Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
มิ่งแก้วจอมหทัย บทที่ ๑๐ : นิวัติคืนถิ่น ติดต่อทีมงาน

++ขออภัยที่หายไปนานนะคะ เที่ยวนี้ พอดีไม่สบายก็เลยได้แต่นอนซมอย่างเดียว T^T อย่าว่ากันน้า

อีกอย่าง มีการปรับแก้ชื่อตัวละครนิดหน่อยค่ะ จากชื่อ "อนิล" เป็น "สันธิลา" แทนนะคะ แบบว่าตอนพิมพ์บทก่อน เกิดอาการเบลอไปหน่อย แหะๆ ++




บทที่ ๑๐ : นิวัติคืนถิ่น


“เจ้านางน้อย เสด็จมาอยู่ตรงนี้เอง”

เสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยทักขึ้นทางเบื้องปฤษฎางค์ ยังให้ผู้ถูกเรียกขานทรงเหลียวมาทอดพระเนตรต้นเสียงแทบจักทันทีที่สิ้นกระแสความ เกศายาวมิได้รวบมุ่นเกล้าเรียบร้อยดั่งเคย เมื่อลมอ่อนพัดต้องปลายก็ไปล่ปลิวไปตามแรง ชายภูษาที่รัดบั้นพระองค์พัดพลิ้วตามกระแสแห่งลม ด้วยลักษณาการทั้งหมดทั้งปวงนี้ ทำให้ชายหนุ่มมองผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเพียงดรุณีน้อยแรกรุ่นธรรมดา มากกว่าจักเป็นเจ้านางน้อยที่กำลังจักทรงก้าวสู่ตำแหน่งเจ้าหลวงในอีกไม่กี่ทิวานี้

“พี่แจ้งหล้าหรอกรึ ตามข้ามาถูกได้อย่างใด”

“แสนหลวงบอกเจ้า” เสียงกดต่ำน้อยหนึ่งยามเอ่ยนามของอดีตนายโจรเชิงผาดงเหล็ก

“ไยเสด็จขึ้นมาองค์เดียวเจ้า ฉวยพวกคำแปงซ่อนอยู่จักทำอย่างใด”

“ทางขึ้นลานแสงดาวมีอยู่ทางเดียว แม้นข้าเป็นคำแปงแลพวกคงไม่ขึ้นมาบนนี้ซ้ำสอง หากจักรออยู่ตรงผาแยกเสียมากกว่า”

เจ้านางกาสะลองว่ากลั้วสรวล เนตรสีนิลจับจ้องญาติผู้พี่มีแววแห่งความรู้เท่า

“พี่คงมิได้ตามหาข้าเพียงเพื่อจักมาต่อว่าต่อขานเท่านี้กระมัง”

“ทรงเดาใจข้าเจ้าถูกเยี่ยงนี้ ลองเดาต่ออีกสิเจ้า”

“ไม่ล่ะ ข้าไม่ม่วนใจพอจักมาเล่นเดาใจพี่”

“แต่ทรงว่างพอจักขึ้นมาตากลมเล่นบนนี้ฤๅเจ้า”

แจ้งหล้าย้อนหน้าตาเฉย คนเป็นนายระบายปัสสาสะยาว ถึงจักทรงทราบว่าอีกฝ่ายแสร้งทูลยั่วหวังให้ทรงคลายที่กังวลก็ตามที หากที่ทำได้เพลานี้คือการแย้มพระโอษฐ์นิดหนึ่งเท่านั้น มิได้ต่อคารมด้วยดุจเคย

“อย่าทรงกังวลนักเจ้านางน้อย อันว่าโทษานุโทษนั้นใช่ไร้หนทางผ่อนปรน”

“ผ่อนปรนอย่างใดก็ยังหนักหนาอยู่ดี”

“ทัณฑ์คู่กับอาชญา อาชญาย่อมมีเหตุแลผลแห่งเจตนา จักดูแต่เพียงกรรมที่กระทำลงเพียงประการเดียวหาได้ไม่”


แจ้งหล้าทูลบอก เจ้านางกาสะลองทรงนิ่งสดับวาจานั้นอย่างตรึกตรอง เข้าพระทัยดีว่าหมายความว่าอย่างใด หากการตัดสินต่างหากที่นำความลำบากพระทัยมาให้อย่างยิ่งยวด การดำรงพระองค์ดุจตราชูที่ไม่อาจให้น้ำหนักเอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นสิ่งกำหนดนั้นยากยิ่งนัก ด้วยความเป็นปุถุชนย่อมมีความลำเอียงในตน การตัดซึ่งอคติ ๔ ออกจากใจมิใช่เรื่องง่ายเลย แต่ลงขึ้นชื่อว่ายุติธรรมแล้ว จักอย่างใดก็ต้องตั้งมั่นอยู่กึ่งกลางให้จงได้ ดำริมาถึงตอนนี้ก็แย้มพระโอษฐ์ออกมาน้อยหนึ่ง มิใช่รอยแย้มพระโอษฐ์แห่งความดีพระทัยฤๅโล่งพระทัย หากทรงเยาะหยันเสียมากกว่า ความยุติธรรมที่ผู้คนต่างเรียกร้องหา จักมีผู้ใดประจักษ์ลึกซึ้งก็หาไม่ ว่ามันมิได้ทำให้ผู้ใด 'เป็นสุข' แท้จริงเลยสักครา


เนตรคู่งามทอดพระเนตรไปสุดปลายฟ้าทางทักษิณทิศตามความเคยชินมาแต่ครั้งทรงพระเยาว์ ดาวสีแดงอมส้มดวงใหญ่มองคล้ายกะพริบแสงตอบรับราวดีใจนักหนาที่ราตรีนี้เจ้านางพระองค์น้อยมิได้ละเลยมัน เจ้านางกาสะลองทรงเผลอพระองค์แย้มพระโอษฐ์กว้างพลางตรัส

“ขึ้นแล้วฤๅ เจ้าดาวไฟ”

“หือ!” แจ้งหล้าทำเสียงสูงที่จู่ๆ ก็ทรงเปลี่ยนเรื่องโดยปัจจุบันทันด่วน

“ก็ข้าไม่เห็นมาหลายราตรีแล้วนี่พี่”

สุรเสียงใสตรัสบอกอย่างร่าเริง เพลานี้คล้ายทรงลืมไปเสียแล้วว่าเมื่อครู่ก่อนทรงวิตกกังวลสิ่งใดอยู่ แจ้งหล้าอดยิ้มออกมามิได้เมื่อเห็นพระกิริยานั้น แต่ทันทีที่มองตามสายพระเนตรแล้วเห็น 'เจ้าดาวไฟ' ถนัดตา รอยยิ้มนั้นก็พลันเลือนหาย ทั้งที่แต่ก่อนนี้เขาเห็นเป็นเรื่องขันที่เจ้านางน้อยทรงรักแลโปรดปรานเจ้าดาวไฟดวงนี้มาแต่ยังเยาว์ชันษา ฟ้าโปร่งเมื่อใดก็มักเสด็จออกมาทอดพระเนตรหาเกือบทุกคาบครา หากบัดนี้แสงของมันที่สุกสว่างกว่าทุกคราวกลับทำให้เขารู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัวกับสังหรณ์ประหลาดที่จู่เข้าจับใจ  วิชาดาวของเขาใช้งานเพียงการจับทิศทางแลดูฤกษ์ยามตามพิไชยยุทธเท่านั้น ส่วนการดูดาวถึงขั้นที่จักรู้ว่าเป็นดาวประจำตัวของผู้ใด หรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่นั้น นอกจากเจ้าหลวงฝาแฝดแล้วก็มีอีกสองเท่านั้นคือแสนภูกับภูหลวง เจ้านางกาสะลองนั้นเจ้าหลวงเมืองคำยังมิทันได้ทรงสอนให้ ด้วยต้องเสด็จมาที่เวียงสบสอง แลการจัดเตรียมข้าวของตลอดจนการเตรียมพระองค์ก็วุ่นวายเสียจนต้องทรงเลื่อนออกไป แต่ก็ยินรับสั่งแว่วๆ ว่า จักเสด็จมาสอนให้ที่เวียงสบสองนี้เลย ราชองครักษ์หนุ่มมองดาวไฟอีกคำรบพลางคิดว่ากลับเวียงครานี้เห็นจักต้องถามไถ่บิดาหรือพี่ชายคนใดคนหนึ่งให้รู้แจ้งเสียแล้ว


“พี่ขึ้นมาตามข้าถึงนี่ มีเรื่องอันใดกันยังมิได้บอกข้าเลยหนา”

แจ้งหล้าสะดุ้งนิดหนึ่ง ก่อนรวบรวมสติแลความคิดที่เพริดไปชั่วครู่ให้กลับคืนมาดังเดิม เขาล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วหยิบแผ่นหนังเล็กๆ ออกมาถวายให้ เจ้านางกาสะลองทรงมุ่นขนง แต่พอทรงคลี่ออกมิทันได้ทอดพระเนตรลายมือที่ทรงรู้สึก 'คุ้นๆ' ได้ถนัด แจ้งหล้าก็ทูลบอกหน้าตาเฉย นายสาวถึงกับเงยพักตร์ขวับทอดพระเนตรคนพูดด้วยสีพระพักตร์ที่สล่าหลวงคนใดก็มิอาจปั้นได้เหมือน            

“เจ้าหลวงเทียนถงกับเจ้านางปัทมาเสด็จมาถึงเมื่อวานซืน ส่วนเจ้าเทพสิงห์กับเจ้าเมืองดาวเสด็จมาถึงเวียงตั้งแต่ยามงายตะวานี้เจ้า”

“โอย! นี่ข้าจักกลับเวียงทันเจ้าพ่อเจ้าแม่เสด็จมาฤๅไม่นี่”

สุรเสียงใสโอดขึ้นทันทีที่ทรงทราบว่าอนุชาแล 'เจ้าพี่ตัวแสบ' เสด็จมาถึงเวียงสบสองแล้ว เนตรสีนิลขุ่นเขียวตวัดทอดพระเนตร 'พี่ชาย' อีกคนที่ยืนวางหน้าเฉยอยู่ข้างๆ อย่างขุ่นเคืองนัก เจ้านางกาสะลองทรงก้มพักตร์ทอดพระเนตรสารในพระหัตถ์อีกคำรบพลางถอนพระทัยเฮือกใหญ่  

“ไยเจ้ามาบอกข้าทิวานี้เล่า ไม่รอให้ถึงเวียงเสียก่อนค่อยบอกล่ะ”

“รบกันอยู่นั่น จักเอาเพลามาบอกได้อย่างใดเจ้า มิหนำนกพิราบของเอื้องคำยังมาถึงหลังจากเจ้าลาชาน้อยเดียว ข้าเจ้าก็ต้องเก็บสารของนางเอาไว้ก่อนสิเจ้า”

“มันน่าลงทัณฑ์เพิ่มนักเทียว”

เจ้านางกาสะลองตรัสพลางเข่นเขี้ยว วรองค์โปร่งระหงดำเนินกลับไปกลับมาอย่างทรงยุ่งยากพระทัยนัก  ด้วยการที่เชิงผาดงเหล็กนี้ก็ยังไม่แล้วเสร็จดีนัก กองทหารที่ติดตามคำแปงแลพวกไปยังมิมีผู้ใดกลับคืนมาสักคนเดียว ลำพังเพียงเจ้าหลวงเทียนถงแลเจ้านางปัทมาที่เสด็จมาถึงเวียงก่อนหน้านี้แล้วยังมิเท่าใดนัก เพราะอย่างใดเสียก็ทรงคุ้นเคยแลรู้พระทัยกันพอสมควร ข้างเจ้าเมืองดาวเองก็ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงมากนัก จักน่าวิตกก็คือเจ้าเทพสิงห์องค์เดียว ความที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ยังทรงพระเยาว์ ทั้งเพลาที่ฝ่ายใดสบช่องแก้คืนเป็นไม่ลดละที่จักทำ ที่ผ่านมาทรงเป็นฝ่ายมีชัยตลอดมา แล้วครานี้กลับทรงเปิดช่องให้ดั่งนี้ มีฤๅที่พี่ชายตัวแสบจักไม่เอาคืนบ้าง

“เสด็จกลับเวียงก่อนก็ได้เจ้า ข้าเจ้าจักรอทหารกลุ่มนั้นเอง กลับมาเมื่อใดจักเร่งคืนเวียงทันทีเจ้า”

“กลับไปตอนนี้จักมีอันใดดีขึ้น เจ้าพี่เทพสิงห์รู้แล้วว่าข้าออกมา สู้อยู่ที่นี่คิดหาทางแก้ตัวกับเจ้าแม่มิดีกว่ารึ”

“หาทางแก้ตัวฤๅเจ้า” แจ้งหล้าทูลถาม คิ้วเข้มขมวดมุ่น “ไยทรงคิดเยี่ยงนั้น”

“หึ! ไม่คิดได้อย่างใด เจ้าพี่เทพสิงห์หาทางแก้คืนข้าอยู่ร่ำไป”

“เจ้านางน้อยนี่เก่งหนาเจ้า ดำริแทนผู้อื่นได้ด้วย”

“พี่หมายความว่าอย่างใด”

“ข้าเจ้าว่าข้าเจ้าพูดตรงๆ หนาเจ้า ไยต้องทรงถามหาความหมายอีก”

“พี่แจ้งหล้า!”

เจ้านางกาสะลองทรงแหวขึ้นทันใด หากแจ้งหล้ายังคงวางหน้าเฉยดุจเคย มีเพียงแววตาเท่านั้นที่บอกว่าไม่ชอบใจนัก แลแววตาเดียวกันนั้นทำให้ผู้เป็นทั้งน้องแลนายถึงกับชะงัก

“เจ้านางน้อยเจ้า ๑๓ ค่ำนี้ก็จักนั่งเมืองแล้ว อย่าทรงทำเป็นละอ่อนสิเจ้า จริงอยู่ว่าบางคาบบางคราเราต้องคิดแทนคนอื่นบ้าง แต่มิใช่ทุกครั้งแลทุกเรื่อง ทรงมีดำริแทนผู้อื่นอยู่ร่ำไป ทั้งที่คนผู้นั้นยังมิทันได้คิดเสียด้วยซ้ำไป แม้นเป็นเรื่องดีก็ดีไป หากเป็นเรื่องร้ายมิเท่ากับเป็นการชี้โพรงให้กระรอกฤๅเจ้า”

“ถ้าคิดแล้วไม่พูดออกไปเล่า”

ปลายสุรเสียงเริ่มตวัด บอกให้คู่สนทนารู้ว่า เริ่มจักทรง 'รวน' อีกแล้ว

“ดำริแล้วทรงเป็นสุขฤๅทุกข์ล่ะเจ้า ดำริร้ายก็ทุกข์ ดำริดีแต่การณ์มิเป็นไปตามนั้นก็ทุกข์อีก”

“เช่นนั้นก็มิต้องคิดมันเสียเลย”

“นั่นก็ไม่ดีอีกเจ้า”

“เอ๊ะ! พี่นี่อย่างใด คิดก็ไม่ดี คิดก็ไม่ดี”

“คนเราเกิดมาจักไม่คิดได้อย่างใด แต่การคิดนั้นจักต้องตั้งอยู่บนความพอดีแลพร้อมที่จักปรับเปลี่ยนแก้ไขตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่ากะเกณฑ์ว่าต้องเป็นดั่งนี้ เยี่ยงนี้ ทรงดำริเดาใจผู้อื่นได้ แต่อย่าถึงขั้นดำริแทนเจ้าตัว ที่ร้ายไปกว่านั้นคืออย่าถึงขั้นทำแทน เพราะถึงจักทรงเห็นว่าดีกับเขาก็เถิด จักทรงรู้ได้อย่างใดว่านั่น 'ดี' แล้ว”

แจ้งหล้าทูลสอนด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างใจเย็นดุจเคย เจ้านางกาสะลองทรงนิ่งสดับแลตรึกตรองตามคำนั้น บทเรียนที่ทรงเคยคิดว่าเจนจบแล้วนั้น แท้แล้วเป็นเพียง 'ฐาน' เท่านั้นเอง ส่วนยอดนั้นยังคงแตกแขนงต่อไปได้มิรู้จบ ยิ่งเจริญพระชันษาขึ้นเท่าใด ยิ่งทรงพบปะผู้คนมากมายเท่าใด ความรู้ที่ว่านั้นก็พร้อมที่จักแทรกกายเข้าไปทุกถิ่นที่ แลเพิ่มบทเรียนใหม่ๆ ขึ้นทุกทีไปเฉกกัน      


*** มีต่อค่ะ

จากคุณ : อินทรายุธ
เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 17:01:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com