวบ้านใจดีละแวกนั้น ช่วยหาเกวียนเล็กๆ พาสาวจอมซนมาส่งถึงปากทาง โบกรถกระบะคันหนึ่ง ให้ช่วยพาไปส่งต่อถึงโรงพยาบาล

สามแสนหลับลึกได้อย่างน่าใจหาย ภภีมเดินงุ่นง่านหน้าห้องฉุกเฉิน มีคนอื่นตกอยู่ในภาวะเช่นเดียวกัน เพราะเครือญาติของตัวเอง ก็ถูกส่งเข้าไปแขวนชะตาหลังประตูบานนั้น

สำหรับเขา สามแสนไม่ใช่เครือญาติ แต่ความผูกพันลึกซึ้ง ก็พลันก่อเกิดอย่างมหาศาล ในทันทีที่ได้เจอหน้า และพบว่า สาวน้อยถอดพิมพ์ของชุลียามาอย่างไม่ผิดเพี้ยน สามแสนจึงไม่ใช่เครือญาติ แต่เธอเป็นตัวแทนของภรรยาที่เขารักหมดหัวใจ

"ภีม ไปคุยในห้องเถอะ"

เสียงทุ้มขรึมของคุณหมอแสวงบุญดังแผ่ว ขณะสะกิดต้นแขน เพื่อนรักของเขาตกอยู่ในอาการกระสับกระส่าย ไม่ผิดเพี้ยนจากเมื่อสิบห้าปีก่อน

ค่ำคืนนั้น ภภีมอุ้มร่างหมดลมหายใจของชุลียา มาวิงวอนให้บิดาของเขาช่วยชีวิต น้ำตาของเพื่อนสนิท ทำให้เขาสลดใจมาก ตระหนักดีว่า ชุลียาไม่มีวันฟื้นได้อีก เพื่อนหนุ่มก็ทราบดี แต่ยังพยายามหลอกตัวเอง

"หมอ สามแสนจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม เป็นไข้ธรรมดาหรือเปล่า"

"บาดแผลติดเชื้อ มีดเล่มนั้นคงไม่สะอาด เธออาจจะวิ่งไปเหยียบตะปูสนิมเขรอะสักตัว ตอนหนีพวกโจรวัยรุ่นกลุ่มนั้น อีกอย่าง เธอปอดบวมด้วย"

"หมอ แกต้องช่วยชีวิตเด็กคนนี้ให้ได้"

"เออ หน้าที่ของหมอทุกคน ก็ต้องช่วยชีวิตคนอยู่แล้ว ดื่มกาแฟสักถ้วย เผื่อว่าอารมณ์ของแกมันจะสงบลง"

คุณหมอหนุ่มผลักประตูเข้าห้องพัก พยาบาลสาวคนหนึ่ง รีบออกไปชงกาแฟอย่างรู้งาน ภภีมไปนั่งเก้าอี้ยาวบุนวมชิดผนัง ยกมือลูบหน้าอย่างว้าวุ่น ดวงตาแดงก่ำ ในขณะที่ใบหน้าว้าวุ่นนั้น กลับซีดเผือด

"แกห่วงเด็กคนนี้มากจนผิดสังเกต ไม่ได้คิดพิเรนทร์ใช่ไหม"

"ไอ้หมอ"

คุณหมอแสวงบุญถอนใจหนัก ตาขุ่นวาวของเพื่อนรัก ตอบแทนวาจาไปเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวคนนั้น กำลังก่อความหวังใหม่ขึ้นในใจตายด้านดวงนั้น แต่เขาเห็นว่าไม่เหมาะไม่ควร

"ฉันไม่ใช่คนบ้าตัณหา กับเด็กคราวลูกก็ไม่ละเว้นคิดสกปรก"

"ฉันไม่ระแวงแกเรื่องนี้หรอก แกเองก็รู้ดีว่าฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น"

เพื่อนรักสบตากัน หลังสิ้นสองประโยคหยั่งเชิง ภภีมเม้มปากหงุดหงิด เพื่อนรักกำลังปรามาสหัวใจเย่อหยิ่งดวงนี้อยู่ เขารักชุลียา จะไม่มีใครมาแทนที่ภรรยาในวันวาน

หล่อนไม่ได้ไปตามลำพัง หากแต่ยังพาเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาไปด้วย ไม่ใช่หล่อนเลือดเย็นใจร้าย เพราะคนใจร้ายเลือดเย็น คือบิดามารดาของเขาต่างหาก

"แกจะอยู่เฝ้าเด็กคนนี้หรือ" คุณหมอซักไซ้ไปเรื่อยเปื่อย พยาบาลย้อนกลับเข้ามาเสิร์ฟกาแฟ เขาก็ยกให้ดื่ม

"จะรอดูอาการให้แน่ใจว่าปลอดภัย ก็จะกลับ" เสียงทุ้มขรึมตอบห้วน ดื่มกาแฟด้วยท่าทางไม่รับรู้รสชาติ

"ไหนๆ แกก็ยอมออกมาจากป่าแล้ว นี่มันเป็นครั้งแรกในรอบสิบห้าปีเลยนะเว้ย เข้ากรุงเทพไปเยี่ยม.. "

"แกหุบปากไอ้หมอ ถ้ายังขืนพูดอีกคำ ฉันจะอัดหน้าแกด้วยถ้วยกาแฟนี่ แล้วจะพาสามแสนไปหาโรงหมอ ที่ไม่มีหมอปากปีจออย่างแก"

วาจาเกรี้ยวกราดค่อนไปทางดุร้าย ยังไม่น่าครั่นคร้ามเท่ากับร่างสูงที่ผลุงลุก มองออกเลยว่าไฟโทสะลนเผาจนร้อนเดือด หากพล่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ คุณหมอคนนี้ ก็มีสิทธิ์ไปนอนให้คุณหมอคนอื่นเย็บปากเย็บหัวเอาได้ง่ายๆ

ถ้วยกาแฟถูกวางกระแทกเคร้งบนเก้าอี้ไม้หน้าโต๊ะทำงาน เจ้าตัวผลุนผลันผลักประตูกลับออกไป คุณหมอแสวงบุญส่ายหน้า ไม่ต้องตามไปดู ก็ทราบว่าเพื่อนรักคงไปป้วนเปี้ยนแถวหน้าห้องฉุกเฉินนั่นล่ะ

เด็กสาวชื่อสามแสน อาการสาหัสไม่น้อย บาดแผลใหม่ติดเชื้อ บาดแผลเก่าทำท่าว่าจะหายดีอยู่แล้ว ก็มาพลอยบวมเป่ง แทรกด้วยแผลใหม่เส้นเล็กๆ และมันก็มีทีท่าติดเชื้อด้วยเช่นกัน

เขามั่นใจว่า ภภีมจะไม่กลับเข้าป่า ตราบใดที่ยังไม่คลายกังวลในอาการของเด็กสาว แผลติดเชื้อ รักษาไม่ยากนัก เพราะมองเห็นจากภายนอก ดูแลกันง่าย

แต่อาการปอดบวมข้างใน กับไข้รุมหนัก อุณหภูมิในร่างกายสูงเกินปกติ ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ตอนนี้ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากรอให้ไข้ลด และติดตามอาการปอดบวมอย่างใกล้ชิด

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 15 พ.ค. 54 11:21:04




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com