Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สาปพิษฐาน ตอนที่ 23 ติดต่อทีมงาน

มาต่อตอนที่ 23 เลยครับ
ความเดิมตอนที่แล้ว
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10562217/W10562217.html

ขอบคุณเพื่อนนักอ่านและกิฟท์จาก  คุณนุ้ย นารีจำศีล,คุณ Travel to the moon,คุณ เขมปัณณ์, คุณแก้วกังไส,คุณ เรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก,คุณ SONG982, คุณ Hermosa, คุณบุหงาบาหยัน,คุณ Jeab_Forest55,คุณ Sky With Rainbow,คุณ kdunagin,คุณ Friday Story และคุณ เรียวรุ้ง ด้วยครับ

x'mas : ขอบคุณมากครับ เหลืออีกแค่ 3 ตอนก็อวสานแล้วครับ ช่วยลุ้นไปกับตัวละครด้วยนะครับ

คุณเรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก : ติดตามต่อได้เลยนะครับ รอดหรือไม่รอดหนอ?

คุณ SONG982 : ขอบคุณมากครับ ผมเองกำลังติดตามอ่าน "บ่วงอุรคา"อยู่เหมือนกับครับ เห็นชื่อเรื่องแล้วน่าอ่านมากเลยครับ ปล. ชื่อ "อุรคา" ผมเคยเห็นครั้งแรกคือชื่อของตัวละครเอกในเรื่อง "มณีสวาท" ของ จินตวีร์ วิวัธน์ ครับ ประทับใจความหมายตั้งแต่นั้น

คุณscottie : ติดตามต่อเลยนะครับ

คุณ แก้วกังไส : ขอบคุณมากเลยครับคุณแก้ว เรื่องนี้ใช้เวลาเขียนไม่มาก แต่ใช้เวลาปรับแก้ภาษานานมากเหมือนกันครับ ขนาดนำมาลงยังอดเขียนปรับเพิ่มอีกไม่ได้เลย

คุณHermosa : อดใจรอคำตอบนิดหนึ่งนะครับ อีกไม่นานแล้วครับ

คุณนารีจำศีล : ขอบคุณครับคุณนุ้ย ถ้าเป็นไปได้อยากให้มีลุ้นทุกตอนเลยครับ

คุณกุลธิดา (kdunagin) : ครับคุณไก่ เหตุการณ์ตอนนี้จะเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในบทแรกครับ

คุณkaburapat : ขอบคุณมากครับ โอกาสนี้ผมขอแนะนำ "มายาลวง" ของจินตวีร์ วิวัธน์ (อีกแล้ว) สำหรับนิยายลึกลับท่านนี้ ผมถือเป็นต้นแบบการปิดเรื่องในแต่ละบทที่ผมชอบมากเลยครับ ทั้งล้นทั้งระทึก และหงุดหงิดที่ต้องรออ่านในแต่ละสัปดาห์ไปพร้อมกัน (เรื่องนี้เคยลงในสกุลไทยเป็นตอนๆมาก่อนครับ) เลยขอยึดท่านเป็น บรมครู คนหนึ่งของการใช้กลวิธีการเขียนแบบนี้ครับ

สำหรับสาปพิษฐานตอนล่าสุด ตอนที่ 23 ครับผม...


      “โกยอด”

     เสียงกรีดร้องยิ่งทวีความดังกึกก้องไปทั่วห้องโถงขนาดใหญ่แห่งนั้น สุภาพสตรีหลายคนถึงกับหมดสติล้มพับลงไปกับพื้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด บางคนถึงกับตัวสั่นเทาจนไม่อาจควบคุมในขณะที่บุรุษหลายคนยังต้องเบือนหน้าหนี นัยน์ตาเหลือกโพลงของนายหัวใหญ่วัยอาวุโสเบิกค้างคล้ายทรมานแสนสาหัสก่อนชีวิตจะหลุดออกจากร่าง

      เห็นจะมีเพียงนายหัวหนุ่มใหญ่ชิงฉัตร ธารานพรัตน์ เท่านั้นที่ยังคุมสติเอาไว้ได้มั่น โดยเฉพาะเมื่อเห็นร่างอสุรกายขนาดมหึมายืนทะมึนอยู่ที่กรอบประตูซึ่งเปิดกว้างออกด้วยแรงกระชากของพวกมัน นัยน์ตาแดงก่ำเรืองแสงเองได้วาววับด้วยประกายแห่งความหิวโหยสุดระงับ ก่อนที่อสูรตนหนึ่งจะก้าวเข้ามาก้าวหนึ่งแล้วเอื้อมมืออันมหึมายาวเหยียดออกคว้าส่วนศีรษะของยอดธงที่หล่นกลิ้งอยู่บนพื้น เอามาหนีบไว้ใต้วงแขนอันทรงพลัง เป็นการประกาศศักดาถึงการเป็นเจ้าของศีรษะนั้นอย่างชัดเจน

      แล้วก็หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น...

            สายตาแดงก่ำมีประกายบางอย่างเมื่อมองมายังร่างของนายหัวหนุ่มใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อเหลือบแลไปยังด้ามกริชที่เขาดึงออกมากำไว้ในอุ้งมือโดยไม่รู้ตัว

          มันเปล่งประกายของความหวั่นเกรงบางอย่าง...

              ชิงฉัตรรับรู้โดยฉับพลันเมื่ออ่านอากัปกิริยานั้นออก นายหัวหนุ่มใหญ่ชักด้ามกริชกุหนุงมัสแล้วยื่นออกไปเบื้องหน้าระหว่างการก้าวเดินตรงเข้าไปหาพวกมัน เสียงร้องไม่เป็นภาษามนุษย์กระหึ่มขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ท่าทีคุกคามเงื้อง่าแต่แรกเปลี่ยนเป็นหยุดชะงักและล่าถอยห่างออกไปอย่างหวั่นเกรงจนเห็นได้ชัด สายตานายหัวฉัตรเพิ่งมองเห็นว่าประกายบนด้ามกริชเรืองแสงขึ้นเองไม่ต่างกับนัยน์ตาฝูงปีศาจเหล่านั้น

         แท้จริงแล้ว พวกมันหวั่นกลัวต่อกริชโบราณด้ามนี้นั่นเอง!!

               “ปะตาปา ปะตาปา ปะตาปา!!”


            เสียงร้องเซ็งแซ่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ... ชิงฉัตรนิ่งไปชั่วขณะ เป็นชื่อเรียกนั้นอีกแล้ว ชื่อที่พวกมันเรียกนามของเขา ชื่อที่เคยได้ยินมาตั้งแต่สมัยวัยเยาว์ท่ามกลางกลุ่มปีศาจกระหายเลือดเช่นเดียวกันนี้เอง เป็นชื่อที่แสดงถึงความกริ่งเกรงแฝงอยู่ในคำเรียกนั้น

      “จงถอยออกไปเดี๋ยวนี้...”

            เขาร้องตวาดออกไปสุดเสียงด้วยความมั่นใจบางอย่าง เสียงอื้ออึงของพวกมันหยุดนิ่งเป็นปลิดทิ้ง นายหัวหนุ่มใหญ่ลอบยิ้มให้กับตนเอง อย่างน้อยก็รู้จุดอ่อนสำคัญของพวกมันแล้วไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปีศาจก็ตาม

              โกฉัตรยื่นกริชกุหนุงมัสแล้วกวัดแกว่งออกไป แสงสีแดงเจิดจ้าสาดประกายวาบวับรอบด้านจนกลุ่มพวกมันแตกถอยร่นแทบไม่เป็นกระบวน แต่แล้วร่างปีศาจตนหนึ่งก็ฝ่ากลุ่มพรรคพวกของมันที่แตกฮือออกมายืนเด่นอยู่เบื้องหน้า แม้จะมีท่าทีจะแสดงความพรั่นพรึงต่อศัสตราวุธในกำมือของเขาอยู่บ้าง แต่กระแสเสียงคำรนของมันก็ดังผ่านลำคอขนาดใหญ่ออกมาเป็นภาษาแห่งมนุษย์ชัดเจนทุกถ้อยคำ

        “ท่านต้องไปกับพวกเรา ปะตาปา มิเช่นนั้นทุกคนจะไม่มีวันได้กลับออกไปจากที่นี่!!”

       “ไปที่ใด?”

            เขาแข็งใจถามออกไป ด้วยสังหรณ์บางอย่าง เห็นถึงสายตาทุกค่ของสมาชิกกิติมศักดิ์บนเรือสำราญูกำลังจ้องมองมาด้วยความหวังเต็มเปี่ยม

      “กำมังละการแห่งกุรุงปักกา...”

       “และถ้าข้าไม่ไปเล่า?”

    “ท่านต้องเลือกแล้วล่ะ ปะตาปา ระหว่างชีวิตคนพวกนี้และตัวท่านเอง”

     “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

           “นี่คือคำสั่งจากองค์ระเด่นสิงหราปาตี ผู้เป็นนายเหนือหัวของพวกเราทั้งมวล พวกท่านจะไม่มีวันหนีรอดออกไปจากกุรุงปักกาโดยมีชีวิตอยู่ติดร่างอีกต่อไป สถานที่แห่งนี้คือนคราอันไร้หนทางกลับออกไปนอกจากจะเป็นไปตามพระประสงค์ขององค์สิงหราปาตี... จอมจักรพรรดิภูตเท่านั้น!”

        ชิงฉัตรยังกำด้ามกริชแนบแน่น รู้สึกถึงความเหนียวหนึบไปทั้งอุ้งมือด้วยเหงื่อไหลซึมออกมา การตัดสินใจมาถึงโดยไม่คาดคิด มันเป็นทั้ง “โอกาส” และ “จังหวะ”ที่มีโอกาสพลิกผันได้ทุกวินาทีของการตัดสินใจ

             ศีรษะของยอดธงคือพยานความอำมหิตสยดสยองของพวกมันเป็นอย่างดี การไม่บุกตะลุยเข้ามาสังหารทุกคนในห้องนี้แล้วจับกินเป็นภักษาหาร จึงมิใช่ด้วยฤทธาอำนาจของกริชกุหนุงมัสเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะคำสั่งของเจ้านายพวกมันรวมอยู่ด้วย

            เขาหันไปมองสายตาของทุกคนในห้องนั้น ต่างก็ฝากความหวังไว้กับเขาเพียงผู้เดียวไม่ต่างกับวีรบุรุษผู้มากอบกู้สถานการณ์ร้ายแรง ชิงฉัตรรู้ตัวเองดีว่าเขาหาใช่วีรบุรุษหรือฮีโร่ที่ทุกคนจะเทิดทูนในความเสียสละเพื่อส่วนรวมแต่ใดไม่ เขายังมีสัญชาตญาณของการเอาชีวิตรอด และความทะเยอทะยานที่จะก้าวไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตด้วยความทระนงภาคภูมิ มิใช่มาตายอย่างน่าอเนจอนาถเช่นเดียวกับยอดธง ทับคีรี

          นี่จึงเป็นทั้งโอกาสและจังหวะในการสร้างภาพก่อพลังแห่งความศรัทธาและเสียสละให้คนพวกนั้นได้ประจักษ์ และมันจะเป็นฐานสำคัญที่ทำให้คุณค่าของตัวเขาสูงส่งขึ้นตามมา ถ้าหากทุกคนมีโอกาส “รอด”ออกไปพร้อมกัน และเมื่อนั้นเขาจะกลายเป็นวีรบุรุษที่ไม่จำเป็นต้องให้ทุกคนมาสร้างอนุสาวรีย์ให้ภายหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว...

            สิ่งเดียวที่จะทำให้เขารอดออกไปในครั้งนี้จึงฝากความหวังเอาไว้ที่ศัสตราวุธในมือเพียงเล่มเดียวเท่านั้น...

         กริชกุหนุงมัส!!

          ความคิดของนายหัวชิงฉัตรพุ่งวาบขึ้นเหมือนสายฟ้า ในเมื่อเขาผ่านความเป็นความตายมาแล้วที่เกาะนรกในครั้งนั้น สำมะหาอะไรกับการเผชิญหน้ากับพวกมันอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับการเอาชีวิตรอดออกไปเป็นครั้งที่สอง

          คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม โดยมีทั้งชื่อเสียงเกียรติยศและเสียงร่ำลือสรรเสริญตามมาในภายหลัง สิ่งนั้นจะเป็นเสมือนบรรณาการอันหอมหวานโดยที่เขาไม่ต้องลงทุนลงแรงใดๆอีกต่อไป ภาพของวีรบุรุษผู้ช่วยชีวิตบรรดาแขกคนสำคัญทั้งลำเรือจะเป็นที่กล่าวขวัญต่อไปอีกนานแสนนาน เป็นภาพลักษณ์อันตราตรึงใจไปตลอดกาล อย่างที่เขาต้องการจะเห็นมาทั้งชีวิตนั่นเอง...

       “ตกลง!!”

                   *******************

               ประตูห้องที่หล่อนซ่อนตัวอยู่ถูกกระชากให้หลุดผลั่วะออกมา รสลินหลับหูหลับตายิงสวนออกไปแต่ดูเหมือนอาวุธอันทรงประสิทธิภาพนั้นจะไม่ครณามือพวกมันเลยแม้แต่น้อย ร่างนับสิบขยับย่างสามขุมเข้ามาพร้อมอุ้งมือสกปรก เหม็นคลุ้งตลบโชยฉมตามมาจนแทบจะทำให้สิ้นสติลงในบัดนั้นด้วยความหวาดกลัว

           ส่วนที่เคยเป็นริมฝีปากแสยะกว้างออกเห็นไรฟันสีคล้ำมีส่วนที่เคยเป็นนิ้วมือของบังรามติดอยู่ ปีศาจจากขุมนรกพวกนี้กำลังตรงรี่เข้ามาหาหล่อนเป็นเป้าหมาย

        “ไม่ม์ม์ม์!!”

             ความกลัวสุดขีดเป็นอย่างไร รสลินเพิ่งตระหนักขึ้นในบัดนี้เอง รู้สึกถึงขุมขนทั้งมวลลุกชาเห่อขึ้นด้วยความขยะแขยงหวาดหวั่น มือสกปรกของพวกมันแตะลงที่ผิวเนื้อในขณะที่หล่อนพยายามสะบัดมือหลบ แล้วถอยร่นกลับเข้าไปในห้องแคบๆซึ่งไร้ทางออก ปืนในมือกวัดแกว่งไปมาโดยที่พวกมันต่างหาได้มีท่าทีพรั่นพรึงแต่อย่างใดไม่

         “ฮื่มม์ม์ม์...”

         “ชั้นต้องไม่ตายอย่างนี้ ไม่!!”

           กรีดเสียงร้องออกมาเมื่อตระหนักถึงสภาพความจริงที่กำลังเกิดขึ้น ไม่เหลือทางเลือกใดๆอีกต่อไป ไม่ต่างกับชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับบังรามในห้องใต้ท้องเรือนั่น ถูกฉีกกินเป็นชิ้นๆจนตายทั้งเป็น!!

            ทางเลือก?

              ใช่สิ! ในอนุสติเจียนวูบดับนั้นเอง หญิงสาวพบว่ามันยังเหลือทางเลือกอีกทางหนึ่ง… ทางเดียวที่จะไม่ต้องตายดับอย่างทรมานสยดสยองเช่นนี้ หล่อนรีบหยิบกระบอกปืนขึ้นมาแล้วหันปลายกระบอกปืนจ่อเข้ากับขมับของตัวเองด้วยความมั่นใจเป็นครั้งสุดท้าย... แล้วเหนี่ยวไก!

        แชะ!!

       พระเจ้าช่วย! หล่อนใช้กระสุนจนหมดแม็คไปแล้ว...

                ด้วยนัยน์ตาเหลือกลานเมื่อมองเห็นมฤตยูยื่นผ่านอุ้งมือปีศาจเหล่านั้นใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาทุกขณะ หล่อนกรีดร้องสุดเสียงเป็นครั้งสุดท้าย สติขาดผึงขาดสิ้นการรับรู้ใดๆทั้งสิ้นแล้วร่างอรชรก็ทรุดฮวบลงกับพื้นโดยไม่อาจรับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อตนเองอีกต่อไป...

           โดยไม่รู้ว่าปฏิกิริยาที่ตามมาหลังจากนั้นจะบังเกิดขึ้นราวปาฏิหาริย์!!

           เหมือนกับมีกระแสแห่งมนตราลึกลับส่งสัญญาณอันเกินสัมผัสแห่งมนุษย์จะได้ยินแผ่ซ่านลงมากระทบโสตประสาทของกลุ่มอสุรกายทั้งมวลด้านล่าง เป็นประกาศิตอันมิอาจปฏิเสธได้...

            พวกมันหยุดชะงักงัน ท่าทางกระเหี้ยนกระหือด้วยความกระหายหิวเปลี่ยนเป็นหวั่นเกรงระย่อต่อ “คำสั่ง”ที่ส่งผ่านลงมา อากัปกิริยาที่กำลังจะกลุ้มรุมจัดการเหยื่อสาวแสนโสภาเบื้องหน้าจึงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วโดยที่รสลินมิอาจรู้

            อย่างช้าๆ อสุรกายจากนรกแห่งกุรุงปักกาค่อยๆล่าถอยกลับออกไป เสียงที่เปล่งผ่านลำคอวิปริตผิดรูปแสดงถึงความเสียดายอย่างสุดแสนต่อภักษาหารโอชะเบื้องหน้า แต่ด้วยคำสั่งประกาศิตของ “ผู้เป็นนาย”ทำให้พวกมันมิอาจปฏิเสธได้

         ปล่อยร่างของน้องสาวนายหัวชิงฉัตรให้นอนสิ้นสติสมปฤดีอยู่ ณ ที่นั้นแต่เพียงเดียวดายในความมืดแห่งรัตติกาล

       ...รัตติกาลเลือด!!

               **********************

       “ท่านหมายถึงสิ่งใด?”

          ศาปานต์ร้องถามออกไปด้วยความพิศวง ก่อนที่เสียงอันทรงพลานุภาพของระเด่นสิงหราปาตีจะตอบกลับมา

     “กริชกุหนุงมัส ศัสตราวุธแห่งการปลงพระชนม์ชีวิตของเจ้าในอดีตชาติ!!”

          “กุหนงุมัส!!”

               แสงแปลบปลาบราวแฉกวิชชุสว่างพร่างพรายในชั่วพริบตาคล้ายจะแสดงถึงการตอบข้อสงสัยของหญิงสาว หากก็มิได้เปล่งแสงออกมาจากบนพื้นนภากาศเบื้องบน ประกายเจิดจรัสนั้นพุ่งตรงมาจากอัญมณีอันประดับเหนือด้ามกริชกุหนุงมัสนั่นเอง

            และผู้ที่ถือมันเข้ามาในสถานที่รโหฐานแห่งนี้ก็คือ นายหัวชิงฉัตร ธารานพรัตน์

              “โกฉัตร...”

            ศาปานต์อุทานด้วยคาดไม่ถึงกับการเผชิญหน้ากับนายหัวหนุ่มใหญ่ผู้นี้ ทุกครั้งที่พบเจอกันล้วนก่อให้เกิดสังหรณ์ประหลาด สังหรณ์ที่เตือนถึงภยันตรายบางอย่างให้อยู่ห่างไกลหนุ่มใหญ่ผู้นี้ให้มากที่สุด หากสายตาของนายหัวฉัตรกลับเปล่งแววแห่งความปิติแกมประหลาดใจเกิดขึ้นเมื่อเห็นหล่อนยืนอยู่ที่นี่

         “หนูป่าน...”

             น้ำเสียงอ่อนโยนด้วยความรู้สึกจากหัวใจที่มีให้ต่อหญิงสาวรุ่นลูก แต่ศาปานต์กลับถอยห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว หล่อนไม่ต้องการและไม่ปรารถนาสิ่งใดๆ ถ้าหากมันจะมาจากบุรุษที่ชื่อชิงฉัตร ธารานพรัตน์คนนี้!!

         “ปะตาปา... ท่านมาแล้ว”

              เสียงห้าวห้วนดังออกมาจากภายในเรือนแก้วติกาหลังที่ลอยเลื่อนตระหง่านอยู่เหนือพื้นได้อย่างน่ามหัศจรรย์

         ชิงฉัตรมองตรงออกไป เสียงของหนุ่มใหญ่ห้าวห้วนขึ้นมาด้วยความเคร่งเครียด

          “พวกแกต้องการอะไร?”

          เสียงนายหัวฉัตรดังเข้มขึ้นในทันที

              “ปะตาปา ท่านต้องคืนสิ่งที่เป็นสมบัติของกุรุงปักกากลับคืนมา และชดใช้ในสิ่งที่ได้กระทำลงไปต่อพวกเรา”

             “หมายความว่าอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ”

             *********************

           ภาพเบื้องหน้าประดุจฟิล์มภาพยนตร์ถูกฉายขึ้นท่ามกลางกลุ่มควันหมอกหนาทึบก่อนจะสลายออกจากกันช้าๆ

       “ท่านอาหยัน... ปะตาปา”

             สุรเสียงห้วนเจือด้วยพลังอำนาจของรายาบุหลันรัศมีดังขึ้น วรกายสูงเพรียวแม้พระชนมายุจะล่วงผ่านเข้าสู่ปัจฉิมวัย แต่อำนาจเตชะบารมีของสตรีเบื้องหน้าก็ยังปรากฏเด่นชัดเป็นที่ระย่อเกรงขามแก่เหล่าตำมะหงงเสนามาตย์หรือกิดาหยันขุนนางทั้งหลายทั้งปวงในที่แห่งนั้น

             ยกเว้นเพียงนักบวชนอกรีตผู้แสดงท่าทางอ่อนน้อมแทบมิแผกจากกันกับกลุ่มคนเหล่านั้นเลยก็ตาม หากภายใต้ท่าทีที่ปรากฏกลับแฝงไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเองและความกระหายโลภซ่อนไว้ในดวงตาหรี่เล็กด้วยเล่ห์กลอย่างที่องค์รายาจะมิทันได้สังเกต

           “คำพยากรณ์ของท่านจักเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”

              “พระเจ้าค่ะ กุหนุงมัสจักต้องคู่กับติกาหลังเรือนแก้ว สองสิ่งจักเสริมส่งบุญญาบารมีของพระองค์ให้เป็นที่ปรากฏและเกรียงไกรในนามแห่งกุรุงปักกาตราบจนกัลปาวสาน”

                รอยแย้มสรวลเบิกขึ้นนิดหนึ่งที่ริมโอษฐ์ บุหลันรัศมีเป็นมหารายาสตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งคาบสมุทร การถูกกดขี่ด้วยอำนาจแห่งเพศชายมาตลอดรัชสมัยก่อนหน้าด้วยความเชื่อที่ว่า สตรีเป็นเพียงผู้ตามแห่งบุรุษโดยไม่มีโอกาสได้ออกความคิดเห็นใดๆทั้งสิ้น เจ้าหญิงบุหลันรัศมีเมื่อยังทรงพระเยาว์ก็ได้รับการปฏิบัติดูแลมาเช่นเดียวกันนั้น ตราบจนราชบัลลังก์ตกทอดมาถึงอุ้งหัตถ์โดยมิคาดฝันโดยการสิ้นพระชนม์ของพระเชษฐา ตำแหน่ง “รายา”จึงจำต้องสืบทอดโดยสายพระโลหิตแห่งสันตติวงศ์

            สิ่งนั้นได้ผลักดันให้ทรงพากเพียรที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นการพิสูจน์ความสามารถของพระองค์เอง ทั้งการศึกสงคราม เมื่อทรงแผ่ขยายอาณาเขตแห่งกุรุงปักกาออกไปจนเป็นที่ครั่นคร้ามแก่ทั่วทุกสารทิศ ยกเว้นเพียงราชอาณาจักรเล็กๆแห่ง “เกาะบุหรง” หรือบุหรงปุระเท่านั้นที่องค์ปาปอหยีสังฆาตาพระบิดาเคยดำรัสขอร้องเอาไว้ก่อนจะเสด็จสู่สวรรคาลัย

            “บุหลันรัศมี พ่อรู้ในความทะเยอทะยานแสวงหาความยิ่งใหญ่ให้แก่อาณาจักรของเรา สิ่งนั้น ในทางหนึ่งก็นับเป็นการดี ที่เจ้าได้สามารถพิสูจน์ตนเองในฐานะแห่งองค์รายาผู้สามารถ

       แต่จงจำไว้ บุหรงปุระกับกุรุงปักกา พสกนิกรทั้งสองนครานี้สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน พวกเรามีองค์ปะตาระกาหลาเป็นจอมเทวาที่ต่างให้ความเคารพนับถือเฉกเดียวกัน

       ดังนั้น ไม่ว่าเจ้าจักสมุทรยาตราไปสู่ดินแดนใดในคาบสมุทร จงละเว้นเกาะบุหรงไว้ เพราะการทำลายบุหรงปุระนั่นย่อมไม่ต่างห้ำหั่นสายโลหิตเดียวกันกับเราไปด้วย”

           ทรงแสร้งรับปากเพื่อให้ผ่านพ้นเหตุการณ์เฉพาะหน้า องค์ปาปอหยีสังฆาตาพระบิดาผู้สูงวัยและประชวรด้วยพระโรคชราเริ่มเลอะเลือนและในระยะหลัง แทนที่จะทรงชื่นชมโสมนัสกับชัยชนะที่ได้รับจากการศึกดาหงัน กลับทรงเอาแต่ตรัสพร่ำเตือนซ้ำซากจนน่าเบื่อหน่ายและ... ราวกับหยั่งรู้ในพระทัยส่วนลึก!

       รายาผู้มีพระทัยเหี้ยมหาญจึงได้แต่เพียงรับฟังเพื่อให้อีกฝ่ายสบายพระทัยเท่านั้น

               แต่ในพระปณิธานที่ไม่มีผู้ใดหยั่งรู้แล้ว บุหรงปุระคือเกาะอันเป็นฐานยุทธศาสตร์ที่มั่นสำคัญยิ่งสำหรับกุรุงปักกา การยึดครองบุหรงปุระมาอยู่ในอาณัติแห่งกุรุงปักกาได้สำเร็จ จึงเป็นเสมือนการสร้างฐานกำลังและความแข็งแกร่งแก่ราชอาณาจักรให้เพิ่มขึ้นนับเท่าทวีคูณ

              หากก็หาได้ปริโอษฐ์บอกเล่าพระดำรินี้แก่ผู้ใดไม่ และไม่นานองค์ปาปอหยีสังฆาตาก็เสด็จสู่สวรรคาลัย เมื่อทรงก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งอันสูงสุดแห่งผู้นำ จึงมิได้มีผู้ใดกล้ากราบทูลทัดทานในเรื่องนี้อีก

           โดยเฉพาะการปรากฏตัวของอาหยันปะตาปาผู้ขมังเวทย์...

          บุรุษเดียรถีย์ผู้ไม่ปรากฏที่มาและเชื้อชาติของมันมาก่อน ทว่าคำเพ็ดทูลของผู้ที่ทรงนับถือเป็นอาหยันผู้นี้ ช่างตรงกับพระดำริโดยมิคาดฝัน...

                      นักบวชเฒ่าจากแดนไกล พร้อมเสียงร่ำลือถึงคำพยากรณ์อันแม่นยำราวมีนัยน์ตาทิพย์ ทำให้ทรงมีบัญชาให้กิดาหยันมนตรีรับตัวอาหยัน ปะตาปาเข้ามาสู่ราชสำนัก น่าประหลาดยิ่ง เพราะว่าภายหลังจากนั้น ทุกถ้อยกราบทูลหรือข้อพยากรณ์ของปะตาปากลับทำให้ทรงประสบผลสำเร็จในด้านต่างๆมากมาย และนั่นก็ยิ่งเพิ่มความศรัทธาแก่องค์รายาบุหลันรัศมีจนยกให้นักพรตเฒ่าเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญ

                 “ชื่อเสียงพระเกียรติยศ และนามแห่งกุรุงปักกา จักปรากฏตราบชั่วฟ้าดินสลาย แต่... แต่การปรากฏของเรือนแก้วติกาหลังปัตราภายหลังการประสูติของระเด่นติกาหลังหนึ่งหรัด ย่อมเป็นประจักษ์พยานถึงความยิ่งใหญ่ของบุหรงปุระที่อาจจะมีเหนือไปกว่ากุรุงปักกา เมืองเล็กๆแห่งนั้นเพียงไม่ถึงสองทศวรรษ กลับเจริญรุดหน้าทั้งการค้าและการสงคราม จนน่าจะเป็นเสี้ยนหนามชิ้นสำคัญของกุรุงปักกา โดยเฉพาะเป็นเสี้ยนหนามที่อยุ่ใกล้มือของฝ่าพระบาทมากที่สุด”

          “ท่านอาหยัน ข้ายอมไม่ได้ เกาะเล็กๆแห่งนั้น ฤาจะมีแสนยานุภาพเหนือไปกว่ากุรุงปักกาได้?”

           นักบวชเฒ่ายอบกายนอบน้อมยิ่งนัก หากคำกราบทูลก็หนักแน่นไปด้วยเหตุผลอันมิแพ้กัน

                      “ฝ่าพระบาทเองก็ทรงสดับถึงตำนานของเรือนแก้วนั่นมาตั้งแต่ติกาหลังหนึ่งหรัดยังเยาว์พระชันษาแล้ว กระหม่อมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะจัดการบุหรงปุระเพื่อช่วงชิงติกาหลังปัตรามาทำพิธีลบอาถรรพ์เพื่อครอบครองเป็นปัตราบารมีคู่กุหนุงมัส ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”

           “สายเกินไป? ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

             นัยน์ตาคมกล้าผิดวัยของปะตาปาเงยขึ้นสบจอมรายาโดยมิพรั่นพรึง

                    “ข้าพระองค์ทราบข่าวมาว่า ในเร็ววันนี้ องค์ปะเดรีและประไหมสุหรีแห่งบุหรงปุระมีประสงค์ให้เจ้าหญิงติกาหลังหนึ่งหรัด เข้าพิธีอภิเษกกับองค์ตุนาหงัน ระตูอิสมารา อินทรา เจ้าชายพระองค์นี้แม้จะมิได้ดำรงพระยศเป็นองค์ระเด่น กุมอำนาจเหนือราชอาณาจักรใดๆ หากแต่ก็มีพระทัยห้าวหาญรวมถึงฝีมือในการศึกมิใช่น้อย ถ้าหากการอภิเษกถือกำเนิดขึ้นสำเร็จกำลังพลของบุหรงปุระก็จะยิ่งทวีความเข้มแข็งมากขึ้นทุกขณะจนน่าคร้ามเกรงว่าจักเป็นภัยแก่เราในภายภาคหน้า”

              รายาทรงกุมปลายหนุครุ่นคิดตามคำกราบทูลขออีกฝ่าย ทรงรำพึงกับพระองค์เอง เมื่อนึกถึงเจ้าชายหนุ่มคู่ตุนาหงันของติกาหลังหนึ่งหรัด ระตูอิสมารา อินทรานั้นมีรูปทรงองอาจเฉกบุรุษชาติอาชาไนยและวงพักตร์คมเข้มสมบุรุษเพศอันควรคู่แก่ความโสภาแห่งเจ้าหญิงบุหรงปุระยิ่งนัก ซ้ำกิติศัพท์ความเก่งกล้าสามารถของมันก็เป็นที่เลื่องลือระบือระบิลไปทั่วเขตแคว้นแห่งคาบสมุทร

            แต่เพราะมิได้ถือกำเนิดในสายราชวงศ์อสัญแดหวา มีศักดิ์เป็นเพียงระตู เจ้าผู้ครองนครเล็กๆแห่งหนึ่งเท่านั้น จึงมิได้มีบารมีทัดเทียมเท่าสิงหราปาตี

              “ใช่! ข้าทราบอยู่เหมือนกัน ระตูหนุ่มองค์นี้แม้จะมาจากเมืองเล็กๆตอนใต้ของเกาะบุหรง ที่ไม่มีแสนยานุภาพใดๆ แต่ความเก่งกล้าสามารถในการสู้รบของมันก็ใช่ว่าจะปรามาสได้ง่าย”

            “แต่นั่นก็ยังมิใช่เรื่องสำคัญเท่ากับ...”

           อีกฝ่ายเอ่ยทิ้งท้ายเป็นปริศนา จนทำให้รายาผู้พระทัยร้อนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมาก่อน

          “ยังมีอันใดสำคัญกว่าเรื่องของระตูอิสมารานั่นอีก?”

            “เจ้าชายสิงหราปาตีพระเจ้าค่ะ!!”

                    “ทำไม? หรือท่านอาหยันคิดว่าลูกชายของข้า...”

                   ***********************

                แผ่นจิตรเลขาหรือรูปวาดนั้นมีผลทำให้เจ้าชายผู้อัปลักษณ์แห่งกุรุงปักกาถึงกับเข้าบรรทมมิได้ ทันทีเมื่อทรงคลี่มันออกทอดพระเนตร และเห็นรูปองค์ระเด่นโฉมงามแห่งบุหรงปุระ สิงหราปาตีก็เอาแต่คร่ำครวญหวนหาโดยมิได้เสวยกระยาหารใดๆ ราวกับจักทรงประชวรด้วยพิษไข้กำเริบหนัก... พิษแห่งความรัก!!

              รายาบุหลันรัศมีเองก็มิได้ตระหนักในข้อนี้ ทรงหมกมุ่นกับการวางแผนการยุทธนาเพื่อขยายอาณาเขตแห่งราชอาณาจักรโดยมิทันได้สนพระทัยองค์ปิโยรสพระองค์เดียว ทรงทราบเพียงอาการประชวรและส่งหมอหลวงไปถวายการดูแลแล้ว จากนั้นก็มิได้สนพระทัยใดอีก

          ในเมื่อมีสิ่งอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าและพึงปรารถนา รอคอยอยู่

                ...หากเมื่อได้รับคำเพ็ดทูลจากท่านอาหยันปะตาปาเฒ่า จึงทรงฉุกคิดหวนตระหนักความจริงข้อนี้ขึ้นมาโดยมิคาดฝัน

                “อา... ลูกชายของข้า มีจิตปฏิพัทธ์ต่อติกาหลังหนึ่งหรัดกระนั้นหรือ? แต่สิงหราปาตีเองก็มีเกนหลงดะราหวันอยู่แล้วนี่นะ?”

            ทรงขบพระทนต์นิ่งอยู่ชั่วขณะ เมื่อครุ่นคิดต่อคำกราบทูลของปะตาปาเจ้าเล่ห์

             “กระหม่อมทราบแต่เพียงว่า เมื่อองค์ระเด่นทรงเห็นภาพของเจ้าหญิงบุหรงปุระก็หาได้มีพระทัยให้กับสตรีอื่นใดอีกต่อไปไม่”

           “มันก็แค่ความลุ่มหลงในอิตถีเพศของผู้ชายธรรมดานั่นแหละ ท่านอาหยัน ต่อเมื่อได้สมความปรารถนาแล้ว ความรู้สึกรุ่มร้อนกระวนกระวายเหล่านั้นก็จะบรรเทาเบาบางลงไปเอง จากนั้นแล้วสิงหราปาตีก็จะเสาะแสวงหาสตรีโฉมงามนางอื่นมาบำเรอพระทัยต่อไปเช่นเดียวกัน”

              ทรงตรัสออกมาอย่างผู้ที่หยั่งรู้ในธรรมชาติแห่งมนุษย์เพศผู้และมั่นพระทัยในพระดำรินั้น ปะตาปาเฒ่าลอบยิ้ม เมื่อแผนการเริ่มเดินหน้าไปเรื่อยตามเป้าหมาย

                    “แต่อย่างไรกระหม่อมคิดว่าในจังหวะเวลาอันเหมาะสมนี้ เราน่าจะให้อาลักษณ์แต่งสาส์น กราบทูลขอเจ้าหญิงติกาหลังหนึ่งหรัดมาเป็นบาทบริจาริกาขององค์สิงหราปาตี โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีให้แน่นแฟ้นมากขึ้นระหว่างสองอาณาจักร”

           คราวนี้ทรงสรวลด้วยความขบขันมากกว่าจะเข้าพระทัยในเจตนาของอีกฝ่าย

           “ท่านอาหยันปะตาปา ท่านก็รู้เจตนาของเราดีอยู่แล้ว เราต้องการยึดครองบุหรงปุระมิได้ต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีใดๆกับพวกมันแม้แต่น้อย”

              อีกฝ่ายกราบก้มถวายบังคม จนมองเห็นแต่เพียงศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีขาวโพลน

           “แต่การเจรจานี้แหละพระเจ้าค่ะ จะทำให้เรามีเหตุผลชอบธรรมในการส่งสมุทรยาตราเข้ายึดบุหรงปุระโดยจักมิได้เป็นที่ครหาแก่แว่นแคว้นอื่นใดทั้งปวง”

          นัยน์เนตรของรายาหรี่ปรืออย่างครุ่นคิด ก่อนจะสว่างวาบเมื่อทรงเล็งเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา

            “ใช่! เพราะพวกมันต้องตอบปฏิเสธ!!”

            “และหลังจากนั้น ติกาหลังปัตราจะตกเป็นของพระองค์... และเจ้าหญิงติกาหลังหนึ่งหรัดก็จะตกเป็นบาทบริจาริกาของเจ้าชายสิงหราปาตี สมดังมโนปรารถนาทุกประการ”

               รายาบุหลันรัศมีมัวแต่สรวลอย่างพึงพระทัยในคำเพ็ดทูลนั้น มิทันทอดพระเนตรนัยน์ตาคมกล้าของปะตาปาเฒ่าที่ก้มศีรษะหมอบอยู่กับพื้น นัยน์ตาที่มาดมุ่งต่อสิ่งทั้งสองพร้อมกันสำหรับตัวมันเองแต่เพียงผู้เดียว!!

            แผนการนี้กำลังจะสัมฤทธิ์ผลในมิช้า...  มันนึกทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความกระหยิ่มลำพองใจ

              แท้จริงแล้ว... ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นด้วยแผ่นจิตรเลขาอันลงอาคมมนตรานั้นเอง... ปะตาปาผู้สัญจรทุกคาบสมุทรเคยประจักษ์ในพระสิริโฉมขององค์ติกาหลังหนึ่งหรัดมาก่อนแล้ว และมันจึงตัดสินใจลอบจ้างวานให้วณิพกผู้ชำนาญศิลป์เป็นผู้เขียนรูปอันโสภาขององค์ระเด่นแห่งบุหรงปุระขึ้นมา

            ภาพวาดนั้นโสภิตพรรณรายดังจินตนาการมิเพี้ยนผิด หากสิ่งสำคัญที่จะทำให้แผนการทั้งหมดบรรลุคือการลงอาคมด้วยกฤตยามนตร์ดำของมันเอง มหามนตราอันทรงฤทธีเพื่อให้ผู้ทอดพระเนตรรูปพิจิตรเลขาเพียงคนแรกได้ถูกสะกดให้ลุ่มหลงโดยมิอาจถ่ายถอน จากนั้นแล้วจึงส่งให้ประสันตาพระพี่เลี้ยงของเจ้าชายสิงหราปาตีนำขึ้นถวายเจ้าชายหนุ่มเหมือนเป็นเช่นของบรรณาการ

             เบี้ยหมากตาแรกถูกส่งออกไปก่อนเพื่อหยั่งเชิง ก่อนการรุก “ขุน” จากนั้นจึงจะนำไปสู่การกวาดไพร่พลทั้งกระดานทัพในเวลาต่อมา!

              เจ้าชายสิงหราปาตีก็ทรงถูกดึงเข้ามาอยู่ในแผนการนี้โดยไม่รู้องค์เลยแม้แต่น้อยว่าจะกลายเป็น “เบี้ยหมาก”ตัวแปรชิ้นสำคัญบนกระดานรบ และกว่าที่ใครสักคนจะฉุกใจคิด ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว

        ทั้งด้วยรูปโฉมอันเลอลักษณ์แห่งระเด่นติกาหลังหนึ่งหรัดเองและด้วยฤทธิ์กฤตยามนตร์หลอมรวมเป็นพลังอันเร้นลับเกินต้านทาน ทำให้ผู้ทอดพระเนตรจิตรเลขาเพียงคราแรกเกิดความลุ่มหลงเกินรำงับพระทัย

                เมื่อนั้นชนวนเลือดแห่งสองราชอาณาจักรจึงเริ่มต้นขึ้น!!

                 **************************

รอพบกับตอนที่ 24 ในคราวต่อไปนะครับ
หมอกมุงเมือง

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 09:50:16




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com