บทที่ 1
แสงจากโคมไฟลายวิจิตรที่ตั้งเรียงรายตลอดสองข้างทาง กำลังถูกสะท้อนกลับโดยพาหนะสีดำราคาไม่ต่ำกว่าสิบล้านที่แม้จะวิ่งมาไม่ไวนักหากแต่ก็ช้าน้อยกว่าที่ควรโดยสิ้นเชิง เพิ่งจะชะลอลงหน่อยก็ตอนเลี้ยวจอดลงตรงหน้าประตูโรงแรมดังอย่าง ‘เทพมณฑล-ธารา’
เจ้าของรถก้าวเดินลงอย่างเร็วไวห่างไกลคำว่าอ้อยอิ่ง ปล่อยให้พนักงานรับรถจัดการต่อ ร่างสูงสมาร์ทเดินจ้ำอ้าวเข้าไปไม่สนใจรับไหว้หรือแม้แต่ชายตามองใครหน้าไหนทั้งนั้น กระทั่งถูกร่างสูงโปร่งกว่าของญาติผู้น้องอย่าง ‘ดิษพงศ์’ เดินมาดักหน้าตรงทางเดินระหว่างล็อบบี้กับลิฟท์
“เป็นอะไรไปพี่พัทธ์... แล้วนั่นปากไปโดนอะไรมา” คำถามนั้นเรียกริ้วหงุดหงิดบนใบหน้าคนฟังให้เด่นชัดขึ้นอีกเป็นเท่าตัว... จะให้ตอบว่าโดนผู้หญิงต่อยงั้นเหรอ... ลืมไปได้เลย!
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ งานยังไม่จบนี่ เหลืออีกวันไม่ใช่รึไง” ชายหนุ่มเลี่ยงตอบด้วยการถามกลับพ่วงความแปลกใจ เพราะตนเป็นคนส่งให้อีกฝ่ายไปร่วมสัมมนาที่เนตรโยธารีสอร์ทสาขาเชียงใหม่ในฐานะตัวแทน
“ไม่จบก็ต้องจบแล้วล่ะ หลานชายเจ้าของโรงแรมโน้นรถคว่ำตกเขา...” ดิษพงศ์เว้นระยะไป ใช้ความนิ่งและการสบตาสื่อความหมายแทนคำพูด หากสำหรับภาสพัทธ์แล้วสิ่งที่ตีความได้มันน่ากลัวเกินไปจนต้องการคำยืนยัน
“เป็นยังไง”
“ย้ายมากรุงเทพแล้ว... สวดคืนนี้” คำตอบนั้นพาให้คนฟังซึ่งเป็นลูกชายเจ้าของโรงแรมคู่แข่งถึงกับใจหายวาบ
“แล้วทำไมไม่โทรบอกฉันก่อน” คนอารมณ์ร้อนถามขณะก้าวเดินเข้าไปในลิฟท์ โดยมีคู่สนทนาก้าวตาม ดิษพงศ์พยักหน้าเป็นนัยบอกให้พนักงานบริการประจำลิฟท์ก้าวออกมาอย่างต้องการความเป็นส่วนตัว
“ก็ผมติดต่อพี่ไม่ได้” คำอธิบายนั้นทำเอาคนติดต่อยากเพิ่งระลึกได้... เขาขว้างโทรศัพท์ทิ้งไปตั้งแต่ช่วงสาย...
“ทำไมวันนี้มีแต่เรื่อง... แล้วนี่ยัยแพทรู้หรือยัง”
คนถูกถามส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ผมยังไม่กล้าบอก รอให้พี่พัทธ์ตัดสินใจ” คนฟังพยักหน้าตอบรับว่าทำถูกต้องแล้ว “แต่ผมว่าตอนนี้ มีอีกเรื่องที่น่ากังวลนะพี่พัทธ์ เขาลือกันว่าที่รถของอนาวินตกเขาเป็นเพราะถูกตัดสายเบรค” ดิษพงศ์ละคำเอาไว้ มองหน้าประธานกรรมการบริหารของเทพมณฑล-ธาราอยู่ครู่ใหญ่ “น่ากลัวพวกเนตรโยธาจะคิดว่าเป็นฝีมือเรา”
คนคิดไม่ต่างได้แต่ส่ายหน้าระอา นี่มันวันบ้าอะไรกันถึงได้เกิดเหตุอาเพศได้ไม่หยุดหย่อน เริ่มตั้งแต่แขกวีไอพีโทรมาแคนเซิ่ลห้องพักชุดใหญ่... ไหนจะเรื่องที่บ้าน... สูทตัวโปรดเละแถมยังโดนผู้หญิงชก... ซ้ำร้ายยังตามมาด้วยเรื่องน่าปวดหัวเกี่ยวกับทายาทคนเดียวของเนตรโยธา ที่ไม่ได้เป็นแค่หลานชายของคู่แข่งทางธุรกิจ หากแต่ยังเป็นคนรักกับแพทรียา น้องสาวแท้ๆ ของเขาอีกด้วย
ภาสพัทธ์หนักใจ เขาจะบอกข่าวการจากไปของอนาวินให้หญิงสาวรู้อย่างไรดี...
ซองยาวแนวตั้งสีน้ำตาลถูกเปิดออก ธนบัตรจำนวนห้าพันบาทจากการเป็นพี่เลี้ยงสามแฝดถูกดึงออกมาวางกองรวมกับเงินอีกจำนวนหนึ่งบนโต๊ะขาพับตัวเล็กด้านหน้าโซฟาเดี่ยวสีเขียวเข้มพร้อมๆ กับเสียงถอนหายใจเมื่อปาจารีย์เปิดดูสมุดบัญชีเงินเดือนที่เพิ่งไปปรับรายการให้เป็นปัจจุบันมา
“ขาดไปอีกตั้งเกือบพันแน่ะ” เจ้าของเงินบ่นพึมพำพลางนึกเสียดายค่าปรับบนโรงพักขึ้นมาอย่างครามครัน ไม่น่าใจร้อนปากไวไปท้าทายผู้ชายคนนั้นเลย หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ
ทุกเดือนหล่อนจะมีรายจ่ายประจำเป็นค่าดอกเบี้ยจำนวนกว่าสองหมื่นบาทจากยอดหนี้กว่าสองล้านจากธุรกิจโรงสีของครอบครัวที่เจ๊งไปจากเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างหนักเมื่อหลายปีก่อน แม้อัตราดอกเบี้ยจะไม่สูงเป็นไปตามกฏหมาย ทว่าก็หนักหนาเอาการเมื่อดอกเบี้ยนั้นมากกว่าเงินเดือนของหล่อนเกือบเท่าตัว
“อ่ะ... เดือนนี้ฉันไม่ขาดไม่ลาไม่สายเลยได้พิเศษจากออฟฟิศมาพันนึงพอดี” บุศรัณย์ที่ไม่รู้ว่าอาบน้ำเสร็จออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่เดินเอาเงินมาหย่อนรวมให้เสียอย่างนั้น
“จะบ้าเหรอ ให้ฉันมาอยู่ฟรีๆ ค่าน้ำค่าไฟก็ไม่ให้ช่วยแล้วยังจะเอาตังค์มาให้อีก เอาคืนไปเลยนะ” ปาจารีย์หยิบคืนยัดใส่มือเพื่อนอย่างจริงจัง จนคนอยากช่วยต้องทิ้งตัวลงมานั่งข้างๆ จับบ่าคนตัวเล็กให้หันมาสบตา
“เออ ฉันรู้ว่าตัวฉันเองไม่ได้เหลือกินเหลือใช้ขนาดที่แกจะกล้ายอมรับความช่วยเหลือ แต่ฉันในวันนี้ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เงินนี่ก็ได้พิเศษมาจริงๆ เปล่าโกหก ไม่ได้เจียดเนื้อตัวเองมาช่วยแก เหมือนๆ กับที่ฉันไม่จำเป็นต้องเอาค่าห้องหรือค่าไฟกับแก เพราะไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรือสองคน ฉันก็ใช้ก็จ่ายมันเท่าเดิม ค่าน้ำก็แค่ไม่กี่บาทแกอย่ามาปัญญาอ่อนใส่ฉัน เข้าใจ๋?” ไม่ว่าเปล่า เพื่อนสาวมาดแมนกดน้ำหนักมือลงมาไม่ต่างจากตบกระหม่อมบาง
“แต่บุศย์คงสะดวกกว่า ถ้าอยู่คนเดียว” ปาจารีย์มองไปรอบๆ ห้องซึ่งไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย มีเพียงหนึ่งห้องนอนเล็กๆ หนึ่งห้องน้ำด้านใน จุดที่นั่งอยู่นี้คือพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับจัดวางทีวี โซฟา โต๊ะกินข้าวขนาดสองคน อุปกรณ์ชุดทำครัวเล็กๆ กับระเบียงแคบๆ
“พูดแบบนี้แปลว่าแกไม่สะดวกที่อยู่กับฉัน?” เจ้าของห้องเลิกคิ้วขึ้นข้างนึงเป็นเชิงถาม ทั้งที่รู้ดีว่าเพื่อนสาวหาได้หมายความอย่างนั้น
“บุศย์น่ะโลกส่วนตัวสูงจะตาย ทำไมฉันจะไม่รู้” เจอคำนี้เข้าไป เจ้าของห้องถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอื้อมมือไปจับท้าทอยอีกฝ่ายแล้วโน้มใบหน้าไปสบสายตาใกล้ๆ อย่างจริงจัง
“ทำไงได้ โลกส่วนตัวของฉันมันเคยชินที่มีแกอยู่ด้วยมาตั้งหกปีแล้วนี่หว่า” เสียงห้าวๆ ใบหน้าคมๆ ไหนจะทรงผมสั้นๆ ของเพื่อนสาวตรงหน้าทำเอาปาจารีย์อดหัวเราะคิกไม่ได้
“ถ้ามีใครเปิดประตูเข้ามาตอนนี้ ต้องคิดว่าเราเป็นมากกว่าเพื่อนกันแน่ๆ” บุศรัณย์ก็แบบนี้ ทีท่าแสนแมน แววตาอบอุ่น เวลาอยู่กับหล่อนแล้วใครมองมาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าราวคู่ทอมดี้อย่างไรไม่ปาน ขนาดเพื่อนในกลุ่มยังอดระแวงไม่ได้ว่าบางทีสองคนนี้อาจเป็นมากกว่าเพื่อนจริงๆ
แววตาสงสัยของใครหลายๆ คนไม่ใช่สองเพื่อนซี้จะไม่รู้ หากแต่เลือกที่จะเฉย ไม่เคยปฏิเสธ แถมยังสนุกสนานที่จะใกล้ชิดกันให้คนอื่นใจหายใจคว่ำเล่นเสียด้วย
“แหม... เสียดาย ดันล็อคประตูไว้ซะด้วยสิ แต่ว่า... ไหนๆ ก็ไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะแล้ว ฉันปล้ำแกเลยดีไหม” ทีท่าของเพื่อนสาวมาดแมนทำเอาปาจารีย์กรี๊ดลั่น
เสียงเรียกเข้าที่ดังขัดจังหวะมโหรีดนตรีไทยทำให้สาวหล่อหยุดชะงักการเข้าชาร์จ ปล่อยให้เพื่อนสาวเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายมารดา หัวคิ้วของเจ้าหล่อนขมวดเข้าหากันพร้อมคำถามตกอกตกใจ พอรับคำเสร็จก็กดวางสาย ก่อนจะค่อยๆ ลดข้อมือลงปล่อยเครื่องมือสื่อสารไหลลู่หล่นจากตักลงไปยังพื้น
“เกิดอะไรขึ้น ปุ่น...” ฝ่ามืออุ่นจากเพื่อนสาวมาดเข้มทำเอากระบอกตาของปาจารีย์ร้อนผ่าว หากแต่ไร้หยดน้ำตาหลั่งไหล สิ่งที่ได้รับรู้มากำลังทำให้ความคิดในใจมืดบอด
“พ่อเอาบ้านไปจำนองกับเจ้าของบ่อน” พูดได้เท่านั้นก็ราวกับมีก้อนน้ำตามาอุดในลำคอ “ฉันไม่เคยรู้เลยปุ่น ว่าพ่อจะติดพนันมากขนาดนี้” ราวกับเคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน ย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นหล่อนยังเรียนอยู่มัธยมต้น เป็นอาหมวยแสนซนถักเปียสองข้าง ทำตัวแก่นๆ วิ่งเล่นไปมาอยู่ในโรงสีของครอบครัวในจังหวัดลพบุรี ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างหนักจนทำให้กิจการเกิดความเสียหาย บิดาของหล่อนต้องเปิดบัญชีเรียกเอาเงินทุนออกมาเพื่อแก้ปัญหา แต่กลับพบว่ามีการทุจริตของหุ้นส่วนคนสนิทกับเจ้าหน้าที่บัญชี สองคนนั้นคงเดาสถานการณ์ออกว่าจะมีการเรียกเงินก้อนนั้นออกมาจึงไหวตัวหลบหนีไปเสียก่อน
บิดาของหล่อนพยายามกอบกู้สถานการณ์อยู่หลายปี แต่เพราะเป็นโรงสีใหญ่ ความเสียหายได้ลุกลามเกินกว่าจะตามอุดรอยรั่วที่มารู้ตัวเมื่อสายได้จนหมดสิ้น ความเหนื่อย ความเครียดอีกทั้งไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ทำให้สุดท้าย บิดาของหล่อนค่อยๆ ถอดใจ หันไปพึ่งสุราจนร่างกายทรุดโทรม ไม่มีศักยภาพพอจะทำงานได้อีกต่อไป ภาระที่เหลือต่อจากนั้นจึงตกมาเป็นของปาจารีย์ในฐานะลูกสาวคนโต
ร่างเล็กสูดลมหายใจกักกลั้นความท้อแท้ที่ขยายตัวกว้างอยู่พักใหญ่ก่อนหันไปมองหน้าสาวหล่อด้วยความท้อใจ น้ำเสียงที่เล็ดลอดออกมานั้นกล้ำกลืนเต็มที
“ถ้าหาเงินไปไถ่คืนไม่ได้ภายในครึ่งเดือน เขาจะขายทอดตลาด”
“เท่าไหร่” บุศรัณย์ขมวดคิ้วพลางนึกถึงเงินเก็บที่ตนพอมี
“สี่แสน...” เสียงตอบเบาจากปาจารีย์ ไม่ได้ทำให้คนฟังตกใจน้อยลงเลย
“เฮ้ย!” เจ้าของห้องเผลออุทาน ดวงตาคมเข้มหากเต็มไปด้วยความหวานยังคงเบิกกว้าง ก่อนจะค่อยๆ หลุบลงมองมองร่างบางตรงหน้าที่กำลังนั่งสิ้นหวัง
“ฉันจะไปหาเงินสี่แสนได้จากที่ไหนบุศย์” เสียงที่เคยใสไหวสั่นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร ลำพังเงินต้นสองล้านยังไม่มีปัญญาชดใช้ เพราะดอกเบี้ยสองหมื่นนั้นเป็นแค่ดอกจริงๆ แม้จะอยากแบ่งจ่ายเงินต้นบ้างขนาดไหน หากแต่แค่หาจ่ายดอกให้ครบในแต่ละเดือนยังทำเอาเจ้าตัวเหนื่อยแทบขาดใจ แล้วนี่ยังมีเพิ่มมาอีกสี่แสน
สี่แสนที่กำลังจะทำให้ครอบครัวของหล่อนไม่มีที่ซุกหัว!
เสียงสัญญาณรอสายระหว่างประเทศสร้างความตึงเครียดให้ภาสพัทธ์ไม่น้อย เขาต่อสายหาน้องสาวตั้งแต่เมื่อวานหากแต่ไม่มีใครรับ หรือแพทรียาจะรู้ข่าวการเสียชีวิตของอนาวินแล้ว?
“พี่พัทธ์... แน่ใจนะ” ดิษพงศ์หันหน้ากลับมาหาญาติผู้พี่อีกครั้งเมื่อจอดรถเรียบร้อย คนถูกถามพยักหน้ายืนยัน คนทำหน้าที่ขับรถให้ จำต้องบิดกุญแจดับเครื่องยนต์
ร่างสูงสมาร์ทในชุดสูทสีดำเข้มเต็มยศก้าวลงจากรถ เดินตรงไปยังศาลาหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งสวดอภิธรรม รูปถ่ายด้านในของอนาวิน เนตรโยธา ชวนให้ผู้ที่มาร่วมงานรู้สึกเสียดาย โครงหน้านั้นหล่อเข้มคมคาย ดวงตาฉายชัดว่าเป็นคนจิตใจดี ไม่น่าอายุสั้นจากไปในวัยเพียงยี่สิบห้าปีเช่นนี้
พวงหรีดดอกไม้สดสีสุภาพถูกยื่นให้คนนำไปตั้ง หากแต่เมื่อเจ้าภาพใหญ่อย่างสุรเดช เนตรโยธา ตวัดสายตามาเห็นข้อความ ‘ขอแสดงความเสียใจ จากเทพมณฑล-ธารา’ ร่างใหญ่สูงวัยก็ก้าวเดินจ้ำอ้าวมายื้อพวงหรีดนั้นแล้วขว้างไปตกแทบเท้าของผู้นำมาอย่าง ภาสพัทธ์ เทพธารา
“กลับเหอะพี่พัทธ์” ดิษพงศ์ขยับกายมากระซิบบอกญาติผู้พี่เสียงเบา หากแต่ภาสพัทธ์ยังคงยืนนิ่ง รอให้ บิดาของอนาวินก้าวเข้าหา
“เอาขยะของแกกลับไป อย่ามาเหยียบที่นี่!” เสียงใหญ่ประกาศกร้าว ไม่สนใจสายตาบรรดาแขกเหรื่อที่มองตามมาเป็นจุดเดียว
“ผมเพียงแต่มาแสดงความเสียใจ” คนถูกไล่ตอบกลับเสียงเรียบ
“แกได้เสียใจแน่!” สุรเดชชักปืนออกมาจ่อ เรียกเสียงตกอกตกใจจากคนในงาน บอดี้การ์ดฝั่งเจ้าภาพยื้อแขนห้ามปรามคนเป็นนายที่กำลังกระทำการณ์ท้าทายสายตาคนหมู่มาก “แกฆ่าหลานฉัน ยังกล้ามาเหยียบที่นี่อีกเหรอ!”
“ผมไม่มีความจำเป็นจะต้องทำอย่างนั้น ไม่ว่ากับใคร โดยเฉพาะอนาวิน”
“เอาสิ... แกจะพูดยังไงก็ได้ ในเมื่อรถและคนมันระเบิดไฟลุกขนาดนั้น... หลักฐานที่พอมี มันคงไม่ทำให้พวกสันดานหยาบอย่างเทพธาราสะเทือนได้หรอก!”
ภาสพัทธ์ถึงกับต้องกับฟันข่มอารมณ์ตนเอง... ปู่ของอนาวินเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไหน ด่าจิกตระกูลของเขาอย่างไม่ไว้หน้า หากแต่เพราะวัยวุฒิที่น้อยกว่าหลายรอบปีอีกทั้งนี่ยังเป็นงานไว้อาลัยจึงต้องสงบจิตใจให้นิ่ง อย่างน้อยก็ภายนอก!
“คำพูดผมคงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้คุณเชื่อ แต่...”
“คนที่ฆ่าหลานฉัน มันต้องชดใช้!” อีกฝ่ายแทรกด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด ภาสพัทธ์นิ่งไปอึดใจก่อนเอ่ยต่อเรียบๆ
“ครับ... คนที่ทำ มันต้องชดใช้แน่ และกระบวนการศาลจะพิสูจน์เรื่องนี้เอง” ร่างสูงปิดบทสนทนาโดยการหันหลังตั้งท่าจะเดินจาก หากแต่อีกฝ่ายกลับต่อท้ายด้วยน้ำเสียงข่มขู่ที่ทำเอาขนคอของดิษพงศ์ซึ่งยืนอยู่ด้วยถึงกับลุกซู่...
“ฉันจะเรียกความยุติธรรมด้วยตัวฉันเอง!”
ดิษพงศ์รีบขับรถออกมาจากวัดพลางถอนหายใจ หากเขาเก็งดัชนีหุ้นได้เป๊ะอย่างที่เดาปฏิกิริยานายใหญ่แห่งเนตรโยธาได้ล่ะก็... เขาคงรวยแซงหน้าบิลเกตต์แหงมๆ
“นี่ถ้าผมเล่นปืนเป็น เห็นทีคงเดารุ่นที่ทางโน้นควักมาได้ไม่พลาดด้วย” คนช่างจินตนาการเอ่ยขณะเหลือบมองร่างสูงข้างกายที่ยังนั่งขมวดคิ้วเข้ม “ผมล่ะไม่เข้าใจพี่พัทธ์เลย รู้ทั้งรู้ว่าไปแล้วมีแต่จะเสียหน้าถูกด่ากลับมา ยังจะไปทำไมก็ไม่รู้”
“เรื่องนั้นฉันมีเหตุผลของฉัน แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ... ทำไมฉันถึงพาแกมาด้วย น่ารำคาญ หนวกหู!” ภาสพัทธ์ด่ากลับ ทำเอาญาติผู้น้องได้แต่ยิ้มแหย แต่ก็ยังไม่ยอมสงบปากสงบคำ
“แล้วเหตุผลของพี่พัทธ์คืออะไร”
“แสดงความบริสุทธิ์ใจไง ไปกันแค่สองคนมันคงทำให้ทางโน้นฉุกคิดได้บ้างว่าถ้าเราทำจริงคงไม่กล้าไปยืนท้าลูกปืนแบบไม่มีคนคุ้มกันอย่างนี้”
“โห... มองโลกในแง่ดีจัง เท่าที่ผมดู ไม่ยักจะรู้สึกเลยแฮะว่าทางโน้นจะคิดได้” คนถูกลากมาเสี่ยงลูกปืนแย้งเสียงแห้ง
“ตอนนี้อาจจะยัง แต่อีกสักพักก็ต้องรู้...”
“กลัวแต่กว่าเขาจะรู้ตัว อาจเผลอเรียกความยุติธรรมคืนด้วยศาลเตี้ยไปแล้วเนี่ยสิ” คนฝังใจกับคำทิ้งท้ายจากฝ่ายนู้นล่ะนึกหวั่น... “ช่วงนี้จะไปไหนมาไหนใช้จักรยานได้เป็นดีนะพี่พัทธ์ อย่างน้อยถ้ามีใครตัดสายเบรคยังเอาขาขัดได้” ว่าพลางลองแตะเบรคเบาๆ อย่างต้องการความมั่นใจว่าวินาทีนี้สายเบรคของเจ้าคันที่ขับอยู่นี้ยังอยู่ครบสมบูรณ์
ไอเดียนั้นเรียกรอยยิ้มหมั่นไส้จากคนข้างกายได้เป็นอย่างดี
“ที่แน่ๆ นับจากนี้ เวลาไปไหน ฉันจะเอาแกไปด้วย ไอ้ดิษ!”
ประโยคนั้นทำเอาคนอารมณ์ขันถึงกับร้อง “เย้ย...”
จากคุณ |
:
อัยย์เนญ่า (Nyah)
|
เขียนเมื่อ |
:
20 พ.ค. 54 15:07:59
|
|
|
|