บทที่ 1
ก่อนอื่นฉันขอแนะนำตัว ฉันชื่อ นิล ค่ะ ชื่อจริงก็คล้ายๆกับชื่อเล่นนั่นแหละค่ะ ฉันกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการเกษตรซะด้วย ต้องบอกก่อนว่าไม่เคยได้คิดได้ฝันค่ะว่าจะได้มาเรียนที่สถาบันแห่งนี้ สงสัยอาจจะเพราะว่าฉันดูหนังมากเกินไปหรือเปล่า เพราะว่าในตอนนั้นมีละครอยู่เรื่องหนึ่งไปถ่ายทำที่มหาวิทยาลัยของฉัน มันเลยเกิดเป็นแรงบันดาลใจนิดหน่อยมั้งคะ แต่แรงนั้นก็หมดไปเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเข้าเรียนคณะที่ใฝ่ฝันได้อันเนื่องมาจากความไม่ถนัดทางวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมของฉัน
บรรยากาศที่บ้านช่างเงียบสงบมากมายแต่ห่างไกลจากเพื่อนๆ นี่ก็เข้าปีที่สามแล้ว ฉันเองก็ยังไม่ได้พบเพื่อนๆที่เรียนมัธยมด้วยกันมาเลยค่ะนัดกันเท่าไหร่ไม่เคยเจอเลย แม้แต่คนเดียว การที่ได้กลับบ้านก็เป็นความสุขของเราด้วยส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดนะคะบางครั้งเราก็หมดอิสระของเราไปบ้างในบางเรื่องที่เราไม่สามารถทำได้เมื่ออยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ต้องใช้เงินเลยค่ะฉันอยู่ได้โดยไม่ต้องเสียเงินหรือต้องขี่รถไปไหนมากมาย ไม่ต้องซักผ้า ทั้งหมด หรืออะไรประมาณนี้ กินอิ่ม นอนหลับ มีความสุขดี
“ นิล …..นิล” เสียงแม่เรียกตามหลังมาสงสัยว่าจะเรียกไปกินข้าวมั้ง
“จะกินข้าวหรือยังลูก”
“ฮะแม่นิลยังไม่หิวเลยแล้วแม่จะกินหรือยังล่ะ”
เสียงแม่เงียบไปแล้วตอนนี้ได้ยินแต่เสียงเพลงชาติจากทางหน้าบ้านที่ยายเปิดทีวีเหมือนสเตอริโอ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกจะได้ฟังไปด้วยดังมาถึงหลังบ้านที่ฉันกำลังนั่งจมอยู่นี่ บอกตามตรงนะคะความสุขของฉันของการกลับมาอยู่บ้านคือฉันได้อ่านหนังสือเงียบๆ ในอากาศที่ไม่ค่อยจะร้อนมากแล้วก็มารดน้ำต้นไม่ในตอนเย็น ฟังเสียงนกร้องนั่งเงียบๆปเรื่อยๆอย่างนี้แหละค่ะ บางครั้งฉันก็อดคิดถึงคนบางคนไม่ได้และไม่ได้คาดคิดว่าคนบางคนจะคิดถึงฉันด้วยเช่นกัน หากแม้แต่เพียงว่าฉันนั้นยังไม่เคยคิดถึงใครอย่างจริงจังมาก่อนมีนคงเป็นแค่ความสุขเล็กๆของฉันที่ขอให้ได้มีเถอะถึงแม้จะยังพูดไม่ได้เต็มปากก็ตามที
“เฮ้ออออ……” ฉันถอนหายในยาวเพียงเพราะว่าสิ่งที่ฉันกำลังพยามอยู่นั้นต้องใช้ความอดทนขั้นสูงบวกกับแรงผลักดันของเพื่อนๆรอบข้างอย่างเต็มที่ ที่จะได้เลื่อนขั้นกับเค้าบ้าง ซึ่งบังเอิญว่าแปลกดีเหมือกันว่าชมรมที่ฉันสิงสถิตอยู่ ณ บัดนี้เป็นชมรมอาสาชมรมหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่เหล่าสมาชิกล้วนแต่เป็นหน่วยกล้าตายทั้งนั้น แล้วยิ่งตำนานรักในค่ายก็คอยตอกย้ำฉันเรื่อยๆจนเค้า มีคู่กันไปหมดแล้วเหลือก้อเพียงฉันกับคนๆม่กี่คนที่ยังครองความโสดอยู่ จนเมื่อ ฉันได้พบกับเพื่อนร่วมค่ายคนใหม่ท่ชื่อ เน ฉันยังจำวันแรกที่เจอเนได้เป็นอย่างดี วันนั้นเป็นวันเด็กแห่งชาติ ฉันไปเดินเที่ยวเล่น กับ เหมียวเพื่อนต่างสาขา เพื่อรอเวลาที่จะไปเรียนภาคบ่ายโมง
“ เหมียว ทำไมกิจกรรมมันมีน้อยจังวะ เค้าว่ามันน้อยกว่าตอนเราอยู่ปีหนึ่งอีกนะแก” ซึ่งมันก็จริงนะ “เหรอ เค้าไม่รู้ว่ะแกเพราะเค้าไม่เคยมา เดี๋ยวแวะตรงนั้นหน่อยนะนั้นเพื่อนเค้าเองอ่ะ” ไอ้เหมียวพาฉันแวะเข้าไปหาเพื่อนผู้หญิง ที่ชื่อ หวาน ซึ่งหวานแทบจะยกมือไหว้ฉันไม่ใช่ว่าเพราะฉันหน้าแก่หรอกนะ แต่คิดว่าฉันเป็นรุ่นพี่เพราะเห็นไม่พูดอะไร “ เออ ไอ้หวานนี่เพื่อนเค้า ชื่อนิล นิลนี่หวานเพื่อนเค้าเองแหละ” “แฮ่ๆหวัดดีจ้านิลโทษทีน้า เกือบไหว้ซะแล้ว” “เหอๆเค้าหน้าแก่ขนาดนั้นเลย” “ไม่ใช่เห็นใส่ชุดคิดว่ารุ่นพี่” “ไม่เป็นไรจ้าหวาน” “ อ้าว เน” ไอ้เหมียวเรียกใครบางคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของเต้นผ้าใบ ผู้ชายคนนี้ยิ้มให้เหมียวด้วยจนฉันอดสงสัยไม่ได้
“ไอ้เหมียวใครอ่ะ เพื่อนแกเหรอน่ารักดีอ่ะ” อุ้ยเขิลลจะไม่น่ารักได้ไง เนไม่ใช่คนหล่อเหลาอะไร แต่ภาพที่ฉันเห็นเนในวันนั้นคือ ผมยาวที่รวบเป็นมวยขึ้นข้างบน แล้วใส่ที่คาดผม พร้อมกับยิ้มน้อยเหมือนอมอะไรไว้มาที่ไอ้เหมียว อิอิ
“เออ มันเคยมาจีบเพื่อนเค้าแก อิอิ” “น่ารักดีว่ะ ไอ้เหมียว” ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ได้แต่เก็บความชอบเอาไว้ในใจเพราะคิดว่าถึงยังไงก็คงไม่มีทางจะได้เจอกันอีก ไม่อยากสานต่ออะไรแต่ก็มีถามไอ้เหมียวบางเป็นบางครั้งบางคราว จนเมื่อเราได้ไปเข้าค่ายด้วยกันฉันจึงหมดความสงสัยทุกอย่าง เพราะไอ้เหมียวเกิดจัดฉากให้ฉันกับเนในขณะที่คนอื่นๆมีกิจกรรมยามว่างที่วุ่นวายทำกันอยู่
“แกพร้อมที่จะลงไปข้างล่างหรือยังไอ้นิล” ไอ้เหมียวถามขณะที่ฉันกำลังนั่งสูดน้ำมูกหลังจากที่ระบายความอัดอั้นตันใจบางอย่างออกมา
“ไป” เนนั่งผิงไฟอยู่ตรงหน้ากองไฟคนเดียวโดยรอบข้างคือทิวเขาที่ห่มเราอยู่เบื้องบนคือแสงดาวสวยที่ส่งลงมา “เอ้ามากันแล้วเหรอ” เนทักฉันกับไอ้เหมียว ซึ่งเนไม่รู้ว่าฉันเพิ่งร้องไห้มาสดๆร้อนๆ “ เน แกโสดป่าววะ”อยู่ดีๆไอ้เหมียวก็ยิงคำถามเด็ดออกมาถามไปด้วยหัวเราะไปด้วยเพราะไอ้เหมียวและคนทั้งค่ายต่างรู้ดีว่าลึกๆแล้วฉันแอบปลื้มเนอยู่ “(ยิ้ม)……โสดซี้” เนยิ้มอยู่แปปนึงแล้วตอบออกมา “อืมๆ เชียร์เพื่อนๆ อิอิ” อ่านะไอ้เหมียวนี่แผนสูงจริงๆ
“นิล แกอยู่กับไอ้เน สองคนได้ป่ะ เค้าจะขึ้นไปข้างบนแปปนึงว่ะฮ่าๆ” นั่นไงไอ้เหมียวชัดเจนเลย“เฮ้ย จะบ้าเหรอวะ” แหมฉันก็แอบเขินนะไอ้เหมียวช่างบังอาจจริงๆรู้ทันเกลียดจริงๆ ฉันกับเนนั่งเงียบอยู่แปปนึงฉันจึงเริ่มบทสนทนาก่อน ข้างบนนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันกับเนนั่งอยู่กันสองคน เราจะรอเวลาที่จะได้ดูดาวตกเหมือนที่เนบอกไปด้วย เราคุยกันนานมากจนเหมือนว่าทุกคนเริ่มไปนอนแล้วเราจึงขึ้นไปข้างบนแล้วคุยกันจนเจอเรื่องที่เรา อ่านหนังสือเหมือนๆกันคล้ายๆกันเพราะบอกตามตรงว่าคนที่จะอ่านหนังสือแบบเรานั่นมันหายากมากจากเพื่อนเราเอง ยิ่งพอเช้ามา เป็นวันที่เราจะเดินทางกลับไอ้เพื่อนร่วมค่ายฉันทำฉันอายมากไปอีก “อ้าว นิล บอกเนรึยังล่ะ” อะไรของมันเนี่ย “ยังเลยบอกอะไร” “บอกรักเนไงเดี๋ยวเรียกให้ เน เน นิลมีอะไรจะบอกอ่ะฮ่าๆ” เออเอาเข้าไปถามกันบ้างมั้ยเนี่ยฮะ ต่อด้วยตอนกำลังจะขึ้นรถ “อ้าวนิล บอหรือยังเดี๋ยวบอกให้ เน เน นิลบอกว่ารักอ่ะ” ต่อด้วย “สอง สาม ถ้าหากรักนี้ไม่บอกไม่พูดไม่กล่าวแล้วเค้าจะรู้ว่ารักหรือเปล่า….” ยิ่งตอนนนี้พวกเพื่อนและน้องเดินเข้ามารุมประสานเสียงที่ข้างหูฉันจะบ้าตายพวกนี้นะ “ เน เราจะบอกที่ว่าเค้าแซวๆกันอ่ะเราไม่ได้มีอะไรหรอกนะ ไม่ต้องไปสนใจนะ” ฉันบอกความจริงกับเนในคืนนั้นเพราะใจนึงฉันก็คิดอย่างนั้นจริงๆ หรือว่าเข็ดก็ไม่รู้นะ “อืม เราเข้าใจ เราก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก” เป็นอันว่าเข้าใจกันทั้งสองฝ่ายแล้วนะ แม้ว่าหลังจากวันนั้นฉันจะออกตัวอย่างเป็นทางการว่าฉันปลื้มเน แต่ลึกๆแล้วฉันก็รู้สึกบ้างไม่รู้สึกบ้าง ใครๆก็บอกว่าเนเป็นคนดีฉันก็ว่าดีจริงๆ อิอิ แต่เราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่เพราะยังรู้จักกันได้ไม่นานฉันไม่รีบร้อนที่จะพัฒนาตัวเองแต่ฉันอยากจะบอกว่าฉันดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับเนฉันสามารถพูดได้เต็มปากว่าเน คือเพื่อนที่ดีคนนึงของฉันเลยก็ว่าได้ในตอนนี้ ฤดูกาลเปิดเทอมเริ่มเข้ามาถึง ฉันเดินทางถึงเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพ การที่จะได้เจอเพื่อนเที่ยวเพื่อนกิน เพื่อนเล่น เพื่อนชมรมอันเป็นที่รักก็ลดน้อยลงไปทุกๆวัน เพราะด้วยเวลาเรียนที่เราไม่ค่อยว่างมาพบกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ยึดเหนี่ยวพวกเราชาวชมรมเอาไว้ก็คือ ความผูกพันที่ไม่มีเส้นแบ่งคำว่าพี่หรือน้อง เป็นเพียงเว้นบางๆที่กั้นไว้ด้วยเหตุผลหลักที่จำเป็นต้องทำ แต่สิ่งที่พวกเรารอคอยก็ใกล้เข้ามาถึงเป็นสิ่งที่ฉันนับวันรอคอยมาตลอด นั่นก็คือ การออกค่ายกับชมรมอีกครั้ง “แกช่วยกระจายข่าวด้วยนะไอ้นิล วันนี้จะประชุมที่ห้องชมรมตอนทุ่มนึง” คำสั่งถูกถ่ายทอดลงมาสู่ฉันจากพี่เนยพี่ประธานชมรมแสนสวยที่ฉันรักมากคนนึง พี่เนยเป็นคนที่ทุ่มเทเพื่อชมรมตั้งแต่อยู่ปีต้นๆทำทุกอย่างสงสัยว่าความดีจะส่งผลถึงคนสวยด้วยสงสัย ฉันเริ่มกระจายข่าวไปยังกระบอกเสียงจอมโม้หลัก เว่อร์สุดทีน อย่าง เต้ย เจน และจิ๊ป โดยที่สองคนหน้าเป็นรุ่นน้องตัวแสบของฉันที่เค้าก็ยังเม้าท์กันอยู่ว่าคิดเกินเลยกันไปบ้าง ส่วนคนหลังเป็นเพื่อนสุดเพี้ยนอีกคนของฉัน ที่เพี้ยนจนเกือบจะเป็นบ้าทุกทีที่โดนแอลกอฮอร์
1 ทุ่ม “ว้าว ชะแล่มมาแล้ว” รุ่นน้องตัวแสบของฉันทักฉันด้วยฉายาที่ทุกคนต่างเรียกกันจนติดปากว่า แม่ใหญ่ชะแล่ม “เออ” ฉันตอบไปด้วยหน้าเซ็งๆแต่ก็ไม่ถือหรอกก็ฉันมันสาวฮอทนี่นา “เอ้าๆ มานั่งกันได้แล้วน้องๆวันนี้พี่มีเรื่องจะชี้แจง” พี่เนยเตรียมที่จะแจกแจงรายละเอียดแต่ไม่ทันจะพูดก็มีเสียงแซว สอดแทรกอยู่ตลอดเวลาจนพี่เนยแทบจะกระอักเลือดตาย “ปัง……….(เงียบ)” ฉันไม่รอช้าในเมื่อน้องๆไม่ฟังมัวแต่เล่นกัน ฉันหยิบปึก A4ที่อยู่ตรงหน้าฟาดลงกับพื้นแล้วมองหน้าทุกคนด้วยสีหน้าจริงจังทุกคนจึงหยุดทันที “ดีมากนิล โฮะๆๆ” พี่เนยหัวเราะด้วยสีหน้าพึงใจสุดๆกับการกระทำของฉัน “พี่จะชี้แจงเรื่องที่เราจะไปออกค่าย น้องๆอยากจะไปออกค่ายที่ไหนกัน อยากให้ช่วยกันเสนอน่ะว่าที่ไหนดี” “เราจะไปทำอะไรกันเนยบอกมาก่อน” พี่กาน รุ่นพี่คนนึงเสนอออกมาแม้บางคนจะอยากฟังบ้างไม่อยากฟังบ้างก็ตามที “อ๋อ เราจะไปสร้างอาคารเรียนค่ะ ดีมั้ยคะคือเนยอยากทราบสถานที่ก่อนค่ะพี่กานเราจะได้รู้ว่าเราต้องไปทำอะไรที่นั่นบ้างดีมั้ยคะ” “ก็ดีนะเนย งั้นพี่ขอเสนอจากที่พี่เคยไปค่ายของที่อื่นมาอ่ะนะ พี่ว่าไปที่อุตรดิตถ์ก็ดีนะ ใช่มั้ยชะแล่ม” ฮะอยู่ดีๆพี่กานก็เกิดอยากจะไปบ้านชะแล่มซะงั้น “อ้าวพี่ครับ อุตรดิตถ์นี่ บ้านพี่ชะแล่มไม่ใช่เหรอ” ไม่ใช่มั้งไอ้เต้ย! การสนทนายังไม่ยามนานพอนักเสียงประตูห้องก็เปิดออก ชายหนุ่มเดินเข้ามาแล้วกวาดยิ้มให้กับทุกคนแล้วเข้ามานั่งร่วมวงสนทนาที่ยังไม่วุ่นวายมากเท่าไหร่ “ขอโทษครับที่มาช้า พอดีก็เพิ่งประชุมเสร็จเหมือนกัน” “ไม่เป็นไรเน เราเพิ่งจะเริ่มประชุมน้องเนมาได้จังหวะพอดีเลยน่ะ อิอิ” “จังหวะหัวใจรึป่าว ฮิ้ว” ไอ้เต้ยพูดแล้วหันมามองที่ฉันซึ่งได้แต่อมยิ้มไม่พูดอะไรเป็นตาเดียวกัน “มองอะไรกันอ่ะ” ฉันก็เขินฉันก็อายเป็นนะยะ “อ่ะพอแล้วๆ น้องๆฟังเจ้ฟัง แล้วถ้าไปบ้านชะแล่มจะไปที่ไหนล่ะ” “ที่ไหนเค้าลำบากกันเนี่ยนิลไม่เห็นเคยรู้เลยพี่เนย” “บ้านแกๆก็ต้องรู้สิไอ้นิล” พี่กานไหนๆพูดแล้วก็คิดแทนเลยค่ะไม่ต้องเกรงใจหรอก “นิลไม่ค่อยได้ออกต่างอำเภอเองหรอกนะไปก็อำเภอใกล้ๆบ้านอ่ะค่ะพี่ แต่คิดว่าน่าจะเป็นอำเภอทางเหนือๆบ้านนิลไปหน่อยจะไปกันหรือคะ” เอาแน่เหรออย่าดีกว่ามั้ง “อืม ขอโทษนะครับอันที่จริงเราไปในเชียงใหม่นี่ก็ได้มั้งครับจะได้สะดวกในการเดินทางด้วย อีกอย่างนะครับช่วงนี้เปิดเทอมแล้วถ้าเราออกต่างจังหวัดคิดว่าคนที่อยากจะร่วมไปกับเราอาจจะห่วงการเรียนจนไม่อยากไปก็ได้นะครับ” เริ่ดมาแลยจ้ะเน อิอิ “ก็ดีอย่างที่น้องเนเสนอที่พี่คิดไว้ก็ในเชียงใหม่นี่แหละค่ะน้องๆกำลังคิดว่าจะไปหมู่บ้านที่ชมรมเราเคยไปมาแล้วที่อำเภออมก๋อยน่ะค่ะน้องๆ” “อ้าวบ้านผมนี่ครับพี่เนย” “บ้านน้องเนหรอกเหรอพี่ไม่รู้อิอิ” “แหะๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ” “เอาเป็นว่าเราจะไปที่อมก๋อย ที่หมู่บ้าน ทูลอง เราจะไปต่อเติมอาคารเรียนกันตามนี้นะคะน้องๆ ยังไงรบกวนด้วยนะน้องเน อ้อ อีกอย่างเราจะไปหลายวันหน่อยนะประมาณ 3-4วันอย่างที่รู้ตรงกับวันหยุดยาวพอดีเลย” “อ่ะครับ สวดยอดเลยครับพี่เนย” เนยิ้มกว้างด้วยความเต็มใจบวกกับดวงตาที่หวานหยาดเยิ้มเป็นอะไรที่ฉันชอบมากที่สุดในตอนนี้ “จะกลับเลยก็ได้นะ คนที่พี่บอกก็อยู่ก่อนนะที่เหลือจะไปไหนก็ไปเหอะ” เป็นอันว่าหนึ่งในนั้นก็มีฉันด้วยถึงพี่เนยจะบอกว่ากลับได้แต่ก็ไม่มีใครกลับสักคน แต่เปลี่ยนเป็นวิ่งเล่นแกล้งกันตามประสาพวกเราเหมือนเด็กอนุบาลเสียงดังสั่นชั้นสี่ของตึก “เฮ้อ” ฉันเดินออกมาหน้าห้องหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าหมายที่จะโดนแกล้งและอะไรต่างๆนาๆที่อาจจะเกิดขึ้น “หนู นิล ถอนหายใจทำไม” อยู่ดีๆก็มีเสียงเล็กแหบห้าวเล้กน้อยเอ่ยขึ้นมาระหว่างที่ฉันปลีกวิเวกอยู่หน้าห้องคนเดียว “ อ้าว มาตอนไหนเนี่ยหึหึ” ฉันยิ้มจางๆแต่ก็แอบดีใจที่เนก็ยังมองดูฉันอยู่บ้างอิอิ
“ทำไมเราเห็นหมู่นี้ นิลชอบปลีกตัวอยู่คนเดียวบ่อยๆ มีอะไรหรือเปล่า” “บ่อยเหรอเห็นบ่อยหรือไงเน” ฉันหัวเราะน้อยๆนึกอยากจะต่อยท้องเนด้วยซ้ำไป “ก็สองครั้งแล้วแหละ” “สนใจด้วยเหรอ” อิอิ ฉันแอบหัวเราะในใจ “ถ้าไม่สนแล้วจะออกมาคุยด้วยทำไมล่ะนิล เผื่อว่านิลคุยกับเรานิลจะได้สบายใจขึ้นบ้างไม่ดีหรือยังไง” “เราปกติดีน่ะไม่ได้เป็นอะไรหรอกข้างในเสียงดังอยู่ข้างนอกแปปเดียวเดี๋ยวก็เข้าไปแล้ว อีกอย่างอย่าได้มองเข้าไปเหอะโดนแซวแน่ๆคอยดู ไม่กลัวหรือไง” “เราจะกลัวทำไมในเมื่อมันไม่เป็นความจริง” แหมเนไม่ต้องหักหานน้ำใจกันขนาดนี้ก็ได้ “อืม…” ฉันเบือนหน้าหนีกับคำพูดของเนแต่ก็จริงอย่างที่เนพูดเราไม่ได้เป็นอะไรกันนอกจากเพื่อนอย่างน้อยเนก็อาจจะห่วงฉันในฐานะเพื่อนก็ดีแล้วนี่ “ลืมบอกนิล อีกอย่างพี่เนยเรียกด้วยน่ะโทษที” “เข้าไปข้างในดีกว่า ข้างนอกยุงเยอะ” ฉันชวนเนเข้าไปข้างในก่อนที่ยุงจะหามเรา “วะว้าวววว แอบไปคุยอะไรกันสองคนน่ะ” ฉันโดนคนทั้งห้องมองและแซวล้อกัน เอาเข้าไปช่วยกันยุยง ยุเยอะๆสิ เอ้ยไม่ใช่ “ก็ไม่มีอะไรเนบอกว่าพี่เนยให้มาตาม ” “เหรอ พี่บอกตอนไหนนะเนี่ยไม่เห็นรู้เลย ฮิฮิ” แหมพี่เนยก็นะ “เจ้พัฒนาขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย” ดีมากไอ้น้องเจน “ฮิ้ววว แกจะลงจากคานเมื่อไหร่บอกนะเว้ยฮ่าๆๆๆ” บ้ากันไปใหญ่แล้วพวกนี้น่ะ
การประชุมเสร็จสิ้นลงอย่างเป็นทางการแล้ว เราช่วยกันเก็บข้าวของและปิดไฟเตรียมที่จะออกจากห้องซึ่งแน่นอนว่าฉันออกเป็นคนสุดท้ายอีกแล้ว “เรียบร้อยนะไม่มีใครลืมอะไรนะ” ฉันมัวแต่มองในห้องไม่ได้มองที่ประตูเลย “ปัง … คลิก” เสียงประตูปิดแถมด้วยเสียงกดลูกปิด “นังเต้ยยยยยยยยปล่อยฉันออกไปนะ ปล่อยฉันออกไป” ขังฉันทำไมๆๆๆๆ “ไปแล้วนะเจ้ ฮ่าๆๆ” “ฮืออเต้ยมาเปิดประตูให้พี่ก่อนนน จะไปไหนกัน” แทนที่จะมาช่วยเปิดประตูให้ฉันทุกคนกลับยืนหัวเราะ ยิ่งคนที่เดินไปก่อนหน้านั้นแล้วไม่ได้รับรู้เลยว่ามาสาวน้อยน่ารักคนนี้ถูกขังอยู่ในห้องที่ปิดไฟมืดแถมยังปิดบานเกร็ดอีกชั้นนึง แน่จังงง “เต้ย ปล่อยฉันเหอะนะขอร้องฉันต้องกลับไปทำการบ้านนะ พรุ่งนี้แนสอบด้วยปล่อยฉันไปเหอะ” “พูดดีๆก่อนแล้วจะเปิดให้นะเจ้อย่าง น้องเต้ยสุดหล่อคะ ช่วยเปิดประตูให้พี่ชะแล่มหน่อยค่ะ เงี้ยได้มั้ยล่ะอิอิ” “ฮึ้ยแกออกไปแกตายยยยแน่ น้องงเต้ยยยสุดหล่อเปิดประตูให้พี่ชะแล่มหน่อยค้าบบนะนะนะ” ฉันกัดฟังพูดสุดๆ เนนะเนไม่ช่วยกันบ้างเลยจะรู้บ้างมั้ยว่าเค้าโดนขังอยู่ในห้องเนี่ย พอหลุดออกจากห้องมาได้ก็วิ่งหนีกันหมดแล้วเหลืออยู่แค่ก๊วนฉันเท่านั้นที่ยืนยิ้มยืนหัวเราะอยู่ “ขำอะไรเนไม่ช่วยเค้าบ้างเลยนะ” “ฮ่าๆขอโทษทีไม่รู้จะช่วยยังไงดี” เออนะขอบคุณมากนะคะเพื่อนๆ “อืมเสร็จแล้วแกจะไปไหนต่อไอ้เน” ไอ้เหมียวถามขึ้นแต่ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน “ก็คงจะกลับเข้าหอเลยน่ะ” “ที่หอมีอะไรน่ะเนทำไมต้องกลับเร็วจะกลับไปดูน้องปีหนึ่งรึไงกัน” ฉันพูดแบบแอบงอนนิดหน่อยก็นานๆเจอที “อะไรๆไอ้นิลหึงเหรอ” จิ๊ป แซวแถมยังเข้าไปเกาะแขนเนอีกบังอาจมาก “เปล่าๆ จะชวนไปกินข้าวด้วยกัน” “ไปกินกันสองคนเหรอเฮ้ออ” “ก็ไปด้วยกันหมดเนี่ยแหละไปทำไมสองคน” “อ้าวก็แกชวนเน แต่ไม่ได้ชวน ฉัน ไอ้เหมียว แล้วก็พี่เนยเลยนิใช่มั้ย” “ช่ายยยยย” เอาเป็นว่าข้าน้อยผิด “จะไปกินที่ไหนกันล่ะ” เนถาม “ไปกินหอในนั่นแหละเนจะได้ไปนั่งดูน้องปีหนึ่งด้วยไง” “นั่นไงเนโดนซะแล้ววววววววว อ่าๆๆๆ” พี่เนยมองฉันด้วยสายตาจิกนิดๆพร้อมทั้งยิ้มอย่างมารร้ายยยใส่ค่า
หลังจากวันนั้นฉันนั่งนับวันรอที่จะไปเข้าค่ายรอที่จะได้ไปใช้ชีวิตแบบปลอดไฟฟ้า และหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองอีกครั้งนึง ทุกคนที่ฉันได้ไปออกค่ายบอกได้เลยว่ามันเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตที่ฉันตั้งใจจะทุ่มเทเพื่อ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฉันเฝ้าฝันตั้งแต่ก่อนเมาเรียนที่มหาวิทยาลัยว่าการออกค่ายอาสาน่าสนุก แต่เมื่อมาได้สัมผัสความหมายและการใช้ชีวิตแล้ว ความสนุกไม่ใช่ทั้งหมดที่เราใฝ่ฝัน คือประสบการณ์ในแต่ละครั้งที่สอนให้แนได้เติบโตขึ้นมาเป็นคนๆนึงที่ดีในสังคม ใครจะรู้บ้างว่า ภายนอกเพื่อนๆชมรมของเราแต่ละคนฉาบด้วยเปลือกบางๆเหมือนคนอื่นๆทั่วไปที่ต้อง ตื่นแต่เช้าไปเรียน อ่านหนังสือแล้วก็นอน แต่อีกภาพหนึ่งของเราแม้ว่าจะไร้สาระแค่ไหนก็ตามทุกคนต่างมีจิตอาสาพร้อมที่จะทุ่มเทเพื่อสังคมได้เสมอฉันเชื่ออย่างนั้น
“แกคนจะไปค่ายเยอะมั้ยวะ” จิ๊ปถามฉันระหว่างที่เราพักรอเรียนคาบต่อไป “ไม่รู้สิ จิ๊ป ฉันก็ไม่อยากจะกะอะไรให้มากมายจำตอนที่เราไปกรุงเทพได้มั้ยเรื่องนั้นมันสอนฉันไว้เยอะนะแกว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าคนที่ไปจะเป็นใคร แต่แค่เราไปแล้วได้อะไรกลับมาก็พอ” นี่ไงเยี่ยมเลย “เด็กสมัยนี้เค้าคิดอะไรกันอยู่นะฉันสงสัย คุณมาเรียนที่นี่เราสอนให้มีความอดทนและเป็นจบออกไปเป็นคนดีของสังคม แต่ฉันชักจะไม่แน่ใจว่าเค้ามาเรียนกันทำไมเหรือเพียงเพื่อหวังใบปริญญาแค่นั้นเองเหรอ” “ไหนๆจะได้กระดาษแผ่นเดียวแล้วนะ ฉันว่าเรามาหาสมาชิกเพื่อเรียนรู้ไปกับเราดีกว่ามั้ย” “นี่นิลไอ้ที่ฉันถาม แกกำลังคิดอยู่หรือเปล่าว่าคนไม่ค่ายไม่ดีงั้นเหรอวะ” “ฉันแค่หมายความว่าเมื่อเรามีโอกาสดีๆก็ควรจะคว้าไว้นะ ฉันก็อยากให้คนอื่นๆได้รับสิ่งดีๆเหมือนฉันบ้างก็เท่านั้นเองแต่ถ้าเค้าไม่เต็มใจฉันจะไปบังคับเค้ามาได้หรือไงล่ะ” “นั่นมันก็เรื่องของเค้าแล้วหล่ะแกไอ้นิล” จิ๊ปตบหลังฉันเพราะรู้ซึ้งดีว่ากว่าจะพาเพื่อนสักคนมาร่วมแบ่งปันกันได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย “ไปเหอะ กลับหอเหนื่อยๆ ปวดหัว เครียด” “ไอ้จิ๊ปบ้า” จิ๊ปเป็นคนที่ชวนฉันเข้ามาชมรมนี้ในตอนแรกๆเมื่อได้เรียนรู้ฉันก็ยิ่งเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มันน่าค้นหากว่าการที่อาจารณ์ให้ค้นข้อมูลทำรายงานเสียอีก ฉันกับจี๊ปสู้ทนนั่งเรียนจนหมดวันเหนื่อยเหลือเกินกับการใช้สมองเพียงเพื่อคิดอย่างเดียวแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ หรือบางทีเราอาจจะอยู่ในกรอบมากกันเกินไปก็ได้ หลังจากที่เรากำลังจะแยะย้ายกันกลับฉันก็นึกอยากจะปลดปล่อยทุกอย่างไว้ที่ห้องสมุดโดยที่จิ๊ปไม่ตามไปด้วย ฉันจอดรถที่หน้าห้องสมุดเป็นบรรยากาศและสถานที่หนึ่งที่ฉันชอบที่สุดของมหาวิทยาลัย ฉันเดินผ่านรูปปั้นของอธิการบดีคนแรกที่นั่งอยู่ทางด้านข้างของทางเข้าห้องสมุด ห้องสมุดมีทั้งหมด สาม ชั้น แต่ฉันเลือกที่จะไปยังมุมโปรดที่ชั้น สอง มุมนวนิยายและประวัติศาสตร์ “อ่านอะไรดีอันนี้ก็อ่านหมดแล้วนี่ ไม่มีหนังสือใหม่ๆมาบ้างเลยรึยังไงเนี่ย” ฉันบ่นแล้วนิ่วหน้าก่อนจะเดินออกมาแล้วคนหาสิ่งที่อยากอ่านต่อไป จนสายตาของฉันเหลือบไปเห็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดเข็นรถหนังสือเข้าไป สองเท้าฉันไม่รอช้า ก้าวตามไปติดด้วยใจจดใจจ่อว่าจะมีหนังสืออะไรมาลงเพิ่มที่ชั้นอีก ได้แต่มองอยู่ห่างๆ ขณะนั้นนิลไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าตัวเองไม่ได้เป็นเพียงคนเดียวที่จ้องมองราวกับถูกมนตร์สะกดเข้าไปในห้องหนังสือ จนเมื่อรถเข็นออกจากห้องสมุดไปนิลรีบสาวเท้าเข้ามาเหมือนกับว่าจะพลาดของลดราคาไม่ทันได้ระวังคนอีกคนที่กำลังเดินสวนมา “ปัง” ตายแล้วซุ่มซ่ามจังเลยเนี่ย “ขอโทษค่ะเดี๋ยวเก็บให้นะคะ ไม่ได้มองทางเลยค่ะแย่จริงๆเลย” ฉันก้มหน้าก้มตาเก็บหนังสือต่อไปจนคนข้างหน้าอดหัวเราะออกมา “ขะ..ขำ อ้าว” แล้วฉันก็ต้อง งง กับคนตรงหน้าเมื่อรู้ว่าเป็นใคร “ไอ้เจน” เจนรุ่นนอกอีกคนที่ชมรม ฉันกับเจนสนิทกันพอสมควรหรือบางครั้งอาจจะดูมากเกินไปจนทำให้ใครต่อใครคิดไปว่าฉันกับเจนมีความสัมพันธ์ที่เกินคำว่าพี่กับน้องต่อกันซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย “พี่มาทำอะไรที่ห้องสมุดอ่ะ” “มาหาพี่เนมั้งไอ้บ้ามาหาหนังสืออ่าน” “พี่ไม่เห็นรึไงว่าเป็นผมน่ะ” “ไม่เห็นหรอกก็แกมันอยู่นอกสายตาฉันนี่” “อั้ยยะ แรงงงงนะเจ้ ใช่ซี้ ผมมมันไม่มีอะไรดีสักอย่างอ่ะ” “ยังไม่ได้พูดนะพูดเอง” “แล้วแกจะไปไหนต่ออ่ะ” “โหยพี่กลับหอดิจะให้ไปไหน แต่พี่นะไม่ต้องเดาเลยไปหาพี่เนชัวร์” “แหมไอ้เจนพูดไปเหอะทุกวันนี้จะหาตัวก็ยากพออยู่แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาเจออ่ะ” “เจ้พยามเข้าเพื่ออนาคตที่สดใสนะ” “ขอบใจ กองไว้นะตรงนั้นเลยก็ได้” ฉันชี้ไปที่กองหนังสือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้วเดินออกจากบริเวณนั้นให้เร็วที่สุดเพราะด้วยความที่กลัวคนอื่นจะมาเห็น ฉันสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าฉันจะพยามเป็นพี่เท่านั้นกับเจนให้ชัดเจนที่สุดก่อนที่ใครๆจะหาว่าฉันกินเด็กหรือว่าคิดอะไรกับคนที่ฉันยังเรียกอยู่ว่าน้องเสมอ หลังจากที่ได้หนังสือที่ชอบแล้วฉันก็ยืมออกจากห้องสมุดทันทีสิ่งที่ตั้งใจอย่างเดียวก็คือกลับหอไปพักผ่อน แต่เวลาเจ้ากรรมไม่เร็วอย่างที่ฉันคาดเอาไว้เพราะไอ้เจนดันเดินมาข้างๆรถของฉันเพราะเราจอดรถติดกันพอดี “ที่อื่นมีให้จอดเยอะแยะนะ” ฉันบ่น “อ้าวเจ้จะเอาไว้ให้พี่เนจอดรึไงล่ะ” เอ้ายุยงกันเข้าไป “เออทำไมแกต้องทำฉันอารมณ์เสียตลอดเลยไอ้เจน ไปไกลๆเลยไป กวนว่ะเลิกแซวบ้างก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” “ผมก็เชียร์อยากให้พี่ได้สมหวังนะ ถ้าเกิดพี่ได้เป็นแฟนกับพี่เนจริงๆพี่ก็ควรจะขอบคุณผมนะ” เจนเสียบกุญแจแล้วขี่รถออกไปก่อนจะยิ้มให้ฉันได้แต่สาธุว่าสิ่งที่เจนพูดอยากให้มันเป็นความจริงถึงแม้เปอร์เซ็นต์จะน้อยนิดก็ตาม
จากคุณ |
:
ยัยกบเขียว
|
เขียนเมื่อ |
:
15 พ.ค. 54 16:35:24
|
|
|
|