ตอนที่ ๑ ให้มันได้อย่างนี้สิ ฮึ่ม... ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ!!!
หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย ร้อนก็ร้อน ทำไมอากาศเมืองไทยมันถึงได้ร้อนชวนบ้าหลุดโลกได้ขนาดนี้เนี่ย คอยดูนะ มาเมื่อไหร่ล่ะก็ แม่จะอาละวาดให้ชนิดที่ต้องจำไปจนวันตายชาตินี้ไม่มีวันลืมลงเลยเชียว
หญิงสาวสวยจัด แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สีและดีไซน์ดูขัดกับสภาพรอบตัวชัดเจนได้แต่นึกเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ โกรธจนควันแทบจะพวยพุ่งออกจากหู ผุดลุกขึ้นเดินไปเดินกลับหน้าม้านั่งนับได้ไม่ต่ำกว่ายี่สิบรอบเป็นอย่างน้อย สลับกับผุดนั่งหน้างอคิ้วขมวดมุ่น ก่นเจริญพรใครก็ตามที่มารับช้าอีกไม่ต่ำกว่าสามสิบจบ
อารียาผุดลุกผุดนั่งจนความอดทนของหล่อนติดลบไปแล้ว ตัวการที่ทำให้หล่อนเสียความรู้สึกตั้งแต่วันแรกที่มาเหยียบที่นี่ก็มาถึงในยามที่หล่อนโมโหเดือดหน้ามืดตาลายจนเห็นจักรวาลเล็กกว่าเศษฝุ่นไปเสียแล้ว
รถกระบะตอนเดียวในสภาพที่บอกได้เป็นอย่างดีว่ามันผ่านการใช้งานอย่างสมบุกสมบันมานานเกินกว่าสิบปี วิ่งขโยกเขยกมาจอดสำลักควันดำกลิ่นเหม็นเอียนตรงหน้าหญิงสาว ที่กำลังมองไปทางซ้ายเดี๋ยวก็หันไปทางขวาหารถที่จะมารับทั้งที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นคันไหน แต่ไอ้คันที่จอดพรืดอยู่ตรงหน้านี้หล่อนกลับไม่ได้แม้แต่จะชายตามองเอาเสียเลย
ก็ใครจะไปคิดล่ะ ว่าจะมีคนกล้าขุดรถเก่าบุโรทั่งแม้ช่างก็ยังส่ายหน้าไม่กล้ารับซ่อมคันนี้มารับหล่อน
นี่คู๊น... คุณ คุณครับ
เสียงใคร ใครมาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ตรงนี้ น่ารำคาญจริง ช่างไม่มีมารยาทเสียบ้างเลย
หญิงสาวพาลพาโลไปหมด นึกด่าเอ็ดอึงอยู่ในใจ หงุดหงิดเสียจนใบหน้าที่บรรจงแต่งแต้มไว้ตอนก่อนออกจากบ้านยับยู่หงิกงอ หักเสียจนปลาทูแม่กลองที่ถูกจับหักคอยัดใส่เข่งยังอาย หันขวับมามองหาต้นเสียงที่รบกวนโสตประสาทตรงหน้า
ทันทีที่ตาลายๆ เพราะโมโหเดือดโฟกัสบุรุษในรถที่โน้มตัวจากหลังพวงมาลัยยื่นหน้ามองมาทางหล่อนได้ มือบางก็ท้าวเอวฉับ พร้อมกับปากที่บรรจงทาลิปติกสีแดงแป๊ดไว้อย่างดีก็ตวาดแว๊ดออกมาเสียงเขียวพอกับตาที่เขียวปั๊ดเพราะฤทธิ์ที่หงุดหงิดมานานอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น
นี่นาย! หัดมีมารยาทเสียบ้างสิ มาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ได้ น่ารำคาญ
ใบหน้าที่มีรอยยิ้มพราวหมายจะทักทายหล่อนของบุรุษในรถหุบลงทันที เมื่อเจอฤทธิ์โทสะของหญิงสาวตรงหน้าเข้าไปแบบนั้น
อ้าว... เจ๊ ไหงพูดอย่างนี้ล่ะ
ถ้อยที่ชายหนุ่มแปลกหน้าย้อนกลับมาแม้ไม่ใช่คำด่าที่ร้อนแรง แต่สรรพนามที่เขาจงใจเลือกใช้ก็กวนประสาทพอที่จะทำให้สติสตังอันเหลืออยู่น้อยนิดของคนฟังที่โมโหถึงขีดสุดอยู่แล้วขาดผึงไปทันที
เจ้าหล่อนกระทืบเท้าเต้นเร่าๆ อย่างกับยืนอยู่บนรังมดคันไฟแล้วถูกมดทั้งรังรุมกัด มือบางละจากเอวแล้วนิ้วชี้ที่มีแหวนอะไรสักวงประดับอยู่ก็ทิ่มพรวดมาตรงหน้าเขาพอดิบพอดี
กล้าดียังไงมาเรียกฉันว่าเจ๊... ห๊า
อ้าว... เจ๊ คนกล้าดียังไม่ยอมเปลี่ยนสรรพนาม มือใหญ่รีบคว้าหมับไปที่นิ้วชี้อันสั่นระริกด้วยแรงโทสะของหญิงสาวก่อนที่ปลายเล็บยาวสีอะไรเขาก็ยังไม่ทันได้มองจะทิ่มเข้าไปในลูกตาของเขาเข้าเสียก่อน
ไหงพูดไม่สวยอย่างนี้ล่ะ
แล้วตัวเองล่ะ พูดหล่อนักนี่ มาเรียกฉันว่า... ว่า
หล่อนตะกุกตะกักไปนิดกว่าจะหลุดออกมาได้ว่า เจ๊ ราวกับมันเป็นคำที่บาดหูบาดใจเหลือกำลัง
แล้วก็ขอโทษทีนะ ฉันเป็นลูกคนเดียว แล้วชาตินี้ฉันก็ไม่คิดจะมีน้องปากเสียๆ อย่างนายหรอก... ลุง
นี่ อย่ามาเรียกผมว่าลุงนะ เพราะผมคงจะไม่ปล่อยให้หลานของผมปากดีอย่างนี้เหมือนกัน ผู้หญิงอะไรปากยังกับ...
ผู้ไม่อยากเป็นลุงนั่งลอยหน้าลอยตาเถียงหล่อนยังไม่ทันจะจบ อารียาก็พูดแทรกเสียงสูงขึ้นมาเสียก่อน มือก็สะบัดเร่าๆ จะให้นิ้วชี้หลุดออกมาจากมือหนาใหญ่ของเขาให้ได้
ยังกับอะไร... ห๊า พูดให้สวยๆ นะ แล้วก็ปล่อยมือสกปรกๆ ของนายเสียทีสิ ไอ้บ้า
เพียงเท่านั้น ไอ้บ้าก็ออกแรงใช้มือที่ถูกปรามาสว่าสกปรกกระชากเจ้าของมือเล็กบางกว่าเข้ามาหาตัว พาให้อารียาที่กำลังมองเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อไม่ทันได้ระวังว่าเขาจะเล่นไม้นี้กับหล่อน ตั้งหลักไม่ทันเซถลาไปตามแรงรั้งจนไปประทะเข้ากับประตูรถ
ใบหน้าที่ก้มลงหมายจะต่อล้อต่อเถียงของหล่อนแทบจะชนเข้ากับใบหน้าคร้ามคมของคนในรถ ที่กำลังเน้นเสียงบอกหล่อนชัดถ้อยชัดคำออกมาพอดี
ถ้าอยากรู้ว่ายังกับอะไร ก็ขึ้นมาฟังในรถ คุณอารียา ภักดีปรีติกุล
ความโกรธที่สะสมมานานเกินชั่วโมงของหญิงสาวเจ้าของชื่อกับนามสกุลที่เขาเอ่ยลดระดับลงมานิด เมื่อความตกใจที่เขาดึงหล่อนเข้าไปหาจนจมูกแทบจะชนกันแล้วยังเรียกชื่อได้ถูกต้องเข้ามาแทนที่
นี่นายรู้จักชื่อฉันได้ยังไง
คิ้วหนาเข้มพาดตรงเลิกขึ้น ย้อนมาไม่ตรงคำถามว่า ก็แล้วใช่ชื่อคุณมั้ยล่ะ ถ้าใช่ก็ขึ้นมา
นายเองเหรอที่คุณปู่ให้มารับฉัน
ถ้าปู่คุณชื่อสุเทพล่ะก็ใช่
ฮึ่ม!
ตัวการที่ทำให้หล่อนต้องมายืนเต้นแร้งเต้นการอมาเกินชั่วโมงหน้าตาเป็นแบบนี้นี่เอง ทีนี้หญิงสาวก็ได้ประเด็นใหม่ที่จะวีนแตกใส่เขาต่อจากประเด็นที่เขาเรียกหล่อนว่า เจ๊
อารียาเบิกตามองเขาตาโต แล้วริมฝีปากปากเคลือบลิปสติกสีแดงเฉดที่ไม่มีใครในละแวกบ้านเขากล้าทาก็รัวออกมาเป็นชุดแม้แต่เอ็มสิบหกยังอาย
แล้วทำไมป่านนี้เพิ่งจะโผล่หัวมา รู้มั่งมั้ยว่าฉันรอนานขนาดไหน ร้อนแค่ไหน แล้วก็หิวจน...
แล้วคำบ่นกึ่งด่าที่หล่อนตั้งใจจะพ่นออกมาให้ยาวเหยียดปานทางรถไฟเส้นกรุงเทพฯ สุไหงโกลก ก็มีอันต้องสะดุดเมื่อเขาขัดขึ้นอย่างไม่อนาทรร้อนใจใดๆ เสียก่อนว่า
พอๆ จะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานมั้ย ไหนว่าร้อนว่าหิวไง เมื่อไหร่จะขึ้นรถเสียทีผมจะได้กลับ ผมก็มีงานมีการต้องทำเหมือนกันนะ ไม่มีเวลามาดูคุณเล่นงิ้วทั้งวันหรอก
อ้าว แล้วทำไมกลายมาเป็นความผิดของหล่อนไปได้ ความโกรธความโมโหที่ยังไม่ทันได้ระบายออกก็ถูกเบรกเสียก่อนทำให้มันอัดอั้นอยู่ข้างในจนอกแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ
อารียาจ้องเขาเขม็งกัดฟันกรอดพูดเน้นไรฟันออกมาว่า งั้นนายก็ลงไปยกกระเป๋าของฉันมาขึ้นรถด้วย
นิ้วชี้ที่เจ้าของก็ไม่ทันรู้ตัวว่าเขาปล่อยตั้งแต่เมื่อไหร่ชี้ตรงไปที่กระเป๋าเดินทางใบเขื่องสามใบที่เด็กประจำรถทัวร์ลากลงมาวางไว้ให้บนม้านั่งรอรถ
ขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยว่าโทมาฮอร์คอานุภาพการทำลายล้างสูงตรงหน้ากำลังจะทำงานอยู่รอมร่อแล้ว ตวัดหางตามองตามปลายนิ้วชี้ไปยังกระเป๋าใบเขื่องแล้วนึกค่อนว่านี่เจ้าหล่อนจะย้ายบ้านหรือยังไง ลอยหน้าลอยตาบอกออกมาอย่างไม่ยี่หระว่า
เสียใจ ผมไม่ใช่คนรับใช้กินเงินเดือนของคุณ กระเป๋าคุณ คุณก็ไปยกมาเองสิ เร็วๆ ด้วย ถ้ายังขืนเรื่องมากผมทิ้งไว้ตรงนี้จริงๆ นะ นี่ก็เสียเวลาทำงานทำการของผมไปโขแล้ว
ห๊ะ... นี่นายว่ายังไงนะ ให้ฉันไปยกเอง อารียาจ้องเขาตาวาวโรจน์
นายนี่นอกจะบ้านนอกแล้วยังจะไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลยนะ ไป ยก มา ให้ ฉัน เดี๋ยว นี้ ท้ายประโยคหญิงสาวเน้นเสียงรอดไรฟันออกมาทีละคำเลยทีเดียว
แต่เห็นทีว่ามันคงจะไม่ได้ผล เพราะคนที่หาความเป็นสุภาพบุรุษไม่เจอหลังพวงมาลัยหาได้ขยับเขยื้อนลงไปตามคำสั่งของหล่อนสักนิด มิหนำซ้ำเขายังไหวไหล่หนาๆ แล้วบอกกับหล่อนด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ เอื่อยๆ เหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไปทั้งที่สีหน้าเอาจริงว่า
ผมจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าถึงสามแล้วคุณยังไม่ยอมไปยกกระเป๋าเองล่ะก้อ คุณเตรียมเดินไปเองได้เลย หนึ่ง สอง สาม
อารียายกแขนขึ้นกอดอกตั้งแต่ตอนที่เขานับหนึ่ง หน้าเชิดขึ้นอย่างมั่นใจว่าอีตาบ้านนอกตรงหน้าไม่กล้าทิ้งหล่อนไปตามที่พูดแน่ๆ
ก็ให้มันรู้ไปซี๊... ว่าจะกล้าทิ้งหลานสาวคุณปู่สุเทพที่เขาจะต้องมารับไว้ตรงนี้จริงๆ จ้างให้ก็ไม่กล้าหรอก
แต่... หล่อนคิดผิด!
ทันทีที่นับสามจบ เขาก็เลิกคิ้วมองหล่อนประมาณสองวินาทีแล้วหันไปเข้าเกียร์ เหยียบคันเร่งแล้วหมุน พวงมาลัยขับออกไปหน้าตาเฉย ปล่อยให้คนถูกทิ้งยืนเหวออ้าปากค้างกลางเปลวแดดยามบ่ายอยู่ตรงนั้นเอง
<<< มีต่อค่ะ >>>
จากคุณ |
:
อรุสา (npuiy)
|
เขียนเมื่อ |
:
วันวิสาขบูชา 54 05:06:32
|
|
|
|