เพราะคิดถึง จึงผูกพันกันมีรัก...
|
 |
รักคือคำคำนี้ รักคือความอดทนทุกอย่าง จริงใจให้กัน รักคือความเข้าใจ รักคือยอมอภัยทุกอย่าง อภัยให้กัน... ดั่งดวงตะวันที่ยังยั่งยืนคู่ฟ้า ความรักจึงบังเกิดมา ให้เป็นภาษาทางใจ ให้ไว้เพื่อช่วยนำทาง คู่ใจของเรา... ~
ขณะที่ผมเองกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาแล้วอ่านหนังสือ “ตัวหนังสือคุยกัน” ของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ อยู่ตอนหนึ่ง เพลง “ความรัก” ที่ร้องโดยวงออโตบาห์น ซึ่งถูกแต่งขึ้นโดยคุณจิรพรรณ อังศวานนท์ ก็ดังขึ้นมาจากคอมที่ผมเปิดไว้ แปลกดีเหมือนกันที่เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นนะจุดนี้ที่ศิลปินสองคนที่ผมชอบมากๆมาบรรจบกันโดยไม่ได้นัดหมายและซ้ำยังนามสกุลสี่พยางค์และลงท้ายด้วย “-านนท์” เหมือนกัน รวมทั้งตัวผมเองก็นามสกุลสี่พยางค์เช่นกัน
ด้วยประเด็นจากเพลงและตัวหนังสือนั้นตรงกับความเชื่อของผมเองคนเดียวว่า “ความผูกพันต้องมาก่อนความรัก” ผมเองเลยต่อยอดความหมายของคำว่ารักของผมเองออกไปเป็น “รักคือรู้สึกดีด้วยใจผูกพันกัน” อาจจะฟังดูขัดๆบ้างสำหรับบางคนบางท่าน ผมเองก็ยังไม่เคยได้ปรึกษาคนอื่นๆมากนักว่าคิดยังไงกับคำว่ารัก ผมเองก็เคยถามเพื่อนทั้งเพื่อนชายและเพื่อนหญิง บ้างก็บอกว่า “ไม่รักจะผูกพันเหรอ” บ้างก็บอกว่า “ถ้าไม่ผูกพันก็คงไม่รัก” ด้วยเสียงแข็งก็มี เสียงเศร้าก็มี ผมเองไม่ตอบอะไร และไม่บอกต่อว่าใครถูกใครผิด เพราะคำตอบนั่นคือความคิดของเพื่อนๆที่ผมได้ถามไป ไม่อาจบอกได้เพราะถ้าบอกไปแล้วเพื่อนจะด่ากลับมาได้ว่าแล้วจะมาถามทำไม ในเมื่อผมเองตั้งหลักในใจแล้วว่าคนเราจะรักกันได้ยังไงก็ต้องผูกพันกันเสียก่อน
กลับมาตรงที่ที่ผมบอกว่าบังเอิญ ที่บังเอิญนั่นคือจังหวะที่ผมอ่านหนังสือของพี่จิกอยู่นั้นเองซึ่งเป็นลักษณะตอบจดหมายในคอลัมม์หนังสือพิมพ์มติชนเมื่อปี 2544 เจอในประเด็นเรื่องถามประมาณว่าความคิดถึงมีความหมายอย่างไร ผู้ถามเองก็ได้ยกคำแปลตามพจนานุกรมมาแปลได้ว่า “คิดถึง แปลว่า นึกถึงด้วยใจผูกพัน” ซึ่งผมเองอ่านครั้งแรกก็ยิ้มในทันทีว่าก็ใช่ตามที่เขาแปล เพราะหากไม่ผูกพันกันเสียก่อน ก็ไม่มีใจที่จะนึกถึงกันได้ ณ ตรงจุดนี้คำแปลที่ว่านั้นไม่จำเป็นต้องตีกรอบกันแค่คนคิดถึงคนเท่านั้น พจนานุกรมเองก็ไม่ได้บอกว่ากรอบคืออะไร ฉะนั้นแล้วคิดถึงจึงไม่มีกรอบ คนเราจะคิดถึงอะไรก็ได้ คิดถึงอดีตอันแสนเศร้า คิดถึงคืนวันที่เคยมีเรา คิดถึงรถคันเก่าชื่อเจ้าดำ คิดถึงบ้านที่มีคนยิ้มให้เราตอนกลับบ้าน คิดถึงเจ้าทุยกลางนาที่ให้เราพิงนอน คิดถึงผืนป่ากลางเขาที่เช่นชุ่มฉ่ำใจ คิดถึงลุงขายหมูปิ้งกลับบ้านไปทำนานานจัง คิดถึงไอ้เป็ดชวนเล่นเกมตลอด คิดถึงแยก:-)ที่ผ่านทีไรก็โดนผู้ชายแซว คิดถึงอะไรก็ได้สุดแต่จะเคยผูกพันกันมาเสียก่อนหน้า ถ้าไม่เคยผูกพันมาก่อนก็ไม่มีสิทธิคิดถึง !! จริงไหมหละครับ
ทีนี้เจ้า ความผูกพัน และ ความรัก ผมว่ามันหนีกันไม่พ้นหรอก ผมเองมองว่า “ความผูกพันคือส่วนผสม” และ “ความรักคือผลสำเร็จ” ซึ่งจะถูกผสมปนเปนกันแล้วค่อยๆก่อขึ้นมาโดย “สิ่งสองสิ่งหรือมากกว่า” ที่ตั้งกรอบไว้ด้วยคำว่า “สิ่ง” นั่นเพราะผมอยากให้คำคำนี้แทนทุกอย่าง แทนคน สัตว์ ต้นไม้ สิ่งของ หรือแม้แต่สถานที่ เพราะว่า หากผืนป่ากับลำธาร แผ่นหมอกกับดอกไม้ ดอกหญ้ากับสายลม แก้วกับที่รองแก้ว ช้อนกับส้อม หรือแม้แต่แมวหน้าประตูกับแมวท้ายวัดเดินมาเจอกัน หากสิ่งเหล่านี้พูดคุยกันได้ก็คงได้ยินเขาเหล่านี้บอกรักกันทุกวันเป็นแน่แท้ ถ้าผมไปเดินป่าอาจจะได้ยินต้นไม้บอกรักกันระงมป่าเป็นแน่แท้ หรือผมไปเจอเจ้าดอกไม้ในฤดูร้อนแล้วเจ้าดอกไม้อาจจะฝากผมไปบอกคิดถึงเจ้าสายหมอก หรือมดน้อยนับพับตัวอยากจะบอกขอบคุณต้นไม้ที่ปล่อยใบไม้หรือผลไม้ลงมาให้พวกเขาได้เอาใช้เอาไปกินกัน หรือยามใดที่ผมกินบะหมี่บ่อยๆเจ้าช้อนอาจจะบอกว่าเบื่อหน้าฝาแฝดแท่งยาวๆแล้วคิดถึงส้อมนะเจ้านาย ถ้าเป็นเช่นนี้ผมว่าโลกคงดูน่ารักขึ้นเยอะเลย ( “เนอะๆเจ้าชามเนอะ” เสียงเจ้าช้อนหาพวกกันคิดถึงเจ้าส้อมยังตามแทรกท้ายมา )
ย้อนกลับมาจากโลกของผมข้างบนกลับมาโลกความจริงกัน นั่นคือเมื่อคนสองคนหรือมากกว่ามารู้จักกันใช้ ผูกพันกันแล้วย่อมมีการใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ว่าจะกิจกรรมใดก็ตาม กินข้าวกับครอบครัว ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ไปออกค่ายอาสากับทีมอาสา เล่นเว็บบอร์ดพันทิป ทั้งหมดทั้งมวลนั่นคือคนเหล่านั้นกำลังต่างใส่ส่วนผสมที่เรียกว่าความผูกพันลงไปให้กันและกันในสังคมที่แต่ละคนได้เจอจนได้ผลออกมาเป็นความรัก ซึ่งจะรักมากรักน้อยก็อยู่ที่คนแต่ละคนใส่ความผูกพันลงไปมากเท่าไหร่กัน มันก็เหมือนเค้กนั่นหละใส่แป้งลงไปเท่าไหร่ ก้อนเค้กก็ก้อนใหญ่ตามกันไปด้วย กับความรักก็เช่นกัน หากปรารถนาจะได้ความรักก้อนใหญ่ๆ เราเองก็คงต้องใส่ความผูกพันลงไปเยอะๆด้วยเช่นกัน ยิ่งหากอยากให้เค้กออกมากลมกล่อมหอมหวานมากขึ้นก็ใส่เนย ใส่ชอคโกแลต ใส่อัลมอนต์ ลงไป กับความรักนั้นก็ยังคงเป็นเช่นกันอยู่ อยากให้ออกรสไหนก็ปรุงกันไป แต่ต้องปรุงด้วยความใส่ใจ เค้กจะได้ออกมาลงตัวพอดี
ยังไงก็ตามแต่เมื่อสิ่งสองสิ่งหรือมากกว่ามาร่วมกันใส่ส่วนผสมที่เรียกว่าความผูกพันกันแล้ว ผลสำเร็จที่ผสมกันออกมานั้นจะเป็นไปตามแต่ที่จะผสมกันมากแค่ไหน เมื่อคนผสมความพูกผันคนหนึ่งหายหน้าไปจากอีกคนหนึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าสองคนนั้นสร้างความรักที่มีต่อกันไม่สำเร็จ ความรักนั้นสำเร็จตั้งแต่เขาสองคนเริ่มผสมแล้ว แต่เป็นรักที่ก้อนเล็กๆอาจจะเล็กมากๆแต่ไม่ใช่ไม่มีก้อนความรักเกิดขึ้นเลย ไม่เหมือนรักก้อนใหญ่ๆที่ใครๆเขาผสมกันมาเป็นสิบปี
เมื่อก้อนรักหยุดการผสมลงเพราะคนใดคนหนึ่งหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดหายไป ก้อนอะไรก็ไม่รู้หน้าตาแปลกๆไม่คุ้นเคยเลยค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นมาเองก้อนนึง ยิ่งนานก็ยิ่งใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวันนึงทนไม่ได้แปลกใจมากๆว่าก้อนอะไรเลยไปดู แล้วต้องร้องอ๋อ !! “ก้อนคิดถึง” นี่เอง และเมื่อคนผสมความผูกพันกลับมายังเค้กก้อนเดิม ก้อนคิดถึงก็ยังอยู่ ก้อนความรักก็ยังอยู่ ฝ่ายที่คิดถึงก็ก้มลงหยิบก้อนคิดถึงแล้วยื่นให้อีกฝ่ายแล้วบอกไปว่า “รู้ไหม... คิดถึงของเราก้อนเท่านี้เลยนะ” อีกฝ่ายก็ไม่พูดอะไรรับก้อนคิดถึงไว้แล้วก็เปิดกระเป๋าหยิบของออกมาให้คืนอีกฝ่ายพร้อมบอกว่า “รู้ไหม... คิดถึงของเราก็ก้อนใหญ่ไม่แพ้กันหรอก” แล้วทั้งสองฝ่ายก็ต่างจับก้อนคิดถึงที่ได้มาใส่ลงไปผสมกับก้อนความรักด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอิบกันทั้งคู่ จากนั้นก็เป็นเวลาใส่ความผูกพันกันต่อไป แต่ผมแอบเห็นว่าทั้งคู่แอบฉีกก้อนคิดถึงกันออกมาคนละนิดติดตัวไว้โดยไม่บอกอีกฝ่าย ผมแอบไปถามเขาว่าเก็บไว้ทำไม เขาตอบกันมาว่า “ก็เพราะก้อนคิดถึงทำให้มายืนอยู่ตรงนี้ ฉะนั้นหากยังอยากอยู่ตรงนี้ ตรงที่รู้สึกดีๆ ตรงที่ผูกพัน ตรงที่เราต่างผสมให้เป็นก้อนความรักกัน เราต้องคิดถึงกันตลอดเวลา...”
ฉะนั้นเมื่อเพลงผ่านเข้าหู ต่อมาในหัวชนกับสิ่งที่ผมกำลังคิดพอดี ประโยคในเพลงที่ลงท้ายว่า “รักคือเธอแหละฉัน รักคือความผูกพันยิ่งใหญ่จากใจของเรา เพราะเราคู่กัน...” นั่นก็คงพอแถๆไถๆไปแบบเนียนๆได้ว่าผมเองก็คิดถูกเหมือนกันนะ...
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 54 23:36:08
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 54 23:22:57
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ค. 54 23:00:02
จากคุณ |
:
Cocopok
|
เขียนเมื่อ |
:
22 พ.ค. 54 22:59:23
|
|
|
|