อ้ายเบี้ยว.......
ราสส์ กิโลหก.. หลังจากเรียนจบหลักสูตรวิชาช่างสำรวจแล้ว กรมที่ดินได้เปิดสอบตำแหน่งช่างรังวัดจัตวาเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการกรมที่ดินเมื่อปี 2518 ผมได้ไปสมัครสอบและสามารถสอบบรรจุได้ รุ่นนี้มีผู้สอบผ่านประมาณ 100 คน ส่วนมากก็เป็นพรรคพวกรุ่นเดียวกันที่เรียนสถาบันเดียวกันมา เมื่อรายงานตัวแล้ว ทางกรมที่ดินได้บรรจุให้เป็นข้าราชการวิสามัญก่อน และออกคำสั่งให้ไปสังกัดตามกองต่างๆ ผมถูกจัดให้ลงยังกองสำรวจและควบคุมที่ดินของรัฐ กองนี้มีหน้าที่ในการดูแลที่ดินซึ่งเป็นของรัฐหรือของหลวงทั่วๆไป
เมื่อบรรจุได้ครบ 6 เดือนก็เปลี่ยนสภาพเป็นข้าราชการสามัญ ทางกองสำรวจฯต้นสังกัดจึงส่งตัวไปปฏิบัติงานที่อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบฯ ไปรังวัดเวนคืนที่ดินชลประทาน ชื่อโครงการแม่กลองใหญ่ ใน 1 ปีออกสนาม 10 เดือนที่เหลือสองเดือนเข้ามาใช้เงินในกรุงเทพฯ เฉพาะค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก ค่าคนงาน เบิกแต่ละเดือนมากกว่าเงินเดือนหลายเท่า ทำอยู่ จนถึงปี 2522 ชักเบื่อจึงมีความคิดขอย้ายกลับบ้านที่ต่างจังหวัด จึงได้ไปยื่นคำร้องที่กองการเจ้าหน้าที่ระบุความประสงค์ขอย้ายกลับภูมิลำเนา เจ้าหน้าที่ถามว่าทำไมถึงย้ายกลับบ้าน คือมันมีช่องต้องให้เขียนเหตุผลไปด้วย ผมถามเขาว่าจะเขียนยังไงดี เจ้าหน้าที่ผู้หญิงบอกว่า ให้ใส่ว่าต้องการกลับไปดูแลพ่อแม่หรือปูย่าตายายก็ได้ ก็เลยเขียนว่าขอกลับไปดุแลยายที่แก่ชรา
อธิบดีกรมที่ดินที่ดำรงตำแหน่งขณะนั้นคือ ............... อธิบดีคนนี้เคยเป็นผู้ว่าจังหวัด..............มาก่อน และป้าของผมก็รู้จัก ปรากฏว่าไม่นานก็มีคำสั่งย้ายออกมา เป็นคำสั่งโยกย้ายที่ดินอำเภอทั่วประเทศกว่า 100 คน ที่น่าแปลกคือมีผมคนเดียวตำแหน่งช่างรังวัดระดับ 2 ที่มีชื่อในคำสั่งกับเขาด้วย อดนึกไม่ได้ว่าป้าของผมช่วยพุดกับอธิบดีให้หรือเปล่า ? ข้าราชการในกองเดียวกับผมได้ย้ายไปเป็นที่ดินอำเภอหลายคน ก่อนเดินทางก็มีการเลี้ยงกันตามธรรมเนียม และผู้อำนวยการกองได้แจกของที่ระลึกให้ด้วย ตอนที่เขาประกาศชื่อผมให้ขึ้นไปรับของที่ระลึก พวกที่ไม่รู้จักกันกับผมพากันมองกันด้วยความสนใจ เพราะตอนนั้นผมมีอายุเพียง 26 ปี เนื่องจากทุกคนรู้เพียงว่าคำสั่งนี้จะเป็นการย้ายตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ (เป็นตำแหน่งหัวหน้าส่วนระดับอำเภอ) อายุเฉลี่ยคนที่เป็นเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอน้อยที่สุดก็ต้อง 35 ปีขึ้นไป พวกเขามองผมด้วยความชื่นชมคงคิดว่า อ้ายหมอนี่ อายุเพียงแค่นี้ก็ได้เป็นเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ อนาคตในภายหน้าคงถึงอธิบดีแน่.! ผมเลยเดินยืดจนอกตุง.. วันที่เดินทางมารายตัวต่อ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฯ ท่านถามว่าอยากอยู่ที่จังหวัด หรืออำเภอฯ เพราะในคำสั่งตำแหน่งผมให้ไปประจำที่อำเภอฯ ผมตอบว่า อยากอยู่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดเพราะใกล้บ้าน ถ้าไปทำงานที่อำเภอฯต้องเดินทางไกล ที่สำคัญ งานในสำนักงานที่ดินอำเภอเป็นงานระดับแค่ น.ส.3 สมัยนั้นสำนักงานที่ดินอำเภอไม่ค่อยมีช่างอยู่ประจำ เพราะช่างรังวัดมีน้อย ส่วนใหญ่หากมีตำแหน่งช่างอำเภอย้ายมาใหม่เจ้าพนักงานที่ดินจะใช้อำนาจดึงตัวเข้ามาทำงานที่ สำนักงานที่ดินจังหวัดเกือบทุกราย ทำให้ทางสำนักงานที่ดินอำเภอต้องแก้ปัญหากันเอง นั่นคือพวกที่ประจำอยู่สำนักงานที่ดินอำเภอไม่ว่าจะเป็นภารโรง เจ้าหน้าที่การเงิน เจ้าหน้าที่จดทะเบียน จนถึงเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ ต้องออกไปทำการรังวัดกันเองตามมีตามเกิด นี่คือสาเหตุว่าทำไม เนื้อที่ น.ส. 3 ในสมัยนั้นจึงเพี้ยนจากความเป็นจริงมาก
เมื่อมาทำงานที่สำนักงานที่ดินจังหวัดใหม่ๆผมยังไม่มีลูกน้องประจำตัว ช่างรังวัดต้องมีลูกน้องประจำตัว เพราะต้องมีคนอ่านโซ่ ลากโซ่ และแบกกล้อง
งานชิ้นแรกคือไปรังวัดแบ่งแยก(ชาวบ้านชอบพูดว่าฉีกแหกโฉนด) ที่ท้องที่อำเภอแห่งหนึ่ง ตอนเช้าผมเตรียมงานอยู่บนสำนักงานและกำลังมองหาคนงานรังวัดสัก 2 คนเพื่อให้ไปทำงานด้วย
ลูกพี่ วันนี้ผมขอไปด้วยคน
อ้ายเบี้ยว..คนงานรังวัดเดินมาพูดกับผมที่หน้าโต๊ะทำงาน มันเป็นชายร่างเล็กสูงประมาณ 155 เซนติเมตรอายุสัก 30 ปีผมสั้นเกรียน ใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ที่สำคัญกลิ่นดอกละมุดหึ่ง
เอ็งไม่ได้ออกไปกับใครหรือ ?
ครับลูกพี่ วันนี้ผมว่าง ลูกพี่มีคนงานอีกคนหรือยัง ถ้าไม่มีเดี๋ยวผมหาให้
ในการรังวัดต้องใช้คนงานอย่างน้อย 2 คน ผมไม่ปฏิเสธเพราะคนงานยังไม่มี ให้มันไปหามาอีก 1 คน
มันเดินหายออกไปไม่นานก็กลับมาพร้อมกับพาชายคนหนึ่งมา
ลูกพี่ นี่อ้าย เป๋ มันดันหลังอ้าย เป๋ มาให้ผมดุหน้า อ้ายนี่หน้าตาแก่กว่าอ้ายเบี้ยว ที่สำคัญขาสองข้างของมันไม่เท่ากัน เวลาเดินเหมือนเขย่งขาเดิน ผมมองพลางนึกว่าแล้วมันจะไปเดินวัดที่ได้หรือเปล่า ?
อ้ายเบี้ยว เห็นท่าทางที่ผมมองไปที่อ้าย เป๋ และเดาใจออก รีบบอกสรรพคุณ อ้าย เป๋
ลูกพี่ ไม่ต้องห่วง อ้าย เป๋ มันมือหนึ่งของบ้านลิงขบ
ผมไม่มีเวลาเลือกเอาก็เอา.. คนงานรังวัดที่นี่ส่วนใหญ่เป็นเด็กมาจากบ้านลิงขบ คงเป็นเพราะอยู่ใกล้กับสำนักงานฯสมัยนั้นเขาเรียกว่าหอทะเบียนที่ดิน ภายหลังจึงได้รู้ว่าบ้านลิงขบเป็นถิ่นของเด็กรังวัดเพราะทำกันเป็นรุ่นๆสืบเนื่องกันมาตั้งแต่พ่อยันลูก
ลุงจ่อย..เจ้าของที่ดินมารับเมื่อเวลาเกือบ 9 โมงเช้าพาหนะคือรถปิกอัพเก่าๆ พวกคนงานและเจ้าของที่ดินช่วยกันขนเครื่องมือรังวัดและหลักเขตที่ดินจำนวนหนึ่งขึ้นรถ เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกัน ถนนไปยังพื้นที่ทำการรังวัดสมัยนั้นเป็นถนนดินลูกรังตลอด บางช่วง ลัดเลาะไปตามคลองชลประทาน กว่าจะถึงที่ดินเล่นเอาเหนื่อย..
พวกเรามาถึงที่ดินเมื่อเวลา 10 โมงเช้า บริเวณที่ดินเป็นที่ทำนา แต่ตอนนี้แห้งเหลือแต่ตอซังข้าวเพราะเพิ่งเก็บเกี่ยวไปไม่นาน เมียเจ้าของที่ดินท่าทางใจดี ดูท่าทางเขาเกรงใจเจ้าหน้าที่มาก คงเป็นเพราะสมัยนั้นเจ้าของที่ดินถ้าไปยื่นคำขอรังวัดกว่าจะถึงวัดนัดรังวัดต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน วันรังวัดที่ดินจึงเป็นวันที่มีความหมายกับเขามาก มีการทำอาหารเพื่อไว้ต้อนรับช่างรังวัดเหมือนกับมีงาน บางบ้านถึงกับเชือดหมู ทำลาบ ทำหมูย่างก็มี สิ่งสำคัญที่ไม่เคยขาดคือสุรา ถ้ามีฐานะหน่อยก็สีแดง ถ้าไม่ค่อยมีเงินอย่างน้อยก็เหล้าขาวหรือเหล้าป่า มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องบอกพวกเขาจะรู้หน้าที่
การรังวัดที่ดินมิใช่มีแต่เจ้าของที่ดินอย่างเดียว ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องอีกหลายคน เช่นเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงที่ติดกัน ต้องมาร่วมในการรังวัดด้วยเพราะเวลาฝังหลักเขตจะทำการฝังฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องฝังกันต่อหน้าเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงด้วย เรื่องแนวเขตเป็นเรื่องใหญ่ทะเลาะกันแทบเป็นแทบตายก็เพราะที่ดินแค่คืบก็มีให้เห็นเป็นประจำ บางครั้งฟันหัวกันจนแบะก็เพราะตกลงแนวเขตข้างเคียงกันไม่ได้ก็มีบ่อยๆ...ขาดไม่ได้คือผู้ปกครองท้องที่ ก็คือกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นตัวแทนนายอำเภอในท้องที่นั้นๆ
เจ้าของที่ดินรายนี้เป็นคนมีฐานะพอสมควร เพราะมีการเชือดหมูตั้งแต่เช้ามืด ใต้ถุนบ้านมีการตั้งวงเหล้ากันแล้ว พวกที่นั่งกันก็ไม่ใช่ใคร มีทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียงที่จะต้องมาร่วมในการชี้เขตกันวันนี้ ในวงเหล้ามีกับแกล้มเป็นเนื้อหมูโดยเฉพาะ ทั้งลาบทั้งเลือดแดงเถือกบนจานสังกะสี ที่วางเรียงกันอยู่หลายใบ รวมทั้งเครื่องในหมูต้มกลิ่นหอมฉุย
พอเห็นช่างแผนที่ พวกที่นั่งกันอยู่ ต่างลุกขึ้นทักทายเหมือนเจ้านายจากอำเภอมาตรวจงาน
หัวหน้า ! เชิญครับ ชายชราหัวขาวโพลน รีบลุกขยับเพื่อจะให้ผมเข้าไปนั่งข้างวงเหล้า พร้อมกับหันไปคว้าแก้วเปล่าใบหนึ่ง เอาชายผ้าขาวม้าที่เคียนอยู่ที่เอว เอาคว้านภายในแก้ว แล้วจัดการรินเหล้าใส่แก้วเกือบครึ่งส่งมาให้ผม
มันเป็นไมตรีจิตที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ผมคว้าใส่ปากด้วยความชำนาญ ร้องแฮ่ๆเพราะความร้อนแรงของน้ำเหล้า
พวกเขาเลื่อนจานต้มเครื่องในหมูมาให้ เพื่อเป็นกับแกล้ม..
กำนันย้อย หน้าแดงก่ำเดินมาจูงมือให้ผมไปนั่ง
นั่งก่อนครับหัวหน้า เดินทางมาเหนื่อยๆ ที่ดินไม่หนีไปไหนหรอกน่า กำนันพูดหยอก
ลุงจ่อยเจ้าของที่ดินหันหน้ามาทางผม พุดว่า
หัวหน้านั่งคุยกันก่อนนะ เดี๋ยวผมจะไปเตรียม จอบ เสียม มีดไม้ ก่อนเดินหายไปทางหลังบ้าน
พวกขี้เหล้าจะเป็นโรคก้นหนักกันแทบทุกคน พอได้นั่งแล้วไม่ค่อยอยากจะลุก มันเหมือนต้องมนต์สะกด แก้วแรกๆไม่เท่าไหร่ พอหลายๆแก้วชักติดลม เรื่องที่คุยก็สนุกออกอรรถรสขึ้นเรื่อยๆ
แต่หน้าที่ก็คือหน้าที่ ผมพยายามมองหาลุงจ่อยเจ้าของที่ดิน ที่ไปเตรียมของว่าเสร็จแล้วหรือยัง ?
ตาก็มองหาแต่มือยังยกเหล้าเข้าปากได้เรื่อยๆ จากสายกลายเป็นเพล แล้วอ้ายเบี้ยวกับอ้าย เป๋ หายหัวไปไหน ผมต้องร้องบอกให้ใครก็ได้ไปดู ลุงจ่อย ซิ ว่าอยู่ที่ไหน ?
ไม่นาน ลุงจ่อย อ้ายเบี้ยว อ้าย เป๋ เดินออกมาจากในครัวหลังบ้าน ตรงมาที่ผมนั่งอยู่
เฮ้ย ! เอ็งสองคนมัวทำอะไรกัน เดี๋ยวไม่ต้องได้วัดที่กันพอดี พระตีกลองแล้วนะเนี่ย ! ผมต่อว่าพวกมัน
ลุงจ่อยเดินเซๆมาที่ผม ท่าทางจะเมาเหล้า
หัวหน้าครับ ! อ้ายเบี้ยวบอกผมว่า วันนี้รังวัดที่ดินไม่ได้
อ้าว ! ทำไมล่ะ ผมมองไปทางอ้ายเบี้ยว เห็นมันยกมือข้างหนึ่งไว้เหนือหู ตาเกือบหลับ ยืนขากาง ท่าทางคงเมาจนเต็มที่
มันลืมหยิบ โซ่วัดระยะมาครับลูกพี่ อ้าย เป๋พูดเสียงยานเพราะความเมา..
หมายเหตุ ผมมารู้ทีหลังว่ามันไม่ได้ลืมเอาโซ่มาแต่อย่างใด แต่มันสองคนรู้กันและเอาแอบซ่อนไว้เพียงเพราะต้องการกินเหล้าและไม่อยากทำงาน อ้ายสองแสบนี่มันต้อนรับน้องใหม่อย่างผม !
แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 54 05:30:32
แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 54 20:00:30
แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 54 12:32:40
จากคุณ |
:
สวนดอก
|
เขียนเมื่อ |
:
20 พ.ค. 54 12:25:29
|
|
|
|