Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ดาบปวดใจ ติดต่อทีมงาน

เอามาล่อกระบี่รันทดให้ออกมา


หมู่บ้านน้อย ณ ชายแดนของยุทธภพที่ห่างไกลความเจริญ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นมันก็ยังมีโรงเตี๊ยมเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง แน่นอนการค้าในสถานที่ ที่แม้แต่สุนัขยังไม่อยากออกมาเห่าหอนเช่นนี้ย่อมซบเซาอย่างยิ่ง ตั้งแต่เช้ามา หนี่งเถ้าแก่ หนึ่งเสี่ยวเอ้อต่างเอาแต่นั่งงีบหลับพักผ่อน

มีรถขบวนหนึ่งเคลื่อนมาจากทางนอกด่านอย่างเร่งร้อน ชายหนุ่มบนหลังม้าขาวที่วิ่งนำหน้าแขวนป้ายผ้าขาวผืนหนึ่งชูเด่นเป็นสง่า บนนั้นมีตัวอักษรสีแดงเขียนเอาไว้ว่า “ปลอดภัยไร้เรื่องราว” ที่กล้าอวดโอ่ถึงเพียงนี้คงมีเพียง สำนักคุ้มกันภัยภูเขาทอง เท่านั้น หรือว่าชายหนุ่มผู้นี้คือ คุณชายม้าขาว ยอดฝีมือคลื่นลูกใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตา

สายตาที่คมกริบของมันมองไปเบื้องหน้าที่เวิ้งว้างก่อนวกกลับมายังโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้

“หนทางข้างหน้ายังอีกไกล คงต้องหยุดพักที่นี่ก่อน”

ผู้ที่ขับขี่รถม้าบรรทุกสินค้าคล้ายไม่เห็นด้วย แต่มันไม่กล้าขัดคำสั่งของชายหนุ่มผู้นี้

“เราเข้าใจความกังวลของเจ้า แต่นางคงต้องพักสักครู่แล้ว”

มันจึงพยักหน้าก่อนบังคับรถม้าอย่างชำนาญ รถม้าที่ห้อตะบึงมาอย่างเต็มที่ กลับสามารถหยุดนิ่งอย่างนิ่มนวลที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมพอดิบพอดี แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบังคับรถม้าที่ยากจะพบพาน

ชายหนุ่มผูกม้าขาวของมันอย่างรวดเร็ว เก็บป้ายยี่ห้อนั้นลงมา แม้จะมีชื่อเสียงสักเพียงใด ก็ไม่อาจอวดโอ่จนเกินไป ยามเดินทางต้องให้เหล่าสหายร่วมเส้นทางได้พบเห็นเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด แต่ในยามหยุดพักก็ต้องเก็บงำประกายเพื่อมิให้เป็นจุดสนใจมากจนเกินไป

ชายหนุ่มเป็นคนแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปในโรงเตี๊ยม การมาถึงอย่างอึกทึกของพวกมันปลุกให้เถ้าแก่ และเสี่ยวเอ้อตื่นขึ้นมาเตรียมพร้อมรอรับอยู่ก่อนแล้ว

“นายท่านเชิญนั่ง”

เสี่ยวเอ้อยิ้มประจบ เพียงมองดูจากการแต่งกายมันก็สามารถประเมินผู้ที่มาถึงได้แล้ว เสื้อผ้าชุดขาวนี้ราคาต้องไม่ต่ำกว่าสามสิบตำลึง รองเท้าปักลวดลายฝีมือไม่ธรรมดาสมควรมีค่าไม่ต่ำกว่าสิบตำลึง จี้หยกเย็นห้อยอยู่ที่เอวนั้นอย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าร้อยตำลึง ยังไม่รวมถึงกระบี่ที่มีด้ามฝังด้วยอัญมณีต่างๆ เล่มนั้น

บุคคลเช่นนี้ ไม่สมควรมายังสถานที่เช่นนี้ แต่มีแต่บุคคลเช่นนี้ ที่สามารถใช้จ่ายได้อย่างไม่ธรรมดา ชายหนุ่มกวาดตามองรอบหนึ่งก่อนยิ้มอย่างพอใจ ไม่มีแขกอื่นอยู่ภายในร้าน มันหันไปพยักหน้า คนขับรถม้าจึงเปิดประตูรถออก หญิงสาวร่างอ้อนแอ้นนางหนึ่งก้าวลงมาจากตัวรถ

พวกมันจอดรถสินค้าทิ้งไว้ด้านนอกอย่างไม่ใส่ใจ หรือว่าสินค้าที่พวกมันคุ้มกันมาก็คือโกวเนี้ยน้อยผู้นี้นั่นเอง ทั้งหมดนั่งลงในตำแหน่งที่ชายหนุ่มเป็นคนเลือก ซึ่งสามารถเฝ้าดูได้ทั้งประตูร้าน และทางไปสู่ห้องครัวที่อยู่ด้านใน

“นายท่านรับอะไรดี”

“ปลานึ่งจานหนึ่ง เนื้อผัดจานหนึ่ง เส้นหมี่ผัดจานหนึ่ง ซาละเปาไส้เนื้ออีกห่อหนึ่งไว้กินระหว่างทาง”

เสี่ยวเอ้อเหลียวมองหญิงงามผู้นั้นแวบหนึ่ง

“นายท่านรับน้ำแกงตุ๋นไก่สักถ้วยดีหรือไม่ น้ำแกงชุ่มคอ ไก่ตุ๋นย่อยง่าย ทั้งยังช่วยฟื้นฟูความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง”

มันนับเป็นเสี่ยวเอ้อที่มีประสบการณ์คนหนึ่ง ชายหนุ่มได้แต่ต่อว่าตนเองในใจที่ละเลยเรื่องนี้ พวกมันเคยชินกับการเดินทางไกล กินแต่อาหารหนักท้อง กลับลืมนึกถึงหญิงงามไป

“...ไม่ทราบนายท่านต้องการสุราด้วยหรือไม่”

คนขับรถม้าชิงกล่าว

“ขอน้ำชาป้านหนึ่งก็พอแล้ว”

เสี่ยวเอ้อยิ้มประจบอีกครั้งก่อนหันกายเดินจากไป แม้แต่เถ้าแก่เองก็เดินหายเข้าไปทางด้านในด้วย เสี่ยวเอ้อเดินกลับออกมาพร้อมน้ำชาร้อนๆ ป้านหนึ่ง กับถ้วยชาม และตะเกียบ

“นายท่านเชิญรับน้ำชาก่อน”

คนขับรถม้าเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ

“เถ้าแก่ของเจ้าหายไปที่ใดแล้ว”

“มันย่อมกำลังทำอาหารอยู่ โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีเพียงพวกเราสองคน ฝีมือทำอาหารของเถ้าแก่นั้นไม่ธรรมดา พวกท่านวางใจได้”

มันพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว เสี่ยวเอ้อจึงถอยไปอยู่ห่างๆ ชายหนุ่มรินน้ำชาก่อนยกขึ้นจิบช้าๆ คล้ายทดลองความร้อนของน้ำชา ส่วนอีกสองคนที่เหลือกลับนั่งนิ่ง รอจนชายหนุ่มพยักหน้านิดหนึ่ง ทั้งสองจึงยกน้ำชาขึ้นดื่มบ้าง เสี่ยวเอ้อนั้นผ่านประสบการณ์พบเจอผู้คนมามากมายมันเข้าใจคนทั้งหมดนี้เป็นอย่างดี

แสดงว่าชายหนุ่มผู้นี้มีพลังฝีมือ และความรอบคอบมากที่สุด มันจึงรับหน้าที่คอยทดสอบอาหาร น้ำดื่มให้กับทุกคน หากพบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ ทั้งหมดจะได้ไม่เสียทีพร้อมกัน แต่เมื่อคิดได้เช่นนั้นมันก็ใจหายวาบ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นจริง พวกมันคงไม่รอฟังคำแก้ตัวใดๆ แน่

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เสี่ยวเอ้อจึงเริ่มนำอาหารต่างๆ ออกมา ชายหนุ่มทดสอบอาหารทั้งหมดอย่างรวดเร็ว และแทบไม่เชื่อว่าโรงเตี๊ยมซ่อมซ่อ กลับสามารถเตรียมอาหารได้ดีถึงเพียงนี้ นับว่าเสี่ยวเอ้อมิได้ยกยอเถ้าแก่ของมันจนเกินเลยไป

“ซาลาเปาไส้เนื้อกำลังนึ่งอยู่ รับรองว่าทันพวกท่านออกเดินทางแน่นอน”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนตักน้ำแกงตุ๋นไก่ให้หญิงสาวถ้วยหนึ่ง

“...เราไม่หิว”

“ท่านต้องทานบ้าง น้ำแกงกำลังร้อน ช่วยให้หายอ่อนเพลีย”

หญิงสาวตักน้ำแกงช้อนหนึ่งส่งเข้าปาก สายตาพลันกระจ่างจ้าขึ้นมา คนขับรถม้าที่ลอบดูอยู่รู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที

“...เสี่ยวเอ้อ น้ำแกงนี้เป็นเถ้าแก่เจ้าต้มเองจริงหรือ”

“ย่อมใช่”

“เจ้าช่วยเรียกมันออกมาหน่อย ข้ามีคำถามบางอย่าง”

เถ้าแก่เดินเช็ดมือออกมาหาแขกทั้งหมด บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“น้ำแกงตุ๋นไก่นี้มีเคล็ดลับอะไร”

รอยยิ้มของเถ้าแก่กระตุกเล็กน้อย

“...นี่เป็นไก่ตุ๋นธรรมดามิมีเคล็ดลับอันใด”

หญิงสาวจ้องมองเถ้าแก่ คล้ายต้องการล้วงเข้าไปในใจของมัน ทันใดนั้นประตูหน้าร้านพลันถูกกระชากเปิดออกโดยแรง แต่ผู้ที่ลงมือกลับเป็นชายร่างผอมที่ดูคล้ายไม่มีเรี่ยวแรง หลังจากกระชากประตูพังไปมันยังยืนโก่งคอไอไม่หยุดยั้ง

เถ้าแก่ กับเสี่ยวเอ้อรีบถอยห่างออกมา พวกมันรู้ดีว่าคนที่มานี้ย่อมมิใช่มาหาเรื่องพวกมัน เถ้าแก่ได้แต่ภาวนาให้ฝ่ายสำนักคุ้มกันภัยได้รับชัยชนะ เพราะหากเป็นเช่นนั้นมันอาจได้รับชดใช้ค่าเสียหายบ้าง

คนขับรถม้ารีบยืนขึ้นประสานมือคารวะ พร้อมกับหยิบห่อผ้าห่อหนึ่งออกมาแก้ออก ในนั้นมีเงินอยู่ไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยตำลึง

“ไม่ทราบเป็นสหายมาจากเส้นทางใด สำนักคุ้มกันภัยของเราหากได้ล่วงเกินสิ่งใดโปรดอภัยด้วย”

ชายร่างผอมบ้วนน้ำลายลงพื้น ก่อนส่งเสียงหัวร่อ

“เราบุรุษพลังม้า นิยมแต่สตรี ไม่นิยมเงินทอง”

คนขับรถม้าดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่ามันเป็นใคร แต่ในใจก็ยังอยากให้คาดผิด บุรุษอื้อฉาวผู้นี้ไม่เคยออกมาลงมืออย่างเปิดเผยเช่นนี้มาก่อน มันชอบฉกฉวยลงมือลอบทำร้าย แต่ก็มิได้หมายความว่ามันมีฝีมือต่ำทรามแต่อย่างใด ตรงกันข้ามผู้ที่เคยได้ประมือกับมันต่างยอมรับว่ามันนับเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง

“...หากท่านยินยอมล่าถอย สำนักเราจะสำนึกพระคุณยิ่ง”

“เจ้าหูหนวกหรือไร เราเพียงต้องการสตรีนางนี้เท่านั้น”

พวกมันยอมถอยถึงเพียงนี้แล้ว ศัตรูยังไม่ยอมให้เกียรติเท่ากับจงใจหาเรื่องกับสำนักแล้ว ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น แต่คนขับรถม้ากลับยกมือขวางเอาไว้

“ให้ข้าเทวราชเหล็กจัดการเอง”

ที่แท้คนขับรถม้าผู้นี้กลับเป็นถึงผู้คุมกฎของสำนัก ฟังว่ามันฝึกวิชาระฆังทองคุ้มกาย แม้แต่อาวุธมีคมยังไม่อาจทำอันตรายได้ แต่วิชาเช่นนี้กลับเป็นที่ดูถูกเหยียดหยาม เพราะคงไม่มียอดฝีมือผู้ใดคิดอยากใช้ร่างกายของตนเองไปรับการจู่โจมของคู่ต่อสู้เช่นนั้น

มันเพียงตวัดมือวาดเท้า โต๊ะเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ก็พากันล้มลง แสดงให้เห็นถึงพละกำลังอันมหาศาลของมัน บุรุษร่างกายผอมแห้งกลับเป็นฝ่ายพุ่งเข้าหา ทั้งอสองประสานมือกันทำการประลองกำลัง เทวราชเหล็กหลั่งเหงื่อโทรมกาย เส้นเลือดตามร่างกายปูดโปน แสดงว่าใช้กำลังอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่อาจผลักบุรุษพลังม้าให้ถอยกลับไปได้แม้แต่ก้าวเดียว

เทวราชเหล็กบิดแขน ตวัดขาเตะจนร่างของบุรุษพลังม้าเสียหลัก ก่อนกอดปล้ำโจมตีข้อต่อต่างๆ ตามร่างกาย ที่แท้ชายร่างใหญ่ผู้นี้สืบสายเลือดมาจากนักรบมองโกล วิชาที่ถนัดคือการต่อสู้ที่เรียกว่ามวยปล้ำ ใช้การปล้ำกอด โจมตีข้อต่อของคู่ต่อสู้ วิชาระฆังทองคุ้มกายนั้นเท่ากับเสริมจุดอ่อนให้กับวิชานี้ ทำให้คู่ต่อสู้ไม่อาจโจมตีด้วยอาวุธขณะที่ถูกกอดปล้ำได้

มีคำเล่าลือกันว่าครั้งหนึ่งมันเคยกอดปล้ำจนควายป่าขาดใจตายในอ้อมแขนของมันมาแล้ว บุรุษพลังม้าแม้มีเรี่ยวแรงมหาศาล แต่เมื่อสองเท้าไม่ติดพื้น ก็ไม่อาจใช้พลังออกมาได้ ข้อต่อตามแขนขา ยังถูก ยืด ดึง บิด รัด เจ็บปวดจนไม่อาจกระดิกตัวได้แล้ว

“...เราไม่ต้องการให้บุรุษมากอดรัดเยี่ยงนี้ หากเจ้าเป็นสตรีก็ว่าไปอย่าง”

“เจ้าโจรถ่อยเด็ดบุปผา ข้าจะรัดให้เจ้าขาดใจตาย...”

สิ่งไม่คาดคิดพลันเกิดขึ้น กระบี่เล่มหนึ่งแทงมาจากด้านข้าง ทะลุผ่านจากหูข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง แม้วิชาระฆังทองคุ้มกายจะยอดเยี่ยมสักเพียงใด แต่ทวารต่างๆ ของร่างกายยังคงเป็นจุดอ่อนของวิชานี้ ตามปกติเทวราชเหล็กมีปฏิกิริยายอดเยี่ยมตลอดมา แต่กระบี่นี้รวดเร็วจนเกินไป แหลมคมจนไม่มีแม้แต่ความเคลื่อนไหวของอากาศ จึงไม่เกิดเสียงขึ้นแม้แต่น้อย

“...นายน้อย ท่าน…”

เทวราชเหล็กกลับถูกคุณชายม้าขาวแทงตายในกระบี่เดียวเช่นนี้เอง

“…บุรุษพลังม้ากลับมีเพียงชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น”

ชายร่างผอมดันร่างของเทวราชเหล็กออกไป ก่อนตะกายลุกขึ้นอย่างยากเย็น มันหอบหายใจก่อนถ่มน้ำลายลงพื้นอีกครั้ง

“หากเราไม่ดึงความสนใจของมันเอาไว้ ท่านคงไม่อาจลงมือได้ง่ายดายเพียงนี้”

ชายหนุ่มไม่โต้เถียงเพราะที่มันพูดก็มีเหตุผล ที่มันต้องจ้างจอมโจรอื้อฉาวผู้นี้มาก็เพราะไม่มั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับเทวราชเหล็กเพียงลำพังได้

“ค่าจ้างของเจ้าเก็บอยู่ในรถม้า จงรีบไสหัวไป”

“...ท่านไม่จำเป็นต้องใช้รถม้าอีก”

“เราเดินทางเพียงลำพังเหตุใดต้องใช้รถม้าด้วย”

ตะเกียบที่หญิงสาวถืออยู่พลันร่วงหล่นลงบนพื้น ทั้งเถ้าแก่ และเสี่ยวเอ้อต่างคาดเดาถึงจุดจบที่ไม่ดีงามของพวกมัน วันนี้พวกมันเผชิญพบโชคร้ายอย่างที่สุด การได้พบเห็นเรื่องการหักหลังทั้งหมดนี้ เท่ากับเป็นคำตัดสินโทษตายให้กับพวกมัน สองนายบ่าวพยักหน้าให้แก่กันก่อนวิ่งหนีไปคนละทาง

กระบี่สาดประกายเพียงหนเดียว ดอกไม้โลหิตเบ่งบานขึ้นในห้อง สีแดงสาดกระจาย ทั้งสองต่างถูกแทงบริเวณหัวใจเพียงครั้งเดียว นับเป็นความกรุณาของมันที่มอบความตายที่ไม่เจ็บปวดให้ ร่างของหญิงสาวพลันสั่นระริกขึ้นมา

“…อยู่ใน...ครัว”

เถ้าแก่ระบายคำพูดสุดท้ายออกมาก่อนขาดใจตาย

“กระบี่ที่ยอดเยี่ยม”

บุรุษพลังม้ากล่าวชมอย่างจริงใจ ก่อนเริ่มหอบหายใจอีกครั้ง มันหันมองหญิงสาวก่อนยิ้มอย่างลามกชั่วร้าย

“...ในเมื่อคุณชายคิดเดินทางเพียงลำพัง ให้หญิงสาวผู้นี้นั่งรถม้าไปกับข้าดีหรือไม่”

“รีบไสหัวไป”

ชายหนุ่มไม่หันมามองมันแม้แต่น้อย สองตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวคนนั้น แววตาของบุรุษพลังม้าไหววูบวาบ ก่อนน้อมกายลงกล่าวคำอำลา

“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอลา...”

มือที่ผสานกันไว้คลี่กางออก ทวนสั้นคู่หนึ่งที่ซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อพุ่งออกมา ร่างผอมบางของมันรวมเป็นหนึ่งเดียวกับทวนพุ่งเข้าใส่แผ่นหลังของชายหนุ่มอย่างเร่งร้อน ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่าบุรุษพลังม้าใช้อาวุธเป็นทวนคู่เช่นนี้ เพราะผู้ที่เคยพบเห็นต่างไม่อาจรอดชีวิตไปบอกเล่ากับใครได้

ตอนแรกมันเพียงรับคำว่าจ้างจากคุณชายม้าขาว ให้มาซุ่มโจมตีพวกมันในสถานที่แห่งนี้ ขอเพียงเบี่ยงเบนความสนใจของเทวราชเหล็กให้กับมัน ก็รับเงินค่าจ้างได้แล้ว ตามปกติมันไม่เคยรับทำงานเช่นนี้ แต่ตอนนี้มันขัดสนเงินทอง ทั้งยังถูกบีบบังคับจึงไม่อาจปฏิเสธ แต่เมื่อได้เห็นหญิงงาม โรคเก่าของมันก็เกิดกำเริบไม่อาจตัดใจจากไปง่ายๆ มันจึงคิดเก็บเกี่ยวทั้งเงินทอง และหญิงงามไปพร้อมกัน

ทวนคู่แทบจะสัมผัสถูกเสื้อขาวตัวนั้น แต่แล้วทั้งคนทั้งเสื้อก็หายวับไป ชายผอมแห้งยังไม่ลนลานแยกทวนทั้งสองออกแทงไปทั้งซ้ายและขวา น่าเสียดายที่ชายหนุ่มกลับลอยอยู่เหนือร่างของมัน กระบี่ที่รวดเร็วนั้นแทงออกอีกครั้ง มันรีบไขว้ประสานทวนทั้งสองหนีบกระบี่เอาไว้ได้

แต่ร่างของทั้งสองกำลังลอยอยู่ ไม่มีสิ่งใดสามารถลอยอยู่เช่นนี้ได้ตลอดกาล ดังนั้นพวกมันตกลงไปแล้ว บุรุษพลังม้าอยู่ล่าง คุณชายม้าขาวอยู่บน เมื่อหลังที่ผอมแห้งตกถึงพื้นมันก็ชะตาขาดแล้ว กระบี่เลื่อนไหวลงมาตามแรงดึงดูดแทงทะลุหัวใจของมันไปแล้ว

ชายหนุ่มลุกขึ้นมองดูร่างของมันอย่างเหยียดหยามก่อนใช้เสื้อผ้าบนร่างของมันเช็ดเลือดที่ติดอยู่บนกระบี่ มันก้าวยาวๆ กลับมานั่งที่โต๊ะอีกครั้ง

“...ทำไม”

“เราไม่คิดส่งท่านไปแต่งงานกับบุคคลผู้นั้น”

“แต่ผู้เฒ่าเป็นบิดาของเจ้า”

“เราจึงยิ่งไม่คิดส่งท่านไป”

ที่แท้หญิงสาวผู้นี้กำลังเดินทางไปเพื่อเข้าพิธีแต่งงานกับจ้าวสำนักคุ้มกันภัยภูเขาทอง ซึ่งเป็นบิดาของคุณชายม้าขาวเอง มารดาของมันจากไปเนิ่นนานแล้ว และบิดาก็มีมันเพียงผู้เดียวเท่านั้น

เมื่อหนึ่งปีก่อนพวกมันสองพ่อลูกเดินทางผ่านไปพบเจอกับหญิงสาวอาภัพผู้นี้เข้า นางต้องการเงินเพื่อทำพิธีฝังศพให้กับบิดามารดา จ้าวสำนักจึงเป็นธุระจัดการให้โดยแลกกับการที่นางต้อง แต่งงานกับมัน แต่นางขอร้องว่าจะไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปี ซึ่งจ้าวสำนักก็ตกลง บัดนี้ครบหนึ่งปีแล้วมันจึงส่งลูกชายกับผู้คุมกฎมารับตัวเจ้าสาวของมันกลับไป แล้วเหตุใดชายหนุ่มจึงคิดทำเช่นนี้

“...บิดาชราแล้วไม่ควรทำเรื่องเช่นนี้”

“...ท่านกลัวถูกแย่งสมบัติ”

“เชอะ ใครกลัวสตรีอ่อนแอเช่นเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้นเพราะเหตุใดกัน”

ประกายตาของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงไป มันแทบจะเหมือนกับประกายตาของบุรุษพลังม้าเมื่อครู่นี้อย่างไม่ผิดเพี้ยน หญิงสาวร่างสั่นสะท้านพลันคิดเรื่องที่เลวร้ายถึงที่สุด

“เราจึงไม่ยอมส่งเจ้าไปให้กับบิดา...เจ้ายินยอมเป็นของเรา หนีไปกับเราได้หรือไม่”

“...บุญคุณท่านผู้เฒ่ามากมายล้นฟ้า ข้าไม่อาจทำเช่นนั้นได้”

“ถ้าเช่นนั้นข้าคงไม่มีทางเลือกอื่นอีก...แต่ก่อนหน้านั้น”

มันพลันแทงกระบี่ที่รวดเร็วออกอีกครั้ง แต่เป้าหมายกลับไม่ใช่ดวงใจของหญิงสาว เสื้อผ้าของนางฉีกขาดออกส่วนหนึ่ง เผยให้เห็นผิวเนื้อที่ขาวนวล แววตาของบุรุษม้าขาวยิ่งชั่วร้ายลึกซึ้งขึ้นไปอีก

“...ช่วยข้าด้วย”

นางกรีดร้องออกมา แต่สถานที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตอยู่อีกแล้ว ถึงมีก็คงไม่อาจช่วยเหลือนางได้ ที่ครัวด้านในพลันเกิดเสียงความเคลื่อนไหว เงาของสิ่งหนึ่งพุ่งมาอย่างเร่งร้อน จนชายหนุ่มต้องวกกระบี่กลับมาสกัดเอาไว้ อาวุธร่วงหล่นลงบนพื้นกลับเป็นตะเกียบข้างหนึ่ง

“เป็นผู้ใด”

ชายหนุ่มตวาดด้วยความโมโห ชายในชุดคล้ายเสี่ยวเอ้อที่เก่าขาดเดินออกมาจากห้องครัวด้านใน ผมเผ้ามันยาวสยายมองดูคล้ายคนจร

“เจ้าเป็นใคร”

“...เราเป็นผู้ช่วยในครัวที่พวกมันจ้างเอาไว้”

มันชี้ไปที่ร่างของสองนายบ่าวที่นอนสิ้นชีพอยู่บนพื้น หญิงสาวมองดูมันแววตาพลันเปลี่ยนไป นางนึกถึงคำพูดก่อนสิ้นใจของเถ้าแก่อีกครั้ง

“...ที่แท้ท่านเป็นคนตุ๋นไก่ตัวนี้”

“เป็นเราเอง”

“ท่านหลบหนีมาอยู่ในสถานที่นี้”

“ข้าเพียงมาถึงไม่นาน”

“...ท่านมิได้ติดตามเรามา”

ร่างของชายซอมซ่อสะท้านคราหนึ่ง

“เหตุใดข้าต้องติดตามแม่นางด้วย”

บุรุษม้าขาวฟังคำโต้ตอบของทั้งสองพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ มันเคยได้ยินมาว่าเดิมทีหญิงสาวนั้นมีชายหนุ่มที่เคยชอบพอกันมาตั้งแต่เด็กอยู่ก่อนแล้ว แต่เพราะอับจนสิ้นหนทางจึงตัดสินใจรับปากกับบิดามัน หรือว่าชายซอมซ่อคนนี้ คือคนรักผู้นั้น แต่จากฝีมือการซัดตะเกียบเมื่อครู่ มันนับว่ามีฝีมือไม่น้อยเลยทีเดียว

“มิทราบท่านเป็นศิษย์สำนักใด”

“...เราไม่มีสำนัก”

“...ถ้าเช่นนั้นอาจารย์ที่นับถือของท่านคือผู้ใด”

“ท่านแซ่จาง เรียกว่ากระทะเหล็ก”

“...กระทะเหล็ก เราไม่เคยได้ยินนามที่สูงส่งนี้มาก่อน”

“ท่านย่อมไม่เคย อาจารย์ของเราเป็นเพียงพ่อครัวคนหนึ่ง”

ชายหนุ่มพลันส่งเสียงคำราม ชายซอมซ่อผู้นี้เพียงพูดความจริง แต่มันคิดว่าตนเองกำลังถูกล้อเล่น กระบี่ในมือพลันแทงปราดออก สองเท้าขยับย่างก้าว เป้าหมายยังคงเป็นดวงใจของศัตรูอยู่ดี

ตะเกียบอีกข้างหนึ่งพลันดีดพุ่งออกมา หากไม่เปลี่ยนทิศทางกระบี่เท่ากับมันเสนอลำคอเข้าไปรับตะเกียบนี้ ชายหนุ่มพลันสงบจิตใจล่าถอยกลับอีกครั้ง ตะเกียบพุ่งเลยไปปักลงบนเสาของโรงเตี๊ยม ตะเกียบไม้ไผ่ถึงกับจมหายไปเกือบครึ่ง ถึงตอนนี้ชายหนุ่มจึงไม่อาจดูแคลนคู่ต่อสู้ได้อีกต่อไป

“...เมื่อครู่นี้เจ้าถามว่าตุ๋นไก่มีความลับอันใด ความจริงเจ้าเองก็ทราบดีอยู่แล้ว”

หญิงสาวพลันทอดถอนใจ

“ตุ๋นไก่ของเจ้าใส่ของสามสิ่ง ลำไยแห้ง เก๋ากี้ กับอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่มีผู้อื่นใส่นั่นคือ น้ำมะนาวดอง เป็นรสแฝงในน้ำซุป”

“...เจ้ายังจดจำได้”

“เราย่อมไม่อาจลืมเลือน”

“...แล้วเหตุใดเจ้าต้องติดตามมันมา”

“เรารับปากท่านผู้เฒ่าไปแล้ว”

“แต่...”

“แล้วตอนนั้นเจ้าไปอยู่ที่ใด เหตุใดเจ้าไม่เคยบอกกล่าวข้าเลย”

“...ข้าต้องติดตามอาจารย์ไป”

“ข้าเองก็มีความจำเป็นเช่นกัน”

ทั้งสองฝ่ายต่างก้มหน้าลง ทั้งๆ ที่รู้ว่าต่างมีเหตุผลของตนแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดโทษว่าทั้งหมดนี้ต่างเป็นความผิดของฝ่ายตรงข้าม มันต้องรีบติดตามอาจารย์ไปเพื่อฝึกวิชา จนไม่ได้กล่าวแม้แต่คำอำลา ผู้เฒ่าทั้งสองก็มาจากไปพร้อมกันจนหญิงสาวไร้ที่พึ่งต้องรับปากแต่งงานกับจ้าวสำนัก เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้จะโทษใครได้

“พวกเจ้าพร่ำรำพัน อำลากันเพียงพอแล้วหรือไม่”

ชายหนุ่มพูดขัดขึ้น ก่อนชี้กระบี่ตรงไปข้างหน้า ประกายกระบี่แหลมคมพุ่งเข้าใส่ ชายซอมซ่อพลันยกอาวุธของตนเองขึ้นมาตัดประกายกระบี่นั้น คุณชายม้าขาวมองดูอย่างไม่เชื่อสายตาที่อยู่ในมือของมันคือมีดปังตอสำหรับทำครัวด้ามหนึ่ง หรือที่มันพูดว่าอาจารย์เป็นพ่อครัวนั้นจะเป็นเรื่องจริง

กระบี่สาดประกายเจิดจ้าอีกครั้ง มันแทงกระบี่ออกอย่างรวดเร็ว ปลายกระบี่จมหายเข้าไปในหน้าอกของคู่ต่อสู้ รอยยิ้มกำลังผลิบานบนใบหน้า ก่อนที่ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งจะส่งผ่านมือของมันมา ประกายมีดวาบวับแล้วหายไป หายไปพร้อมแขนที่ถือกระบี่ของมัน

กระบี่แทงเข้าไปแล้วแต่ไม่อาจไปถึงหัวใจเพราะถูกกระดูกซี่โครงของมันป้องกันเอาไว้ มันขยับเคลื่อนกายอย่างแม่นยำเพื่อให้กระบี่ของคุณชายม้าขาวเบี่ยงเบนไปเพียงเล็กน้อย มันคือพ่อครัวที่สามารถเฉือนวัวทั้งตัวให้กลายเป็นเพียงกองกระดูก ตำแหน่งของกระดูก ข้อต่อต่างๆ ทั่วร่างกายของสัตว์ทุกชนิด รวมถึงของตัวมันเองล้วนจดจำได้จนขึ้นใจ

บาดแผลที่แขนของชายหนุ่มนั้นเรียบร้อยอย่างยิ่ง รอยขาดเสมอกระดูกตัดผ่านไปตามเส้นเอ็น กล้ามเนื้ออย่างสวยงาม นับเป็นการแล่เนื้อที่สุดยอดแล้ว ชายหนุ่มกัดฟันใช้มือซ้ายคิดแย่งชิงกระบี่กลับมา ประกายมีดวาววับตวัดผ่านไปอีกครั้ง แขนซ้ายของมันก็ร่วงหล่นลงสู่พื้น

โลหิตหลั่งไหลไม่หยุดยั้ง มันส่งเสียงกรีดร้องก่อนล้มลงขาดใจ เมื่อไม่มีสองมือไว้จับกระบี่ มันก็ไม่มีใจจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว

“...เจ้าโหดร้ายเกินไปแล้ว”

หญิงสาวตวาด แม้ทราบว่าที่มันทำทั้งหมดนี้เพื่อช่วยเหลือนางเท่านั้น

“ห้ามเจ้าสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก”

“เจ้าไม่คิดเปลี่ยนใจ...เจ้าไม่คิดหลบหนีไปกับข้า”

“ไยข้าต้องติดตามคนโหดร้ายเช่นเจ้าไปด้วย”

“...ถ้าอย่างนั้นให้ข้าไปส่งเจ้าที่สำนักคุ้มกันภัยภูเขาทองได้หรือไม่”

๑๑๑๑๑

“ไม่นึกเลยว่าบุตรของเราจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้”

จ้าวสำนักถอนใจ พร้อมส่ายหน้า

“เจ้าเข้าไปพักผ่อนข้างในก่อน ข้าจะสนทนากับท่านผู้มีพระคุณอีกสักครู่”

หญิงสาวเดินจากไปอย่างเงียบงัน ตลอดทางทั้งสองไม่ได้พูดจากันแม้แต่คำเดียว นางตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วว่าการตอบแทนพระคุณของจ้าวสำนักอยู่เหนือกว่าความรักของตน ดังนั้นจงใจต่อว่ามันอย่างรุนแรง และไม่พูดกับมันอีก นางได้แต่หวังว่ามันจะสามารถตัดใจกลับไปมีความสุขได้อีกครั้ง น้ำตาที่กักเก็บเอาไว้พลันค่อยๆ รินไหลออกมาอย่างช้าๆ

ชายซอมซ่อได้แต่โทษว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของมันเอง หากมันอยู่ในตอนที่นางกำลังลำบาก เรื่องราวคงไม่จบลงเช่นนี้ แต่หากให้ย้อนกลับไปมันก้ยังไม่อาจตอบตัวเองได้ว่าจะยอมทิ้งวิชาทำอาหารเพื่อนางหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้มันจะไปโทษใครได้นอกจากตัวเอง

สีหน้าท่าทางของจ้าวสำนักเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน มันกำลังคิดจะลงมือแล้ว เรื่องราวเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องน่าขายหน้าที่ไม่อาจปล่อยให้แพร่งพรายออกไปได้ และความแค้นที่สังหารบุตรชายเพียงคนเดียวของมันไปย่อมต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม

มันเกร็งลมปราณคิดใช้ฝ่ามือผลักภูเขาทองไม้ตายที่ใช้สร้างชื่อเสียงของมันออกมาแล้ว ชายซอมซ่อคล้ายคาดเดาเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ สองมือพลันคว้าจับมือทั้งสองของจ้าวสำนักเอาไว้ แม้แต่ปลาไหลแห่งแม่น้ำเหลืองที่แข็งแรงลื่นไหล ยังไม่อาจดิ้นหลุดออกจากการจับกุมเช่นนี้ได้

ลมปราณที่รวบรวมเอาไว้ไม่อาจใช้ออกได้แม้แต่น้อย

“ท่านเคยได้ยินอาหารจานปลาที่สุดยอดมาก่อนหรือไม่”

“...ย่อมเป็นปลาหลีฮื้อทอดที่ยังหายใจอยู่”

จ้าวสำนักยังไม่เข้าใจความหมายในคำถามของมัน

“ถูกต้อง การแล่ปลาเช่นนั้น ทั้งจังหวะ และทิศทางต้องถูกต้อง ไม่เบี่ยงเบนแม้แต่น้อย”

มันสะบัดมือทั้งสองออก มีเงาแวววับแอบซ่อนอยู่ในนั้นด้วย

“หากท่านกล้าทำร้ายนาง ท่านจะกลายเป็นปลาหลีฮื้อตัวหนึ่ง”

จ้าวสำนักตวาดเสียงดังคิดจะลงมืออีกครั้ง

“เจ้ากล้าข่มขู่เรา...”

ชายซอมซ่อเดินจากไปพร้อมกับซัดขว้างของสิ่งหนึ่งโดยไม่เหลียวหน้ากลับมา จ้าวสำนักรับมันเอาไว้ พอแบมือออกใบหน้าของมันก็แปรเปลี่ยนทันที ที่แท้ของสิ่งนี้คือนิ้วก้อยนิ้วหนึ่ง ที่สำคัญมันพึ่งพบว่าเป็นนิ้วก้อยของตัวมันเอง นิ้วของมันถูกตัดขาดออกไปโดยที่มันไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

จ้าวสำนักได้แต่กลืนน้ำลายไม่กล้าลงมืออีกแล้ว ที่มันกล่าวเรื่องปลาหลีฮื้อเมื่อครู่ดูท่าจะไม่ใช่เพียงการล้อเล่นแล้ว

จากคุณ : zoi
เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 14:37:19




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com