Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 16 ป่าแห่งมนตรา ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 15 แม่น้ำมรณะ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10571262/W10571262.html

<16>

ป่าแห่งมนตรา

โซลย์อุ้มโมไดเดินตามหลังฟอร์เซ็ตติเข้าไปในป่าแห่งมนตราซึ่งในความคิดครั้งแรกของเขา ป่าอันเป็นที่อาศัยของเหล่าเอลฟ์ผู้เป็นอมตชนนั้นน่าจะมีความสว่างไสวและเต็มไปด้วยไม้ดอกที่แสนงดงาม แต่เมื่อเข้ามาพบกับสภาพที่แท้จริง แม่ทัพหนุ่มรู้สึกผิดหวังระคนแปลกใจน้อยๆเพราะโดยทั่วไปแล้ว ป่าแห่งนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากผืนป่าของมอร์เซล นอกจากความรกทึบและขนาดอันใหญ่โตของต้นไม้ซึ่งดูเหมือนจะยืนต้นผ่านกาลเวลามานานนับร้อยปี

โซลย์กวาดสายตามองดูรอบๆและขมวดคิ้วย่นเมื่อไม่พบสิ่งมีชีวิตใด ทั่วทั้งป่าเต็มไปด้วยความเงียบจนน่าขนลุก เสียงครางของเด็กหนุ่มในอ้อมแขนทำให้แม่ทัพแห่งมอร์เซลรู้สึกร้อนใจจนอดรนทนไม่ได้และโพล่งถามขึ้น

“คนที่เจ้าบอกว่าสามารถช่วยเจ้าหนูนี่ได้อยู่ที่ไหนกัน ฟอร์เซ็ตติ”

“ลึกเข้าไปข้างใน” จอมเวทหนุ่มตอบสั้นๆ โซลย์ก้มหน้าลงมองดูโมไดที่ดูเหมือนจะเริ่มมีไข้ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก

“ลึกน่ะแค่ไหนกัน” เขาถาม ฟอร์เซ็ตตินิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ

“เดินอีกครึ่งวัน”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลแทบจะหมดความอดทนเมื่อได้ยินคำตอบ เขาเป็นห่วงอาการของโมไดจนรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางเย็นชาของจอมเวทหนุ่ม แต่เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายก็มีความวิตกไม่ด้อยไปกว่าเขาเพียงแต่เก็บซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ตามนิสัย ความขุ่นใจจนแทบจะเดือดดาลก็ลดลง โซล์สาวเท้าก้าวให้เร็วขึ้น แนชท์ซึ่งเดินอยู่ข้างๆจอมเวทตลอดเวลาหันกลับมามองดูด้วยสายตาเป็นกังวลหลายครั้ง

ทั้งหมดเดินอย่างเร่งรีบ ลึกเข้าไปในป่า ความเย็นอันน่าขนลุกแผ่ออกมาครอบคลุมรอบกายจนโซลย์และแนชท์รู้สึกสั่นสะท้าน มันไม่ใช่ความเย็นที่เกิดจากมวลอากาศ แต่เป็นความเย็นของพลังอำนาจบางอย่างซึ่งปกคลุมทั่วผืนป่าแห่งนี้อยู่ ฟอร์เซ็ตติหยุดฝีเท้าของเขาและพูดขึ้นโดยไม่หันมามองคนทั้งสอง

“รอข้าอยู่ตรงนี้”

เขาเดินออกไปทันที โซลย์และแนชท์มองหน้ากันด้วยความรู้สึกงุนงง มีสายลมแผ่วๆพัดผ่านร่างของคนทั้งสอง แนชท์เลื่อนมือไปแตะซาเบลลอท ลมอันอ่อนโยนแปรเปลี่ยนไปเป็นกระแสลมหมุนวนรอบกายของนางพร้อมเสียงกระซิบ

“จงละมือจากอาวุธของเจ้า นักรบเวทน้อย”

เด็กสาวชะงักทันที นางปล่อยมือทั้งสองลงข้างตัวทั้งที่ยังรู้สึกงงในเหตุการณ์ โซลย์ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ เขาหันมองไปรอบๆพร้อมกับพูดเสียงดัง

“พวกข้ามาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากพวกท่าน มิได้มีเจตนาร้าย โปรดปรากฏกายและออกมาพูดคุยกันด้วยเถิด”

สายลมที่พัดรอบตัวคนทั้งสองหมุนวนกลับเข้าไปในป่า ต้นไม้น้อยใหญ่แกว่งไหวเอนไปมาและสงบลงอย่างฉับพลันพร้อมกัน ความเงียบเคลื่อนเข้ามาแทนที่อีกครั้ง แม่ทัพแห่งมอร์เซลกัดฟันตนเองแน่นด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่สุด เขาก้มลงมองดูโมไดซึ่งกำลังมีไข้ ร่างกายของเด็กหนุ่มร้อนรุมด้วยความร้อนจนเหงื่อไหลชุ่มโชกไปทั้งร่าง

“มัวทำอะไรกันอยู่นะเจ้าจอมเวท”

โซลย์พูดเสียงรอดไรฟันด้วยความรู้สึกราวกับกำลังจะสิ้นความอดทน


 
ฟอร์เซ็ตติเดินผ่านต้นไม้ขนาดใหญ่ไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงลานโล่งรูปวงกลมแห่งหนึ่งจึงหยุด ดวงตาสีฟ้าสวยกวาดมองรอบตัว แสงแดดอ่อนๆส่องผ่านยอดไม้สูงลงมากระทบพื้นดินสร้างแสงสว่างอันอ่อนละมุน กลิ่นหอมจางๆลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ จอมเวทสูดลมหายใจพร้อมกับเอ่ย

“ข้ารู้ว่าท่านมาอยู่ที่นี่แล้ว ได้โปรดปรากฏกายของท่านออกมาด้วยเถิด”

สายลมอันอบอุ่นพัดผ่านร่างของฟอร์เซ็ตติไปอย่างแผ่วเบา ร่างของเอลฟ์สาวในชุดยาวกรอมเท้าสีทองอร่ามเดินช้าๆออกมาจากเงาไม้ เรือนผมสีเงินยาวสลวยจรดสะโพกสะท้อนกับแสงตะวันเปล่งประกายงดงามรับกับดวงตาสีฟ้าสดใสดุจสีของท้องฟ้าเหนือทะเลสาปยามไร้เมฆา รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนประทับบนริมฝีปากบางได้รูป เสียงไพเราะดุจเครื่องดนตรีเงินดังกังวานหวานแว่ว

“นานเท่าใดแล้วที่ไม่ได้พบหน้าเจ้า”

“ราวหนึ่งร้อยปี เท่าที่ข้าจำได้” จอมเวทหนุ่มกล่าวตอบด้วยท่าทางอ่อนน้อม

“ดูเจ้าไม่เปลี่ยนไปสักเท่าใด” เอลฟ์สาวกล่าวขณะเยื้องกรายเข้าไปหา มือขาวผ่องเรียวงามยกขึ้นไล้ไปบนใบหน้าของฟอร์เซ็ตติ เขาอมยิ้มน้อยๆ

“เช่นเดียวกับความงามของท่าน มารดาข้า”

เสียงหัวเราะสดใสดังขึ้น มารดาของฟอร์เซ็ตติเอียงหน้าพร้อมกับพูด

“วาจาช่างหวานนัก บุตรชายที่รักของเรา” นางลดมือลงและกล่าวต่อ “แต่นั่นคงมิใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้เจ้าดั้นด้นเข้ามาหาข้าหลังจากห่างหายไปเสียหลายปีใช่หรือไม่”

“สิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านงดงามมากกว่าเอลฟ์ทุกตนที่ข้ารู้จักคือความเฉลียวฉลาด และนั่นคือความภาคภูมิใจอย่างที่สุดของข้าที่มีต่อท่าน” จอมเวทหนุ่มพูด “ที่ข้ามาพบท่านในวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญที่จำต้องร้องขอให้ช่วยเป็นการด่วน”

“เรื่องสำคัญอันใดกันที่ทำให้เจ้าดูร้อนรนจนผิดวิสัยที่เคยเป็นและรีบเร่งมาหาข้าเช่นนี้”

“เป็นเรื่องเกี่ยวกับความตาย”

สีหน้าของผู้เป็นมารดาเผือดลงเล็กน้อยคล้ายกับกำลังตระหนกในคำที่ได้ยินจากบุตรชาย นางยืนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะปล่อยให้สายลมพัดผ่านกายไปจึงกล่าว

“เกี่ยวกับปุถุชนที่มากับเจ้านั่นใช่หรือไม่”

“ท่านคงได้ทราบจากผู้เฝ้าด้านนอกแล้ว” ฟอร์เซ็ตติตอบ “สหายข้าคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอสูรที่เป็นบริวารของจอมมาร ข้าจนหนทางที่จะช่วยเหลือเยียวยาจึงรีบนำเขามาหาท่าน”

“คนผู้หนึ่งเป็นชาวนักรบเวท” มารดาของจอมเวทหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเข้มขึ้น “เจ้าพาคนพวกนั้นเข้ามาด้วย”

“นางเป็นนักรบเวทคนสุดท้ายที่เหลือรอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของจอมมาร ที่สำคัญนางยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวตัวเล็กๆเท่านั้น”

“จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เขาก็คือนักรบเวท ศัตรูที่ข้าไม่เคยลืม” เอลฟ์สาวกล่าวด้วยสีหน้าขุ่นแค้นใจ ภาพความเจ็บช้ำในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำ ฟอร์เซ็ตติระบายลมหายใจหนักๆ

“หมายความว่าท่านจะไม่ช่วยเหลือข้า” น้ำเสียงที่กล่าวเต็มไปด้วยความผิดหวังจนผู้เป็นแม่รู้สึกสงสาร

“ไม่มีแม่คนใดไร้น้ำใจต่อบุตรของตนหรอก ฟอร์เซ็ตติ แม่จะช่วยเขาหากนั่นเป็นความต้องการของเจ้า แม้ว่าคนคนนั้นจะเคยเป็นผู้ที่ทำร้ายแม่มาก่อนก็ตาม”

  “ความเมตตาของท่านคือเครื่องประดับอันงดงามที่ข้าชื่นชมอยู่เสมอไม่มีวันเสื่อมคลาย ” จอมเวทหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางอ่อนน้อม เขาค้อมกายลงแสดงความเคารพต่อบุพการีด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความตื้นตัน นางยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าเขาเบาๆ

“จงนำพวกเขามาที่นี่ ข้าจะให้คนนำร่างของผู้ป่วยไปรักษาในเมืองของเรา ส่วนอีกสองคนให้รออยู่ด้านนอกอย่าให้พวกเขาก้าวล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของพวกเราเป็นอันขาด”

“ข้าเข้าใจ” ฟอร์เซ็ตติกล่าว เขาหมุนตัวเดินออกไปจากลานดินโล่งทันที เพียงไม่นานจอมเวทหนุ่มก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับโซลย์และแนชท์

“จงนำร่างของเด็กน้อยนั่นเข้าไปทำการรักษาโดยเร็ว” เสียงมารดาของฟอร์เซ็ตติดังขึ้นหลังจากที่ได้ตรวจอาการของโมไดอย่างละเอียด เอลฟ์หนุ่มคนหนึ่งรีบเดินเข้าไปรับร่างไร้สติของเด็กหนุ่มมาจากโซลย์และเดินหายเข้าไปในป่าทันทีในขณะที่เอลฟ์อีกคนหนึ่งมองหน้าแนชท์ด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ

“แล้วเจ้ามนุษย์คนนี้กับเด็กชาวนักรบเวทนั่นเล่า จะให้เขาเข้าไปด้วยหรือไม่ท่านนานนา”

“พวกเขาจะรออยู่ที่นี่กับข้า ไม่ต้องกังวล” ฟอร์เซ็ตติเอ่ยรับแทนด้วยความรู้สึกไม่พอใจ สีหน้าของเอลฟ์ผู้นั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อสบกับสายตาขุ่นเคืองของจอมเวทหนุ่ม เขาก้มหน้าลงและหมุนตัวเดินหายเข้าไปในป่าอย่างเร็ว นานนามารดาของฟอร์เซ็ตติมองดูโซลย์และแนชท์

“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าหนูนั่นจะปลอดภัยแน่ข้าให้สัญญา”

นางหันไปมองบุตรชายและยิ้มให้อย่างอบอุ่นก่อนเดินหายเข้าไปในเงาป่าดังเช่นตอนมา โซลย์รีบก้าวขาเดินตามไปดูทันที เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อผ่านต้นไม้ขนาดใหญ่ไปแล้วกลับพบเพียงป่าทึบธรรมดาๆ ร่างของเอลฟ์ที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่หายไปจนหมดสิ้นไม่เหลือแม้รอยเท้า

“พวกเขามีประตูมนตราที่คนธรรมดาอย่างเจ้าไม่มีวันมองหาได้พบหรอก โซลย์”

จอมเวทหนุ่มพูดขึ้น โซลย์หันหน้ากลับมามองเขาและถาม

“แล้วโมไดจะเป็นอย่างไร พวกเราไว้ใจเอลฟ์เหล่านี้ได้จริงๆหรือ”

“ข้าอาจจะไม่รู้สึกอะไรหากเจ้าไร้ความไว้เนื้อเชื่อใจในเอลฟ์ตนอื่น แต่สำหรับมารดาของข้า” ดวงตาสีฟ้าฉายแวววับวาวขณะที่มองจ้องเข้าไปในตาของแม่ทัพหนุ่ม “เจ้าสามารถไว้วางใจนางได้เช่นเดียวกันกับที่มีให้ข้าเลยทีเดียว”

โซลย์นิ่งงันไปในบัดดล เขาเม้มปากตนเองแน่นก่อนจะกล่าวออกมา

“ข้าขอโทษที่ใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมต่อมารดาของเจ้า”

“นั่นเป็นเพราะความห่วงใยของเจ้าที่มีต่อโมไดต่างหาก อย่าได้กังวลไปเลย โซลย์”

ฟอร์เซ็ตติกล่าวพร้อมกับหย่อนกายนั่งลงบนก้อนศิลาซึ่งถูกปรับให้ราบเรียบราวกับเคยถูกใช้ให้เป็นที่นั่ง โซลย์มองศิลาลักษณะเดียวกันอีกหลายก้อนที่วางรายล้อมเป็นวงรอบๆลานกว้าง

“ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นที่ประชุมหรือที่จัดงานอะไรสักอย่าง”

“มันเคยเป็นสถานที่พักผ่อนและจัดงานรื่นเริงของเหล่าเอลฟ์ในป่าแห่งมนตรานี่ แต่ถูกละเลยไปหลังจากที่พ่อของข้าบุกเข้ามาทำลายจนพินาศเมื่อนานมาแล้ว”

จอมเวทหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับสิ่งที่เขากำลังกล่าวเป็นเรื่องธรรมดา แม่ทัพแห่งมอร์เซลนิ่งไปเล็กน้อย

“แล้วเหตุใดจอมมารจึงหาพวกเขาไม่พบ”

“เพราะเหล่าเอลฟ์ใช้ธรรมชาติเป็นพลังในการปกป้องนคร และอาณาเขตของป่าแห่งมาตราทางตอนเหนือนี้ไม่ติดต่อกับป่าแห่งใดในมาร์วัลลัส ที่สำคัญพวกเขามีภูเขาศักดิ์สิทธิ์ขวางกางกั้นดวงตาของจอมมารไว้ทำให้เขามองไม่เห็นอำนาจที่ปกคลุมเมืองแห่งนี้ได้”

“แปลกดี” โซลย์กล่าว ฟอร์เซ็ตติหัวเราะเบาๆ

“พวกเอลฟ์มีเรื่องน่าแปลกใจที่เจ้าไม่อาจคาดเดาได้เสมอ ท่านแม่ทัพ”

“แล้วพวกเราต้องรอนานแค่ไหนกัน” แนชท์พูดขึ้นมาบ้าง จอมเวทหนุ่มกุมไม้เท้าในมือของเขาแน่นก่อนตอบ

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะแค่หนึ่งวันหรือหนึ่งอาทิตย์ หรือมากกว่านั้น แล้วแต่อาการของโมไดและวิธีการรักษาของพวกเขา”

คำพูดของฟอร์เซ็ตติมิได้ผิดเพี้ยนไปจากความจริงสักเท่าใด พวกเขารอคอยฟังข่าวการรักษาของโมไดอย่างอดทน แม้บางครั้งจอมเวทหนุ่มจะหายเข้าไปในป่าแต่เมื่อกลับออกมาสีหน้าของเขาก็ไม่แสดงอาการใดนอกจากกล่าวสั้นๆว่าไม่ต้องเป็นห่วง

ความวิตกกังวลในความปลอดภัยของสหายตัวแสบทำให้โซลย์ถึงกับลืมนึกถึงวันเวลาที่ล่วงผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลายครั้งที่แม่ทัพหนุ่มเกิดอาการฉุนเฉียว แต่คำพูดของจอมเวทก็ทำให้เขาสงบลงได้ ต่างจากแนชท์ที่มีท่าทางนิ่งเงียบและเต็มไปด้วยความระมัดระวังตัวตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับชาวเอลฟ์ที่นางแสนชิงชัง

ในที่สุดการรอคอยที่เต็มไปด้วยความหวั่นวิตกก็จบลงเมื่อนานนามารดาของฟอร์เซ็ตติปรากฏกายของนางในเช้าวันที่อากาศแจ่มใส เอลฟ์สาวนำโมไดที่มีสุขภาพแข็งแรงและร่าเริงมาส่งให้กับฟอร์เซ็ตติยังลานประชุม โซลย์ตบไหล่เด็กหนุ่มด้วยความดีใจในขณะที่แนชท์ร้องทักเขาด้วยสีหน้าสดใสกว่าทุกครั้ง จอมเวทหนุ่มมองเพื่อนของเขาและหันไปทางมารดาซึ่งยังคงยืนนิ่งสงบอยู่

“ขอบคุณท่านมาก”

“นั่นเป็นสิ่งที่ผู้เป็นแม่ควรกระทำเพื่อบุตร” นานนากล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน นางมองดูเพื่อนของฟอร์เซ็ตติและถาม

“เจ้าจะไปค้นหาศาสตราแห่งเดราเนียร์พบได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่รู้แม้กระทั่งเป้าหมายที่แน่นอน”

สีหน้าของจอมเวทหนุ่มฉายความประหลาดใจออกมา เขาเหลือบมองดูโมไดที่กำลังส่งเสียงพูดคุยดังลั่นแล้วยิ้ม

“ท่านคงทราบจากเขา”

“เด็กนั้นเป็นคนช่างพูดช่างเจรจา แต่เขารักพวกเจ้ามากนัก สิ่งที่แม่รู้ได้ยินเมื่อตอนที่เขากำลังเพ้อเพราะพิษไข้”

ฟอร์เซ็ตติผงกศีรษะและกล่าว

“ครั้งแรกข้าคิดจะนำพวกเขาออกค้นหาเดราเนียร์เพื่อนำไปสังหารราชันย์แห่งแซฟเวจย์ แต่หลังจากที่ได้พบกับเหตุการณ์หลายอย่างทำให้เป้าหมายของพวกเราเปลี่ยนไป”

“พวกเจ้าคิดจะบุกไปแซฟเวจย์และสังหารจอมมารโดยไม่มีศาสตราวิเศษ” นานนาพูดด้วยสีหน้าประหวั่น “เจ้าคิดว่าจะสามารถทำได้สำเร็จหรือลูกรัก”

“ข้าเคยประมือกับเขามาแล้วครั้งหนึ่ง และนั่นทำให้ข้ามั่นใจว่าหากพวกเราร่วมมือกันก็คงจะเอาชนะเขาได้ไม่ยาก”

“เป็นคำพูดที่แม่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากของผู้ที่เต็มไปด้วยความคิดอันสุขุมเช่นเจ้า” นานนากล่าว “มีสิ่งหนึ่งที่แม่อยากจะบอกให้เจ้าได้รู้ไว้ ลูกรัก พวกเจ้าจะไม่มีวันหาเดราเนียร์และกรามร์พบ แม้ว่าพวกเจ้าจะพลิกแผ่นดินหาก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลา ของวิเศษทั้งสองจะปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเจ้าด้วยวิธีการที่คาดไม่ถึง”

มารดาของฟอร์เซ็ตติมองหน้าบุตรชายของตน นางลูบใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบาด้วยความรักและผูกพัน

“จงจำเอาไว้อย่างหนึ่งนะ ฟอร์เซ็ตติ เจ้าจะต้องร่ำไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดเมื่อได้กรามร์ และจะต้องสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตเมื่อพบเดราเนียร์”

สีหน้าของจอมเวทหนุ่มแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขากุมมือของมารดาไว้และยกขึ้นมาจุมพิต

“ข้ายินดีที่จะเผชิญหน้ากับชะตากรรมเหล่านั้น หากสามารถกำจัดจอมมารได้”

“ถ้าเช่นนั้น ก็ขอให้เจ้าจงโชคดี”

นานนากล่าวพร้อมกับเลื่อนสายตามองไปที่โซลย์ซึ่งกำลังเดินตรงมาหา แม่ทัพหนุ่มค้อมตัวลงอย่างสุภาพพร้อมกับกล่าว

“ข้าไม่ใช่นักปราชญ์ผู้ช่ำชองภาษาที่งดงาม จะได้สรรหาคำอันไพเราะมากล่าวขอบคุณในเมตตาของท่านที่มีต่อโมไดและพวกเราได้ ท่านนานนา ข้าขอบคุณในความกรุณาของท่านจากหัวใจ”

“นั่นเป็นถ้อยคำที่ไพเราะที่สุดจากปากของมนุษย์ที่ข้าเคยได้ยิน” เอลฟ์สาวแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน “ข้ายินดีและเต็มใจรับคำขอบคุณนั้นท่านแม่ทัพ ขอให้ท่านประสบกับชัยชนะเหนือศัตรูร้ายด้วยพลังกายและพลังวิญญาณอันกล้าแข็งของท่านเถิด”

โซลย์ก้มตัวลงรับพรจากเอลฟ์ผู้เป็นมารดาของฟอร์เซ็ตติ โมไดก้มกายลงจนต่ำพร้อมกับกล่าว

“ชีวิตข้าเกิดขึ้นใหม่เพราะท่าน หากมีสิ่งใดที่สามารถทำได้ ข้ายินดีที่จะกระทำเพื่อทดแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้ แม้จะต้องใช้ชีวิตเข้าแลกก็ตาม”

“เพียงความรักและมิตรภาพที่เจ้ามีให้แก่บุตรชายของข้า นั่นก็ถือว่าเป็นการทดแทนอันสูงค่ายิ่งแล้ว หนุ่มน้อยโมได ขอให้เจ้าแข็งแรงเก่งกาจและเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า”

โมไดยิ้มกว้างขณะรับคำอวยพรจากนานนา แนชท์ซึ่งยืนแอบอยู่ด้านหลังของโซล์จึงเอ่ยขึ้นเบาๆ

“สายเลือดของข้าอาจจะเคยเป็นปฏิปักษ์กับท่าน ข้าเคยมองว่าพวกท่านเป็นศัตรูตลอดกาลสำหรับชาวนักรบเวท แต่จากการที่ท่านได้ช่วยเหลือเพื่อนของข้า ทำให้ความคิดที่เคยมีต่อพวกเอลฟ์เปลี่ยนไป หากวันใดวันหนึ่งข้างหน้ามีสิ่งใดที่ข้าสามารถช่วยท่านได้ ข้าจะรีบกระทำทันทีด้วยความเต็มใจยิ่ง”

“เช่นเดียวกันสาวน้อย ขอให้เจ้าหลุดพ้นจากคำสาปเลือดที่ทรมานชีวิตเหล่านักรบเวทโดยเร็ววัน”

แนชท์กระตุกยิ้มและก้มหน้าลงทันที นานนามองดูนางด้วยสายตาที่ฉายแววปรานีก่อนเลื่อนขึ้นไปมองดูบุตร

“การจะไปแซฟเวจย์ต้องข้ามแม่น้ำริเวอร์ พวกเจ้าจะเลือกใช้วิธีใดกัน”

“ข้าคงต้องเลือกใช้วิธีการต่อแพ และข้ามจากป่าแห่งนี้ไป”

“อันตรายเกินไปสำหรับวิธีนั้น” นานนากล่าว “เจ้าจงสละเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อเดินทางขึ้นไปด้านเหนือ ไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์อันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ เพราะริเวอร์ถือกำเนิดมาจากหิมะบนยอดเขาที่ละลายไหลผ่านโตรกผาเป็นระยะทางยาว มีอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะถึงที่ราบของแผ่นดินมาร์วัลลัสแม่น้ำนี้ไหลลงมาจากหน้าผาสูงและกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ น้ำตกนั้นจะไหลมารวมกันเป็นแอ่งลึกจากนั้นจึงไหลผ่านช่องผาเข้าไปใต้แผ่นศิลาซึ่งเปรียบประดุจเป็นสะพานธรรมชาติ มันจะกลายเป็นน้ำตกอีกครั้งจึงไหลผ่านที่ราบลุ่มและกลายเป็นแม่น้ำประจำมาร์วัลลัส พิษร้ายของจอมมารมีผลไปจนถึงที่ราบที่ว่านั้น มันไม่อาจทวนน้ำตกขึ้นไปทำลายความบริสุทธิ์ที่ด้านบนได้”

“ท่านแม่จะให้พวกข้าเดินข้ามแม่น้ำตรงแผ่นศิลาอันเป็นสะพานธรรมชาติใช่หรือไม่”

“ถูกต้องแล้วลูกรัก และเมื่อเจ้าข้ามแม่น้ำจากตรงนั้นแล้วจงรีบลงจากภูเขาและแฝงเข้าไปในป่าโดยเร็ว อย่าได้พลั้งเผลอใช้เส้นทางผ่านหุบเขานั้นเป็นอันขาด เพราะตั้งแต่ตรงนั้นไปจนถึงเขตแดนของแซฟวีมีอารักษ์ผู้หนึ่งดูแลอยู่ แม่ได้ยินมาว่าอารักษ์ผู้นั้นโหดเหี้ยมเย็นชานัก และที่สำคัญบัดนี้เขาได้เข้าร่วมเป็นบริวารของจอมมารคอยพิทักษ์เส้นทางสู่แซฟเวจย์ไปแล้ว”

“ข้าจะระมัดระวังและกระทำทุกอย่างที่ท่านเตือน” ฟอร์เซ็ตติพูด นานนาลูบผมของเขาเบาๆและกล่าวด้วยท่าทางเศร้า

“เจ้าจะไม่กลับอยู่กับพวกพ้องที่นี่อีกแล้วหรือ”

“ข้าอาจมีพวกพ้องอยู่ในที่แห่งนี้แต่.............”สายตาของจอมเวทเลื่อนไปมองดูโซลย์และโมได “ข้างนอกนั่นข้าได้พบกับเพื่อนที่แท้จริง เพื่อน.......ที่ยอมตายแทนกันได้”

คำตอบของเขาสร้างรอยยิ้มอันงดงามให้ปรากฏบนใบหน้าของผู้เป็นมารดา นางวางมือลงบนอกของบุตรชายและกล่าว

“หัวใจของเจ้าได้พบกับแสงสว่างแล้ว ลูกรัก ขอให้เจ้าและเพื่อนจงพบแต่ความดีงามอย่างที่เหล่ามนุษย์พึงได้ และวันใดที่เจ้าต้องพบกับความโดดเดี่ยวอีกครั้ง จงจำไว้ว่าป่าแห่งนี้ยินดีต้อนรับการกลับมาของเจ้าเสมอ”

ฟอร์เซ็ตติยกมือขึ้นกุมหัตถ์ของผู้เป็นมารดาพร้อมกับก้มตัวลง นางยิ้ม

“ลาก่อน ลูกรัก”

“ลาก่อน ท่านแม่”

นานนามองดูหน้าบุตรชายของตนอีกครั้งก่อนหมุนกายเดินหายเข้าไปในเงาของป่า เสียงสายลมพัดผ่านไปตามต้นไม้อย่างเศร้าสร้อย

“สายมากแล้วพวกเรารีบเร่งเดินทางกันเถอะ”

โซลย์เอ่ยขึ้น จอมเวทหนุ่มหันมาทางเขาและพยักหน้า

“เราจะขึ้นเหนือไปยังภูเขาและข้ามแม่น้ำกันที่นั่นตามที่แม่ของข้าแนะนำ”

“ข้าอยากปีนเขามานานแล้ว” โมไดกล่าวด้วยสีหน้ารื่นเริง “รีบไปกันเลยดีกว่า”

ฟอร์เซ็ตติหัวเราะกับท่าทางของเด็กหนุ่มและหมุนตัวเดินนำหน้าพวกเขาไป ทั้งสี่ใช้วิธีเดินทางผ่านป่าแห่งมนตราโดยหลีกเลี่ยงการเข้าไปเฉียดใกล้กับแม่น้ำ เพราะจอมเวทหนุ่มรู้ดีว่า นิตฮอกก์เฝ้าติดตามพวกเขาอยู่ด้วยความอาฆาตแค้น

ดุจอำนาจมหัศจรรย์ของเหล่าเอลฟ์ของป่าแห่งมนตราหรือเป็นเพราะพลังความรักของมารดาที่มีต่อบุตรของนานนา คณะเดินทางผ่านพ้นป่าไปได้อย่างปลอดภัยแม้จะมีกลุ่มโจรจากแซฟเวจย์ปรากฏขึ้นเป็นบางครั้ง

พวกเขาบรรลุถึงชายป่าและเข้าสู่อาณาเขตของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในวันที่ห้า หลังการอำลาเทวีนานนา ฟอร์เซ็ตติมองดูเทือกเขาอันสูงทะมึนก่อนเลื่อนสายตาลงมามองเพื่อนของเขา

“หนทางข้างหน้าอาจจะลำบากสักนิด แต่เพื่อความปลอดภัยพวกเราจำเป็นต้องอดทน เพราะจากตรงนี้ไป อำนาจมืดของแซฟเวจย์ไม่สามารถแทรกผ่านเข้ามาได้”

“ที่ผ่านมาก็ใช่ว่าจะสบายนัก” โมไดพูดยิ้มๆ “ข้ายินดีเดินขึ้นเขาด้วยความร่าเริงมากกว่าจะยอมเดินอย่างหวาดระแวงบนที่ราบอันแสนสบาย”

“ข้ากลัวว่าเจ้าจะรู้สึกสนุกแค่ตอนต้นทางเท่านั้น โมได”

“อย่าเพิ่งดูถูกกันสิ เจ้าจอมเวท ข้าน่ะเคยเป็นนักเดินป่ามือฉมังมาก่อนเชียวนะ”

“ข้าจะคอยดู” เสียงแนชท์เอ่ยเยาะ เด็กหนุ่มหันขวับไปมองหน้านางทันที แต่เขากลับไม่ส่งเสียงโต้เถียงกลับมาดังเช่นทุกครั้ง โซลย์ถึงกับเลิกคิ้วสูงด้วยความรู้สึกแปลกใจและหันไปทาง
ฟอร์เซ็ตติ

“พวกเราจะขึ้นไปกันตอนนี้ หรือค้างคืนที่นี่แล้วค่อยเดินทางต่อวันรุ่งขึ้น”

“ข้างบนนั่นมีลานหินกว้างใกล้ผาน้ำตก มันปลอดภัยกว่าที่นี่ หากเราเร่งปีนขึ้นไปตอนนี้ข้าคิดว่าคงจะไปถึงที่นั่นพลบค่ำพอดี”

“ถ้าอย่างนั้นจะมัวรออะไรกันอยู่อีก รีบไปกันเลยดีกว่า”

โมไดพูดแทรกขึ้น ฟอร์เซ็ตติกระตุกยิ้มให้กับเขาและหมุนกายเดินนำหน้าโดยไม่พูดจาอะไร

*-*-*-*-*
ร้อนจนสมองตื้อคิดอะไรไม่ออกเลย ฝนตั้งเค้ามาแบบปายฟ้าถล่มแต่ตกจริงๆสองสามแหมะ

จะตกทำไมให้ร้อนนนนนนนนน

เฮ้อบ่นมากก็ยิ่งเหนื่อย มาคุยกันดีกว่าค่ะ

เห็นรูปแล้วเกิดความสงสัย
จอมมารห้อยนาฬิกาทรายทำไม
มีอยู่ในเนื้อเรื่อง หรือเป็นจินตนาการของคนวาด
รออ่านต่อไปครับ
จากคุณ : zoi  
- เป็นจินตนาการของน้องคนที่วาดน่ะค่ะ ตอนนั้นเขากำลังคลั่งนาฬิกาทรายเลยใส่ให้จอมมารซะเลย

มองไม่เห็นทางจะชนะเลย
จากคุณ : scottie  
- นั่นสิคะ งั้นตงต้องลุ้นกันแล้วว่าพระเอกจะได้ของวิเศษมายังไง

อ่านแล้วคิดถึงเรื่องชุดพิเศษ ที่ฟอร์เซ็ตติสมัยเป็นเด็ก
(เพิ่งอ่านมาไม่นานนี่เอง ^^....)
ภาพจอมมารคอร์ฟคาร์คาส หน้าตาดีกว่าที่วาดภาพในใจ
เพราะตอนอ่านนึกหน้าที่ดุกว่านี้เยอะ^^
จากคุณ : GTW  
- เพราะรูปต้นฉบับมูนนี่ แฟนอาร์ตส่วนใหญ่เลยออกมาแบบนี้ค่ะ แต่ก็ดี ตัวร้ายหล่อมันน่าลิ้มลองออก หุ หุ (เอ๊ะยังไง)

งั้นวันนี้ขอปิดท้ายด้วยภาพจอมมารอีกเช่นกัน แต่คราวนี้เป็นฝีมือของคุณ g-maru ค่ะ

 
 

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 20:01:26




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com