บรรพที่ 10
สีขาวไข่มุกของรถ AUDI TTS Cabriolet ส่งให้หญิงสาวในชุดฮาเนียสีม่วงเม็ดมะปราง
ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น รถสวยคันนั้นแล่นฉิวมาตามถนนอย่างรีบร้อน และมิได้เปิดประทุนขึ้น
อย่างที่ศิตาภาชอบทำในยามที่แล่นช้าๆ เข้าสู่ย่านวัสสา หญิงสาวชอบสายตาที่ผู้คน
มองมายังหล่อนอย่างชื่นชมในรูปโฉมและพาหนะอันโฉบเฉี่ยวนี้ เมื่อแรกที่สั่งรถคันนี้มา
ทางบริษัทผู้ผลิตมีสีให้เลือกแค่สีพื้นๆ ตามเทรนนิยมเท่านั้น แต่หล่อนไม่ชอบ! ศิตาภา
ชอบสีสดโดดเด่นสะดุดตา ที่สำคัญหล่อนไม่ชอบให้รถของตนซ้ำกับใคร จึงสั่งทำสี
เปลี่ยนจากสีขาวเป็นแดงทับทิม แต่ไม่นานนักชามีคนงามก็พบว่า รถสีทับทิมเจิดจ้านั้น
เข้ากับเสื้อผ้ายาก และถ้าสวมใส่เสื้อผ้าสีเฉดเดียวกันแล้วล่ะก็ หล่อนมิแคล้วกลายเป็น
หนึ่งเดียวกับรถ หาได้เฉิดฉายออกมาไม่
ด้วยความไม่พึงพอใจนี้เอง ศิตาภาก็สั่งให้เปลี่ยนกลับเป็นสีขาวเช่นเดิมแต่เพิ่มประกายเลื่อมมุก
ในเนื้อสี และเติมแต่งด้วยลายเส้นสีดำเขียนเป็นเถาดอกไม้และนกตัวน้อย คราวนี้หล่อนจะสวม
ฮาเนียสีเลือดนก สีฟ้าน้ำทะเล หรือแม้กระทั่งสีส้มสดอย่างกลีบดอกแคแสด เจ้ารถคันเก่ง
ก็ไม่ข่มหล่อนให้ด้อยลง และด้วยสีไข่มุกนั้นยิ่งส่งเสริมให้หล่อนโดดเด่นขึ้น ไปๆ มากลายเป็นว่า
ศิตาภาเสียค่าตกแต่งรถทั้งภายนอกและภายใน มากกว่าราคาตัวรถด้วยซ้ำ
ทว่าวันนี้ชามีคนสวยหาได้อยากให้ใครจดจำรถหล่อนได้แล้วมาคอยดักเจอ ศิตาภาจึงเลี้ยวรถ
คันงามของตนเข้าไปในห้างสรรพสินค้า ครู่ต่อมาหล่อนก็เดินตัวปลิวออกมานอกอาคาร
แล้วเร้นกายปนกับฝูงชนไปเรื่อยๆ จนเข้าสู่ถนนคนเดินดาลิส ร่างอ้อนแอ้นในชุดฮาเนีย
ที่คลุมทับด้วยเฮมมีสีม่วงเม็ดมะปรางค่อยทอดถอนหายใจออกมา หล่อนหลบความอึดอัด
ที่กลทีป์ลุกคืบเข้ามาทุกขณะ ยิ่งเมื่อเขาทราบว่าหล่อนไปดูตัวกับภามิน ชลันธีร์ ด้วยแล้วล่ะก็...
หล่อนแทบจะเห็นหน้าเขาบ่อยกว่าพนักงานในบริษัทของตนเองด้วยซ้ำ กลทีป์อาจจะไม่ได้
มานั่งเฝ้าหล่อนด้วยตนเอง แต่ศิตาภาเชื่อว่าเขามีคนรายงานตลอดเวลาว่าหล่อนอยู่ใน
ออฟฟิศหรือไม่อย่างไร เพียงแต่หญิงสาวยังจับไม่มั่นคั้นไม่ตายว่าใครบ้างที่เป็นสายให้
เขากัน
แต่การจะให้เปลี่ยนไปใช้รถที่ดูเรียบๆ แบบที่หาได้ทั่วๆ ไปนั้น ไม่ใช่สิ่งที่หล่อนคิดว่า
ตนเองจะต้องยอมทำถึงเพียงนั้น หญิงสาวจึงอาศัยความเป็นเจ้าของกิจการนึกอยาก
ปลีกตัวออกมาข้างนอกก็ทำโดยไม่ต้องแจ้งกล่าวกับใคร ประเดี๋ยวนกรู้จะรีบบินไป
บอกนายของมันเสีย
ศิตาภาไม่ได้นัดหมายกับใครไว้ เพียงแต่ต้องการความสงบเพื่อที่จะขบคิดหาวิธีดึงตัวเชวา
ตระกูลชลันธีร์เข้ามาเสริมกำลังหล่อน จึงตั้งใจจะไปหาร้านเงียบๆ นั่งพักดื่มชาให้สบาย
อารมณ์ขึ้น แต่ขาเจ้ากรรมกลับนำพาหล่อนเดินมาถนนดาลิสเส้นกลาง ซึ่งมุ่งไปสู่
น้ำพุนางพราย..
หญิงสาวอดคิดถึงภาพฝันในคืนวันนั้นมิได้ หล่อนถอนหายใจออกมาอย่างยากเย็น ใช่แล้ว...
ถนนเดียวกันนี้ เส้นทางที่หล่อนได้ยินบทเพลงประหลาด นำทางหล่อนไปหาเขา...
พอเดินถึงแยกนั้น..ก็เจอน้ำพุ แล้วเขาก็นั่งอยู่ตรงนั้น หล่อนทบทวนในใจ แล้วก้าวเดินไป
ตามเส้นทางนั้น
ศิตาภากระพริบตาถี่ๆ สองสามครั้ง อดสงสัยไม่ได้ว่าตนเองมาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่ หล่อนเชื่อจริงๆ
หรือว่าหากเดินไปน้ำพุแห่งนั้นจะได้พบเขา...บุตรชายนางพราย
บ้าจริง! หล่อนสบถออกมาเบาๆ แล้วส่ายศีรษะให้กับความงมงายของตนเอง หญิงสาว
ทอดถอนหายใจออกมาโดยแรงอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินหมุนตัวเดินกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม
นี่เราอายุ 23 แล้วนะ ไม่ใช่ 13...จะได้เชื่อเรื่องพวกนี้
คำพร่ำบ่นนั้นคล้ายต้องการบอกตนเองให้ลืมความฝันนั้นไปเสีย หากหล่อนก้าวออกไปได้
เพียงสองสามก้าวเท่านั้นก็พลันได้ยินเสียงบางสิ่งลอยมากับสายลม ศิตาภาชะงักฝีเท้า
แว่วเสียงท่วงทำนองอันแปลกประหลาดกำลังบรรเลง คีตาแห่งนางพรายกำลังขับขาน
ไม่จริงน่า?!! หญิงงามอุทานออกมา
ร่างที่หยุดชะงักหมุนกลับเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน เมื่อแน่ใจว่าเสียงที่สดับมานั้นมาจากทิศใด
หล่อนตื่นเต้นนักแต่พยายามบังคับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วลอบสำรวจคนรอบข้างว่ามีใคร
ได้ยินเสียงคีตาอันไพเราะนั้นหรือไม่ ทุกอย่างรอบตัวยังดำเนินไปตามปกติ ผู้คนที่เดินกวักไขว่
ไม่มีผู้ใดมีทีท่าแปลกไป ศิตาภาไม่มีเวลาตัดสินใจมากนัก เมื่อเสียงดนตรีนั้นค่อยๆ แผ่วเบาลง
หญิงสาวต้องเลือกเดี๋ยวนั้น...ความลังเลถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง ชามีแห่งตระกูลไคริกา
ขยับชายฮาเนียขึ้น แล้วรีบจ้ำไปตามทิศที่เสียงแห่งมนตรานั้นลอยละล่องไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ภามิน ชลันธีร์ หยุดยืนอยู่เบื้องหน้าน้ำพุนางพราย แล้วแหงนหน้าขึ้นจ้องมองประติมากรรม
เหล่านั้น คล้ายจะถามหาคำตอบจากนางพราย ทว่ารูปปั้นยังคงนิ่งงันไร้วี่แววของนิมิตใด
มาปรากฏ แต่ชายหนุ่มมิได้สิ้นหวังเขายังเพียรพยายามเฟ้นหาคำตอบจากนาง
ร่างสูงโปร่งนั้นยืนเด่นเป็นสง่าราวกับเป็นรูปปั้นอีกรูปที่ถูกติดตรึงไว้ในบริเวณนั้น เขาอยู่ใน
อิริยาบถเดิมมิได้ขยับกายอีกเนิ่นนาน หารู้ตัวไม่ว่าตนเองยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานเท่าไร
จนกระทั่งปรายตาแลเห็นแสงไฟแวบเข้ามาในครองจักษุเป็นระยะแล้วดับหายไป แสงสุดท้าย
ที่แวบเข้านัยน์ตาบ่งบอกว่าเกิดขึ้นใกล้ตัวนี่เอง
เมื่อภามินเหลียวไปมองที่มาของแสงนั้น กลับเห็นนักท่องเที่ยวหญิงกลุ่มหนึ่ง พวกหล่อนจะมา
จากญี่ปุ่นหรือเกาหลีเขาก็ไม่แน่ใจนัก แต่ที่มั่นใจได้เลยคือกลุ่มสาวๆ กำลังถ่ายรูปและนั่น
เป็นแสงแฟลชจากกล้องของพวกหล่อน เจ้าของกล้องแต่ละคนมีสีหน้าเก้อเขินคล้ายว่า
กำลังลำบากใจ แต่ไม่รู้จะเอ่ยกล่าวอย่างไรดี จึงได้แต่ยืนทำหน้าเลิ่กลั่กจนแก้มแดงก่ำ
เอ้อ...คือ..คือ..คือว่า ฉันถ่ายรูป..เอ้อ ถ่ายรูป...
หญิงสาวเจ้าของแสงแฟลชนั่นอธิบายเป็นภาษาอังกฤษตะกุกกะกัก แล้วจู่ๆ ก็เงียบไปราวกับ
สิ้นคำพูดกะทันหัน หล่อนได้แต่ยืนกระสับกระส่ายด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทน
ในขณะที่หนุ่มหล่อกระพริบตาด้วยความงุนงง ก่อนจะมองพวกหล่อนและรูปปั้นตำนาน
แห่งวิปุลาสลับกันไปมาครู่หนึ่งจึงร้องออกมา
เอ้อ...คุณจะถ่ายรูป แล้วผมยืนบังใช่ไหม? ขอโทษนะครับ
เชวาหนุ่มหันไปตอบเป็นภาษาอังกฤษรวดเร็ว แล้วขยับกายออกจากบริเวณนั้นด้วย
สีหน้าเก้อเขินไม่ต่างกับพวกหล่อน แต่น่าเสียดายที่ภามินไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกหล่อน
เพิ่งบันทึกลงกล้องไปนั้นหาใช่รูปปั้นในน้ำพุ หากแต่เป็นตัวเขาที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
ปฏิมากรรมต่างหากเล่า
แท้จริงแล้วภามินอยากไปจากที่นี่ แต่ความรู้สึกบางอย่างวนเวียนรบกวนอยู่ภายในดึงให้
เขาไม่อาจจากไปได้ เชวาหนุ่มจึงเดินเลี่ยงฝูงชนไปอีกด้านหนึ่งของน้ำพุ ด้านหลังของ
รูปปั้นนางพราย โดยคะเนว่าหากเป็นมุมนี้คงไม่ไปบังกล้องถ่ายรูปของใครเข้าอีก
ความกังวลอันไร้สาเหตุเป็นระลอกคลื่นเล็กๆ ที่ค่อยๆ ขยายวงกว้างเช่นเดียวกับน้ำ
แต่ภามินไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร มิหนำซ้ำยังไม่ค่อยเข้าใจนิมิตที่ประสบอีกด้วย
จึงได้แต่นั่งเซื่องซึมอยู่ริมขอบน้ำพุ แล้วเหม่อมองลงไปในน้ำ