“รถเสีย ช่วยลงไปรอข้างล่างก่อนครับ” คนขับรถทัวร์ร้องบอกผู้โดยสาร ผมค่อยๆลืมตาขึ้น รู้สึกหงุดหงิดที่ถูกปลุกจากความฝัน แต่ก็ตลกตัวเองที่พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่ากำลังฝันเรื่องอะไรอยู่ มองดูนาฬิกาเห็นว่าเกือบเที่ยงคืนแล้ว ผู้โดยสารเกือบทั้งคันกำลังนอนหลับอย่างสบายอารมณ์ แต่จู่ๆก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมากลางดึกแบบนี้ จึงไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินเสียงบ่นจากหลายๆคน “อะไรกัน รถเสียอีกแล้ว กลับบ้านสงกรานต์ปีก่อน รถของบริษัทนี้ก็เสียกลางทางไปแล้วทีหนึ่ง คราวหน้าคงต้องเปลี่ยนบริษัทซะแล้ว” ผู้โดยสารคนหนึ่งบ่นเสียงดังอย่างจงใจ “แล้วต้องซ่อมนานแค่ใหนกัน คงไม่ใช่ว่าต้องรอทั้งคืนนะ” เสียงบ่นของอีกคนดังขึ้น หลายคนอยากนอนบนรถต่อแต่ต้องเปลี่ยนใจ รถทัวร์ปรับอากาศชั้นหนึ่งที่นั่งอยู่ตอนนี้เริ่มร้อนจนอึดอัด รถดับไปทำให้แอร์ในรถใช้ไม่ได้ตามไปด้วย ผู้โดยสารต่างลงจากรถอย่างหัวเสีย ผมรอให้คนอื่นลงไปหมดแล้วจึงเดินตามลงมา เห็นหลายคนจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส ผมไปยืนใกล้พอให้ได้ยินเรื่องที่พวกเขากำลังพูด “ถนนช่วงนี้รถเสียบ่อย เพราะเป็นทางขึ้นเขาที่ค่อนข้างชัน บางทีรถมันก็ไปต่อไม่ไหวเหมือนกัน” ชายคนหนึ่งพูด “รู้ทั้งรู้ว่าทางมันลำบากก็ควรเช็ครถให้ดีก่อนเอามาวิ่ง” ชายที่ยืนอยู่ข้างกันพูด “ดูจากสภาพแล้วยังดีที่แค่รถเสีย ถ้าเบรคแตกหรือล้อระเบิดจะว่ายังไง” ชายอีกคนบ่น ยืนฟังได้ซักพักผมจึงเดินออกมา เข้าใจความรู้สึกของพวกเขา พรุ่งนี้เป็นวันสงกรานต์แล้ว ทุกคนคงร้อนใจอยากไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว หลายคนคงมีแผนไปทำบุญหรือพาครอบครัวไปเที่ยวในวันปีใหม่ไทย ปกติรถเที่ยวนี้จะถึงที่หมายตอนเช้าพอดี แต่เพราะรถเสียทำให้หลายคนกังวลว่าอาจต้องเปลี่ยนแผนที่วางไว้ จุดที่รถจอดอยู่เป็นถนนเส้นแคบๆเลียบภูเขา ห่างจากถนนไปทางซ้ายมือไม่ไกลเป็นไหล่เขา มองลงไปเห็นต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้ขึ้นหนาทึบ ทางขวามือเป็นผาสูงตระหง่าน มีเครื่องกั้นกันหินที่อาจหล่นลงมาบนถนน ทางเส้นนี้มีเสาไฟให้แสงสว่างเป็นระยะ แต่โชคร้ายที่รถมาเสียตรงระหว่างเสาไฟสองต้นพอดี ทำให้ต้องยืนกันมืดๆอย่างนั้น ผมมองไปตามถนนเห็นว่าอีกประมาณห้าร้อยเมตรมีศาลารอรถประจำทางอยู่ ที่สำคัญตรงนั้นมีเสาไฟให้แสงสว่าง ผมตัดสินใจเดินไปที่ศาลานั้น คิดว่าคงดีกว่ายืนรอในที่มืดๆแบบนี้ พูดถึงเรื่องกลับบ้าน ตอนแรกผมมีแผนว่าต้องอยู่ติดต่อลูกค้าในช่วงหยุดสงกรานต์ แต่ในที่สุดก็มีเหตุให้ต้องยกเลิกไป พอจะขึ้นรถกลับก็พบว่าตั๋วรถทัวร์สายอื่นถูกจองเต็มหมดแล้ว มีบริษัทนี้บริษัทเดียวที่ยังมีที่นั่งเหลือ ถึงจะใช้เวลาเดินทางมากกว่าบริษัทอื่นหลายชั่วโมงแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้กลับบ้านเลย ถ้าต้องอยู่คนเดียวตลอดช่วงวันหยุดยาวคงเหงาพิลึก ผมมองไปรอบตัว แสงจันทร์คืนข้างขึ้นสว่างพอให้มองเห็นทางได้อย่างไม่ลำบากนัก ทางเส้นนี้เคยเป็นเส้นทางหลัก แต่เมื่อมีการตัดถนนเส้นใหม่คนส่วนมากจะเลือกใช้ทางเส้นนั้นเพราะประหยัดเวลาและปลอดภัยกว่า นานๆทีถึงจะมีรถผ่านมาซักคัน มองไปข้างทาง สายตาที่ชินกับความมืดแล้วมองเห็นภูเขาสลับซับซ้อน พื้นที่แถวนี้ส่วนใหญ่เป็นป่าอุดมสมบูรณ์ บ้านของชาวบ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกัน ผมเห็นแสงไฟจากหลังที่อยู่บนภูเขาอีกลูกหนึ่ง อากาศในตอนนี้ก็กำลังเย็นสบาย คิดว่าอาจเป็นโชคดีก็ได้ที่รถมาเสียตรงนี้ทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติที่สวยงามอีกแบบหนึ่ง เพราะธรรมดาคงไม่มีใครจอดรถชมวิวบนภูเขากันตอนดึกดื่นแบบนี้ เดินมาได้ครึ่งทางผมก็เหนื่อยจนต้องหยุดพัก หันกลับไปมองรถทัวร์ที่จอดเสียอยู่ เห็นว่าตอนนี้มีรถอีกคันจอดอยู่ข้างๆ มองดูแล้วคิดว่าคงเป็นรถจากบริษัทเดียวกัน แสดงว่ารถที่ผมนั่งมาอาการคงจะหนักเอาการและอาจใช้เวลานานในการซ่อม คนขับเลยฝากผู้โดยสารให้ไปกับรถของบริษัทที่ผ่านมาพอดี ไม่นานรถทัวร์คันนั้นก็ขับผ่านผมไป ผมมองเห็นคนยืนเต็มรถจนแทบไม่มีที่ว่าง พวกเขาคงต้องยืนกันไปหลายชั่วโมง ถ้าให้เลือกผมขอโบกรถไปเองดีกว่า อย่างน้อยยังได้นั่งไปตลอดทาง แล้วผมก็รู้ว่าการโบกรถตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นานๆทีจะมีรถผ่านมาซักคัน ส่วนมากจะขับผ่านไปเหมือนมองไม่เห็นคนโบกด้วยซ้ำ มีเหมือนกันที่ขับมาใกล้แล้วบีบแตรใส่ดื้อๆ บางคันก็เปิดไฟสูงใส่จนผมตาพร่าไปหมด เดินไปได้ซักพักก็มาถึงศาลารอรถ ตอนนี้เองจึงรู้ว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว คะเนแล้วคงเรียนอยู่ชั้น ป.5 หรือไม่ก็ ป. 6 แปลกใจที่เด็กคนนี้เดินมาถึงก่อน ผมเดินเข้าไปทักทาย “หนูกำลังรอคุณพ่อคุณแม่มารับค่ะ พี่จะไปกับพวกหนูก็ได้นะคะ” เด็กคนนั้นบอก ผมบอกขอบคุณในน้ำใจ คิดว่ารอดแล้วเรา โบกรถไม่ได้อย่างน้อยก็ขอติดรถน้องเขาไปลงที่ตัวจังหวัด แล้วการต่อรถที่นั่นคงจะดีกว่า “เดินทางคนเดียวแบบนี้บ่อยหรือเปล่าครับ” ผมถามด้วยความสงสัย “ปกติก็ไม่บ่อยค่ะ คุณพ่อคุณแม่ไปรับไปส่งตลอด แต่เผอิญครั้งนี้หนูต้องเดินทางก่อน” เธอตอบพลางใช้มือหมุนกำไลสีสดใสที่ข้อมือเล่น “แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องรอให้พวกท่านมารับอยู่ดี” เด็กหญิงพูดต่อ ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น อากาศเริ่มเย็นลง ผมเพิ่งสังเกตุว่ามีหมอกสีขาวลอยอยู่ทั่วไป ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงแปลกใจที่เห็นหมอกหลงฤดูอย่างที่เห็น แต่ทุกวันนี้อากาศเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางวันมีครบทั้งสามฤดู ยิ่งบนภูเขาแล้วอากาศคงเปลี่ยนแปลงง่ายตามแต่อิทธิพลของลมอะไรต่ออะไรที่พัดเข้ามา ไม่นานหมอกจางๆที่เห็นในตอนแรกก็เริ่มหนาขึ้นจนมองสิ่งต่างๆแทบไม่เห็น แล้วผมก็มองเห็นแสงไฟคู่หนึ่ง คิดว่าน่าจะเป็นแสงไฟจากหน้ารถ แสงนั้นค่อยๆใกล้เข้าอย่างมาอย่างช้าๆ จนในที่สุดรถทัวร์คันหนึ่งก็มาจอดตรงหน้าพวกเรา คนขับรถทัวร์ที่เสียคงแจ้งไปให้บริษัทส่งรถมารับผู้โดยสาร แต่กลายเป็นว่ามีรถของบริษัทคันอื่นผ่านมาถึงก่อน คนเลยแห่ขึ้นคันนั้นกันหมด เหลือเราสองคนเป็นกลุ่มสุดท้าย ประตูรถเปิดออก ผมขึ้นไปบนรถแล้วหันมาชวนน้องที่นั่งอยู่ให้ขึ้นไปด้วยกัน “ผมว่ารอที่นี่คนเดียวมันอันตราย เข้าไปรอที่ตัวจังหวัดดีกว่า” ผมแนะนำ เธอลังเลเล็กน้อยแต่เมื่อมองไปรอบๆแล้วเห็นว่าจริงอย่างที่ผมพูดเธอเลยก้าวขึ้นรถมา ผมรีบมองสำรวจรถจนทั่ว พบว่านอกจากผมและน้องที่ขึ้นมาใหม่แล้ว บนนี้มีแค่คนขับกับเด็กหนุ่มผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังคนขับ ส่วนน้องผู้หญิงที่ขึ้นมาด้วยกันนั่งอีกฝั่งหนึ่งถัดจากผมไปข้างหลังอีกสองแถว ประตูรถปิดสนิทแล้วรถทัวร์จึงค่อยๆแล่นออกไป “น้องคนนั้นเขาบอกให้ครอบครัวมารับแล้ว และขอลงที่ตัวจังหวัด” ผมบอกเด็กหนุ่ม เขาหันไปมองเด็กหญิงที่ตอนนี้นั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง เขาพยักหน้าแล้วเดินไปบอกคนขับ ผมรู้สึกคุ้นหน้าเด็กหนุ่มคนนี้เหมือนเคยเจอกันที่ใหนมาก่อน เขาเดินกลับมาบอกว่าคนขับรู้แล้ว ผมขอบคุณและคิดว่าตอนนี้ถ้าจะนอนก็คงนอนไม่หลับ ผมเลยชวนเด็กหนุ่มคนนั้นคุย “อากาศช่วงนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยนะครับ” ผมชวนคุย “จริงครับ ยิ่งสองสามปีมานี้ อากาศเรียกว่าผิดธรรมชาติได้เลย” เขาตอบ “ปกติทางเส้นนี้ก็อันตรายอยู่แล้ว ยิ่งเจอหมอกเข้าไปเลยเกิดอุบัติเหตุกันบ่อยมาก” เด็กหนุ่มเล่า “แล้วพอเกิดอุบัติเหตุบ่อยคนก็เริ่มลือกันไปต่างๆนาๆ” เขาเล่าต่อ “แล้วลือเรื่องอะไรกันบ้าง” ผมเริ่มสนใจ ตอนนี้เด็กหนุ่มนั่งลงที่เบาะข้างๆผม พูดเสียงเบาเหมือนกลัวว่าจะมีคนอื่นได้ยิน “เขาลือกันว่ามีวิญญาณที่ตายจากอุบัติเหตุมายืนโบกรถขอเดินทางไปด้วยน่ะสิพี่” เด็กหนุ่มบอก ฟังถึงตอนนี้ผมเลยเข้าใจว่าทำไมไม่มีคนจอดรถรับผมเลยซักคัน เพราะมีเรื่องเล่านี่เอง “แสดงว่าลือกันมากจริงๆ” ผมพูด “แต่ก่อนก็มีลือกันบ้างแต่ไม่มาก เริ่มมาหนักเอาตอนหลังรถทัวร์ตกเหวจนเป็นข่าวใหญ่เมื่อสามปีก่อน” เด็กหนุ่มเล่า “หลังจากนั้นก็มีคนเล่าว่าเห็นวิญญาณมายืนอยู่ข้างทางบ้างหละ เห็นรถทัวร์ผีสิงบ้างหละ” เขาเล่าต่อ “ยิ่งตอนช่วงสงกรานต์อย่างนี้ เขาบอกว่าเจอกันทั่วหน้า บางทีก็แกล้งให้รถดับ แล้วทีนี้จะขับหนีก็หนีไม่ได้” เขาเล่าพร้อมกับทำท่าขนลุก ผมหันไปมองเด็กหญิงที่อยู่ข้างหลัง สงสัยว่าเด็กจะกลัวเรื่องที่ได้ยินหรือเปล่า กลางดึกแบบนี้อย่าว่าแต่เด็กเลยตัวผมก็ยังกลัว แต่เห็นเธอยังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่ารถค่อยๆขับช้าลง เด็กหนุ่มวิ่งไปถามคนขับว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องรอคำตอบจากเขา ผมก็รู้ว่าข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุเพราะแสงไฟจากรถตำรวจเห็นชัดมาแต่ไกล ตำรวจหลายนายกำลังทำงานวุ่นอยู่ รถของเราวิ่งผ่านรถเก๋งคันหนึ่งที่ตอนนี้พลิกคว่ำอยู่ข้างทาง รอยบนถนนทำให้พอเดาได้ว่ารถคงเสียหลักและพลิกหลายตลบ คิดว่าคงเกิดเรื่องมานานพอสมควรแล้วเพราะทางตำรวจเริ่มให้เคลื่อนย้ายสิ่งกีดขวางต่างๆออกไปไว้ข้างทาง ขณะที่รถของเรากำลังแล่นผ่านที่เกิดเหตุอย่างช้าๆ ผมก็มองเห็นร่างหนึ่งนอนอยู่ข้างทางโดยมีผ้าสีขาวคลุมอยู่ ยิ่งน่าเศร้าที่ร่างนั้นเล็กเกินกว่าจะเป็นร่างของผู้ใหญ่ รถของเราเคลื่อนไปเรื่อยๆ แต่แล้วสายตาของผมก็มองไปเห็นบางอย่าง ถึงแม้ร่างนั้นจะคลุมผ้าไว้อย่างดี แต่ไม่ได้คลุมแขนข้างหนึ่งไว้ ผมเห็นแขนข้างนั้นใส่กำไลสีสันสดใส กำไลที่ผมเห็นว่าน้องผู้หญิงที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ข้างหลังใส่อยู่ ผมจำได้แม่นเพราะเธอชอบหมุนเล่นเวลาที่เราคุยกัน หรือว่าที่ผ่านมาผมคุยกับคนตายมาตลอด ผมพยายามตั้งสติแล้วค่อยๆหันไปมองเด็กหญิงที่อยู่ข้างหลัง เธอยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ผมเพิ่งสังเกตุว่าสายตาของเธอเต็มไปด้วยความเศร้า หรือว่าเธอยังไม่รู้ว่าตอนนี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว ทำให้คิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาว่าวิญญาณที่ตายจากอุบัติเหตุบางทีก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทำให้ไปใหนไม่ได้ต้องวนเวียนอยู่อย่างนั้น คิดถึงตอนนี้ความกลัวได้เปลี่ยนไปเป็นความสงสาร “ผมมีความลับเรื่องหนึ่งจะเล่าให้พี่ฟัง” เด็กหนุ่มกลับมานั่งลงที่เบาะข้างๆผมแล้วพูดเสียงเบาจนเหมือนกระซิบ “มีอะไรก็เล่ามา ทำไมต้องทำเหมือนมีลับลมคมในด้วย” ผมพูด สายตายังมองไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้น “ผมอยู่บนรถทัวร์คันนั้นด้วยตอนเกิดเหตุ” เด็กหนุ่มบอก “รถทัวร์คันใหน” ผมถามออกไปอย่างไม่สนใจมากนัก เพราะตอนนี้ในสมองคิดแต่เรื่องของเด็กที่อยู่ข้างหลัง “ก็รถทัวร์ที่ตกเหวเมื่อสามปีก่อนไงครับ” เขาตอบ ผมหันมามองเด็กหนุ่มที่ยังเล่าเรื่องต่อไป เขาว่าสามปีก่อนรถทัวร์ที่เขาทำงานอยู่เกิดอุบัติเหตุที่ถนนเส้นนี้ พอรถมาถึงที่เกิดเหตุ มีรถทัวร์คันหนึ่งพยายามแซงรถสิบล้อที่อยู่ข้างหน้า รถของเขาวิ่งสวนมาพอดี ด้วยความตกใจคนขับเลยหักหลบ ผลก็คือรถตกลงเหวข้างทาง เด็กหนุ่มบอกว่าภาพยังติดตาเขาอยู่เลย เขายังจำใบหน้าและเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวของผู้โดยสารในวันนั้นได้ “ลงข่าวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับเลยครับ บอกว่ารถทัวร์ตกเหวตายทั้งคัน” เด็กหนุ่มเล่า “แต่น้องก็รอดมาได้” ผมพูดแม้ในใจจะเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง “จะเอาแน่เอานอนอะไรกับข่าวครับ แต่โชคร้ายที่ครั้งนี้หนังสือพิมพ์เขาลงเรื่องจริง” เด็กหนุ่มตอบเสียงเรียบ ผมตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน โดยไม่ตั้งใจผมมองไปที่คนพูด สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมแทบหมดสติ เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆผมตอนนี้สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ตามตัวเต็มไปด้วยเลือด ผมมองไปที่คนขับ เขาเหมือนรู้ว่ามีคนจ้องอยู่จึงค่อยๆหันมา ทำให้ผมมองเห็นเลือดที่อยู่บนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน ผมร้องอย่างตกใจ ลุกขึ้นแล้วกระโดดข้ามร่างเด็กหนุ่มที่นั่งขวางอยู่ ผมรีบวิ่งไปที่ประตูรถ แต่ถึงพยายามเท่าไรประตูก็ไม่ยอมขยับ ผมเห็นเด็กหนุ่มค่อยๆเดินตรงมาที่ผม ตอนนี้ผมนั่งลงที่พื้นยกมือขึ้นไหว้ “อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย จะเอาอะไรเดี๋ยวผมทำบุญกรวดน้ำไปให้” ผมพูดเสียงสั่น วิญญาณเด็กหนุ่มยืนอยู่ห่างจากผมไปไม่ไกลแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “พี่ไม่รู้สึกคุ้นหน้าผมซักนิดเลยเหรอ” วิญญาณถาม คำถามนี้ทำให้ผมแปลกใจ ถึงแม้จะกลัวแค่ใหนผมก็พยายามรวบรวมความกล้าแล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง ตอนนี้วิญญาณนั้นกลับมาเป็นเหมือนคนที่มีชีวิตอีกครั้ง “เราเจอกันครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน บนรถคันนี้” เด็กหนุ่มบอก สามปีก่อน บนรถคันนี้ ผมคิด แล้วความทรงจำในอดีตก็เด่นชัดขึ้นมา ผมกำลังกลับบ้านช่วงวันสงกรานต์ รถทัวร์ที่นั่งมาเสีย ผมต้องโบกรถเพื่อเดินทางต่อ ผมจำได้ว่ารถคันนี้หยุดรับผม แล้วผมก็จำภาพอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ จำนาทีที่ลมหายใจสุดท้ายหมดไป จำภาพงานศพของตัวเองได้ ผมยังจำได้ว่าเดินวนเวียนอยู่บนถนนเส้นนี้ โดยเฉพาะวันครบรอบวันตายของผม ผมจะจำอะไรไม่ได้ จำได้แต่ว่าตัวเองกำลังพยายามกลับบ้าน หลายปีมาแล้วที่ผมคอยโบกรถเพื่อที่จะกลับบ้านวันสงกรานต์ ตอนนี้ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา มันเต็มไปด้วยเลือด แล้วผมก็กรีดร้อง “ไม่…ผมยังไม่อยากตาย…ไม่” ผมร้องอย่างโหยหวน ………………………………. “พี่ผู้ชายคนนั้นเขาไปใหนแล้วคะ” เด็กหญิงที่นั่งอยู่ถามขึ้นมา “เขายังปลงไม่ได้ วิญญาณเลยต้องวนเวียนอยู่อย่างนี้” เด็กหนุ่มหันมาตอบ “แล้วพวกพี่ก็ต้องคอยรับเขาขึ้นรถมาแบบนี้ตลอดเลยหรือคะ” เด็กหญิงถามต่อ “มันเป็นหน้าที่ พวกพี่ต้องส่งผู้โดยสารให้ถึงจุดหมายทุกคน ถ้าเขายังอยู่เราก็ไปใหนไม่ได้เหมือนกัน” เด็กหนุ่มตอบ “น่าสงสารพี่เขานะคะ ไม่รู้ว่าต้องอยู่อย่างนี้ไปอีกนานแค่ใหน” เด็กหญิงพูด ตอนนี้รถเริ่มวิ่งช้าลง “พ่อแม่หนูมารับแล้วนะ” คนขับหันมาบอก ข้างถนนมีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ รถค่อยๆวิ่งเข้าไปใกล้ พวกเขาส่งยิ้มทักทาย “ขอบคุณที่ให้หนูติดรถมาด้วย หนูขอล่วงหน้าไปก่อนนะคะ” เด็กหญิงพูดขอบคุณขณะลงรถไป ประตูรถปิด รถทัวร์ค่อยๆแล่นออกไปข้างหน้าแล้วหายไปในความมืด ……………………………….. “รถเสีย ช่วยลงไปรอข้างล่างก่อนครับ” คนขับรถทัวร์ร้องบอกผู้โดยสาร ผมค่อยๆลืมตาขึ้น พยายามนึกถึงเรื่องที่กำลังฝันก่อนหน้าที่จะตื่นขึ้นมา แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกซักที
แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 21:47:06
จากคุณ |
:
kaewkrong
|
เขียนเมื่อ |
:
18 พ.ค. 54 19:29:24
|
|
|
|