Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
นิทานหลังฉาก หน้ากากตัวตลก(ส่งท้ายบทเมืองคนใบ้-1,2) ติดต่อทีมงาน

 

บทนำ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10381644/W10381644.html

บทเมืองคนใบ้-1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10388061/W10388061.html

บทเมืองคนใบ้-2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10407169/W10407169.html

บทเมืองคนใบ้-3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10425013/W10425013.html

บทเมืองคนใบ้-4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10443019/W10443019.html

บทเมืองคนใบ้-5   http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10456626/W10456626.html

บทเมืองคนใบ้-6 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10480110/W10480110.html

บทเมืองคนใบ้-7 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10506714/W10506714.html

บทเมืองคนใบ้-8 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10536700/W10536700.html

 

 

 

ส่งท้ายบทเมืองคนใบ้

1

 

            “เอาน่า แล้วข้าจะมาเยี่ยมเจ้า”

            เด็กหญิงพูดพร้อมส่งยิ้มยิงฟันให้ มือเล็กเอื้อมไปลูบหัวศีรษะเด็กชายเหมือนอย่างที่เลียนแบบมาจากใครอีกคน แต่กลับกลายเป็นการเรียกเสียงสะอื้นหนักขึ้นไปอีก น่ากลัวว่าหากร้องดังยิ่งกว่านี้คนในบ้านของคินโรจะได้รู้กันหมดว่านางแอบมาหาเด็กชายถึงบ้าน

            “เป็นผู้ชายจะมาร้องไห้สะอึกสะอื้นได้อย่างไร! โถ่เอ๊ย...เจ้ากำลังจะทำให้ข้าร้องไห้ตาม”

            สิ้นเสียง เด็กชายโผเข้ามากอดนางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สุดท้ายแล้วหยาดน้ำใสก็ไหลซึมออกมาจากหางตาของนางจนได้ เด็กหญิงรีบยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาทิ้ง ไม่ต้องการให้คินโรเห็นว่านางกำลังอ่อนแอ  ไม่เช่นนั้นแล้วนางคงใจอ่อนไม่กล้าจากไปไหน  อีกทั้งคำพูดว่าจะกลับมาเยี่ยมก็ไม่รู้ว่าจะสามารถทำให้เป็นจริงได้หรือไม่

            กลัวแต่ว่าการจากลาครั้งนี้จะเป็นการจากลาอย่างถาวร…

            “สัญญานะว่าเจ้าจะกลับมาหาข้า!”

            คินโรผละออกมาจากร่างของเด็กหญิงพร้อมเอ่ยท้วงคำสัญญาด้วยท่าทางเอาเรื่อง ทั้งที่น้ำตายังไม่เหือดแห้งเลยแท้ๆ

            “เราจะต้องได้เจอกันอีก คินโร”

            ราวกับเป็นการพูดย้ำกับตัวเอง ใช่ ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องได้กลับมาพบเพื่อนคนแรกที่ไม่เคยทอดทิ้งนางไม่ว่ายามใด เพื่อนคนเดียวที่อยู่ข้างนางเสมอ   

            “ข้าชอบเจ้ามากเลยแคลร์ ข้าอยากไปด้วย ข้าไปด้วยไม่ได้หรือ”

            เด็กหญิงแย้มรอยยิ้มอ่อนเศร้า ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ

            “เจ้ามีครอบครัวนะคินโร จะมาเป็นคนเร่ร่อนได้อย่างไร”

            “แต่เจ้าเองก็เป็นครอบครัวของข้า”

            ทั้งสีหน้าและแววตาของเด็กชายนั้นซื่อตรงต่อความรู้สึกที่แท้จริงอย่างไม่มีบิดเบือน และความรู้สึกอันซื่อตรงนี้ก็ทำให้นางซาบซึ้งยิ่งกว่าครั้งใด น่าตลกที่การจากลากลับทำให้นางค้นพบว่าตนเองนั้นไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียว  แม้ว่าเด็กชายอาจจะไม่มีวันเข้าใจนางอย่างแท้จริง แต่คินโรก็ยังเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่มองเห็นนางดุจดั่งคนในครอบครัวเดียวกัน

            ความจริงในใจของเด็กชายที่เพิ่งจะได้รู้ในยามนี้เกือบจะเปลี่ยนความตั้งใจทั้งหมด แล้วตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อไป

            “ข้าต้องรีบไปแล้ว” นางตัดใจแกะมือของเด็กชายที่เหนี่ยวรั้งตัวนางออกไป “เจ้ายังส่งจดหมายมาหาข้าได้นี่ ตราบใดที่บ้านของเจ้ายังร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน”

            พูดไปแล้วบางครั้งก็เหมือนดั่งตอกย้ำจิตใจตัวเองให้หมองเศร้า ในเมื่อสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงเรื่องที่นางเป็นคนไร้บ้าน ไร้ญาติ ในขณะที่คินโรเติบโตมาในครอบครัวที่แสนจะเพียบพร้อม และรังเกียจนางเหลือเกิน

            “ขอบคุณที่เจ้าเห็นข้าเป็นครอบครัวของเจ้า นั่นทำให้ข้าซาบซึ้งจริงๆ”

            “ข้าไม่มีวันโกหกเจ้า”

            “ข้าเชื่อ”

            แม้ว่าในความคิดของนางแล้ว คำว่าครอบครัวจากปากคินโรนั้นช่างเป็นหลักลอยที่จับต้องไม่ได้ แต่ความรู้สึกยินดีและซาบซึ้งนั้นยังคงโอบล้อมหัวใจไว้ พยายามเชื่อมั่นในสายสัมพันธ์ที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

            “คินโร! นี่ลูกอยู่ไหน”

            แว่วเสียงตะโกณเรียกดังลอดออกมา เด็กชายหันกลับไปมองภายในบ้านอย่างลุกลี้ลุกลน แม่ของเด็กชายจะต้องไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่งหากเห็นว่าแคลร์ลอบมาพบเขาที่หน้าบ้านเช่นนี้ ช่วงเวลาสุดท้ายของการได้พบเห็นหน้าเพื่อนหญิงตัวน้อยนั้นช่างสั้นเหลือเกิน

            “ลาก่อนคินโร”

            นางกระซิบเสียงเบา ให้นี่เป็นคำพูดสุดสุดท้ายของนางในความทรงจำของเด็กชาย และลาจากกันด้วยรอยยิ้มคงเป็นภาพที่งดงามที่สุด

            “ลาก่อนแคลร์ ข้ารักเจ้า”

            ลาก่อน...เพื่อนที่ดีที่สุด

 

 

 

 

 

2

 

            เสียงหอบน้อยๆ ดังแว่วเข้ามากระทบใบหู ปลุกให้ตัวตลกลืมตาขึ้นอย่างเนิบชา

            ภาพของเด็กหญิงตัวน้อยวิ่งกระหืบกระหอบเข้ามาหาชายหนุ่ม เหมือนดั่งหวาดกลัวว่าเขาจะไม่ยอมรอนางแล้วจากไปโดยไม่รักษาวาจา

            “พร้อมแล้วหรือ”

            ชายหนุ่มขยับกายลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน มือหนายกขึ้นขยับหน้ากากสีขาวที่ยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำจากผลส้มและมะเขือเทศเนื่องจากยังไม่มีโอกาสล้าง เรือนผมสีดำยาวถักเป็นเปียเลื่อนลงจากบ่าทิ้งตัวยาวตามแรงโน้มถ่วงของโลก

            “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด”

            เขากล่าวพลางก้าวนำเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงพยักหน้าตอบรับแล้ว และแววตายังคงมุ่งมั่นอยู่

            “ขอบคุณท่าน อาจารย์”

            ตัวตลกปรายตามองรอยยิ้มกว้างของเด็กหญิง ช่างเป็นภาพที่ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย เมื่อรอยยิ้มของนางในยามนี้เป็นรอยยิ้มบริสุทธิ์เหมือนดั่งคนที่ได้ลบทิ้งซึ่งความลังเลทั้งปวงออกไปแล้ว และรอยยิ้มนี้ก็ได้ตอกย้ำคำตอบบางอย่างของเขา

บางที...บางที นี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว

“จากนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่าจังจา แปลความหมายคือเด็กน้อย เหมือนดั่งที่คนเรียกข้าว่าตัวตลก” เมื่อเห็นว่านางเอียงคอเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจ เขาจึงอธิบายเพิ่ม “เป็นเพียงชื่อเรียกในการเป็นตัวตลก แต่ไม่ใช่ชื่อจริง”

“จังจาเป็นภาษาที่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แล้วชื่อจริงของท่านเล่า”

“นั่นไม่สำคัญ” เขาตอบห้วนสั้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “ข้าเองก็เคยมีอาจารย์ นามของข้านางเป็นคนตั้งให้ และข้าก็ได้ทิ้งมันไปแล้วเมื่อท่านสิ้นใจ”

ชายหนุ่มพูดออกมาพร้อมกับเหม่อมองทอดไปไกล คล้ายจะเป็นการรำพึงกับตัวเองมากกว่าพูดให้ใครได้ฟัง

“เช่นนั้นท่านก็ตั้งชื่อข้าให้ใหม่ด้วยสิ”

น้ำเสียงของนางปนด้วยความเอาแต่ใจเล็กๆ และความอยากรู้อยากเห็น นั่นจึงทำให้เขาชัดเจนแก่ในแล้วว่าแท้จริงแล้วนางเอกก็เป็นเพียงเด็กน้อยธรรมดา เมื่อความเศร้าและความไม่สนิทใจเหือดหายไปก็เผยให้เห็นเนื้อแท้อันเป็นตัวตนแท้จริง

“นามไม่ได้สำคัญกับตัวตลกนักหรอก”

ตัวตลกแสร้งพูดเสียงขรึม ก่อนจะยิ้มกว้างเห็นฟันขาว

“แต่นามนั้น...”

นางตั้งท่าจะโต้แย้ง แต่สุดท้ายแล้วก็กลืนคำพูดลงคอ

“พูดมาเถิด”

“คำเรียกว่าแคลร์นั้นข้าไม่รู้ว่าได้มาจากใคร มันจึงไม่สำคัญและข้าก็อยากจะลืมเรื่องราวของที่นี่ไปเสีย แต่ยกเว้นคินโรนะ ข้าจะไม่ลืมเขา แล้วที่ข้าอยากให้ท่านตั้งชื่อให้ใหม่นั่นก็... ” เด็กหญิงหลุบตาลงเล็กน้อย ท่าทีอึกอัก “ข้าแค่อยากได้ชื่อใหม่ มิผิดไม่ใช่หรือ!”

 “นันนา ทัวลีนา…”  

ตัวตลกเปรยเหมือนดั่งพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ ราวกับชื่อนี้ลอยขึ้นมาเหมือนปุยเมฆขาวบนพื้นนภาว่างเปล่า ท่ามกลางความรู้สึกที่เลือนราง เพียงคิดว่าชื่อที่หลุดออกมาจากปากของตนโดยปราศจากความตั้งใจนั้นอาจไพเราะสมตัวนางในวันหนึ่ง

“มันมีความหมายว่าอย่างไร เป็นชื่อที่แปลกประหลาดยิ่ง”

“เมื่อมีนามแล้วก็จงอย่าบอกนามให้ใครรู้โดยง่าย”

เขากลับว่าไปอีกเรื่อง เร่งก้าวเดินให้เร็วขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าตนนั้นเอื่อยเฉื่อยมากไปแล้ว ก่อนจะเหลียวมองเด็กหญิงที่เร่งฝีเท้าตามมา รู้สึกไม่คุ้นเคยกลับการมีใครร่วมทาง ทว่าน่าแปลกนักที่เรื่องนี้กลับไม่ทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลอีกต่อไป มีเพียงรอยยิ้มอ่อนจางซึ่งปรากฏขึ้นมาที่มุมปากอย่างเงียบงัน...

เด็กน้อย...ข้าขอให้เจ้าเติบโตอย่างงดงามดุจดั่งนามที่ข้ามอบให้

เด็กน้อย...อรุณใหม่จะเริ่มต้นแก่เจ้า

 

 

 

จากคุณ : w.ra
เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 21:40:41




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com