Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 15 แม่น้ำมรณะ ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 14 น้ำตาอัคคี
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10520370/W10520370.html

<15>

แม่น้ำมรณะ

ร่างของคนสี่คนเดินตัดผ่านทุ่งหญ้าซึ่งสูงท่วมหัวไปด้วยความยากลำบาก เสียงโมไดบ่นไปเกือบตลอดทางจนกระทั่งแนชท์ต้องตวาดด้วยความรู้สึกรำคาญไปหลายครั้ง เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นด้วยความรู้สึกโกรธและถลึงตาใส่เด็กสาวจนโซลย์ต้องเอ่ยปากห้ามด้วยความเอือมระอา กระทั่งเวลาผ่านไปถึงยามเย็น ทั้งหมดจึงเดินผ่านดงหญ้าสูงและเข้าสู่ที่โล่งสุดสายตา แสงสีเงินสะท้อนกับแดดยามเย็นมองเห็นได้ไกลๆ โซลย์จึงเอ่ยถามขึ้น

“นั่นคือแม่น้ำริเวอร์หรือ”

“ถูกต้อง แต่มันยังอยู่ไกลเกินกว่าที่เจ้าไว้คิดมากนัก โซลย์” ฟอร์เซ็ตติกล่าวและมองไปรอบๆ เขาชี้มือไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งยืนต้นอยู่อย่างโดดเดี่ยว

“เราจะพักค้างแรมกันที่นั่น”

“ใต้ต้นไม้ประหลาดนั่นรึ พูดเป็นเล่นน่าเจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือที่แถบนี้ทั้งหมดมีเพียงต้นไม้นั่นแค่ต้นเดียว”

โมไดพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจแต่จอมเวทหนุ่มกลับยิ้ม

“ข้าไม่แปลกใจเลยสักนิดเพราะต้นไม้นั่นเป็นสถานที่เดียวที่ชาวมาร์วัลลัสใช้พักค้างแรมยามต้องเดินทางไกล”

แนชท์เบ้หน้าใส่เด็กหนุ่มทันทีพร้อมกับกล่าวลอยๆ

“หากไม่เชื่อก็จงนอนที่กลางทุ่งนี่รอให้พวกผีดิบมาลากตัวเจ้าไปกินเป็นอาหารมื้อค่ำคนเดียวก็แล้วกัน”

“ข้าจะลากเจ้าติดมือไปเป็นของหวานให้พวกมันด้วยอีกคน” โมไดสวนทันควัน เด็กสาวอ้าปากทำท่าจะโต้กลับแต่โซลย์รีบยกมือห้าม

“เดินไปให้ถึงที่พักตามที่ฟอร์เซ็ตติบอกให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วเจ้าสองคนจะทะเลาะอะไรกันต่อก็ตามใจ”

แนชท์รีบเดินไปใกล้จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสแล้วทำท่าเยาะเย้ยโมไดจนเขารู้สึกโกรธจนหน้าแดง เด็กหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะที่พยายามระงับโทสะของตน

“นางเป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้นนะ โมได” เสียงแม่ทัพแห่งมอร์เซลพูดขึ้นหลังจากที่เดินมาด้วยกันสักพักใหญ่ เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจพรืดและสะบัดหน้าเมินไปอีกด้านพร้อมกับบ่นสองสามคำ

“แถวนี้ไม่มีฟืนสำหรับก่อกองไฟเลย นอกจากกองฟางและเศษหญ้า” โซลย์พูดหลังจากกวาดสายตามองไปรอบๆจนทั่ว ฟอร์เซ็ตติดึงหญ้าแห้งออกมาหนึ่งกำมือและจัดแจงม้วนมันเป็นก้อนกลมจากนั้นจึงสั่งให้โมไดขุดหลุมตื้นๆแล้วจึงวางก้อนหญ้านั้นลงไปพร้อมกับร่ายมนตร์ออกมา ไฟสีฟ้าอมม่วงลุกติดขึ้นบนก้อนหญ้าที่เขาถัก มันให้ทั้งแสงสว่างและความร้อนเท่ากับไฟที่ก่อจากกองฟืน  โมไดเพ่งมองราวกับไม่เชื่อสายตา

“มันจะติดได้นานแค่ไหนกัน”

“น่าจะราวๆครึ่งหรือค่อนคืน” ฟอร์เซ็ตติตอบ “ดังนั้นคืนนี้ให้เจ้าเฝ้ายามเป็นคนแรกก็แล้วกันนะ โมได ส่วนข้าจะขออยู่รับช่วงท้ายให้เอง”

โซลย์เหลือบสายตามองดูจอมเวทหนุ่มด้วยความรู้สึกสงสัยเพราะเขาลอบสังเกตเห็นว่าตลอดระยะเวลาทั้งวันที่ผ่านมาดูเหมือนฟอร์เซ็ตติจะดูอิดโรยมากกว่าทุกครั้ง

“ดูท่าทางเจ้าเหมือนจะผ่านการใช้เวทหนักๆมาหลายครั้ง ให้ข้าผลัดกันเฝ้ากับโมไดดีกว่า ส่วนเจ้ากับแนชท์นอนพักให้สบายเถอะ”

โซลย์เอ่ยเสียงเรียบแต่เด็กสาวกลับส่ายหน้า

“ข้าไม่ชอบการเอาเปรียบคนอื่น”

“มันไม่ใช่การเอาเปรียบ แต่เป็นการเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน เจ้ากับฟอร์เซ็ตติผ่านเรื่องร้ายๆมาเกือบตลอดทั้งคืน ซ้ำเวลากลางวันก็ต้องเดินเป็นระยะทางไกลอีก ดังนั้นคืนนี้เจ้าทั้งสองคนจงพักให้เต็มที่ ห้ามโต้เถียงใดๆทั้งสิ้น!”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงดุดันเขาเหลือบสายตาขึ้นมองดูจอมเวทหนุ่มที่นั่งนิ่ง แนชท์หันไปทางฟอร์เซ็ตติเตรียมอ้าปากจะเถียงกับโซลย์

“จงทำตามที่ท่านแม่ทัพบอก แนชท์”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเอ่ยเนิบๆ ดวงตาสีฟ้าฉายแววขอบคุณเมื่อสบตากับโซลย์ เด็กสาวตวัดสายตาไปทางโมไดที่ทำท่าทางคล้ายเยาะเย้ย ใบหน้าของเด็กสาวงอง้ำอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนสะบัดเมินมองไปอีกด้านและลุกขึ้นไปนั่งข้างฟอร์เซ็ตติซึ่งกำลังเอนกายพิงโคนต้นไม้และหลับตาลงโดยวางไม้เท้าของเขาพาดไว้บนตัก เสียงผ่อนลมหายใจทำให้แม่ทัพแห่งมอร์เซลทราบว่าจอมเวทหนุ่มได้หลับสนิทลงไปแล้ว โซลย์จึงหันมาทางโมไดซึ่งกำลังมองจ้องร่างในชุดขาวนิ่ง

“ข้าว่าวันนี้เขาดูแปลกไป” เด็กหนุ่มพูดขึ้น คิ้วเข้มของโซลย์เลิกสูงพร้อมกับยิ้ม

“น่าแปลกที่เจ้าก็รู้จักสังเกตคนอื่นเป็นนอกจากการพูดจาเหน็บแนม”

“ข้าไม่ใช่คนไร้สาระถึงขนาดนั้น” โมไดพูดฉุนๆ “ขืนข้าทำจริงจังขึ้นมาอีกคนมีหวังเจ้าหมอนั่นได้คุ้มคลั่งจนสติแตกกันพอดี เจ้าก็รู้นี่ว่าเวลาเขาขาดสติขึ้นมาน่ะ มันเป็นยังไง”

“ข้ารู้” โซลย์ตอบ “และข้าก็คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าแปลกเหลือเกินที่เหตุการณ์ในครั้งนี้เขากลับควบคุมตัวเองเอาไว้ได้”

“ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ทำไมเขาถึงดูอ่อนแรงนักทั้งที่การร่ายเวทก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสเหมือนครั้งที่ผ่านมา”

“ข้าเองก็อยากจะถามเขาเหมือนกัน แต่คิดว่าคงไม่ได้คำตอบอะไรอย่างแน่นอน สู้รอเวลาให้ฟอร์เซ็ตติเปิดปากบอกเองจะดีกว่านะ โมได”

“เจ้านั่นคิดจะแบกความทุกข์ของผู้คนทั้งหมดไว้คนเดียวหรือยังไงกัน” เด็กหนุ่มบ่นขณะเอนตัวลงนอน “ข้าขอพักสายตาก่อนสักสองสามชั่วโมง ปลุกข้าด้วยถ้าถึงเวลา”

โซลย์ถึงกับส่ายหน้าด้วยความรู้สึกระอาแกมขบขันในความเจ้าเล่ห์ของโมได เขาเงยหน้าขึ้นมองดูดวงดาวที่พราวพร่างเต็มท้องฟ้าพลางนึกถึงเรื่องราวทั้งหลายที่ผ่านมา แม่ทัพแห่งมอร์เซลถึงกับถอนใจ

“พวกเราจะไปค้นหาศาสตราแห่งเดราเนียร์ได้ที่ไหนกัน ในเมื่อไม่เคยรู้แม้แต่เบาะแสหรือข่าวคราวใดของสิ่งวิเศษทั้งสองอย่างนั่นเลย”

*-*-*-*-*


เสียงพูดคุยกันปลุกให้โซลย์ลืมตาขึ้น เขายกมือเสยผมด้วยความรู้สึกมึนงงเล็กน้อยขณะไล่เรียงลำดับเรื่องราว จนกระทั่งเสียงของโมไดดังประชด

“จะนอนต่อที่นี่อีกคืนหรือยังไงกันท่านแม่ทัพ”

โซลย์ผุดลุกทันที เขาหันไปส่งสายตาดุให้กับเด็กหนุ่ม ฟอร์เซ็ตติหัวเราะออกมาพลางส่งถุงหนังบรรจุน้ำให้กับเขา

“ล้างหน้าล้างตาเรียกความสดชื่นเสียก่อนเถิด โซลย์”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลรับถุงหนังมาจากจอมเวทและเปิดจุกออก เขาขมวดคิ้วเมื่อพบว่าน้ำในถุงยังคงมีอยู่เต็มปรี่ราวกับเจ้าของแทบไม่เคยเปิดใช้ ดวงตาสีเหล็กเหลือบมองฟอร์เซ็ตติแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจเนื่องจากกำลังเพ่งสายตามองฝ่าหมอกจางๆออกไปเบื้องหน้า โซลย์จึงรินน้ำออกมาล้างหน้าเพียงเล็กน้อยก่อนจะปิดจุกไว้ตามเดิม

“มีอะไรหรือ”

เขาถามจอมเวทหนุ่มด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก ฟอร์เซ็ตติสั่นหน้า

“ข้าคิดว่าข้าเห็นเงาคนหลายคนกำลังเดินอยู่ข้างหน้า”

“ข้าไม่เห็นมีใครสักคน” แม่ทัพหนุ่มกล่าว “เจ้าอาจจะตาฝาดไป”

“ก็อาจจะเป็นไปได้” จอมเวทหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขากวาดตามองสำรวจโดยรอบด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนโซลย์นึกแปลกใจ

“ดูเจ้าเคร่งเครียดมาก”

“ที่นี่คือมาร์วัลลัส” ฟอร์เซ็ตติหันมามองหน้าแม่ทัพหนุ่มนิ่ง “แม้ผู้ที่ด้อยเวทที่สุดก็สามารถทำร้ายเจ้าให้ถึงกับบาดเจ็บสาหัสได้ โดยเฉพาะหากเขาได้รับเลือดพิษของจอมมารเข้าไป”

“ข้าคิดว่ามาร์วัลลัสน่าจะมีบ้านเรือนมากกว่านี้”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลกล่าวขณะเดินตามจอมเวทโดยไม่ลืมที่จะหันไปเรียกโมไดและแนชท์ซึ่งกำลังถกเถียงกันอยู่ ทั้งคู่รีบวิ่งตามมาอย่างเร็ว ฟอร์เซ็ตติหันไปมองเด็กสาวซึ่งเกาะแขนของเขาไว้และหันหน้าไปแยกเขี้ยวใส่โมได ส่วนอีกฝ่ายใช้ร่างของโซลย์บังสายตาแต่แอบยื่นหน้าไปถลึงตาตอบ จนแม่ทัพหนุ่มต้องเอ่ยปากดุจึงได้สงบลง

“รอบนอกนี้เป็นแหล่งทำการเกษตรของมาร์วัลลัส ผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้เป็นผู้ด้อยเวท พวกเขามีพลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ยังมากพอที่จะเร่งการเจริญเติบโตให้กับพืชพรรณและส่งผลผลิตเหล่านั้นไปยังเมืองหลวงชั้นใน”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสอธิบาย โซลย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“แล้วตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“ส่วนมากถูกบริวารของราชันย์ปิศาจสังหารอย่างเหี้ยมโหด มีบางคนที่หนีเข้าไปในป่าแห่ง
มนตรา แต่ก็ต้องสูญเสียตนเองไปในที่สุดเมื่อเผลอดื่มน้ำจากแม่น้ำริเวอร์ซึ่งมีเลือดพิษของจอมมารแห่งแซฟเวจย์เข้าไป”

“แล้วพวกเอลฟ์ล่ะ พวกเขาจะเปลี่ยนไปหรือไม่”

โมไดถามด้วยความอยากรู้ เขานึกอยากชกหน้าตัวเองเมื่อคิดได้ว่ามารดาของจอมเวทหนุ่มคือหนึ่งในอมตชนที่เขาเอ่ยถาม แต่ฟอร์เซ็ตติกลับทำเพียงเลื่อนสายตามองไปยังทิศเหนือ เงาอันเลือนรางของแนวป่าปรากฏให้เห็นไกลๆ

“พวกเขาได้รับผลกระทบน้อยมาก ที่น่ากังวลคือพวกเขาถูกไล่ล่าอย่างหนักจากเหล่าปิศาจร้ายของจอมมารและกองโจรมนุษย์”

ดวงตาสีฟ้าที่เศร้าสร้อยเบนกลับไปมองยังตำแหน่งของแม่น้ำริเวอร์อีกครั้ง แล้วจู่ๆจอมเวทหนุ่มก็ชะงักฝีเท้าของเขา ใบหน้าอันสงบนิ่งเคร่งเครียดขึ้นจนโซลย์นึกเอะใจ เขาเลื่อนมือไปแตะดาบและดึงออกจากฝัก โดยโมไดและแนชท์รีบกระทำตามอย่างเร็ว

“มีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ข้างหน้าพวกเรา” ฟอร์เซ็ตติกระซิบ “ข้าไม่แน่ใจว่าพวกเขาเป็นเหล่าจอมเวทหรือกองโจรจากแซฟเวจย์ แต่ที่แน่ๆคือไม่ใช่ภูตผีหรืออสูรร้าย”

“ถึงเป็นคนของมาร์วัลลัสก์วางใจไม่ได้” แนชท์พูดด้วยสีหน้าดุดัน นางกระชับซาเบลลอทในมือแน่นขณะที่ดวงตาฉายแวววาววับ จอมเวทหนุ่มขมวดคิ้ว

“ใจเย็นๆแนชท์ บางทีพวกเขาอาจเป็นเพียงผู้หลบภัยก็ได้”

เสียงพ่นลมหายใจแรงๆดังออกมาจากเด็กสาวทำให้โซลย์รู้ว่านางไม่พอใจในข้อสันนิษฐานของฟอร์เซ็ตติ จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสกระชับไม้เท้าในมือของเขาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ

“หยุดอยู่ตรงนั้น!”

เงาร่างของกลุ่มคนหยุดชะงักแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา หนึ่งในนั้นยกมือทั้งสองข้างขึ้นเสมอไหล่ก่อนเดินเข้ามาหา

“พวกเราเป็นเพียงผู้ลี้ภัยจากแซฟวี โปรดอย่าได้ลงมือกระทำการใดๆกับเราเลยท่านจอมเวท”

ดวงตาของฟอร์เซ็ตติหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายกำลังใคร่ครวญแต่ยังคงจ้องผู้ที่กำลังเดินมาหาไม่วางตา เขาแตะบ่าแนขท์คล้ายห้ามมิให้นางพูดหรือแสดงกิริยาใดๆ

“ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีชาวแซฟวีใช้เส้นทางผ่านมายังมาร์วัลลัส”

จอมเวทพูดเสียงกระด้าง ชายผู้นั้นลดมือของเขาลงพร้อมกับตอบด้วยท่าทางนอบน้อม

“ยามนี้ไม่ว่ามาร์วัลลัสหรือแซฟวีล้วนต้องพบกับมหันภัยเดียวกัน พวกข้าจึงคิดว่าหากขอผ่านแผ่นดินของพวกท่านเพื่อไปยังมอร์เซลคงไม่มีผู้ใดว่ากล่าวอะไร”

“เส้นทางตอนเหนือระหว่างแซฟวีและมาร์วัลลัสมีทั้งภูเขาสูงและป่าทึบขวางกั้น ไม่คิดว่าจะเป็นการยากลำบากหากเลือกใช้เป็นทางหลบหนีหรือ”

ฟอร์เซ็ตติพูดเรื่อยๆ แต่สีหน้าและดวงตากลับฉายแววน่ากลัวออกมา โซลย์เริ่มแอบส่งสัญญาณให้โมไดระวังตัวโดยสายตายังคงจับจ้องมองจอมเวทหนุ่มแน่วนิ่ง

“พวกข้าอาศัยอยู่ในแถบด้านเหนือ และคุ้นเคยกับทางนี้มากกว่าทางอื่น”

“ชายแดนระหว่างป่ากับภูเขามีอารักษ์ผู้หนึ่งดูแลอยู่ เจ้าผ่านเขามาได้อย่างไรกัน”

“ไม่มีอารักษ์ที่ว่านั่นแล้วท่านจอมเวท เพราะทั้งป่าล้วนแล้วแต่ถูกอำนาจมืดจากเซฟเวจย์ทำลายจนไม่มีสิ่งใดเหลือรอด”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสก้มหน้าลง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบ

“มีอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าสงสัย” เขาเงยหน้าขึ้นอย่างแช่มช้า โซลย์มองเห็นความน่ากลัวแฝงอยู่ในดวงตาคู่สวยซึ่งกำลังเต้นไหว

“พวกเจ้าคุยกับข้าตั้งนานโดยไม่เอ่ยชื่อเพียงสักคำ ไม่คิดว่ามันน่าแปลกหรืออย่างไร”

“พวกข้าเป็นเพียงชาวบ้านด้อยยศฐา ถึงแจ้งชื่อแก่ท่านไปคงไร้ความหมาย.....”

“ข้าหมายถึงชื่อของข้า” ฟอร์เซ็ตติขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ชายผู้นั้นค้อมตัวลงด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับพูดเสียงสั่น

“ขออภัยอย่างยิ่ง ข้าไม่ทราบนามของท่านจริงๆจึงมิได้เอ่ยเรียกขานออกมา”

จอมเวทหนุ่มหัวเราะในลำคอ เขาหมุนไม้เท้าในมือ คริสตัลบนปลายไม้เปล่งแสงเรืองรองออกมา ชายผู้ที่กำลังเจรจาอยู่ด้วยถึงกับผงะหงายหน้าและถอยหลังออกไปด้วยท่าทางหวาดกลัว

“ไม่มีชาวแซฟวีคนใดที่ไม่รู้จักข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะอันพิเศษที่ไม่เหมือนชาว
มาร์วัลลัสโดยทั่วไปซึ่งเจ้าน่าจะเห็นได้อย่างเด่นชัดแท้ๆ บอกความจริงกับข้ามาดีกว่าว่า พวกเจ้าเป็นใคร!”

ชายผู้นั้นแสยะยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่น่าสยดสยองยิ่งนักในสายตาของโซลย์และโมได เพราะริมฝีปากหนาของเขาแยกออกจากกันไปจนจรดใบหู เขี้ยวเล็กเรียงกันเป็นแถวอยู่ภายในช่องปากที่มีน้ำลายเหนียวๆไหลย้อยออกมา โดยไม่รอฟังคำตอบ แม่ทัพแห่งมอร์เซลตวัดดาบของเขาฟันลงไปตรงลำคอของอมุษย์ตนนั้นทันที ส่วนหัวของมันหลุดออกจากร่างและลอยคว้างอยู่กลางอากาศในขณะที่ร่างล้มลงไปนอนกองกับพื้น มันเปื่อยยุ่ยย่อยสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

“ถอยออกไปจากที่ตรงนี้ เร็ว!”

ฟอร์เซ็ตติร้องขึ้น ทั้งสี่คนรีบก้าวถอยหลังออกไปเป็นจังหวะเดียวกันกับพื้นแผ่นดินที่พวกกเขายืนอยู่เมื่อครู่ยุบตัวลงกลายเป็นโพรงขนาดยักษ์ เสียงร้องคำรามอย่างโกรธจัดดังมาจากช่องของโพรงนั้น เงาร่างของคนที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่ลอยไปลอยมาคล้ายหุ่นที่ถูกชักใย รวมถึงส่วนหัวที่ถูกโซลย์ตัดขาด

“นี่มันอะไรกัน”

โซลย์ร้องถามเสียงดัง จอมเวทหนุ่มไม่ตอบแต่กลับปักไม้เท้าของเขาลงไปบนพื้นและร่ายเวทอย่างเร็ว

“ดันเนอร์!”

พื้นผิวดินบังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รากไม้ขนาดมหึมาผุดโผล่ออกมาและกวัดแกว่งไขว่คว้าหาร่างของพวกเขาอย่างเกรี้ยวกราด โมไดปล่อยรันนิ่งของเขาออกไปทันที

มีดบินของเด็กหนุ่มหมุนวนฉวัดเฉวียนตัดรากของต้นไม้จนขาดกระจุยก่อนวิ่งกลับไปหาเจ้าของ เสียงคำรามต่ำๆดังสะท้อนก้อง พื้นดินยุบตัวลงไปอีกครั้ง คราวนี้ทั้งโซลย์และโมไดเห็นเขี้ยวขนาดมหึมาเรียงกันเป็นวงอยู่ภายในช่องโพรงนั้น พวกเขาถึงกับกระโดดถอยออกมาด้วยความรู้สึกสยอง

“หนอนยักษ์อีกแล้วเรอะ”

โมไดร้องถาม

“ไม่ใช่” ฟอร์เซ็ตติตอบ “มันเป็นเพียงพืชใต้ดินชนิดหนึ่งเท่านั้น”

“พืชใต้ดิน” เด็กหนุ่มทวนเสียงสูง “พวกมาร์วัลลัสปลูกพืชไว้เป็นอาหาร หรือรอถูกมันกินเป็นอาหารกันแน่”

“ข้าคิดว่ามันกลายพันธุ์เพราะไปรับน้ำพิษจากแม่น้ำริเวอร์” จอมเวทตอบ “มันคงเคยเป็นพืชกินแมลงชนิดหนึ่งเพราะร่างมนุษย์ที่พวกเราเห็นเมื่อครู่เป็นเพียงสิ่งที่เอาไว้ล่อเหยื่อให้มาติดกับเท่านั้น”

“เก็บเรื่องที่สอนในตำราเอาไว้ก่อน ตอนนี้พวกเราน่าจะหาทางกำจัดมันมากกว่านะ ท่านจอมเวท”

โซลย์พูดขัดขึ้นพลางกวัดแกว่งดาบฟันรากไม้ที่ผุดขึ้นมาเพื่อคว้าร่างของเขาไม่หยุด
ฟอร์เซ็ตติเผารากอีกเส้นที่ม้วนตัวตวัดมาหาเขา

“ใช้ดาบบรุนนาลาสิ โซลย์” จอมเวทหนุ่มพูดขึ้น “แทงมันลงไปตรงรากที่ใหญ่ที่สุดแล้วเผามันด้วยเวทกำกับดาบ”

“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ารากไหนคือรากใหญ่ที่สุด” โซลย์ตะโกนถาม พื้นดินใต้เท้าของเขาโป่งออกและดันร่างของแม่ทัพหนุ่มให้ลอยสูงขึ้นไปในอากาศก่อนจะยุบตัวลงไป รากไม้ขนาดมโหฬารบิดตัวออกมาและคว้าร่างของเขาเอาไว้

“นี่ไง รากใหญ่ที่สุด”

เสียงโมไดพูดขึ้นอย่างดีใจแต่โซลย์กลับคำรามลั่นด้วยความโมโห

“เจ้าดีใจที่เห็นรากไม้หรือดีใจที่เห็นข้าถูกจับได้กันแน่ โมได!”

“ชักดาบออกมาเร็ว โซลย์”

ฟอร์เซ็ตติร้องเตือน แม่ทัพแห่งมอร์เซลพยายามล้วงมือผ่านรากไม้เพื่อไปให้ถึงซองดาบแต่ไม่สำเร็จเนื่องจากถูกรัดเอาไว้จนแน่น เขาสบถเสียงดัง โมไดยกรันนิ่งของเขาขึ้นแต่จอมเวทหนุ่มรีบร้องห้าม

“อย่าโมได เดี๋ยวจะพลาดไปโดนโซลย์เข้า”

เสียงร้องอุทานด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากโซลย์ทำให้สีหน้าของฟอร์เซ็ตติแปรเปลี่ยนไป เขาพุ่งตัวออกไปข้างหน้าพร้อมกับดีดตัวขึ้นไปยืนบนรากไม้ที่ยกตัวลอยขึ้นไปในอากาศ ไม้เท้าในมือถูกปักลงไปบนราก

“ดันเนอร์”

แรงสั่นสะเทือนอันเกิดจากพลังเวททำให้บริเวณที่สัมผัสกับปลายไม้เท้าปริแยกออก เจ้ารากไม้ปิศาจคลายตัวเล็กน้อยโซลย์รีบถือโอกาสสอดมือของเขาผ่านช่องว่างที่เกิดขึ้นและดึงบรุนนาลาออกมา เป็นจังหวะเดียวกันกับเจ้าต้นไม้ปิศาจเหวี่ยงรากของมันลงไปกระแทกกับพื้นดิน ร่างของจอมเวทหนุ่มเสียหลักและร่วงลงไป เขารีบยันกายลุกขึ้นพร้อมกับร้องบอกคำบงการอาวุธเวทแก่โซลย์

“จงกล่าวคำว่า อัซช์บรุนน์”

โดยไม่ต้องรอให้บอกซ้ำสอง โซลย์หมุนดาบเพลิงในมือและปักมันลงไปบนรากไม้เต็มแรง มือทั้งสองข้างกุมด้ามเอาไว้แน่น

“จงสำแดงพลังของเจ้า บรุนนาลา” เขาร้อง “อัซช์บรุนน์!”

ดาบที่ได้รับมาจากฟอร์เซ็ตติเปล่งแสงสีแดงจัดราวกับลุกเป็นไฟคลื่นพลังแห่งพระเพลิงไหลลามไปตามรากไม้และกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงสีแดงส้มวิ่งไล่ไปตามรากทุกราก ไม่เว้นแม้ว่ามันจะจมอยู่ใต้ดิน หุ่นล่อเหยื่อดิ้นรนไปมาพร้อมกับกรีดเสียงแหลมเล็กเมื่อลุกติดไฟ ร่างของโซลย์ถูกสะบัดเหวี่ยงออกไปจนไกล เขาดันตัวให้ลุกยืนขึ้นอย่างยากลำบากขณะจ้องมองดูก้อนดินสีดำขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากดินมันอ้าปากกว้างและทิ้งตัวลงไปบนพื้น เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชติช่วงแผดเผามันจนมอดไหม้กลายเป็นซากดำเกรียม รากที่แกว่งไกวตกร่วงลงสู่พื้นและงอหงิก ควันสีขาวลอยออกมาจากซากตอตะโกซึ่งแตกร่วนเป็นผุยผง โซลย์ก้มลงหยิบบรุนนาลาขึ้นมา ตัวดาบซึ่งเป็นสีแดงฉานเมื่อครู่กลับกลายเป็นสีเงินวาววับเช่นเดิม เขาตวัดดาบไปมาในอากาศก่อนเก็บเข้าฝักด้วยความรู้สึกถูกอกถูกใจ

“เป็นอาวุธที่ทรงพลังสมกับที่เคยเป็นของคู่กายนักรบเวทผู้ยิ่งยงแห่งนครต้องสาป”

โซลย์เอ่ยชม ฟอร์เซ็ตติยิ้มรับ

“แล้วทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องอาวุธอะไรนี่เลย” โมไดท้วงขณะเก็บรันนิ่งกลับเข้าซอง จอมเวทหนุ่มเลิกคิ้วสูงพร้อมกับกล่าว

“เจ้ามีรันนิ่งแล้ว ยังจะต้องการสิ่งใดกันอีก”

“ข้าอยากได้ดาบดีๆสักเล่มบ้าง”

“แล้วรันนิ่งไม่ดีหรือ” ฟอร์เซ็ตติย้อนถามด้วยสีหน้านิ่งสนิทจนเด็กหนุ่มรู้สึกไหวเยือก เขาตีหน้ายุ่งก่อนจะตอบ

“ก็ดี” เขาพูดเสียงอ้อมแอ้ม “แต่ข้าอยากได้ดาบบ้างเท่านั้นเอง”

ฟอร์เซ็ตติชำเลืองตามองเด็กหนุ่มแล้วส่ายหน้าจากนั้นจึงหันไปทางโซลย์และเอ่ยถามเขาด้วยความเป็นห่วง

“ดูเหมือนเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ”

“แค่เคล็ดนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ต้องห่วง”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลแกว่งแขนไปมาพร้อมกับนิ่วหน้า จอมเวทหนุ่มจึงคว้าแขนของเขามาดู คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นรอยช้ำเป็นวงกว้างบริเวณท้องแขน

“จากรอยช้ำนี่ แสดงว่าเจ้าเจ็บไม่น้อยเลย”

“ยังไกลจากหัวใจมาก อย่าวิตกไปเลยน่ะ”

โซลย์ตอบและดึงแขนออกจากมือของฟอร์เซ็ตติ แนชท์ดึงห่อผ้าเล็กๆออกมาจากเสื้อของตนและส่งให้กับแม่ทัพหนุ่ม

“ทายานี่เสียสิ มันจะช่วยให้เจ้าหายได้เร็วขึ้น”

เด็กสาวพูดเสียงห้วน ท่ามกลางสายตาแสดงความแปลกใจของโซลย์และโมได แก้มนวลใสเข้มขึ้นเมื่อแม่ทัพแห่งมอร์เซลพูด

“ขอบใจมาก แนชท์”

ดวงตาสีดำเหลือบไปมองฟอร์เซ็ตติ ใบหน้าสีชมพูเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเมื่อเห็นรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนของเขา แนชท์ก้มหน้าลงมองดูพื้นทันที เป็นจังหวะเดียวกันกับที่โมไดก้มตัวลงมากระซิบ

“ไม่คิดว่าจะมีน้ำใจเหมือนกัน”

เด็กสาวเงยหน้าขึ้นและหันขวับไปมองดูคู่กรณีด้วยดวงตาวาววับ เขาหัวเราะออกมาพร้อมกับเอื้อมมือขยี้ผมของนางด้วยความเอ็นดู

“ขอบใจเจ้ามาก”

เขาพูดก่อนเดินไปดูโซลย์และกุลีกุจอช่วยเหลือเขาด้วยท่าทางคล่องแคล่ว แนชท์อ้าปากที่คิดจะปล่อยคำพูดยอกย้อนค้างนิ่งก่อนสะบัดเมินมองไปอีกด้าน

“พวกเราเดินทางกันต่อได้แล้ว”

โมไดพูดขึ้น เขาตบแขนของโซลย์ที่ถูกผ้าพันเอาไว้อย่างเรียบร้อย ฟอร์เซ็ตติจึงเดินนำหน้าออกไปโดยมีแนชท์วิ่งตามไปติดๆ ตามด้วยโซลย์และโมได ทั้งสี่เดินทางกันอย่างเงียบๆแต่รวดเร็ว ไม่ช้าก็มาถึงลานโล่งซึ่งมีดอกไม้เล็กๆบานอยู่เต็มจนแลเห็นเป็นสีเหลืองอร่ามไปจนถึงริมฝั่งแม่น้ำ  

“ทุ่งดอกบิออร์”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเปรยขึ้น เขาไล่สายตามองดูทุ่งดอกไม้สีหลืองทองที่บานสะพรั่ง แนชท์เดินตรงเข้าไปยังกลุ่มดอกบิออร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด เด็กสาวมองดูดอกไม้ที่มีลักษณะคล้ายดาวดวงเล็กๆสีเหลืองอร่ามด้วยความสนใจและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

“หอมจริงๆเลย” นางหันมาบอกด้วยสีหน้าร่าเริงและทำท่าราวกับจะก้มลงไปเด็ด ฟอร์เซ็ตติรีบร้องห้ามอย่างตกใจ

“อย่าแนชท์ รีบถอยห่างจากดอกไม้นั่นเร็ว!”

มือที่แข็งแรงเอื้อมออกไปคว้าเอวของเด็กสาวและรั้งออกมาอย่างรวดเร็ว ดอกไม้รูปดวงดาวยืดก้านของมันและโผพุ่งตามมาติดๆพร้อมกับพ่นของเหลวสีเขียวขุ่นออกมา มันเฉี่ยวผ้าคลุมของฟอร์เซ็ตติไปเล็กน้อยและสร้างรอยไหม้ให้เกิดขึ้นสองสามจุด แนชท์มองดูดอกดวงดาวที่กำลังลดก้านลงไปและแกว่งไหวชูช่อรับลมราวกับเป็นไม้ดอกธรรมดาด้วยสีหน้าตระหนก เสียงของจอมเวทหนุ่มพูด

“ดอกบิออร์เคยเป็นดอกไม้ประจำริมฝั่งริเวอร์ มันถูกเรียกว่าดาราริมธาร แต่พอได้รับน้ำเลี้ยงพิษจากสายน้ำซึ่งมีเลือดของจอมมารเจือปน มันได้แปรเปลี่ยนไปเป็นดอกไม้ที่คอยจับสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร ยางของมันจะย่อยเจ้าจนกลายเป็นของเหลวเพื่อที่พวกมันจะได้ดูดกินโดยง่าย คราวต่อไปหากคิดจะชื่นชมธรรมชาติในมาร์วัลลัส รอให้ข้าดูจนแน่ใจเสียก่อนว่าปลอดภัยจึงค่อยกระทำ”

ฟอร์เซ็ตติกล่าวพลางคลายอ้อมแขนที่กอดกุมร่างเด็กสาวไว้ออก แนชท์รับคำด้วยสีหน้าซีด
โมไดกลืนน้ำลายลงคอขณะที่มองดูดอกไม้มหาภัยตรงหน้า

“แล้วพวกเราจะข้ามฝั่งไปได้ยังไงกัน แค่หาทางผ่านดงดอกดาราริมธารอะไรนี่ก็ยากเต็มทีแล้ว”

“ผ่านดงบิออร์น่ะไม่ยากเท่าใดหรอก โมได แต่การข้ามแม่น้ำต่างหากที่น่ากลัว” จอมเวทหนุ่มตอบ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างหนัก ขณะที่โซลย์ซึ่งเหลียวมองไปรอบๆเอ่ยขึ้น

“พวกเราสร้างแพข้ามไปดีไหม”

“แถวนี้ไม่มีต้นไม้ขนาดใหญ่พอที่จะสร้างเรือหรือแพได้หรอก โซลย์”

“แม่น้ำนี่ลึกแค่ไหนกัน พวกเราว่ายข้ามไปได้หรือไม่” โมไดถาม จอมเวทมองหน้าและตอบ

“ในแม่น้ำนี่มีสัตว์น้ำที่เปลี่ยนสภาพไปแล้วอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ความลึกก็น่าจะราวยี่สิบเมตรเห็นจะได้ เจ้าคิดว่าพอจะว่ายข้ามไปไหวหรือ โมได”

“แล้วพวกเราจะข้ามไปโดยวิธีใดกัน”

“ข้ากำลังหาทางอยู่”

ฟอร์เซ็ตติตอบสั้นๆ โซลย์มองดูท้องฟ้าที่เริ่มมืดสลัวลงทุกขณะ สีหน้าของแม่ทัพใหญ่เต็มไปด้วยความวิตก

“สิ่งที่พวกเราควรคิดก่อนในเวลานี้คือที่พัก”

“พวกเราคงต้องพักกันที่นี่” จอมเวทกล่าว “ดงบิออร์อาจจะเป็นอันตรายแต่ในขณะเดียวกันมันก็จะช่วยป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากแม่น้ำด้วย”

“หวังว่ามันคงไม่ยืดออกมาลากเราไปกินตอนดึกนะ”

โมไดพูดด้วยสีหน้าหวั่น ฟอร์เซ็ตติมองหน้าเขา

“ถ้าเจ้าไม่เดินออกไปหาภัยใส่ตัวเองแล้วล่ะก็ กิ่งก้านของดอกบิออร์ไม่มีทางมาถึงเราได้แน่ๆ โมได”

โซลย์เริ่มมองหาเศษไม้เพื่อจะนำมาก่อไฟแต่จอมเวทกลับห้ามด้วยเหตุผลที่ว่ามันอาจจะเป็นเป้าสายตาของเหล่านักล่าในตอนกลางคืน รวมถึงกองโจรซึ่งยังคงมีอยู่ในแผ่นดินมาร์วัลลัส ทั้งหมดจึงตกลงที่จะผลัดกันเฝ้าเวรยามกันคนละสองชั่วโมงโดยให้แนชท์อยู่เป็นคนแรก หลังจากเสร็จสิ้นการกินอาหาร เด็กสาวจึงนั่งอยู่ยามตามข้อตกลง นางกวาดสายตามองไปรอบตัว ด้วยความเคยชินกับความมืดทำให้แนชท์สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ดีกว่าคนธรรมดาทั่วไป เด็กสาวเหลียวไปมองดูฟอร์เซ็ตติที่นั่งหันหน้าออกไปทางด้านแม่น้ำและทำท่าคล้ายจะชวนเขาคุย แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันเคร่งขรึมประกอบกับแววตาซึ่งกำลังครุ่นคิดทำให้นางเปลี่ยนใจ

“ให้ข้าคุยด้วยได้ไหม”

เสียงโมไดพูด แนชท์สะดุ้งเล็กน้อยและหันไปทำตาดุใส่เขา เด็กหนุ่มยิ้ม

“ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องตกใจ”

“ข้าไม่ได้ตกใจ เพียงแต่ไม่คิดว่าเจ้าจะลุกขึ้นมาเร็วกว่าเวลาที่ตกลงกันไว้เท่านั้น” แนชท์พูดแก้เก้อ โมไดขยับตัวมานั่งใกล้นาง

“ข้านอนไม่หลับ” เขาเหยียดขาออกไปในท่าสบาย “จะให้นอนมองดูท้องฟ้าเฉยๆมันก็น่าเบื่อเลยคิดได้ว่าน่าจะมานั่งเป็นเพื่อนเจ้า อย่างน้อยการได้พูดคุยกันบ้างมันก็ช่วยให้คลายเหงาได้เป็นอย่างดี”

“ข้าไม่ได้เหงา” แนชท์แย้ง “เพียงแค่รู้สึกว่ามันแปลกๆไปเวลาที่ต้องอยู่คนเดียวเท่านั้น”

“ข้าเข้าใจ” โมไดพูด “คืนแรกที่ลินซ์ถูกพาตัวไปข้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”

“ลินซ์” เด็กสาวทวนชื่อด้วยสีหน้าแปลกใจจนโมไดต้องรีบพูด

“น้องสาวของข้าเอง นางถูกจอมมารจับตัวไปและข้าก็กำลังจะไปช่วยนางกลับมา”

“ป่านนี้แล้วนางคง..............” แนชท์ชะงักคำพูดค้างไว้เมื่อเห็นสายตาวาวโรจน์ของเด็กหนุ่ม เขากัดฟันกรอดและยกมือข้างหนึ่งขึ้นบีบต้นแขนของนาง

“ลินซ์จะต้องไม่เป็นอะไร”เขาพูดเสียงเข้ม “อย่าได้พูดแบบนั้นออกมาเป็นอันขาด”

“ข้าขอโทษ”

เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าสลด โมไดคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นของเขา มือข้างที่บีบแขนแนชท์คลายออก

“ไม่เป็นไร” เขามองดูแนชท์ซึ่งกำลังคลำแขนของตนเอง “ขอโทษที่บีบแขนเจ้าแรงไปเมื่อครู่ ข้าเพียงแต่......”

“เจ้าเป็นห่วงน้องสาวมากจึงได้ทำเช่นนี้ ข้าไม่โกรธเจ้าหรอก”

ทั้งคู่นั่งนิ่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง แนชท์จึงเอ่ยถามเบาๆ

“เจ้ารู้จักกับท่านฟอร์เซ็ตติได้ยังไงกัน”

“พวกเขามาหาพ่อของข้าที่บ้าน” โมไดตอบและเริ่มเล่าเรื่องราวของเขาตั้งแต่การช่วยเหลือโซลย์จากเซอเพนนาไปจนถึงตอนที่ลินซ์ถูกราชันย์ปิศาจพาตัวไป เด็กสาวนิ่งไปชั่วครู่จึงกล่าว

“พวกเจ้าตั้งใจจะไปสังหารจอมมารจริงๆหรือ”

“นั่นต้องหลังจากที่พวกเราค้นหาเดราเนียร์เจอ” โมไดตอบ “แต่จนบัดนี้แล้วข้ายังไม่รู้เลยว่า ดาบกรามร์กับเดราเนียร์นั่นหน้าตาเป็นยังไง”

“บางทีท่านฟอร์เซ็ตติอาจจะรู้ก็ได้”

“ข้าเคยถามเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ดูเหมือนเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าของวิเศษทั้งสองสิ่งนั้นอยู่ที่ใดกัน” โมไดพูดพลางเลื่อนสายตาไปมองจอมเวทซึ่งนั่งถัดไปจากเขาไม่ไกลนัก แนชท์นิ่วหน้า

“ฟังดูเหมือนพวกเจ้ายังหาเป้าหมายที่แท้จริงไม่พบ” นางกล่าว “แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จึงจะไปช่วยน้องสาวของเจ้าได้”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ “แต่อย่างน้อยในตอนนี้ข้าก็เชื่อมั่นว่าลินซ์ยังคงมีชีวิตอยู่”

“ทำไมเจ้าจึงเชื่อเช่นนั้น”

“จอมมารคงไม่เสียเวลาพาน้องสาวของข้ากลับไปยังแซฟเวจย์หากต้องการสังหารนางตั้งแต่ต้น”

“ข้าหวังว่าพวกเราคงจะค้นหาศาสตราซึ่งจะใช้เป็นอาวุธสังหารจอมมารได้พบ และไปช่วยเหลือน้องสาวของเจ้าออกมาโดยเร็ววัน”

แนชท์กล่าวพร้อมกับยิ้มให้กับโมได หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาในทันที

“ข้าเองก็หวังไว้เช่นนั้น” เขาพูดเสียงอ้อมแอ้ม “ขอบใจนะแนชท์”

“ไม่เป็นไร” เด็กสาวตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน โมไดรู้สึกว่าหน้าของตนร้อนผ่าวจึงรีบเลื่อนสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเอนตัวลงนอน

“อย่าลืมปลุกข้าเมื่อได้เวลาก็แล้วกัน”

“ตกลง”

แนชท์ตอบและเบนสายตามองไปยังฟอร์เซ็ตติ เด็กสาวแอบอมยิ้มให้กับตัวเองก่อนเงยหน้าขึ้นไปมองดวงดาวบนท้องฟ้า

*-*-*-*

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 08:06:00




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com