สวัสดีครับเพื่อนรักนักอ่านทุกท่าน ได้หยุด 3 วัน รีบกลับมาลงต่อก่อนหยุดวิสาขบูชาต่อครับ
ขอบคุณกิฟต์จากคุณ Jeab_Forest55, คุณ Sky With Rainbow, คุณ เรียวรุ้ง, คุณ Hermosa,คุณ Regenbogen ^_^,คุณ Travel to the moon,คุณ แก้วกังไส,คุณ kdunagin,คุณ Friday Story, คุณ นารีจำศีล และคุณ เขมปัณณ์ ครับ
สำหรับสาปพิษฐานตอนที่ผ่านมาครับผม (ตอนที่ 21) http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10553766/W10553766.html
และสำหรับเพื่อนๆที่เขียนถามมานะครับ
คุณ Jeab_Forest55 : ขอบคุณมากเลยครับ ผมเองก็อยากเห็นจากหนังสือเป็นละครเหมือนกันครับ แต่นึกภาพไม่ออกเหมือนกันครับว่าจะเป็นรูปแบบไหน
คุณ Hermosa : ตอนนี้รีบลงต่อให้เลยครับ แต่บท 23 อาจจะช้านิดหนึ่งนะครับ
คุณ Regenbogen ^_^ : บทโกฉัตรจะออกโรงอีกที คราวนี้ก็ตอนที่ 23 เลยครับ
คุณเรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก : ติกาหลังหนึ่งหรัดทรงสาป "ชาวเมืองกุรุงปักกา"ครับ ปะตาปาไม่ใช่ชาวเมืองนี้ (รายละเอียดจะมีในตอนถัดๆไปครับผม)
คุณscottie : กริชกุหนุงมัส กำลังจะเดินทาง มารวมกับ ติกาหลังปัตราแล้วครับ
คุณ กุลธิดา (kdunagin) : โครงกระดูกใคร? จะเฉลยในตอนนี้เลยครับ โดยจะเริ่มต้นเป็นฉากย้อนอดีตจากบทนำของเรื่องเลยครับ...
คุณ kaburapat : ขอบคุณมากครับ ผมเองชอบเขียนสไตล์แบบนี้ครับ บางคนบอกว่าอ่านแล้วลุ้น บางคนบอกว่าอ่านแล้วหงุดหงิด เพราะไม่เฉลยให้จบๆไปซะทีเดียว แต่มันก็อดไม่ได้ครับ เหมือนได้แกล้งคนอ่านยังไงก็ไมรู้ แหะ แหะ
สาปพิษฐาน
บทที่ 22
ผืนน้ำเบื้องหน้าราบเรียบราวปูด้วยแผ่นกระจกขนาดมหึมาทอดตัวยาวไกลสุดสายตา แสงบุหลันเบื้องบนส่องแสงสุกสกาว เมื่อมันเคลื่อนพ้นม่านเมฆาที่บดบังอยู่เมื่อครู่ แล้วเริ่มกราดรัศมีมณฑลอันเหลืองนวลอร่ามลงจับผิวน้ำให้ทอประกายเลื่อมระยับราวโปรยปรายไว้ด้วยเกล็ดเพชรรัตน์ เป็นภาพอันสวยงามราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งความฝัน
หากในเวลานี้ องค์ระตูอิสมารา อินทรา กลับเบิกนัยน์ตาโพลง มือแกร่งเกร็งที่จับคันบังคับเรือคลายลงโดยอัตโนมัติ เมื่อมองไปยังทิศทางแห่งนครกุรุงปักกาเบื้องหน้า
ไม่มีเกาะหรือผืนแผ่นดินใดๆอยู่ ณ บริเวณนั้นอีกต่อไป ราวกับเบื้องหน้าคือท้องทะเลหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาลและไร้ขอบเขต
ไม่มีแม้สรรพชีวิตใดๆปรากฏทั้งสิ้น นอกจากความว่างเปล่า
ไม่! เป็นไปไม่ได้ ติกาหลังหนึ่งหรัด เจ้าอยู่ที่ใด ข้ามาตามสัตย์สัญญานั้นแล้ว ติกาหลังหนึ่งหรัด!
ระตูหนุ่มนักรบ ร้องกู่ตะโกนก้องไปทั่วบริเวณ ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวในดวงหทัยแสนสาหัส จากทิศทางดวงดาวเบื้องบนทำให้รู้ว่าเรือลอยลำอยู่ ณ ตำแหน่งอันเคยเป็นพื้นชายฝั่งกุรุงปักกาโดยไม่ผิดพลาด ฝ่ามือทั้งสองบัดนี้แตกยับโลหิตไหลซึมออกมาจากการออกเรี่ยวแรงทั้งชีวิต พาลำนาวาฝ่าแนวคลื่นมหันตภัยจากเกาะยาหัดตรงมาที่นี่ ด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่น ด้วยสัตย์สัญญาต่อนางอันเป็นที่รัก
แต่แล้วทุกอย่างก็สายเกินไป กุรุงปักกาหายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อนบนผืนพิภพ??
ด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ อิสมาราเหลียวมองรอบด้านเพื่อหาซากหรือสิ่งบ่งชี้สภาพเมืองแห่งนั้นด้วยอาการร้อนรนเหมือนคนบ้าคลั่ง แต่ก็หาได้พบสิ่งใดไม่ ชายหนุ่มเซกายแทบหมดเรี่ยวแรงทั้งหมดลงเกาะพิงกับกราบเรือ ก่อนที่จะเผลอจ้องสายตามองแผ่นน้ำใสดุจกระจก เริ่มสังเกตเห็นฟองอากาศผุดขึ้นมาช้าๆอย่างต่อเนื่อง...
ใต้ผืนน้ำ???
เงาสะท้อนราวกระจกแก้วจากเบื้องล่างท่ามกลางแสงบุหลันเย็นตาอาบไล้ผืนสมุทร มองเห็นภาพนครากุรุงปักกา กำลังจมดิ่งเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ ทิ้งห่างจากระดับสายตาลงไปทุกขณะ
แท้จริง... ทั้งกุรุงปักกาธานี กลับจมดิ่งลงสู่ใต้บาดาล
รวมถึงองค์ระเด่นติกาหลังหนึ่งหรัด ผู้ตกเป็นนางเชลยของพวกมันด้วย!! ระตูหนุ่มแทบลืมหายใจ... เขาต้องตัดสินใจแล้วในบัดนี้!!
อิสมารากระชากดึงสายโซ่ผูกเรือขนาดยาวออกมาผูกปลายข้างหนึ่งกับกายาตนเองอย่างรวดเร็ว แล้วทิ้งปลายอีกด้านที่ตรึงเอาไว้ด้วยสมอเหล็กสำหรับถ่วงลำเรือให้ดิ่งลงสู่ใต้ผืนน้ำ เสียงตูมดังขึ้นไม่ต่างกับเสียงประกาศิตแห่งชีวิต
โซ่เหล็กอันพันธนาทั้งผู้พายนาวาและลำเรือเริ่มเคลื่อนตัวทิ้งดิ่งลงไปใต้น้ำ เสียงครูดของมันกับผนังลำเรือปรากฏเป็นเสียงหวีดแหลมกรีดหูราวเสียงเพรียกของนรก หากอิสมารากลับยืนตระหง่านนิ่งเหนือลำเรือโดยมิพรั่นพรึงใดๆ นักรบหนุ่มแห่งบุหรงปุระแหงนมองท้องฟ้าเบื้องบนราวประสงค์ให้เป็นสักขีพยาน แล้วสูดลมหายใจเต็มกลั้น เพื่อจะจำหลักภาพเบื้องหน้านั้นเป็นครั้งสุดท้าย
จากนั้นร่างสูงใหญ่กำยำก็กระโจนพรวดเดียวลงสู่ผืนน้ำอันเย็นยะเยียบแล้วดำดิ่งลงสู่บึ้งใต้โดยไม่หวั่นเกรงต่อภยันตรายหรือแม้แต่ชีวิตของตนเองอีกต่อไป
ความคุ้นชินกับสภาพท้องทะเลอันเป็นทั้งมาตุภูมิถิ่นกำเนิดและสมรภูมิรบในการต่อสู้กับข้าศึกศัตรูมาโดยตลอด ทำให้การมองเห็นภายใต้ผืนสมุทรยามรัตติกาลเป็นไปได้อย่างสะดวก ด้วยสายตาคมกล้ามองเห็นลึกต่ำลงไปคล้ายตัวอาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆกำลังเลื่อนต่ำจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ
ปลายโซ่ที่พันธการจมดิ่งไล่ตามลงไปอย่างไม่ละลด โดยมีสมอเหล็กร่วงหล่นนำหน้าลงไปอยู่แล้ว และแล้วในจังหวะสำคัญเมื่อมันพุ่งทะยานดุจปลายธนูหลุดจากแล่ง ดิ่งตรงเข้าสู่ยอดเสาหลักเมืองขนาดสูงละลิ่วใหญ่เทียมเมฆของมหานคราที่กำลังชูปลายเสียดยอดขึ้นมาใกล้สุด ปลายสายโซ่เส้นนั้นก็ตวัดสวมคล้องลงไปได้พอดี
สมอเหล็กผูกกระหวัดเข้าด้วยกันโดยมิคลายคลอน มันดึงกระชากร่างของชายหนุ่มให้ดิ่งละลิ่วไหลตามลงไปสู่ความตายเบื้องล่าง โดยที่เจ้าตัวหาได้ประหวั่นพรั่นพรึงใดๆไม่
ระหว่างการเลื่อนต่ำลงไปสู่ใต้ผืนน้ำอันเย็นเยียบและมืดทมิฬ ดิ่งลึกเข้าสู่อุ้งหัตถ์แห่งมฤตยูที่กำลังรอคอยอยู่แล้วในเบื้องล่างท้องทะเลลึก ทว่าในหทัยของระตูอิสมารากลับเจิดจ้าด้วยความปรีติปราโมทย์ยิ่ง เมื่อมองเห็นยอดปรางปราสาทแห่งมหานครากุรุงปักกาที่หักพับลงกับพื้นธรณีเลื่อนใกล้เข้ามาจนร่างทั้งร่างหล่นร่วงลงแนบชิดกับผืนแผ่นดินอันเป็นเรือนตาย
อา... ในที่สุดข้าก็ได้หวนคืนกลับมาที่นี่แล้วดังมโนปรารถนา มาตามคำสัตย์สัญญาที่ให้ไว้กับติกาหลังหนึ่งหรัดผู้เป็นที่รัก ไม่ว่าสิ่งนั้นจะสายไปแล้วหรือไม่ก็ตาม!
เพื่อให้นางได้ประจักษ์ว่า คำสัญญาของอิสมารานั้นมิเคยตระบัดหาย...
ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างเขายอมเดิมพันทั้งหมด ด้วยชีวิตของตนเอง
ติกาหลังหนึ่งหรัด... ข้าตามเจ้ามาแล้ว ตามคำสัจจา ไม่ว่าดวงวิญญาณของเจ้าจะอยู่ยังแห่งหนใด ขอให้ทรงรับรู้เถิดว่า อิสมาราผู้นี้มิเคยทอดทิ้งหนีห่างนางไปเลย นับเนื่องในกาลบัดนี้หรือต่อไปในภายภาคหน้าก็ตาม!!
ด้วยรอยแย้มที่มุมปากหยักขึ้นอย่างพึงใจบนใบหน้าเข้มคมสมบุรุษเพศ แล้วลมปราณเฮือกสุดท้ายขององค์ระตูหนุ่มแห่งบุหรงปุระก็หมดสิ้นลงในเวลาเดียวกัน พรายน้ำฟองสุดท้ายผุดจากใต้สมุทรขึ้นไปสู่ผิวน้ำเป็นระลอกแห่งปริโยสาน ร่างทั้งร่างจมหายวูบลงไปพร้อมกับบรรดาฝูงปีศาจกระหายเลือดแห่งผู้ต้องคำสาปทั้งปวง รวมถึงกายาอันปราศจากวิญญาณขององค์หญิงติกาหลังหนึ่งหรัด นางอันเป็นที่รัก... ตลอดไป
ให้เจ้ารู้ ว่ารัก จักคงอยู่ ได้เคียงคู่ นุชน้อง ประคองขวัญ แม้ชาตินี้ กรรมพราก ต้องจากกัน ไม่อาจกั้น กีดขวาง รักร้างไกล ด้วยชีวิต ยอมพลี ทั้งชีวิต จักอุทิศ แด่พธู เพื่ออยู่ใกล้ ขอตามติด พิศวาส ทุกชาติไป จากหัวใจ และชีวิต อิสมารา!!
*********************
อา... บัดนี้เขามองเห็นความเป็นไปก่อนหน้านั้นแล้ว ทั้งด้วยความรัก ความผูกพันและความแค้น! ทั้งเขา ศาปานต์และหลายต่อหลายคนในชาติภพปัจจุบัน ล้วนถือกำเนิดและดำเนินต่อมาด้วยแรงพิษฐานและคำสาป ด้วยสิ่งนั้นคือสายใยอันเหนียวแน่นที่เหนี่ยวโยงให้ดวงวิญญาณทุกดวงต้องหวนกลับคืนมายังสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง เพื่อการปลดเปลื้อง
เสมือนมองภาพจากมุมที่อยู่สูงขึ้นไปเหนือผืนพสุธา มองเห็นคลื่นน้ำเคลื่อนตัวพุ่งผ่านจากนครากุรุงปักกาอันเกรียงไกร จ่อมจมลงสู่ใต้ผืนบาดาล และแนวกำแพงคลื่นมหึมาก็โถมทับเข้ากลืนกินเกาะยาหัด หมู่เกาะน้อยใหญ่ในอาณาบริเวณรายรอบ จวบจนมาถึงเกาะบุหรง หรือบุหรงปุระที่อยู่ถัดออกไป เกาะร้างรูปทรงคล้ายมยุรารำแพนปีกถูกกระแสคลื่นสาดซัดจนกลืนหายลับลงไปเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่เหลือสรรพชีวิตใดๆบนเกาะแห่งนั้นแล้วก็ตาม
ทุกอย่างหมดสิ้น ไม่เหลือซากปรักหักพัง หรือแม้แต่ความทรงจำใดๆอีกต่อไป แห่งสองราชอาณาจักรอันยิ่งยงแต่โบราณกาล
ภาพในมโนนิมิตของผู้กองพระแสงสลายวับ เมื่อฆานประสาทรับรู้ถึงกลิ่นเหม็นเน่าโชยผ่านนาสิกสัมผัสเข้ามากระทบอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันขวับไปยังอีกด้านหนึ่งทันที ท่ามกลางซากอาคารรกร้างแต่แรก บัดนี้มีกลุ่มเงาดำทะมึนปรากฏกายเงื้อมตระหง่านขึ้นในระยะไกล จากโครงรูปที่มองเห็นมีลักษณะอันแผกผิดจากส่วนสัดของมนุษย์ด้วยกัน
ด้วยการคาดคะเนจากสายตา เขามั่นใจว่ากลุ่มร่างวิปริตพวกนั้นมีไม่ต่ำกว่าสิบตน ก่อนที่พวกมันจะค่อยๆเดินย่างสามขุมเข้ามายังเขาเป็นเป้าหมาย ด้วยท่าทางคุกคามและปรี่กระหาย เสียงคำรามและกู่ร้องระหว่างพวกมันดังขึ้นระงมไปรอบบริเวณ เมื่อพวกมันเริ่มตีวงล้อมบีบกระชับเข้ามาเรื่อยๆอย่างรู้ว่า เหยื่อ ไม่มีทางจะเล็ดลอดออกไปได้เด็ดขาด
ฮึ่มม์ม์ม์ม์ม์!!
พระแสงตระหนักในทันที ว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับอะไร
บัดนี้ฝูงปีศาจกระหายเลือดแห่งกุรุงปักกา ปรากฏกายขึ้นแล้ว...
************************
ท่ามกลางความมืดมิดรอบด้าน รสลิน ธารานพรัตน์ระดมแรงทุบผนังด้านบนจนมือเจ็บร้าวไปหมด ในขณะที่บังรามยังสวดมนตร์พล่ามไปเรื่อยๆอย่างคนที่ควบคุมตนเองไม่ได้
เวรเอ๊ย!!
หล่อนสบถติดต่อกันเป็นชุด ด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านอันเป็นอารมณ์พื้นฐานของตนเอง ความหวาดกลัวแต่แรกคลายลงไปแล้ว เมื่อสัมผัสกับความร้อนอับทึบภายในห้องแคบๆแห่งนี้ รสลินหยุดนิ่งไปชั่วอึดใจ เมื่อพยายามเรียกสติกลับคืนมา ไม่มีประโยชน์ที่หล่อนจะฝืนออกแรงให้หมดไปเปล่าๆปลี้ๆอย่างนี้ ห้องใต้ท้องเรือขนาดเล็กแคบไม่ต่างกับห้องปิดตาย ต่อให้กรีดเสียงร้องโวยวายออกไปก็ไม่มีใครหน้าไหนได้ยินเด็ดขาด และพื้นไม้ที่ปิดทับลงมาแถมล็อคด้วยกลอนอย่างนี้ยิ่งไม่มีทางทุบด้วยมือเปล่าให้หลุดออกไปได้แน่
ยกเว้น...
กลอน!
วูบนั้นเอง หล่อนเริ่มมองเห็นทางออก น้องสาวโกฉัตรรีบล้วงมือควานลงไปด้านหลังอาภรณ์เนื้อนุ่มของชุดราตรีรัดรูปแสนโสภา ภายใต้ผืนแพรชีฟองกรุยกรายและถ้าแถบรัดเอวคอดกิ่วเอาไว้ หล่อนซ่อนปืนพกกระบอกจิ๋วเหน็บไว้อย่างแนบเนียนสำหรับการป้องกันตัวยามฉุกเฉิน โกฉัตรนั่นเองเป็นคอยตระเตรียมเอาไว้ให้ราวกับจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
เกิดเป็นน้องสาวโกฉัตร ต้องมีเขี้ยวเล็บไว้บ้างนะอาหลิน จะได้ไม่เสียชื่อเฮีย
ชิงฉัตรเคยเอ่ยปนหัวเราะเบาๆตามสไตล์แล้วยัดปืนกระบอกนี้ไว้ให้หล่อนตั้งแต่ยังเป็นสาวน้อยไร้เดียงสาโลกย์ ตอนนั้นรสลินเองเพิ่งจะหัดเรียนยิงปืนสำหรับป้องกันตัวเองเป็นครั้งแรก หล่อนตัดสินใจก็เก็บมันเอาไว้กับตัวเกือบตลอดเวลา เคยนำมาใช้บ้างก็เฉพาะเวลาสำหรับการยิงขู่ บางคนที่ต้องการข่มเท่านั้น ไม่นึกว่าจะต้องมาใช้จริงในสถานการณ์คับขันอย่างนี้มาก่อน
แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้...
สัมผัสเย็นเฉียบบนเนื้อโลหะขนาดจิ๋ว เมื่อหล่อนยกมันขึ้นมา ปรับสายตาให้ชินกับความมืดชั่วขณะ แล้วพยายามเล็งผ่านร่องไม้ออกไปยังตำแหน่งที่คาดว่าน่าจะเป็นสลักกลอนโลหะ จากนั้นจึงเหนี่ยวไกลั่นกระสุนออกไปทันที
เปรี้ยง!!
หล่อนรีบไต่ขึ้นบันไดเมื่อฝุ่นหนาทึบจากแรงกระสุนจางลง แล้วออกแรงกระแทกอีกครั้ง คราวนี้แรงต้านจากด้านบนลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด รสลินพยายามยันผนังประตูแล้วดันสุดแรงเกิด คราวนี้เสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดเกิดขึ้นคล้ายไม่เต็มใจสักเท่าไร ก่อนที่มันจะเปิดแยกออกจากกันเป็นช่องกว้างได้สำเร็จ กลิ่นของอิสรภาพโชยมาปะทะอย่างน่าชื่นใจเสียนี่กระไร
น้องสาวโกฉัตรรีบผลักมันให้เปิดกว้างออกเต็มที่แล้วปีนขั้นบันไดไต่ขึ้นไปได้สำเร็จ หันก้มตัวมองกลับลงไปข้างล่าง ก็เห็นแต่เพียงร่างของบังรามเอาแต่นั่งคุดคู้อยู่มุมห้องตำแหน่งเดิม นัยน์ตาเหลือกขาวกายสั่นสะท้านเหมือนคนเป็นไข้ที่กำลังหวาดกลัวอย่างหนัก
จะออกไปด้วยกันไหมบังราม?
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สนใจอะไรอีกต่อไป นอกจากพล่ามเพ้อเป็นภาษาที่หล่อนฟังไม่ออกผสมปนเปกัน รสลินหมดความสนใจเพียงเท่านั้น ตอนนี้สิ่งที่คิดได้คือรีบออกไปจากไอ้ห้องบ้าๆแห่งนี้ให้เร็วที่สุด หากยังไม่ทันเงยหน้าขึ้น เสียงกระหึ่มบางอย่างก็ดังมาจากทิศทางด้านนอก เป็นเสียงที่ทำให้หล่อนถึงกับขนลุกซู่ด้วยสังหรณ์ประหลาด
ฮึ่มม์ม์ม์ม์ม์!!
*********************
ไวเท่าความคิด น้องสาวนายหัวชิงฉัตรรีบถลันตรงดิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามจากสายตาที่มองเห็น ณ ที่นั่นมีห้องขนาดเล็กอีกห้องหนึ่งเปิดแง้มเอาไว้ หล่อนรีบดันประตูผลุบเข้าไปแล้วรีบกดล็อคในจังหวะเดียวกับที่เสียงกระหึ่มดังใกล้เข้ามาจนแทบจะเป่ารดใบหูได้
ความสงสัยมีมากกว่าความกลัว หญิงสาวค่อยๆยืดกายขึ้นเพื่อมองผ่านช่องกระจกประตูขนาดเท่าฝ่ามือออกไปยังด้านนอก เงาตะคุ่มนับสิบวิ่งกรูเกรียวกันมายังตำแหน่งที่หล่อนเพิ่งลอดตัวผ่านขึ้นมาจากห้องใต้ท้องเรือเมื่อครู่นั่นเอง ความมืดสลัวทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของคนเหล่านั้นได้ชัดเจน แต่ท่าทีและการขยับเคลื่อนไหวอย่างแปลกประหลาดทำให้เอะใจ พวกมันพยายามสูดจมูกที่บานพะเยิบผิดรูปก้มต่ำลงไปเหมือนกับสูดควานหาต้นตอของกลิ่นบางอย่าง เสียงร้องชวนขนลุกดังระงมไปรอบบริเวณ
และในที่สุดอมนุษย์เหล่านั้นก็ค้นพบบานประตูห้องใต้ท้องเรือที่หล่อนยิงกลอนประตูจนหลุดกระเด็นแล้วพับมันกลับลงไปตามเดิมก่อนหน้า เสียงกระหื่มดังขรมเมื่อพวกมันต่างช่วยกันกระชากบานไม้เหวี่ยงทิ้งออกไปด้วยแรงมหาศาลอย่างมิไยดี แล้วกรูทะลักตามกันลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว วูบนั้นเองที่หญิงสาวนึกถึงใครอีกคนที่กำลังนั่งสวดมนตร์อยู่ภายในห้อง...
บังราม...
ยังไม่ทันที่ความคิดจะหยุดชะงัก เสียงร้องโหยหวนของชายผู้อยู่ในความคิดคำนึงก็แผดลั่นขึ้นมาจากห้องด้านล่าง เป็นเสียงร้องแทบไม่เป็นภาษามนุษย์แต่สื่อให้ผู้ฟังรับรู้ถึงความเจ็บปวดขีดสุดก่อนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง!!
ตามมาด้วยเสียงบดเคี้ยวกร้วมอย่างหิวกระหายตะกรุมตะกราม เสียงที่ทำให้คนฟังแทบอยากจะหลับตาแล้ววิ่งหนีออกไปให้ไกลที่สุด
ความจริงแล้วหล่อนกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่ระหว่างบนโลกมนุษย์หรือในขุมนรก? ถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างการมองผ่านออกไปเบื้องหน้า สติที่เหลืออยู่แทบจะหลุดลอยหาย ไม่จำเป็นต้องเห็นภาพเบื้องล่างแต่รสลินก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ด้วยความสยดสยอง เพราะมันคือแดนนรกโลกันต์ มิใช่เรือสำราญที่ทุกคนกำลังสรวลเสเฮฮากันอยู่บนดาดฟ้าชั้นบนอีกต่อไป...
เสียงเคี้ยวขย้ำของพวกมันหยุดเงียบลงไปแล้วอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาหล่อนยังจับจ้องไปยังตำแหน่งปากประตูที่เปิดแง้มเอาไว้โดยไม่ยอมกระพริบ รสลินกำลังตัดสินใจว่าจะวิ่งหนีออกไปดีหรือไม่ แต่ยังไม่ทันจะทำอะไรหล่อนก็มองเห็นมือข้างหนึ่งป่ายสะเปะสะปะขึ้นมาจากปากห้องใต้ท้องเรือเสียก่อน
เป็นอุ้งมือที่แดงคล้ำไปด้วยเลือดและกลิ่นคาวคลุ้งสุดระงับ ก่อนที่ส่วนศีรษะอันผิดรูปของอสุรกายพวกนั้นจะโผล่ผุดตามขึ้นมาเป็นลำดับ
จากหนึ่ง เป็นสอง สาม สี่ ห้า ท่าทางอันงุ่นง่านหงุดหงิดและยื่นจมูกอันงุ้มงอผิดรูปส่ายไปมาเหมือนสาถึงกลิ่นกายมนุษย์ ทำให้หล่อนรู้โดยสัญชาตญาณว่าพวกมันยังไม่อิ่ม!!
และนัยน์ตาของปีศาจตนหนึ่งก็หันมายังทิศทางที่หลบซ่อนตัวอยู่พอดี
หญิงสาวรีบยกมืออุดริมฝีปาก ก่อนจะเผลอหลุดเสียงหวีดร้องออกมาได้ทัน
แต่... คุณพระช่วย! พวกมันมองเห็นตัวหล่อนแล้ว!
************************ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พบกับตอนที่ 23 วันศุกร์นี้นะครับ ขอบคุณมิตรนักอ่านทุกท่านครับ หมอกมุงเมือง
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
15 พ.ค. 54 19:30:33
|
|
|
|