Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 5 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10560959/W10560959.html

บทที่ 5

'คุณภูวินทร์' คลี่ยิ้มอย่างมีความหวัง มันเป็นรอยยิ้มแรกในรอบสิบห้าปี ที่ 'คุณประกายพลอย' แลเห็น แล้วอดแปลกใจไม่ได้ ท่านวางถ้วยกาแฟลงตรงหน้า แล้วเอ่ยถามสามีอย่างสงสัยว่า

"ดิฉันไม่เห็นคุณพี่ยิ้มแบบนี้นานแล้วนะคะ มีใครส่งข่าวดีมาให้ทราบหรือยังไง"

"ข่าวนายภีมออกจากป่าแล้ว ดีหรือเปล่าล่ะ"

"คะ"

ภรรยาคู่ตรมคู่โศกรีบเหวี่ยงร่างท้วมกระแซะกายสูงใหญ่ของสามีอย่างตื่นเต้น ฟังยังไม่ทันได้ศัพท์ใดๆ เพียงแค่ได้ยินชื่อบุตรชายเท่านั้น น้ำตาแห่งความคิดถึงก็รื้นคลอเบ้าทันที

"จริงหรือคะ คุณพี่ นายภีมยอมอภัยให้เราแล้วหรือคะ"

"ไม่ใช่หรอกคุณพลอย นายหมอโทรมาบอกว่า เขาพาเด็กคนหนึ่งออกจากป่า มารักษาอาการปอดบวมในเมือง ตอนนี้ ก็ยังเฝ้าดูอาการเด็กคนนั้นอยู่"

"แล้วเราจะมัวมานั่งคุยกันอยู่ทำไมคะ รีบเดินทางไปเมืองกาญจน์เดี๋ยวนี้เลยสิ ขืนชักช้า นายภีมอาจจะกลับเข้าป่าไปอีก"

มารดาผู้โหยหาบุตรชายโทนสุดที่รัก เตือนละล่ำละลัก พลางลุกไปตะโกนเรียกสาวใช้ ให้ขึ้นไปจัดเสื้อผ้า ตะโกนเรียกคนขับรถ ให้มาจอดรอหน้าระเบียงตึก

คุณภูวินทร์มองอากัปกิริยาตื่นเต้นจนระงับไม่อยู่ของภรรยาด้วยจิตเวทนา

ภภีมน่ะหรือ จะยอมอภัยให้ง่ายๆ ในเมื่อท่านกับภรรยา ร่วมมือกันทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาอย่างอำมหิต มิหนำซ้ำ ภรรยาสุดที่รักของเขา ก็ตกเลือดรุนแรง สิ้นใจในอ้อมกอดอย่างน่าอาดูรยิ่ง

"อย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมนักเลย นายหมอไม่ได้บอกว่านายภีมจะกลับบ้าน หรือว่าให้อภัยเราสองคนหรอกนะ เขาแค่รีรอดูอาการเด็กคนนั้น หากว่าปลอดภัย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาก็จะกลับเข้าป่าตามเดิม"

"อ้าว" คุณประกายพลอยอุทานกึ่งคราง แล้วก็รีบเร่งสามี "อย่างนั้นก็จะมัวช้าไปกว่านี้ทำไมคะ เราก็รีบไปดักรออ้อนวอนลูก ก่อนที่ลูกจะหนีเราไปอีกสิ"

"คุณพลอย"

"ทำไมละคะ" ร่างท้วมย้อนกลับมา อารมณ์ค่อนข้างฉุนเฉียวร้อนรุ่ม "เราก็รอวันนี้ไม่ใช่หรือ รอให้ลูกกลับมา เขาไม่กลับมาเองหรอกค่ะ ถ้าเราไม่ไปรับ ไม่ไปสารภาพบาป ไม่ไปขอโทษ"

"มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก"

"ดิฉันไม่สนใจว่าจะยากหรือง่าย ดิฉันคิดถึงลูกมาก เฝ้ารอเจอหน้าเขามานานกว่าสิบห้าปีแล้วนะคะ ป่านนี้ เขาจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหนก็ไม่รู้ ความเป็นอยู่ในป่าในดง มันจะวิเศษอะไรกัน แล้วเราก็ไม่เคยเลี้ยงลูกให้เจอกับความลำบาก แต่เขา.. "

"เฮ้อ" คุณภูวินทร์ร้องออกมา พลางส่ายหน้าแล้วตัดบท "มันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่เราอยากรู้ หรือต้องกังวลอีกแล้วไม่ใช่หรือ นายภีมก็พิสูจน์แล้วว่า เขาอยู่ในป่าในดงได้ และอยู่อย่างมีความสุข มากกว่าจะอยู่กับพ่อแม่ใจร้ายอย่างเรา"

คุณประกายพลอยเม้มปาก ปล่อยน้ำตาแห่งความคิดถึงไหลเงียบๆ สามีถอนใจยาว เวทนาทั้งภรรยาและตัวเอง สำนึกว่าใช้อำนาจของความเป็นผู้ให้กำเนิดล้ำเส้นเกินไป

บีบคั้นให้ชุลียากินยาขับเลือด เพราะไม่ต้อนรับหลานคนแรก ที่เกิดจากสาวใช้ก้นครัว หรือแม้แต่เจ้าตัวก็เถอะ ท่านยืนกรานเสียงแข็ง ปฏิเสธกับบุตรชายว่า

"ไม่รับ ให้ตายก็ไม่รับ แกก็เหมือนกัน อย่าทำตัวเป็นสุภาพบุรุษให้มากเรื่อง ไอ้ที่แกดอดเข้าไปชิงสุกก่อนห่าม จนมันป่องประจานชาติตระกูลอยู่นี่ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษเขาทำกันอยู่แล้ว"

"ผมก็ไม่ได้มาเถียงกับพ่อเรื่องสุภาพบุรุษต้องทำตัวยังไง หรืออะไรที่สุภาพบุรุษไม่ควรทำ"

"ก็ดีแล้วนี่ ในเมื่อไม่ใช่เรื่องนี้ ก็ไม่มีเรื่องไหนอีก พ่อจะไม่คุย ไม่ตกลง ไม่รับ ไม่รู้ไม่เห็น ไม่อะไรทั้งนั้น ถ้าแกจะลากนังสาวใช้ใจทะเยอทะยานมาเป็นหัวข้อ"

"ชุไม่เคยทะเยอทะยานหรอกครับ เราสองคนรักกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้น มันเกิดจากความรัก เด็กในท้องของชุ ก็คือลูกของเรา พ่อพูดได้ว่าไม่คุย ไม่ตกลง ไม่รับ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่อะไรทั้งนั้น แต่พ่อปฏิเสธความจริงไม่ได้"

"ได้ ทำไมจะไม่ได้ สันดานใจง่ายอย่างนั้น มีหรือที่จะคั่วแกคนเดียว ไอ้เด็กในท้องก็เหมือนกัน ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อว่า มันจะเป็นลูกแกจริง"

"ผมไม่ขอเถียงกับพ่อ ที่เข้ามาวันนี้ ก็เพื่อเรียนให้ทราบว่ามันเกิดเรื่องนี้ในบ้านของเรา ผมจะรับผิดชอบชุ รับผิดชอบลูก ถ้าพ่อไม่ส่งเสริม ไม่เห็นดีเห็นงาม ผมยินดีจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก"

"พ่อไม่มีวันยอมให้แกฉีกหน้าวงศ์ตระกูล ไม่ยอมรับนังชุเป็นสะใภ้ ไม่ยอมรับเด็กในท้องเป็นหลาน ถ้าแกอยากแตกหักกับพ่อก็เอานะนายภีม"

สิบห้าปีกับการยอมรับคำท้าทายจากบิดาใจร้ายคนนี้ มันเจ็บปวดเกินบรรยายเช่นนี้เองไม่ใช่หรือ

ภภีมแสดงให้เห็นแล้วว่า ความเจ็บช้ำน้ำใจที่ได้รับ มันมหาศาลแค่ไหน เขาทนมองหน้าไม่ได้ อยู่ร่วมชายคาบ้านก็ไม่ได้ จึงอเปหิตัวเองไปให้ไกลจากวังวนคนใจยักษ์ใจมาร

ท่านอยากทราบเหลือเกิน ป่านนี้ บุตรชายลืมเหตุการณ์ในค่ำคืนพลัดพรากกลางสายฝนได้แล้วหรือยัง

อดีตถูกเก็บเข้ากรุ พร้อมกับเสียงถอนหายใจอีกครั้งของคุณภูวินทร์ สาวใช้ที่ภรรยาตะโกนเรียก เยี่ยมหน้ามาขอฟังคำสั่งให้แน่ใจอีกที ท่านก็สำทับไปตามนั้น ภรรยาพอได้ยิน ก็รีบซับน้ำตา ถามซ้ำพร้อมกับเบิกตากว้างลิงโลด

"จริงหรือคะคุณพี่ เราจะไปเมืองกาญจน์จริงหรือคะ"

"เราน่ะไปได้ เมืองกาญจน์ก็แค่นี้เอง แต่นายภีมอาจจะไม่อยู่รอให้เราไปถึง"

"ไม่หรอกค่ะ คุณพี่บอกเองว่าลูกต้องรอดูอาการเด็กคนนั้นไม่ใช่หรือคะ"

"ถ้าอย่างนั้น ก็เปลี่ยนเป็นว่า นายภีมอาจกลับเข้าป่าทันทีที่เจอหน้าเรา"

สีหน้ากระตือรือร้นของภรรยาสลดลง เพราะสิ่งที่ท่านคะเนล่วงหน้า มันมีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง

หากไปแล้วไม่เจอ อย่างมากก็เสียใจว่าไม่เจอ แต่ถ้าไปแล้วเจอ โดยที่ฝ่ายโน้นขึงความเจ็บช้ำน้ำใจในอดีตเป็นกำแพงอย่างตั้งมั่น มันจะไม่ใช่แค่เสียใจธรรมดานี่สิ

"ต้องทำใจนะคุณพลอย" สามีบีบมือปลอบประโลม "คิดเสียว่า นี่เป็นนิมิตดีในรอบสิบห้าปีของเรา เอ้อ พอไปถึงแล้ว อาจต้องขอบใจเด็กคนนั้นเสียด้วยซ้ำไปนะ เพราะเธอทำให้ความหวังของเรา ขยายจากจุดเล็กๆ เป็นวงย่อมๆ แล้ว"

"ค่ะ คุณพี่ ดิฉันก็กำลังคิดอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน บางที เด็กคนนั้นอาจมีวาสนาต้องกันกับเรานะคะ"

สามีพยักหน้ายิ้มๆ ลุกไปโทรศัพท์ถึงเลขาคนสนิท ให้ช่วยเลื่อนนัดในวันพรุ่งนี้ กับสองถึงสามวันถัดไป

คนขับรถ เข้ามารายงานว่ารถพร้อม สาวใช้รู้ใจ ก็หิ้วกระเป๋าสองใบไปใส่ท้ายรถ จากนั้น การเดินทางพร้อมกับลอบตั้งความหวัง ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยใจอันระทึก




ดวงอาทิตย์ของวันนี้ ตกดินไปร่วมชั่วโมงแล้ว แต่สามแสนก็ไม่มีวี่แววว่าจะรู้สึกตัว มือเล็กยังร้อนจัดมาก น้ำเกลือทุกหยดมันร่วงเฉื่อยคล้ายทรวงที่สะท้อนช้า

พยาบาลหมั่นแวะมาดูอาการ ซึ่งก็ยังทำอะไรไม่ถนัดนัก นอกจากตรวจชีพจร วัดความดัน วัดโน่นนี่นั่นและพินิจบาดแผล

คุณหมอแสวงบุญแอบมองจากข้างนอก เขาไม่ค่อยสบายใจที่เห็นเพื่อนรักแสดงความห่วงใยอาการของสาวน้อย จนลืมปณิธานที่เคยประกาศกร้าวเมื่อสิบห้าปีก่อนว่า

"สังคมของคนเจริญในเมืองเจริญ คงไม่ใช่ที่อยู่จริงๆ ของฉัน ในป่าในดงโน่นล่ะ ที่ใช่ ฉันจะเข้าไปอยู่ในนั้น และจะไม่กลับออกมาอีกเลย"

"ภีม ฉันรู้ว่าแกเสียใจกับการจากไปของชุลียา แต่ว่า.. "

"กับลูกของฉัน" เจ้าตัวย้อนเครียดปนแค้น "ชุไปจากฉันพร้อมกับลูก ฉันจะไม่มีวันลืมการสูญเสียที่ทำให้ฉันเจ็บปวดที่สุดในวันนี้"

"คุณอาไม่มีเจตนาทำร้ายใครนะนายภีม ท่านจำเป็นต้องปกป้องแก ไม่อยากเห็นแกต้องมาเสียอนาคต แกเป็นแก้วตาดวงใจของท่านนะภีม ท่านไม่มีวันทำร้ายจิตใจลูกคนเดียวของท่านได้หรอก แกใช้สติทบทวนให้ดี ตรองให้หนัก"

"แกฟังนะ ไอ้ผู้ชายที่มันไม่มีปัญญาแม้แต่จะปกป้องผู้หญิงที่ตัวเองรัก ไม่มีปัญญาจะคุ้มครองเลือดเนื้อเชื้อไขให้รอดพ้นจากเงื้อมมือคนใจยักษ์รังแก มันไม่ต้องมีสติปัญญาไว้ทบทวนหรือไตร่ตรองอะไรก็ได้ แกเข้าใจไหม"

"ภีม"

"ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ไม่จำเป็นต้องมีสมอง แค่ว่ามีข้าวให้กิน มีน้ำให้ดื่ม มีที่ให้ซุกหัวนอน ก็พอแล้ว"

"ภีม แต่ที่ที่แกจะไปอยู่ มันเป็นป่านะ แกไม่เคยลำบาก จอบเสียมก็ไม่เคยจับ แกเป็นคุณหนู แกอยู่ไม่ได้หรอก"

"ได้ ฉันอยู่ได้ ฉันจะอยู่ในป่าในดงที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรู้อดีตบัดซบของฉัน และฉันจะไม่กลับออกมาอีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว"

ภภีมพิสูจน์ให้เชื่อในความตั้งใจเด็ดเดี่ยวด้วยเวลาอันยาวนานถึงสิบห้าปี ผู้ให้กำเนิดสิ้นหวังต่อการรอคอย และทำใจแล้วว่า ชั่วชาตินี้ คงหมดโอกาสขอโทษและสารภาพบาป

แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็อุบัติขึ้น เมื่อสวรรค์ส่งสามแสนลงมา ปั้นใบหน้าของเธอให้เหมือนชุลียาราวกับฝาแฝด ตะกอนในอดีตจึงเริ่มขยับ และอาจเป็นไปได้อีกว่า ภภีมจะเผลอใจคิดนอกลู่นอกทางกับเด็กสาวคราวลูก

แล้วถ้าเป็นอย่างที่คิด มันก็ไม่ยุติธรรมต่อสามแสน เธอก็คือเธอ เพื่อนรักจะโมเมว่าเธอคือตัวแทนของภรรยาผู้ตายจากไม่ได้เด็ดขาด

"ไปพักที่ห้องฉันเถอะ" เขาแวะมาหยุดข้างหลัง

"ไม่เป็นไร"

"แกเฝ้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกไอ้ภีม เด็กมันยังไม่ฟื้น ฉันกำชับพยาบาลให้ดูแลเป็นพิเศษแล้ว ถ้ามีอะไร ก็คงจะไปบอกเราเอง"

"เมื่อไหร่ไข้จะลด ทำไมตัวยังร้อนจัดอยู่อีก"

"ใจเย็นสิเว้ย"

"ตอนที่ฉันถามคุณลุงว่าทำไมชุไม่ฟื้นเสียที ท่านก็พูดเหมือนแก ใจเย็นสิภีม แต่ความจริงก็คือ ชุสิ้นใจแล้ว"

"ภีม"

"แกฟังนะไอ้หมอ ฉันไม่ต้องการฟังคำโกหก ไม่ต้องการคำปลอบใจ ฉันไม่ต้องการเห็นชุต้องมาตายต่อหน้าฉันอีกครั้ง ด้วยการฟังแกพูดว่า ใจเย็นสิเว้ย"

"เด็กคนนี้ไม่ใช่ชุลียา" คุณหมอเตือนสติเสียงหนัก "แกอย่านะเว้ยภีม อย่าหาเหาใส่หัวเด็ก อย่าตีตราความรักของแกกับชุประทับไว้ในใจเด็ก มันบาป ฉันไม่รู้หรอกนะว่า แกคิดยังไงกับเด็กคนนี้บ้าง แต่ฉันก็อยากเตือน ถ้าแกจะบอกว่าแกรักเด็กคนนี้ สาเหตุเดียวที่แกรู้สึกอย่างนั้น ก็เพราะว่าเด็กคนนี้หน้าเหมือนชุลียา"

ไหล่คุณหมอร้อนฉ่า เพราะโดนปัดหนัก ภภีมเผยความเดือดดาลผ่านหน้าแดงๆ กับลุกผลุงจนเก้าอี้เลื่อน แล้วก้าวฉับๆ ไปเลย โดยไม่พูดไม่จา

คุณหมอหนุ่มถอนใจหนัก แววตากลัดกลุ้มจัด คุณภูวินทร์วิงวอนเหมือนไม่รู้จักนิสัยดื้อรั้นหัวชนฝาของบุตรชายตัวเองเลย ท่านบอกว่า

"วิธีไหนก็ได้นะนายหมอ รั้งตัวนายภีมไว้ จนกว่าอาจะไปถึง อาขอร้อง วิงวอนก็ได้ การออกจากป่าคราวนี้ของนายภีม อาจจะเป็นโอกาสทองโอกาสเดียวของอาก็ได้นะนายหมอ"

"ผมไม่รับปากหรอกครับ แต่จะพยายามให้ถึงที่สุด อ้อ หรือบางทีอาจไม่ต้องพยายาม ถ้านายภีมห่วงสามแสนมาก เขาก็อาจจะค้างในเมืองสักคืน ผมจะพาเขาไปพักที่บ้านนะครับ ได้ความยังไง ผมจะโทรบอกอีกที"

หากเพื่อนรักมาทราบภายหลังว่า เขาแอบโทรศัพท์ส่งข่าวให้ทางบ้านกรุงเทพทราบละก็ คุณหมอก็คุณหมอเถอะ คอคงโดนบิดหมุนเกลียวได้รอบแน่ๆ ลำบากใจจริงๆ ฝ่ายโน้นก็ผู้ใหญ่ที่นับถือ ฝ่ายนี้ก็เพื่อนรัก เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เขาก็ผิดทั้งนั้น




พยาบาลแวะมาดูความเรียบร้อยของสามแสน คุณหมอแสวงบุญกำชับให้เฝ้าอย่างใกล้ชิด แล้วค่อยสาวเท้ายาวๆ ตามเพื่อนรักมาจนทันตรงบันได ท่าทางเหมือนจะไปไหนสักแห่ง

"แกจะไปไหน" เขาตะโกนถามจากระเบียง

"กลับป่า"

"เฮ้ย" อุทานแล้วใจหายวาบเลย ร่างสูงก็รีบปรี่ตามมาจับแขน ทำทีทักท้วง "แต่นี่มันค่ำแล้วนะ แกรออีกนิดเถอะ"

"รออะไร"

"ก็รอคุณ.. เอ้อ รอว่า เอ้อ เผื่อว่าสามแสนจะรู้สึกตัวไง"

"สามแสนเคยหมดสติข้ามวันข้ามคืนมาแล้ว ฉันไม่รอล่ะ ฝากนายดูแลเธอก็แล้วกัน แล้วอีกสองสามวัน ฉันจะกลับมาอีกที"

"แน่นะ"

"ทำไม"

คุณหมอรีบส่ายหน้าเลย แววตาเพื่อนรักเครียดแกมดุ เท่าที่ทักท้วงจนเกือบเผลอหลุดปากก็นับว่าเสียวแล้ว ขืนไปรบเร้าเซ้าซี้ พ่อคุณอาจตะบันหน้า ตัวคว่ำหัวทิ่มคาบันไดตรงนี้ให้เป็นที่อับอายชาวบ้านแน่ๆ

"ฉันไปล่ะ อ้อ ขอย้ำนะไอ้หมอ ถ้าสามแสนเป็นอะไรไป ฉันจะเอาเรื่องแกให้ถึงที่สุด"

"หมอไม่ใช่ผู้วิเศษนะเว้ยไอ้ภีม"

"คุณลุงช่วยชีวิตของชุไว้ไม่ได้ ฉันก็จนใจจะเอาเรื่อง แต่ถ้าแกยื้อลมหายใจของสามแสนไว้ไม่อยู่ละก็ ฉันจะเป็นคนกลับมาลากลมหายใจของแกไปใส่คืนให้เด็ก แล้วแกจะไปตายที่ไหนก็ไป"

คนโดนขู่ได้แต่หัวเราะละเหี่ย เท้าสะเอวมองแผ่นหลังคนอยู่ป่าที่เคลื่อนห่างไปทีละก้าว นึกแปลกใจว่า ทำไมคุณภูวินทร์กับภรรยา ยังเดินทางมาไม่ถึงเสียที ทำราวกับเมืองกาญจน์ไกลพอฟัดพอเหวี่ยงกับเชียงรายเชียว




มันเป็นความคลาดเคลื่อนดั่งสวรรค์แกล้ง เพราะภภีมออกจากโรงพยาบาลไปไม่ถึงยี่สิบนาที คุณภูวินทร์กับภรรยาก็มาถึง

ทั้งสองกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องทำงานของคุณหมอแสวงบุญ แววตาเปี่ยมด้วยความหวังเจิดจ้า เจ้าของห้องเห็นแล้ว รู้สึกสงสารจับใจ

"เกิดอะไรขึ้นระหว่างทางหรือครับ มาเสียค่ำเชียว" เขาถาม พลางรีบเลื่อนเก้าอี้ให้ผู้ใหญ่

"เกิดอะไรล่ะ รถเสียน่ะสิ ไปนั่งแช่อยู่ที่อู่เป็นนานสองนาน น่าจะไล่ออกนัก เป็นคนขับรถประสาอะไร ไม่รู้จักตรวจสอบความพร้อมให้เรียบร้อยอยู่เสมอ ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโหนะนี่"

คุณประกายพลอยระบายอย่างฉุนเฉียว พยาบาลแวะเข้ามาเสิร์ฟน้ำเย็น ท่านก็คว้ามาดื่มรวดเดียวหมดแก้ว แล้วกระแทกกลับลงจานรอง ตวัดค้อนกราดไปหมด เหมือนเจ้าของห้องก็พลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย

"นายภีมล่ะ" คุณภูวินทร์ไม่สนใจความหงุดหงิดของภรรยา ท่านรีบถามถึงบุตรชายด้วยเสียงลุ้นระทึก "เฝ้าคนไข้อยู่ใช่ไหม พาอาไปเร็วๆ "

"จริงด้วย" คุณประกายพลอยรีบสำทับ แล้วลุกกระตือรือร้น "ไปเลยนายหมอ นำทางเลย อาอยากเจอหน้าลูกจะแย่อยู่แล้ว ภีมของแม่เอ๊ย เจอหน้าละก็ แม่จะกอดไม่ปล่อยทีเดียว ทูนหัวของแม่"

"ภีมกลับไปแล้วครับ" คำตอบเบาๆ ทำเอาสองร่างของผู้ใหญ่ร่วงฮวบลงเก้าอี้ดังเดิม "เอ้อ แต่ว่าอย่าเพิ่งหมดหวังนะครับ เพราะเขาบอกว่า อีกสองสามวันจะกลับมาอีก"

"จริงหรือ" สามีภรรยาถามตื่นเต้นพร้อมกัน

"ต้องมาแน่ครับ ผมมั่นใจ"

"อะไรทำให้นายหมอมั่นใจขนาดนั้น นายภีมอาจจะเห็นว่าเด็กคนนั้นถึงมือหมอแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จึง.. "

"ผมจะพาคุณอาทั้งสองไปดูคนไข้นะครับ แล้วคุณอาก็จะเข้าใจ"

สามีภรรยาวัยปลายคนหันมองตากัน ออกจะงงแต่ก็ไม่ซักถาม นอกจากเดินตามคุณหมอออกมา เขาพาเลี้ยวซ้ายทีขวาที ผ่านทางเดินแคบ ผ่านผู้คน และเตียงคนป่วยเรียงราย ระหว่างนั้น ก็เล่ารายละเอียดให้ฟังไปด้วยว่า

"เด็กชื่อสามแสนครับ รู้แค่นี้ ภีมเล่าว่า เจ้าตัวหลงป่า ตอนไปเจอก็นอนหมดสติใต้ต้นไม้ มีบาดแผล มีไข้ ก็เลยช่วยไว้ ตอนหลังก็เกือบจะโดนกลุ่มโจรวัยรุ่นปลุกปล้ำ โชคดีที่ช่วยไว้ได้ทัน"

"โถ น่าสงสารนะ" คุณประกายพลอยคราง "ลำพังหลงป่าก็เสียขวัญแย่แล้ว นี่ยังมาเจอเคราะห์เจอกรรมซ้ำซัดอีก"

"แล้วหาทางติดต่อกับใครไม่ได้เลยหรือ" คุณภูวินทร์ซักไซ้บ้าง

"ได้ครับ" คุณหมอตอบยิ้มๆ "แต่ต้องรอให้เธอรู้สึกตัวก่อน นี่ครับ สามแสน"

เขาหยุดหน้าเตียง พยักพเยิดให้ดู ผู้ใหญ่พร้อมใจกันดู อึดใจเดียวก็พร้อมใจกันชะงัก หันสบตากันอย่างลังเลปนตระหนก แล้วพร้อมใจกันพินิจอย่างละเอียด กระทั่งคุณประกายพลอยต้องเป็นฝ่ายปิดปาก แล้วคราง 'คุณพระ'

"คุณอาเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่า ทำไมนายภีมต้องกลับมาอีก"

ผู้ใหญ่ไร้สุ้มเสียง แววตาเท่านั้นที่เห็นพ้อง พร้อมกับความหวังก็ค่อยๆ ปริ่มขึ้นจากบ่อร้างแห่งการรอคอย

คุณประกายพลอย เลื่อนไปใกล้หน้าเตียงอีกนิด แตะมือลูบแขน ใจก็พร่ำครวญว่า 'เหลือเชื่อที่สุด' สามีตามมาเกาะไหล่ พยักหน้า ดั่งว่าเข้าใจความรู้สึก และความคิดที่พุ่งวูบวาบเหมือนพลุแตก

"หรือว่านี่จะเป็นชุกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งคะ"

"ถ้าจริงอย่างที่คุณสงสัย เราสองตายายก็เตรียมตัวรับผลกรรมเถอะ"

"คุณพี่"

"จริงไหมล่ะ ชุมันคงไม่มีวันลืมว่าเราทำทารุณกับมันไว้ยังไง ตัวมันตายคงไม่เป็นไร แต่นี่เราทำลายลูก.. "

"อย่ารื้อฟื้นเลยครับ"

คุณหมอใจดีรีบแทรกตัดบท สงสารน้ำเสียงหดหู่ คุณประกายพลอยพยักหน้า ซับน้ำตาด้วยปลายนิ้ว ท่านกุมมือของสาวน้อย อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาจริงๆ เพราะเจ้าตัวช่างเหมือนกับอดีตสาวใช้ชุลียา ไม่ผิดไม่เพี้ยนกันเลย

"ถ้าแม่หนู คือชุกลับมาเกิดใหม่ ยายก็ยินดีรับผลกรรมทั้งปวง เพื่อแลกกับการได้ลูกชายกลับคืนมา"

"อย่าเหลวไหลครับ ผมเพิ่งจะติไอ้ภีมไปหยกๆ ผู้ใหญ่กลับจะมาตั้งความหวังกันเสียเอง" เสียงทุ้มรีบติขำๆ "เด็กคนนี้ไม่เกี่ยวอะไรด้วย อย่าดึงเธอเข้ามาสะสางหนี้กรรมเก่าเลยครับ จะกลายเป็นว่าเราเอาเปรียบ ไม่ยุติธรรมต่อเด็ก"

"ใช่ อาเห็นด้วยกับนายหมอ"

คุณภูวินทร์พูดเบาๆ คุณประกายพลอยพยักหน้ายอมรับเนือยๆ พลางสอดมือเล็กไว้ใต้ผ้าห่ม ลูบหน้าผากและเรือนผมชื้นอย่างเอ็นดู

นึกประหลาดใจว่า สาวน้อยหน้าตาถอดพิมพ์ชุลียามาแท้ๆ แล้วทำไมท่านจึงไม่รู้สึกเอ็นดูหล่อน เหมือนเช่นที่รู้สึกต่อเจ้าตัว หาก ณ เวลานั้น ท่านจะมีใจเมตตาสักเล็กน้อย ชุลียาก็คงไม่ต้องพลัดพรากจากตายกับบุตรชาย

"กลับบ้านไปพักผ่อนก่อนดีกว่าครับ ท่าทางคุณอาพลอยเหมือนว่าจะเหนื่อยๆ "

"แล้วเด็กคนนี้.. "

"ไม่ต้องห่วงครับ คุณอาพลอย เด็กรู้สึกตัวเมื่อไหร่ ผมจะส่งข่าวเอง"

คุณภูวินทร์ร้อง 'อืม' ในลำคอ ชำเลืองไปพิศสาวน้อย พลางลอบระลึกว่า มันไม่ยุติธรรมเลย หากจะหยิบยืมใบหน้าเหมือนชุลียามาเป็นเครื่องมือ ดึงตัวบุตรชายออกมาจากป่าจากดง แต่ถ้ามันจำเป็น และไม่มีทางอื่นให้เลือกอีก ท่านก็อาจจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใจร้ายอีกหน




แสงจากกระบอกไฟฉายสาดไปกระทบกับรากไม้ใหญ่ใต้โคนต้นสูง

ณ ปลายดงแห่งนี้ คือจุดเริ่มต้นของความผูกพันประหลาด มันแทบไม่ต้องอาศัยเวลา หรือปัจจัยแวดล้อมใดๆ มากไปกว่า ใบหน้าของชุลียา มาปรากฏบนใบหน้าของสาววัยสิบเจ็ดคนนั้น

ชายหนุ่มหย่อนนั่งลง สาดไฟฉายไปทั่วบริเวณ ร่องรอยที่บอกให้ทราบว่า สามแสนหลงป่านานเกินหนึ่งวัน ก็คือเปลือกลูกอม

เขาเจอมันตรงนี้ ถัดลึกเข้าไปเกือบถึงลำธาร สามแสนไปไม่ถึงตรงนั้น เขาเชื่อว่าเธอต้องได้ยินเสียงน้ำไหล แต่เพราะไม่ชำนาญเส้นทาง เธอจึงเลี้ยววกวนเวียนอยู่ในดงเดิม

เขากลับมาที่นี่ทำไมหรือ เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำหรือเปล่า วินาทีแรกที่พลิกร่างตะแคงหันหลัง หน้าคว่ำไปซุกในซอกระหว่างรากไม้ใหญ่ มันบรรยายถึงความอัศจรรย์ไม่ถูกไม่ถ้วนใช่ไหม

ลิงโลดตื้นตัน ปีติยินดี กระสันซาบซ่าน คือความรู้สึกที่คล้ายดั่งสายน้ำ มันไหลมาจากสามแหล่งอย่างถาโถมเกรี้ยวกราด เพื่อบรรจบกันเป็นสายใหญ่สายเดียว เขาจึงแยกไม่ออกว่า ความรู้สึกใดจะมหาศาลกว่า

"อย่าเป็นอะไรไปนะสามแสน" เสียงหวาดหวั่นพึมพำกลางความสงัด ณ ปลายดง "พี่รักสามแสน รักเพราะใบหน้าของสามแสนเหมือนชุของพี่มาก รักเพราะพี่ไม่เคยลืมชุแม้แต่วินาทีเดียว และรัก เพราะสามแสนคือแสงที่ไม่น่าจะส่องให้หัวใจมืดสนิทดวงนี้ เกิดความสว่างได้อีก"

'ณ ปลายดง' จะช่วยเก็บประโยคสารภาพหวานเจือเศร้าของหนุ่มหัวใจมืดสนิทคนนี้ ไว้จนกว่าสามแสนจะย้อนคืนมา แล้วหอบมันกลับไปชื่นเชย

หากแต่อย่าได้ถามว่า 'เมื่อไหร่' เพราะสวรรค์เท่านั้น ที่ทราบคำตอบนี้ดีที่สุด หรืออย่าต่อรอง ด้วยการถามอีกครั้งว่า 'อีกนานไหม' เพราะสวรรค์จะไม่มีวันแพร่งพรายความลับของตัวเอง

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 19 พ.ค. 54 17:52:35




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com