ทุรทัศนาจรน้ำตกแม่กลาง (๓)
|
 |
ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง
ทุรทัศนาจรน้ำตกแม่กลาง (๓)
ตอนที่ ๓
ต่อมาอีกสักครู่ เราเห็นบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวข้างทางลึกเข้าไปโขอยู่ ผมจึงชวนให้หยุดแล้วส่งนายออดเข้าไปหาน้ำ นายออดขี่รถกระโผลกกะเผลกเข้าไปเกือบ ๑๕ นาที ออกมารายงานว่าไม่มีคนอยู่ที่บ้านนั้นเลย พยายามหาน้ำโดยพลการก็หาไม่ได้ บ่อแห้งผาก เป็นอันว่าจบเห่กันเลย เราจะต้องไปให้ถึงแม่กลางซึ่งพอจะหวังได้ว่ายังคงจะมีน้ำไหลอยู่บ้าง จึงจะได้น้ำกิน ถ้าขืนหมดแรงพับลงไปเสียก่อนจะถึง ก็น่ากลัวว่าจะไม่มีใครมีแรงพอที่จะหามใครไปไหวหรอก
เราออกเดินกันต่อไปด้วยความทรหดอดทน ที่กำลังร่อยหรอลงไปทุกที ทุก ๆ เมตร และทุก ๆ นาทีที่ผ่านไป ทวีความยากลำบากขึ้นทุกที เรี่ยวแรงร่อยหรอลงไปจนเกือบจะหมด แต่ละคนแทบจะทรงกายไว้ไม่อยู่ หลักซีเมนต์สีขาวสำหรับบอกระยะทาง ดูเหมือนจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งเดียว ที่พวกเรายึดถือเป็นเครื่องให้กำลังใจอย่างดียิ่ง แม้ว่าจะเหนื่อยยากแสนสาหัสเพียงใด พอแลเห็นหลักขาว ๆ โผล่ขึ้นเบื้องหน้า เราจะพากันไชโยโห่ร้อง และตะเกียกตะกายไปให้ถึงได้รวดเร็วขึ้นอย่างน่าประหลาด
เราพากันลากสังขารอันบอบแบบของเราต่อไปอีก ๒ ก.ม.กว่า ๆ ก็พบเพิงสูง ๆ โรงหนึ่งอยู่ข้างทาง เป็นที่พักของชาวไร่ สารถีทั้งสองนายปล่อยรถจักรยานลงนอนบนถนน แล้วตัวเองก็นั่งเหยียดเท้าอย่างหมดอาลัยในชีวิตเสียเฉย ๆ ไม่ยอมพูดยอมจา จึงต้องตกเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องเดินเข้าไปหาน้ำมาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ผมหิ้วกระป๋องคู่ชีพเข้าไปเจรจาพาทีกับเจ้าของเพิง ซึ่งก็ใจดีตามเคย อนุญาตให้ตักตวงเอาไปให้พอ
ผมแทบจะนั่งลงกราบขอบคุณเสียเลย ตัวเองดื่มเสียให้สมอยาก แล้วก็จ้วงใส่กระป๋องเต็มปรี่ ค่อย ๆ ประคองเอามาให้เพื่อนฝูงดื่มกันให้เต็มอุรา รู้สึกว่ากำลังวังชาค่อยคืนมา พอจะมีเรี่ยวแรงบุกบั่นกันต่อไปได้อีกนานทีเดียว
เราโดดขึ้นยานคู่ยาก ห้อกระโดกกระเดกด้วยวิธีเดิม แต่ท่าทางแข็งขันกว่าเก่ามาก ทุก ๆ เมตร และทุก ๆ กิโลเมตรที่ผ่านไป แสดงถึงชัยชนะของเราที่มีต่อธรรมชาติ ซึ่งแสนจะโหดร้ายทารุณต่อเราเพิ่มขึ้นทุกที เมื่อผ่าน ก.ม.ที่ ๘ ฝนก็โปรยเม็ดลงมาอีกเราเข็นรถเข้าไปพักใต้ประตูวัดข้างทางป้ายบอกชื่อวัดน้ำตกแม่กลาง ซึ่งตัววัดตั้งอยู่บนเนินสูงค่อนข้างชัน
เรารอดูท่าทีอยู่ครู่หนึ่งพลางถกเถียงกันเรื่องระยะทาง ผมจำได้ว่าเมื่อถามคนที่เชียงใหม่บางคนบอกว่า ๙ ก.ม. บางคนก็บอกว่า ๘ ก.ม. แต่คนรถที่ทะเลาะกับเราบอกว่า ๑๑ ก.ม. เลยไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี
นายผียืนยันนั่งยันว่า ป้ายชื่อวัดบอกอยู่ทนโท่ว่าถึงแล้ว เลยไปอีกก็คงไม่ไกลนัก ผมเองไม่แน่ใจแต่เพื่อความไม่ประมาทต่อสถานการณ์ เราก็ต้องคิดว่าไกลไว้ก่อน
ขณะนั้นก็มีจักรยาน ๔ คันไต่เนินขึ้นมาใกล้ประตูวัดที่เราพักอยู่ คงเป็นขบวนเที่ยวน้ำตกด้วยจักรยานเช่นเดียวกับเราเหมือนกัน กลุ่มนั้นมีเด็กสาวรุ่นทีนเอจ ๔ คน และเด็กชายอีก ๑ คน ทั้งหมดจูงจักรยานฝ่าเม็ดฝนขึ้นมา และผ่านเราไปโดยไม่แยแสกับสายฝน และเสียงเชื้อเชิญให้พักของพวกเราเลย
เราต้องหันหน้าเข้าปรึกษาหารือกันอีกครั้งหนึ่ง ผมกับนายผีมีความเห็นขัดแย้งกันอย่างตรงกันข้าม ต่างคนต่างไม่ยอมแพ้ แม้ผมจะอ้างเอาตำแหน่งหัวหน้าคณะขึ้นมาข่มขู่ หมอก็ยังไม่ยอมจะดันทุรังไปท่าเดียว พอดีนายออดสรุปว่า
นี่นายสองคนจะมัวนั่งเถียงกันหาพระแสงสาสตรวุธไปทำไมกัน ฝนตกหนาเม็ดแล้วเห็นไหม จะอยู่ที่นี่หรือไปต่อ มันก็ต้องเปียกแน่ ๆ ข้อสำคัญฟิล์มกับกล้องจะเจ๊งเสียหมดน่ะซี อย่ากระนั้นเลย เราชวนกันไปขออาศัยพระท่านหลบฝน และกินข้าวกันเสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ เพราะอย่างไรมันก็เกือบจะถึงเข้าไปตั้ง ๘๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว
พอพูดถึงเรื่องกิน นายผีกับผม ต่างก็ลงมติเป็นเอกฉันท์ ชวนกันวิ่งอ้าวขึ้นไปทันที พอขึ้นไปถึงสันเนินและเข้าไปในวัด ซึ่งที่จริงเป็นศาลากว้างใหญ่หลังเดียวโดด ฝนก็ซัดจั้กลงมาพอดี เราลูบหน้าลูบตาพลางถอดรองเท้าถุงเท้า ยื่นออกไปแช่น้ำฝนเย็นฉ่ำ ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นอย่างมากมาย บนศาลาใหญ่นั้นมีผ้าเหลืองกั้นเป็นห้อง ๆ แบ่งให้พระและเณรอยู่รูปละห้อง ซึ่งทั้งหมดมีอยู่ด้วยกันเพียงสี่รูปเท่านั้นเอง สมภารอายุมากแล้วท่าทางใจดี ไต่ถามทุกข์สุขพวกเราตามสมควร พร้อมกับอนุญาตให้พักอาศัยได้ตามสบาย
เรากราบพระพุทธรูปแล้วก็เลี่ยงออกมามุมหนึ่ง ให้ห่างไกลจากพระสงฆ์องค์เจ้า งัดห่อข้าวเหนียวและเครื่องประกอบทั้งหลายออกมาโจ้กันอย่างเต็มที่ เพราะเหนื่อยกันมามากแล้ว ช้างเชียงใหม่ตบด้วยน้ำฝนเย็นเจี๊ยบ ช่วยข้าวเหนียวเดินคล่องดีพิลึก ใครคนหนึ่งรำพึงออกมาดัง ๆ ภายหลังที่ได้เรอออกมาเสียงสนั่นแล้วว่า
ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันอับโชคที่สุด ทั้งมนุษย์และเทวดาฟ้าดิน จะพากันขัดขวางเราสักเพียงใดก็ตาม แต่เดี๋ยวนี้เราก็พร้อมแล้วที่จะสู้ต่อไป
ฟังดูโก้หร่านเสียจนเพื่อนแทบจะสำลักช้างไปตาม ๆ กัน เราเหลืออาหารเก็บไว้อีกส่วนหนึ่ง ด้วยอดที่จะห่วงมื้อหน้าไม่ได้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะกลับไปได้ถึงแค่ไหน
และเมื่อพวกเราล้างไม้ล้างมือ ลงนั่งสูบบุหรี่ด้วยอารมณ์ที่ปลอดโปร่งที่สุดในวันนั้น ฝนก็ขาดเม็ดลง ท้องฟ้าใสสะอาดอีกวาระหนึ่ง และเวลาก็ล่วงเข้าบ่ายสามโมงครึ่ง
ขณะนั้นเราก็แว่วเสียงซู่ซ่าดังมาแต่ไกล ผมคิดว่าฝนจะตกลงมาอีก แต่มองดูรอบ ๆ ตัวก็ไม่เห็นมีเม็ดฝน แดดออกแจ่มจ้าแล้ว
นายผีรีบยืนยันทันทีว่าเป็นเสียงน้ำตก ทีแรกไม่อยากเชื่อ แต่ฟัง ๆ ดูแล้วก็ยอมเชื่อ เป็นอันว่าเราใกล้จุดหมายเข้ามาเต็มทีแล้ว พวกเราชวนกันล่ำลาท่านสมภารออกเดินทางต่อไปอย่างกระฉับกระเฉง
พอรถแล่นลงจากเนินหน้าวัดเลี้ยวซ้ายไปอีกนิดเดียวเท่านั้น เราก็เห็นสายน้ำตกชะเงื้อมอยู่เบื้องหน้า อย่างแทบไม่ทันจะรู้เนื้อรู้ตัวเอาทีเดียว
จากคุณ |
:
เจียวต้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
26 พ.ค. 54 06:01:32
|
|
|
|