มาลิอารู้สึกเหมือนร่างกายของตนกลายเป็นท่อนเหล็กหนัก
ความเจ็บปวดรุมเร้า...โดยเฉพาะที่ศีรษะ...จนเด็กสาวต้องร้องครางออกมา ต่อให้รู้สึกได้ว่าร่างของตนนอนราบอยู่บนพื้นผิวนุ่มหนา ซึ่งน่าจะช่วยให้สบายตัวก็ตาม
ความทรงจำในทีแรกขาดห้วง...ไม่ปะติดปะต่อ แต่แล้วก็ค่อยๆ แจ่มชัด
เธอถูกโจมตี ขณะที่กำลังจะเดินออกจากหมู่บ้าน เพื่อเข้าเมืองไปหาร้านนั่งดื่มเหล้าพักผ่อน
ทีแรกเป็นตัวล่อตัวเดียว ปล่อยพลังความมืดอันน้อยนิดในตัวเต็มที่ ทำทีเป็นมีเป้าหมายที่เด็กในละแวกนั้น ตามประสาวิญญาณมืดร่อนเร่ที่อาจเล็งเล่นงานจิตบริสุทธิ์ เด็กสาวถึงได้ชะล่าใจว่าตนจะปราบมันได้โดยง่าย และไล่มันจนหนีขึ้นมาบนเขา ...โดยไม่นึกเลยว่ามีภูตรับใช้ตนอื่นๆ ดักรออยู่
ภูตรับใช้ที่เคยเป็นนักรบถือดาบ และแม่มดร่วมมือกัน ล้อมวงรุมเข้ามา กระทั่งมาลิอาตระหนักได้ว่าแค่ป้องกันตัวก็เต็มกลืน พยายามหลบหนีนั้นยากยิ่งกว่า
สุดท้าย เธอเบี่ยงหลบไม่ทัน จึงถูกฟันที่ไหล่ ซ้ำยังโดนพลังเวทมนตร์เข้าไปกลางลำตัวจนปวดร้อน
เป็นขณะที่คิดว่าตนเองคงไม่รอดแล้วนั่นเอง ที่มีแสงสว่างวาบขึ้น
แสงอย่างเดียวกับที่รู้สึกได้ในตอนนี้ จากเงาสีขาวซึ่งเด็กสาวไม่ได้มองเห็นด้วยตา ทว่าสัมผัสทางจิต
“เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงถามมาพร้อมกับสัมผัสอบอุ่นของมือบนหน้าผาก “ไข้ลดแล้วนี่”
“มีเหล้าไหม” มาลิอาถามเป็นคำแรกด้วยเสียงแหบแห้ง ...ยังผลให้ฝ่ามือแปรกลายเป็นมะเหงกเคาะเหนือคิ้วในไม่ช้า แม้จะยังแผ่วเบา
“ปางตายแล้วยังจะกินน้ำเร่งตายอีก”
“ก็เพราะรู้ว่าใกล้ตายแล้วไง ถึงได้ต้องรีบกิน ก่อนจะกินไม่ได้” ลมหายใจของเด็กสาวเริ่มขัด “...ยา...เป่า...”
ท่อบางอย่างถูกสอดเข้ามาในปาก ตามมาด้วยลมที่นำพากลิ่นและรสหอมเย็นที่ปลายลิ้น หลังจากนั้นอีกพักหนึ่ง ลำคอของเธอจึงโล่ง และกลับมาหายใจเป็นปรกติอีกครั้ง
“ขอบใจ” มาลิอาเอ่ย ก่อนจะตั้งคำถามกับสภาพไม่คุ้นเคยรอบกาย “นี่ข้าอยู่ที่ไหน”
“โรงแรม ข้าไม่รู้จะหอบเจ้าไปไหนดี กลับบ้านท่านซิอ์บุล เด็กๆ คงแตกตื่น อารามข้าไม่ให้ผู้หญิงอยู่ สำนักชีก็ห้ามผู้ชายเข้า กลายเป็นว่ายัดเงินให้โรงแรมยอมให้ข้าอุ้มผู้หญิงที่นอนสลบไม่รู้เรื่องมาเปิดห้องกลับสะดวกที่สุด”
“ตายจริง นี่ข้าถูกท่านนักบวชหอบหิ้วเข้าโรงแรมเชียวหรือนี่ นับเป็นเกียรติน่าดู” เด็กสาวหัวเราะ
“พวกนั้นไม่รู้ว่าข้าเป็นนักบวช เพราะข้าเปลี่ยนเสื้อใหม่แล้ว”
“ก็ว่าอย่างนั้น กลิ่นเสื้อเจ้าแปลกไป” มาลิอาทำจมูกฟุดฟิด “แปลกกลิ่นเสียจนนึกไม่ถึงว่าเป็นนักบวชคนเดิม”
“จมูกดีนักนะ”
“เชื่อเถอะ แค่ดมกลิ่น ข้าก็บอกแล้วว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นใคร ใช่คนที่ตัวเองเคยข้องแวะหรือเปล่า” แม่มดดำเอ่ยยั่วเย้าอย่างภูมิใจ “กลิ่นเสื้อเจ้าน่ะใหม่ แต่กลิ่นตัวเจ้าน่ะ—”
“ไม่ต้องวิจารณ์ มัวแต่วิ่งวุ่นช่วยแม่มดที่นอนพะงาบๆ อยู่ ใครจะมีเวลาอาบน้ำ”
“ตายจริง ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้าแล้วซี” มาลิอาแสร้งทำเสียงตกใจ “ควรลุกขึ้นมาอาบน้ำ ถูหลัง และ...”
“อย่าหาเรื่องให้ข้าอาบัตินักเลย”
“ยังกะว่าเจ้าไม่อาบัติไปแล้วอย่างนั้นล่ะ” เด็กสาวทำท่าจะชันกายลุกขึ้น ทว่ายกตัวไปได้นิดเดียวก็กลับเหนื่อยอ่อนไร้แรงจนต้องทิ้งร่างลงนอนอีกครั้ง และครางออกมาด้วยความปวด “...เหนียวตัวจริง”
“ลุกไม่ไหวก็นอนไป ข้าจะเช็ดตัวให้” ลูเธียนพูดเรียบเฉยที่สุด ก่อนจะมีเสียงจุ่มผ้าลงไปในน้ำ และบิดให้หมาด
“...จะให้ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้าเพิ่มอีกหรือ” แม่มดดำถามเสียงอ่อน “งั้นข้าจะ...”
“หุบปากให้สนิทเป็นการใช้หนี้บุญคุณข้าซะ”
“นึกว่าเจ้าอยากฟังเสียงหวานๆ ของข้าซะอีก”
“มีแรงตีรวนนักก็ลุกขึ้นมาเช็ดตัวเองไปแล้วกัน”
“...นี่เรือนร่างของข้าไม่มีเสน่ห์เสียจนเจ้าไม่อยากมองเป็นรอบที่สองเลยหรือ” เด็กสาวกลอกตา แล้วก็แย้มรอยยิ้มบางๆ เมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายชะงักกึก “ข้ารู้หรอกนะว่าเจ้าเป็นคนถอดเสื้อผ้า เช็ดตัวทำแผลให้ข้า มิหนำซ้ำยังหวงข้าเสียจนต้องแอบเอามาดูแลเอง ไม่ยอมให้ใครแตะต้องอย่างนี้”
“พูดอะไรของเจ้า คนเช็ดตัวให้เจ้ายังมีเจ้าชายโน่น ไม่ใช่ข้าคนเดียว แถมอาการหนักขนาดนั้น ถ้าข้าไม่ตามเจ้าหญิงแอชลีนน์มาเบิกพลังใช้มนตร์รักษาให้ เจ้าคงไม่ได้รอดมาหว่านเสน่ห์ที่มีน้อยนิดใส่ข้าหรือใครอีกหรอก”
คราวนี้ เป็นมาลิอาที่ชะงักไป
เธอลองใช้พลังเล็กน้อย อ่านความคิดความทรงจำของชายที่ยังคงลูบผ้าชุบน้ำอุ่นไปตามร่างกายของตน แล้วก็พบว่านั่นเป็นความจริง
“เจ้าเบิกพลังให้เจ้าหญิง?”
“ใช่”
“ทั้งๆ ที่นั่นเป็นการละเมิดกฎของซาเกรดา โซล?”
“ข้าเป็นนักบวชนอกคอก ละเมิดกฎเป็นว่าเล่นอยู่แล้วนี่”
“แต่เรื่องครั้งนี้ทำให้ทางนั้นเผาเจ้าทั้งเป็นได้เชียวนะ”
“แล้วไง จะให้ข้านั่งดูเจ้าตายไปตรงหน้า เพราะพลังของตัวเองไม่เพียงพอหรือไง”
“ชีวิตข้ามีค่าขนาดนั้นเชียวหรือ!” มาลิอายกคอขึ้น และหันไปทางเงาสีขาวอย่างแข็งกร้าว
“ไม่มีชีวิตไหนที่ไม่มีค่าหรอก” ศีรษะของนักบวชหนุ่มหันไปอีกทาง ขณะที่เขายังคงเช็ดตัวให้เธอต่อไป
จิตของแม่มดในร่างเด็กสาวตาบอดสั่นศีรษะ
“แต่ข้าไม่ใช่วิญญาณที่สมบูรณ์ เป็นแค่ก้อนอำนาจมืดที่อยู่ใกล้ชิดมนุษย์มากเกินไป จนเกิดความรู้สึกขึ้นมา เวลานี้ก็ได้แต่เป็นกาฝาก อาศัยซากร่างที่เจ้าของเขาไม่เอาแล้ว แถมมีแต่จะทำให้ซากนี้สกปรกไปยิ่งกว่าเดิมเสียอีก”
“มาลิอาก็คือมาลิอา ไม่ว่าจะอยู่ในร่างของมิเรียม หรือลิเลียม” เสียงของลูเธียนยิ่งขุ่นมัว “แล้วถามจริงเถอะ ถ้ารู้สึกว่าสิ่งที่ทำมีแต่จะทำให้ร่างนี้สกปรก แล้วเจ้ายังจะทำไปทำไม”
แม่มดดำกัดริมฝีปาก แล้วก็พลิกตัวหันหลังให้เขาในทันที โดยไม่สนความเจ็บปวดที่แปลบวาบขึ้น และแผ่กระจายไปทั้งร่างจนต้องงอตัวลง
“อย่าเพิ่งหันหนีสิ ข้ายังเช็ดให้ไม่เสร็—”
“เช็ดไปมันก็ไม่สะอาดขึ้นมาหรอก!”
“อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ ได้ไหม” อีกฝ่ายพูดอย่างอ่อนใจ “อ่อนไหวพิลึกแบบนี้ ไม่สมกับเป็นมาลิอาผู้รักอิสระเลย”
เด็กสาวแค่นเสียงเบาๆ แต่ก็ค่อยๆ พลิกกายกลับมาแต่โดยดี
“งั้นข้าควรจะยั่วยวน ให้นักบวชใสซื่ออย่างเจ้าตกบ่วงเสน่ห์ของแม่มดร้ายงั้นสินะ”
“มีแรงยั่วได้ก็ยั่วไป” ลูเธียนดูเหมือนจะไม่ใส่ใจนัก “เพราะนั่นแสดงว่าเจ้าใกล้หายดีแล้ว ข้าจะได้ไม่ต้องลำบากดูแล”
“อ้อ แน่ล่ะ ข้าก็ไม่อยากอยู่ในความเมตตาของนักบวชอีกนักหรอก”
มาลิอาโต้กลับ แต่ขณะเดียวกันก็อดคิดไปถึงใครอีกคนไม่ได้...
ใครอีกคนนั้นรู้สึกเช่นนี้หรือเปล่านะ เวลารู้ว่ามีคนที่ให้ความสำคัญกับตนเองถึงขั้นยอมตายเพื่อเธอได้ แล้วก็ปรารถนาแต่ความสุขความปลอดภัยของเธอ ไม่ว่าตนเองจะต้องเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ตามความรู้สึกอันไร้สาระของมนุษย์นั่นแท้ๆ
แม่มดดำเคยน้อยใจว่าทำไมตนจึงไม่อาจครอบครองความรู้สึกนั้นได้ แต่ก็นั่นเอง...เธอไม่ใช่ดวงวิญญาณของมนุษย์อย่างแท้จริง แล้วจะคาดหวังสิ่งที่มีเพียงมนุษย์พึงรู้สึกและได้รับ ในขณะที่ตนเองเป็นเพียงสิ่งเลียนแบบครึ่งๆ กลางๆ ได้อย่างไร
“มิเรียม...กำลังจะเป็นแม่คน”
“หือม์?” นักบวชหนุ่มส่งเสียงอย่างสงสัย
“บอกตามตรง ข้าไม่สนนักหรอกว่าเจ้าชายทัมมุซอีกคนในร่างของไอ้แก่มาดายจะก่อเรื่องใหญ่โตบ้าบออะไร แต่ข้าทนอยู่กับพวกเขาไม่ได้ ความสุขของพวกเขาจะทำข้าสำลักตาย” มาลิอายกท่อนแขนบางขึ้นทาบปิดดวงตาร้อนผ่าว “ข้าเลยหนีออกมาอยู่นี่ อยู่ที่นี่ถึงค่อยหายใจหายคอ หาเพื่อนดื่มเพื่อนคุยได้โดยไม่ต้องเกรงใจใคร ข้าไม่อยากให้นาชินเป็นห่วง ไม่อยากให้คนอื่นมองว่าทำไมปล่อยให้ข้าเที่ยวเล่นเสเพล...ทั้งๆ ที่เป็นถึงน้องสาวของภรรยานักรบใหญ่ ทั้งๆ ที่ข้าควรจะเป็นพี่สาวของนาง เกิดขึ้นมาก่อนนาง เป็นผู้ใหญ่มากกว่านางต่างหาก”
ทรวงอกของเด็กสาวสะท้อนขึ้นวูบหนึ่ง พร้อมกับความเปียกชื้นที่ใต้แขน
“อยากร้องไห้ ก็ร้องไปเถอะ” มือหนึ่งลูบไล้ที่ศีรษะของเธอ “ไม่มีใครว่าเจ้าสักหน่อย”
“เออสิ เป็นความผิดเจ้าต่างหาก...นักบวชอลัชชี นี่เจ้าเช็ดตัวผู้หญิงหรือขัดพื้นโบสถ์กันแน่ ถูแรงซะแสบแบบนี้...ใครจะไม่ร้องบ้างเล่า”
ลูเธียนไม่ตอบว่ากระไร และเพียงแต่เช็ดตัวให้มาลิอาที่กลั้นสะอื้นต่อไป
...ด้วยความรู้สึกใดนั้น แม่มดดำผู้ไม่คุ้นชินกับการมีคนเสียสละเพื่อช่วยเหลือตนก็เริ่มบอกไม่ถูกเช่นกัน
* * * * *
รูอาร์คพบตนเองอยู่ในห้องของเฟย์ลิม
ในห้องนั้นมีของเล่นมากมาย ทั้งตุ๊กตาทหาร ม้า และเรือรบจำลอง จัดวางอย่างเป็นระเบียบ แต่นั่นไม่ใช่ของที่เขาสนใจในเวลานี้ กลับเป็นชุดหมากรุกสีขาวและดำเงางามใหม่เอี่ยม ซึ่งเด็กชายเจ้าของห้องบรรจงจัดเรียงบนกระดานไม้มันปลาบอย่างกระตือรือร้น
“สวยใช่ไหม รูอาร์ค ท่านพ่อบอกว่าทำจากเขี้ยวรอซวลท์กับไม้แอวอนเนื้อดีเลยนะ มาเล่นกันไหม เจ้าเคยเล่นหมากรุกหรือเปล่า”
“เคย” เด็กชายผมแดงตอบห้วนๆ แม้ในใจจะคิดไปมากมาย
ไอ้ขี้เห่อ คิดจะอวดของขวัญวันเกิดแค่นั้นละว้า เห็นข้าเป็นเด็กข้างถนน เลยเล่นหมากรุกไม่เป็นรึไง!
พ่อแท้ๆ สอนรูอาร์คเล่นหมากรุกมานานแล้ว เด็กชายเองยังเคยเล่นกับคนที่โรงละครของพ่อ ชนะเพราะผู้ใหญ่ใจดีออมมือให้บ้าง แพ้เพราะผู้ใหญ่เขี้ยวเห็นควรสั่งสอนจริงๆ จังๆ บ้าง แต่เขาก็เชื่อว่าตนเองพอมีฝีมืออยู่
ก็อยากลองดูเหมือนกัน ว่าไอ้เด็กข้างถนนกับคุณชายลูกเจ้ามณฑล ใครจะเก่งหมากรุกกว่ากัน
ผ่านไปแค่ไม่นาน เด็กชายผมแดงก็ได้แต่เดาะลิ้นเบาๆ อย่างหงุดหงิด
เฟย์ลิมเดินเรื่อยเปื่อยไม่มีแผน นึกจะเดินตัวอะไรก็เดิน รูอาร์คอยากรู้ว่าอีกฝ่ายแค่ทดสอบเขา หรือไม่รู้จักวางแผนอะไรเลยกันแน่ จึงได้ส่งเบี้ยออกไปเป็นตัวล่อม้าของอีกฝ่าย โดยมีโคนรอกินม้าอยู่อีกที หากว่าม้านั้นเดินเข้ามากินเบี้ยจริงๆ
คู่ต่อสู้ของเขาเงียบไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ส่งม้ามากินเบี้ยล่ออย่างเงียบๆ
แสดงว่ารู้ แต่ก็ยังยอมติดกับดัก
เพื่ออะไร เพื่อเอาใจเขางั้นหรือ
เด็กชายผมแดงถือว่านั่นเป็นการดูถูก
“นี่ รู้วิธีกินของหมากรุกข้างถนนมั้ย” รูอาร์คแกล้งถาม
“หือม์ ยังไงเหรอ” เฟย์ลิมตอบอย่างสงสัย
“ให้ข้าทำให้ดูมั้ยล่ะ”
“เอาสิ” เด็กชายผมสีน้ำตาลพยักหน้ารับ
เด็กชายผมแดงค่อยๆ หยิบโคนของตนขึ้น ทำท่าจะเอามาวางแทนที่ตัวหมากม้า
แต่แล้วก็โขกมันลงไปโดยแรง จนม้าสีขาวกระเด็นออกจากกระดาน พ้นรัศมีโต๊ะลงไปกระแทกพื้นห้องเต็มแรง
เฟย์ลิมมองตะลึงงัน ขณะที่เด็กชายผมแดงพูดเสียงดัง ดังและกราดเกรี้ยวด้วยแรงอารมณ์
“แบบนี้เอาไว้กินไอ้พวกที่คิดว่าคนอื่นน่าสมเพช เลยทำทานไม่เข้าเรื่องด้วยการออมมือไงล่ะ!”
เฟย์ลิมยังคงตะลึงงัน
รูอาร์คไม่รู้ว่าตนคาดหวังสิ่งใด
...หวังว่าพี่ชายปลอมๆ ของเขาจะโกรธ ด่าทออาละวาดให้สมกับเป็นลูกคุณหนู เผยความจริงออกมาว่าที่แท้ก็แค่แสร้งทำเป็นพ่อพระ ทั้งๆ ที่ชิงชังเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าซึ่งจู่ๆ ก็กลายมาเป็นน้องชายของตน เป็นมารหัวขนที่เขาเข้าใจว่าเกิดขึ้นระหว่างพ่อกับผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่แม่
...หวังว่าพี่ชายปลอมๆ ของเขาจะเสียใจ ร้องไห้โวยวายที่ของขวัญวันเกิดราคาแพงเสียหายตามประสาเด็กที่เหมือนไข่ในหิน ลิ้มรสการสูญเสียเหมือนกับที่รูอาร์คเคยสูญเสียมามากมายกว่านี้ ยาวนานกว่านี้ จนรู้สึกว่าไม่เหลือน้ำตาให้ไหลอีกต่อไปแล้ว
เด็กชายผู้โตกว่ายืนนิ่งอยู่นาน แต่แล้วก็เคลื่อนไหว
ทว่า เขาไม่ได้ทำทั้งสองอย่าง
เฟย์ลิมก้มลงเก็บตัวหมากรุกที่แตกบิ่นนั้นขึ้นมาอย่างสงบ
“ข้าจะถามพ่อว่าซ่อมได้ไหม” เขาพูดพลางเก็บหมากรุกตัวอื่นๆ ใส่ในกล่องซึ่งเกิดจากการพับกระดานไม้ จากนั้นก็ถือกล่องนั้นเดินออกไปจากห้อง โดยไม่พูดอะไรอีก
รูอาร์ครู้สึก...บอกไม่ถูก อาจรู้เพียงว่ามันไม่ควรจบลงเช่นนี้
แวบหนึ่งคลับคล้าย ว่าเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาปล่อยให้เฟย์ลิมจากไป แผ่นหลังของเด็กชายกลับกลายเป็นชายหนุ่ม ขณะที่ห้องรอบด้านหลอมเลือนเป็นห้วงสีดำ
“พี่เฟย์ลิม!” เขาร้อง แล้วก็วิ่งตามไป
เนิ่นนาน ระยะห่างไม่ยอมลดลง ...ทั้งๆ ที่วิ่งจนเหนื่อยอ่อนและชายโครงปวดแปลบกับการหอบ
แต่สุดท้าย ชายอีกคนก็หันกลับมา
รูอาร์คชะงัก
เมื่อครู่พี่ชายต่างสายเลือดของเขายังอยู่ห่างออกไปหลายวา แต่ครู่เดียวก็เข้ามาประชิดตัว นัยน์ตาเรียบเฉยเย็นชา แทบไร้แววประหนึ่งคนตาย
ความเจ็บระเบิดวาบที่ชายโครงซ้าย
ชายหนุ่มผมแดงหลุดเสียงร้องออกมา สองขาเหมือนจะอ่อนยวบ ร่างเอนลงซบพิงชายหนุ่มเบื้องหน้า
เสียงของเฟย์ลิมดังขึ้นข้างหู แผ่วเบา ทว่าสะท้อนก้อง
“ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าของบางอย่างมันซ่อมไม่ได้หรอก
“และไอ้ความรู้สึกที่เสียไปเพราะน้องชาย ‘จอมปลอม’ ก็คือหนึ่งในนั้น”
ไม่...ไม่นะ
พี่เฟย์ลิม...ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษ
รูอาร์คนึกถ้อยคำนั้นวนเวียน ซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า ทว่าเสียงพูดกลับไม่อาจเล็ดลอดออกมาจากลำคอได้เลย
ได้แต่ปล่อยให้ร่างของตนทรุดลงบนพื้น ขณะที่ชายตรงหน้าถอยออกห่าง และเดินจากไป ทิ้งเขาไว้ในความมืดมิดอีกครา
* * * * *
“รูอาร์ค”
เสียงเรียก...มาพร้อมกับมือที่จับมือเขา
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างมึนงง ใบหน้าเลือนรางของชายหนุ่มผมดำวัยไม่ห่างกันปรากฏขึ้นตรงหน้า จับด้วยแสงสลัวสีเหลืองส้มและเงามืดมัว ราวกับมีเพียงตะเกียงที่ให้แสงสว่าง
เขาขยับริมฝีปากจะเรียกชื่อของอีกฝ่าย แต่กลับรู้สึกเหมือนลำคอแห้งผาก
ความทรงจำยังไม่ปะติดปะต่อ ...ทำไมจู่ๆ เขาถึงมานอนบนเตียง ทั้งยังรู้สึกอ่อนเพลียอย่างประหลาดอย่างนี้
“เจ้าถูกแทง...จำได้ไหม” อาเมียร์พูดขึ้น
นัยน์ตาของรูอาร์คเบิกกว้างขึ้น กับภาพความทรงจำที่วาบเข้ามา พร้อมกับคำคำนั้น
พี่เฟย์ลิม!
“ใช่ เขา...เป็นคนทำ” ชายอีกคนรับแผ่วเบา “ข้าขอโทษนะ รูอาร์ค เรื่องทั้งหมดไม่ควรเป็นอย่างนี้เลย”
ชายผมแดงแทบอ้าปากค้าง ทั้งเพราะคำยืนยัน และสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้
“เจ้า...” รูอาร์คพยายามรวบรวมเสียงที่แหบแห้ง “รู้ได้ไงว่าข้าคิดอะไร”
อาเมียร์ดูเหมือนจะยิ้มเฝื่อนๆ “ถ้าข้าบอกว่าข้ามีเวทมนตร์ และกำลังอ่านใจเจ้าอยู่ จะเชื่อไหม”
ก็คงเชื่อง่ายหน่อยละมั้ง พักหลังมานี้เจ้าเล่นทำอะไรพิสดารได้ตั้งหลายอย่าง แถมตัวปลอมที่มาอยู่แทนเจ้าก็เหมือนกันอย่างกับถอดเงามา ชายหนุ่มผมแดงนึกในใจ ขณะเขยิบตัวขึ้นนั่ง อีกฝ่ายจึงช่วยจัดหมอนและพยุงขึ้นมา ก่อนจะรินน้ำส่งให้แก้วหนึ่ง
“ข้าตั้งใจจะบอกเจ้าหลังช่วยแอชออกมาได้ แต่ยังไม่ทันหาโอกาส ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน”
“แล้ว...พี่เฟย์ลิมทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เขาตายไปแล้วจริงๆ หรือ ทำไมเขาถึงคิดจะฆ่าข้า” รูอาร์คค่อยพูดคล่องคอขึ้น และมีโอกาสกวาดมองห้องที่ตนอยู่เต็มตา
ไม่ใช่ห้องของเขา แต่เป็นหนึ่งในห้องสำหรับรับรองแขกซึ่งอยู่ชั้นล่าง นอกจากอาเมียร์แล้ว ในห้องนั้นยังมีหญิงรับใช้ที่คงได้รับคำสั่งให้อยู่เฝ้านั่งฟุบหลับบนเก้าอี้อีกตัว ใกล้บานหน้าต่างซึ่งเผยภาพฟ้ามืดยามราตรี
“ท่านเบเรคคิดว่าตอนนี้ข้าควรนอนพักอยู่ที่บ้าน แต่ข้าอยากแวะมาดูเจ้า เลยใช้เวทมนตร์ลอบเข้ามา แล้วทำให้นางหลับไป เราจะได้คุยกันสะดวก” อาเมียร์อธิบาย “หากเจ้าพร้อมจะฟังในเวลานี้ ข้าก็จะเล่าให้ฟังทุกอย่างที่ทำได้ แต่หากอยากพักผ่อนก่อน ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องเร่งร้อนอะไร”
แน่นอน รูอาร์คย่อมตอบว่าตนพร้อม
หลังจากนั้น คนเจ็บที่เพิ่งฟื้นตัวก็นั่งฟัง ขณะที่เพื่อนซึ่งเพิ่งเปิดเผยว่าตนมีเวทมนตร์ค่อยๆ พูดต่อไป
ทั้งชาติกำเนิดเหนือธรรมดา ศัตรูซึ่งที่แท้คืออีกด้านหนึ่งของตนเอง ดวงวิญญาณของคนอีกมากมายที่มันช่วงชิงไปกักขังไว้ และสถานการณ์ที่เป็นอยู่
“ข้าไม่รู้ว่ามันทำอย่างนี้เพื่ออะไร แต่ให้เดาคงไม่ได้ต้องการฆ่าเจ้ากับมาลิอาในตอนนี้ มาลิอาได้รับบาดเจ็บหนักก็จริง แต่ไม่ตายในทันทีทันใด ส่วนแผลที่ชายโครงอ่อนเจ้า ถ้าเฟย์ลิมตั้งใจทำให้ตายสนิทจริงๆ ยังต้องงัดมีดขึ้นให้ถูกเครื่องใน แต่เขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น”
ใช่ รูอาร์คเองก็รู้เรื่องนั้น ...นักเลงที่ฆ่าพ่อของเขาในโรงเหล้าก็ใช้วิธีนี้ พวกโจรพ่วงนักเลงหัวไม้ซึ่งเด็กชายกำพร้าคลุกคลีด้วยตอนอยู่กับพวกหนูท่อก็เคยแนะนำหลักการฆ่าคนด้วยมีดมาแบบนั้นเช่นกัน
เกือบโดนฆ่าตายซ้ำรอยพ่อ...แถมด้วยมือคนที่ตัวเองเห็นว่าเป็นพี่ชายนี่มันขำไม่ออกชัดๆ ชายหนุ่มผมแดงกัดริมฝีปาก แต่ก็ไม่พูดออกมา
ถ้อยคำหลังจากนั้นกลับเป็นการสันนิษฐาน
“แต่ก็ไม่แน่...ใช่ไหมล่ะ ที่มาลิอารอดมาได้ก็เพราะพระมหาเถระช่วยไว้ทัน แล้วที่จริงไอ้ตัวการมันอาจจะสั่งให้ฆ่าข้า แต่พี่เฟย์ลิมทำไม่ลงเองก็ได้”
“เรื่องนั้น ข้าก็ไม่รู้หรอกนะ” อาเมียร์ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ “ที่จริง คำสั่งที่ภูตรับใช้ได้รับจากนายเป็นเรื่องที่ต้องทำตามอย่างเด็ดขาด ต่อให้ขัดกับความรู้สึกมากแค่ไหน ก็มีแต่ต้องทำให้สำเร็จ”
“อือม์...” รูอาร์คพยักหน้าช้าๆ
“แต่ข้าจะช่วยเฟย์ลิมให้ได้ จะช่วยวิญญาณของทุกคนให้ได้ จะไม่ให้เจ้าหรือใครต้องเดือดร้อนอีก เจ้าก็...อย่าเป็นห่วงเลยนะ”
“ไม่ห่วงได้ไงเล่า” คนเจ็บสวนทันควัน ขณะวางมือทาบบนแผลใต้ผ้าพัน ซึ่งเจ็บปวดน้อยกว่าที่จำได้อย่างประหลาด “พี่ชายของข้าทั้งคน แล้วยังพ่อแม่พี่ชายของเจ้าหญิงเปี๊ยก ไอ้เวรนั่นทำเรื่องบ้าขนาดนี้ เจ้าตัวคนเดียวมีปัญญารับผิดชอบรึ!”
“...รูอาร์ค ข้าขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องอะไร ไอ้เวรนั่นเป็นส่วนหนึ่งของเจ้า เจ้าเลยต้องตามล้างตามเช็ดเก็บกวาดทุกอย่างที่มันทำงั้นเรอะ ...ตลกสิ้นดี!” ชายหนุ่มผมแดงพูดเสียงแข็ง “มันเอาพี่ชายข้าไปทั้งคน ไม่ให้ข้าเดือดร้อนอีกก็บ้าไปแล้ว จะให้นอนกระดิกเท้ารอให้เจ้าช่วยเขาคนเดียวคงได้หรอก”
“แต่มันอันตราย เจ้าไม่มีเวทมนตร์ สู้กับตัวข้าอีกคนหรือภูตรับใช้ของมันไม่ได้หรอก”
“สู้ตรงๆ ไม่ได้ก็ใช้อย่างอื่นสู้ แค่นั้นเอง ได้ยินว่านักบวชของซาเกรดา โซล น่าจะปลุกเสกอาวุธหรือน้ำมนตร์ได้ ขอให้พระมหาเถระทำอะไรมาให้ข้าบ้างก็ได้”
“ถึงอย่างนั้น...”
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีอะไรที่ข้าทำได้บ้าง อย่างต่อยหน้าเจ้าให้เลิกคิดแบกโลกไว้ตัวคนเดียวอย่างนี้สักที” รูอาร์คกำหมัดทำท่าขู่ “ถ้าอยากให้ข้ายกโทษให้ ก็สัญญามาซะดีๆ ว่าถ้ารู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับพี่เฟย์ลิม จะต้องให้ข้าได้พบกับเขาด้วย และอย่าจัดการเรื่องอะไรแบบนี้คนเดียว มีอะไรที่ข้าช่วยได้ก็เชิญจิกหัวใช้ซะ”
อาเมียร์มีสีหน้าลำบากใจ และเงียบไปเป็นครู่ใหญ่กว่าจะยอมพูดเสียงขรึม “ข้าคงให้สัญญาไม่ได้ แต่ข้าเองก็อยากให้เจ้าได้พูดกับเฟย์ลิมเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน และเรื่องอะไรที่ข้าทำไม่ได้ ข้าหรือท่านเบเรคก็คงจะหาเรื่องให้เจ้าทำจนได้”
“เฮอะ เลี่ยงบาลีเก่งเหลือเกินนะ” ชายหนุ่มผมแดงกอดอก แต่ก็เข้าใจนิสัยของอีกฝ่ายดีพอจะไม่เซ้าซี้ต่อไป “เอ้า! งั้นข้าหาอย่างอื่นให้ทำไถ่โทษก็ได้”
“...อะไรล่ะ” ชายผมดำถามอย่างระแวดระวัง
“ข้าอยากกินซุปเนื้อแกะฝีมือแม่เจ้า แล้วก็ขนมปังม้วนของลีชา อยากให้นาสิรากับฟาร์ฮานาห์เก็บดอกไม้มาใส่แจกัน อยากให้เจ้าหญิงเปี๊ยกเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรผู้บาดเจ็บ และอยากเห็นพวกเขาทุกคนในห้องนี้ด้วย ยิ่งเร็วยิ่งดี” รูอาร์คอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า “ก่อนวันที่ยายเจ้าหญิงเปี๊ยกจะย้ายออก จัดการมาซะ”
อาเมียร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข่นเขี้ยวทั้งๆ ที่ทำท่าเหมือนเห็นด้วยกับความคิดนั้นเต็มที่ “ไอ้เจ้าเล่ห์!”
“แหง ต่อให้เสียเลือดเนื้อไหม้ไปยังไง กระรอกมันก็ยังขาดสาวไม่ได้อยู่วันยังค่ำละวะ” รูอาร์คหัวเราะร่วนจนแปลบที่บาดแผลตรงชายโครงขึ้นมา
และแปลบในอีกที่หนึ่ง
พอนึกถึงคำที่พี่ชายต่างสายเลือดพูดก่อนที่จะแทงเขาในความฝัน เขาก็อดคิดไม่ได้...ว่าบางทีตนเองคงจะเคยชินกับชีวิตที่ต้องยิ้มปิดบังบาดแผลเกินไปจริงๆ แล้วกระมัง
* * * * *
คนเขียนขอคุย
สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ
รู้สึกเหมือนตอนนี้บรรยากาศผ่อนลงเรื่อยๆ สักหน่อย เดินเรื่องคู่พระนางอีกนิด (ถ้ารูอาร์ครู้ว่าแอชใช้มนตร์รักษาให้ แต่หลังจากปล่อยตัวเองโดนเหล็กนาบเนื้อนี่จะว่าไงนะ ^^a) นักบวชกับแม่มดที่ปากไม่ตรงกับใจพอกันอีกคู่ เรื่องของเจ้ากระรอกกับพี่ชาย แล้วก็ปฏิกิริยาของรูอาร์ค เมื่อรู้ว่าที่จริงอาเมียร์เป็นพ่อมด แถมมีเรื่องวิญญาณมากมายมาเกี่ยวข้องด้วย
เขียนแบบนี้แล้วอดรู้สึกว่ามีเพื่อนอย่างรูอาร์คสักคนก็ดี ถึงเวลาปกติหมอนี่คงจะทำเป็นเล่นซะจนรำคาญบ้างก็เถอะ ^^a
หรือที่จริง จะเป็นเพราะอาเมียร์เองก็เริ่มรีแล็กซ์เก่งขึ้นกันนะ พอมาเขียนภาคนี้ต่อพลางรีไรท์ภาษาของภาคแรกอีกรอบ ก็เห็นได้ชัดว่าพระเอกของเราเคยเป็นมนุษย์อีโมซีเครียดไม่รับมุกซะเหลือเกิน (แหะๆ)
วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่จะไปไหว้พระทำบุญนะครับ (-/l\-)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
วันวิสาขบูชา 54 11:51:10
|
|
|
|