ในที่สุดก็มาถึงบทสรุปของ โกฉัตร แล้วในตอนนี้ ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านสาปพิษฐาน และขอบคุณคำแนะนำ ข้อคิดเห็น - กิฟต์ของทุกท่านทั้ง คุณJeab_Forest55 คุณ Sky With Rainbow, คุณเขมปัณณ์, คุณเรียวรุ้ง, คุณFriday Story, คุณบุหงาบาหยัน, คุณแก้วกังไส, คุณเรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก, คุณHermosa, คุณTravel to the moon, คุณนารีจำศีล และคุณ Setakan ด้วยครับ
ฝากตอนหน้าซึ่งเป็นบทส่งท้ายของเรื่องในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ด้วยนะครับ
สำหรับสาปพิษฐาน ตอนที่ 24 ครับ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10590750/W10590750.html
ตอบเพื่อนนักอ่านก่อนนะครับ
คุณเรื่อยๆ-เหนื่อยก็พัก : ติกาหลังหนึ่งหรัดได้ถอนคำสาปในบทนี้แล้วครับ พร้อมชะตากรรมของตัวละครเอกในเรื่องไปพร้อมกันเลยครับ หวังว่าคงจะถูกใจนะครับ
คุณโตยธาร คุณ Hermosa : เป็นลักษณะที่สืบทอดมาจากอดีตชาติครับ
คุณกุลธิดา (kdunagin) : สำหรับเรื่องนี้พระเอกต้องเป็นพระเอกครับ ยังไงต้องรอดแน่นอนครับผม
คุณ kaburapat : ผมก็ชอบครับ รู้สึกสนุกเสมอที่ได้เขียนเกี่ยวกับตัวละครผู้ร้าย มากกว่าเขียนตัวพระเอกซะอีก รู้สึกว่ามีอะไรให้เขียนเยอะมากครับ
คุณ scottie : คลี่คลายในบทนี้แล้วครับ ยังไงผมฝากบทสรุปบทสุดท้ายในคราวหน้าด้วยนะครับ
คุณมนต้นไม้๑^.^๑ (Setakan) : ต้องรีบลงด่วนจี๋ครับ ตั้งใจให้ทันก่อนเปิดเทอมครับ ไม่งั้น "งานเข้า" เต็มไปหมดจนแทบไม่เหลือเวลาเลยครับ
ติดตามต่อในบทที่ 25 ได้เลยครับ บทที่ 25
ผู้กอง... ไม่!!
ศาปานต์หวีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้า ความห่วงกังวลต่อชายหนุ่มเกิดขึ้นเหนือพลังอื่นใด จนหล่อนลืมตัวถลันตรงเข้ามายังร่างของเขาที่ทรุดฮวบลงกับพื้น มองเห็นหยาดโลหิตไหลซึมออกมาจากรอยแผล โดยด้ามกริชมรณะยังปักตรึงอยู่เหนือช่องท้อง ปลายด้ามกริชสีแดงก่ำของหยาดมณีถูกชะโลมไปด้วยโลหิตของผู้กองหนุ่มจนแทบจะหลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกัน หล่อนพยุงร่างพระแสงเอาไว้แนบแน่น รู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสไม่ต่างกับตัวเองเป็นฝ่ายได้รับบาดแผลนั้นเอง
เรือนแก้วพลัดหลุดจากอ้อมแขน หากมันกลับลอยเลื่อนแกว่งไกวอยู่บนอากาศราวกับมีชีวิตและเรืองแสงออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์ จังหวะนั้น ชิงฉัตรรีบเอื้อมมือคว้าตะปบออกไปหมายจะกระชากด้ามกริชที่ติดกายพระแสงให้หลุดออกจากร่างชายหนุ่ม นายหัวหนุ่มใหญ่ตระหนักดีว่าศัสตราวุธสำคัญที่ใช้ป้องกันอสูรเหล่านั้นถูกปักตรึงอยู่บนร่างศัตรูหัวใจของตนเองเรียบร้อยแล้ว สมดังความปรารถนา
แต่เขาก็ต้องรีบดึงมันกลับคืนมา เพื่อใช้ป้องกันตัวเองจากกลุ่มปีศาจเหล่านั้นด้วยเช่นเดียวกัน!
ทว่าศาปานต์ก็เป็นฝ่ายพลิกกายกลับมาขวางร่างชายหนุ่มเอาไว้อย่างรู้เท่าทันในเจตนา นัยน์ตานองหยาดน้ำตาแดงช้ำมองมายังตัวเขาอย่างแข็งกร้าวมิพรั่นพรึง แต่มีผลทำให้นายหัวหนุ่มใหญ่ผู้ไม่เคยเกรงกลัวใคร ถึงกับหยุดชะงักงันราวกับถูกตรึงไว้ด้วยพันธนาการเหนียวแน่นอันมองไม่เห็น
หนูป่าน...
เขาเผลอครางออกมาเมื่ออ่านความหมายในดวงตาคู่นั้นได้ชัดเจน พร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวก็เกิดขึ้นกับหัวใจตนเองจนเกินหักห้าม ไม่ต่างกับถูกอุ้งมือมหากาฬล้วงลงไปในทรวงอกแล้วบีบกดลงไปราวกับจะบดขยี้ให้แหลกลาญเป็นผุยผง
มันคือสายตาที่บ่งถึงความเกลียดชัง หมดสิ้นแล้วซึ่งความศรัทธาและความนับถืออย่างที่เขาเคยมองเห็นอยู่เสมอ และเชื่อมั่นว่าในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า จะสามารถใช้เสน่ห์และเล่ห์กลของตนเองแปรเปลี่ยนความรู้สึกของหญิงสาวให้ยกระดับขึ้นสู่ความรักได้สำเร็จ
แต่บัดนี้ทุกอย่างสลายวับลงไปในพริบตา!!
ด้วยสายตาที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าศัสตราวุธหรือศัตรูร้ายกาจคนใดที่เขาเคยเผชิญมาทั้งหมดในชีวิต มันฆ่าเขาทั้งเป็น ด้วยสายตาคู่เดียวคู่นี้เท่านั้น!! ไม่ว่าจะในปัจจุบันภพหรืออดีตชาติ
ป่าน... ไม่... ผม...ผมเพียงแต่
มือที่ตั้งใจจะเอื้อมคว้าด้ามกริชขึ้นมาฟาดฟันฝูงปีศาจนรกที่รายล้อมอยู่หยุดนิ่งค้างแล้วตกลงแนบลำตัวโดยดุษณี ทุกคำพูดค้างคาอยู่กับริมฝีปากโดยมิอาจเอื้อนเอ่ย บัดนี้เขารู้แล้วว่าการสูญเสียอย่างแท้จริงเป็นอย่างไร สูญเสียความศรัทธาจากสตรีที่เขาเฝ้าหลงรักและเป็นเสมือนดวงชีวิต บัดนี้มันดับสลายลงไปพร้อมกับการตายดับของหัวใจตนเอง
และย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะมีลมหายใจอยู่เช่นเดียวกัน เพราะมันไม่อาจแลกได้กับสิ่งใดที่เขาเคยใฝ่ฝัน วาดหวัง... ไม่ว่าจะเป็น อำนาจ เงินตรา เกียรติยศ หรือแม้แต่ กุหนุงมัสและติกาหลังปัตรา!!
ชิงฉัตรไม่รู้แม้แต่น้อยว่าร่างของตนถูกกระชากจากอุ้งมือกักขฬะสกปรกให้หงายล้มลงไปในกลุ่มอสุรกายเหล่านั้นตั้งแต่เมื่อใด
ไม่รู้แม้แต่น้อย เมื่อพวกมันต่างกลุ้มรุมลงมา แล้วบรรจงฉีกกระชากทุกองคาพยพของตนออกเป็นชิ้นๆทั้งเป็น ก่อนจะหย่อนลงสู่ปากกว้างใหญ่ที่อ้ารับแล้วบดเคี้ยวด้วยความกระหาย
ไม่รู้แม้แต่น้อยว่าชีวิตของตนเอง ดับสูญลงไปตั้งแต่เมื่อใด ไม่รู้แม้ความเจ็บปวดทรมานใด เพราะทุกความเจ็บปวดทรมานอย่างที่สุด เขาได้รับการลงทัณฑ์มาก่อนหน้านี้แล้ว ทัณฑ์ที่สังหารเขาจนดับดิ้นทั้งจิตวิญญาณ จนไม่เหลือความทุกข์ทรมานที่มากไปกว่านั้นอีกแล้ว...
***********************
๑ ติกาหลัง หนึ่งหรัด ในชาตินี้ อัญชุลี เทวา กระยาหงัน อัญเชิญทุก เทพไท้ ได้รวมกัน กำหนดมั่น รู้เห็น เป็นพยาน ๒ ณ เบื้องหน้า ห้วงสมุทร สุดผืนฟ้า ก้มกายา ตั้งจิต พิษฐาน ขอถอนซึ่ง สาปตรา ให้ศาปานต์ ทุกดวงมาน หลุดพ้น เลศมนตร์ลวง ๓ ขออโห- สิกรรม เคยนำเนื่อง ได้ปลดเปลื้อง พันธนา พาลุล่วง บังเกิดแก่ วิญญาณทุกข์ ในทุกดวง จงสิ้นห่วง สิ้นกำหนด ได้ปลดปลง ๔ ที่เคยคิด พยาบาท อาฆาตแค้น ที่สุดแสน อาลัย ที่ใหลหลง ทุกทุกสิ่ง ทุกทุกอย่าง ขอวางลง ให้คืนคง ดำเนินตาม ความเป็นไป ๕ นี่คือคำ สัตยา ติกาหลัง คือพลัง พิษฐาน แห่งการให้ นับแต่นี้ ที่หวัง ตั้งหทัย จงอภัย ดังดำรัส บัดนี้เอย!! ผืนฟ้าคล้ำทะมึนเบื้องหน้าคล้ายจะมีสีเรืองรองปรากฏขึ้น คล้ายเป็นพยานรับรู้ต่อคำสัตยาธิษฐานของหญิงสาว เฉกเดียวกับสีเงินยวงเรืองแสงของติกาหลังปัตรา และสีทองคำธรรมชาติแห่งกุหนุงมัสที่ปักอยู่เหนือร่างของชายหนุ่ม
บัดดล กระแสลมบางเบาพุ่งผ่านออกมาจากเรือนแก้วติกาหลังพร้อมพวยควันสีเทาทะมึน ก่อนจะปรากฏกายาของรายาบุหลันรัศมีขึ้นเบื้องหน้าศาปานต์
เป็นวรกายที่ปราศจากซึ่งสง่าราศีใดๆอันเคยมีขององค์รายาแห่งกุรุงปักกาอันรุ่งเรืองไพจิตรในอดีตกาล เหลือแต่เพียงสภาพแท้จริงแห่งหญิงชราผู้หนึ่ง นางผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในเรือนแก้ววิเศษที่ตนเองเคยเฝ้าปรารถนาจักเป็นเจ้าของ ด้วยความโลภและกระแสแห่งคำสาปนั้นเองที่เป็นเสมือนเกลียวเชือกอันแน่นเหนียวร้อยรัดดวงวิญญาณบาปมิให้ไปผุดเกิดยังชาติภพใหม่ นับเนื่องกว่าพันปี!!
ขอบใจเหลือเกิน ติกาหลังหนึ่งหรัด ขอบใจที่ปลดปล่อยเรา...
เสียงสตรีชราผู้คุ้มงอเกินกว่าภาพที่ศาปานต์เคยประจักษ์ในนิมิตเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเครือสั่นพร่าแห่งความปิติยินดี วงพักตร์อันเคยกระด้างเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนขึ้นเป็นครั้งแรก
เราขอลา และขอขอบใจอีกครั้ง สำหรับการอโหสิกรรมของเจ้า พันธนาการของเราขาดสะบั้นลงในบัดนี้แล้ว เรารู้ว่าจักต้องเดินทางไปชดใช้ กรรมะของตนเอง ยังภพภูมิที่ควรจะเป็นต่อไป ตามกฎแห่งธรรมชาตินั้น แต่อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็ทำให้เราได้ตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ รู้ซึ้งอย่างสาหัสถึงความทุกข์ทรมานของการถูกจองจำอยู่ภายในเกราะความโลภของตัวเอง เราตระหนักแล้ว...
แล้วร่างนั้นสลายเป็นกลุ่มควันสีเทาก่อนสลายวับเหลือเพียงผงคลีปลิวกระจัดกระจายสู่ผืนสมุทรเบื้องล่าง...
ทิ้งไว้เพียงเรือนแก้วหม่นสลัวไปด้วยสภาพแท้จริงของกาลเวลา มันคือเรือนผลึกศิลาที่บัดนี้หล่นกลิ้งอยู่บนผืนทรายอย่างโดดเดี่ยวเอกา...
หญิงสาวหันไปมองร่างของพี่สาวและอสูรหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงกัน ปรมาก้าวเข้ามาในระยะใกล้ ทอดมองผู้เป็นน้องสาวสุดที่รักและผู้กองพระแสงที่กำลังนอนคู้กายอยู่บนพื้นทราย ท่าทางของนายตำรวจหนุ่มเริ่มสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับมิได้แผ้วพานกับความเจ็บปวดจากพิษศัสตราวุธที่ถูกทำร้ายเมื่อครู่
กุหนุงมัสอันศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์ปะตาระกาหลาย่อมมิอาจแผ้วพานต่อผู้ครองธรรม์ได้ ในเมื่อคำพิษฐานของติกาหลังหนึ่งหรัดสิ้นสุดลง ทุกสิ่งทุกอย่างของท่านทั้งสอง จะปรากฏกลับคืนในสภาพดังเดิม
ราวกับได้รับพรจากทวยเทวา พระแสงยกมือขึ้นจากอาการกุมท้อง อาการเจ็บปวดทรมานสุดขีดจนแทบจะสิ้นสติเมื่อครู่ก่อน บัดนี้กลับปลาสนาการไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อหญิงสาวถอนสิ้นคำอธิษฐานเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
กริชอันคมกริบที่ปักอยู่บนเรือนกาย หลุดออกอย่างง่ายดายราวถูกถอนขึ้นด้วยหัตถ์อันล่องหน จากนั้นมันก็หล่นลงกระทบพื้นศิลาเสียงเปรื่อง ประกายทองวูบแสงอีกครั้งก่อนจางหาย เขายกมือขึ้นส่องกับแสงจันทร์ คราบเลือดบนมือเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกชะล้างด้วยหยาดน้ำอมฤต แล้วรอยแผลฉกรรจ์สาหัสบนช่องท้องก็คืนกลับสู่สภาพปกติดังเดิมเหมือนกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์ใดๆกล้ำกรายมาก่อนกระนั้น...
พี่ปอ...
ศาปานต์เอ่ยเสียงพร่า ปรมาในสภาพเลือนแสงและแปรเปลี่ยนเป็น เจ้าหญิงเกนหลงดะราหวันในอดีตภพแย้มยิ้มอย่างเศร้าสร้อย
พี่ต้องขออภัยที่จำต้องลวงพาป่านมาที่นี่ในคราบของสิงหบดี รู้ดีว่าความสงสัยเท่านั้นที่จะชักนำให้ป่านตัดสินใจมา และจากนั้นก็เพื่อให้ได้เลือกตัดสินใจครั้งสำคัญกับสิ่งที่พวกเขารอคอยมานานแสนนานนัก
ป่านไม่เคยถือโทษใดๆ ตรงกันข้ามกับดีใจเสียอีกที่ได้พบกับพี่ปออีกครั้ง ดีใจที่ป่านได้ตัดสินใจในครั้งนี้ แท้จริงแล้ว มันเหมือนการได้ปลดเปลื้องบาปของตัวเองในอดีตชาติไปด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความเคียดแค้นพยาบาทของป่าน... ที่ทำให้มีผู้บริสุทธิ์มากมายมหาศาลต้องมาพลอยรับกรรมนั้นด้วย
ปรมาส่ายหน้าช้าๆอย่างมั่นคง
ไม่ใช่หรอกป่านน้องรัก ทุกอย่างคือกรรมะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปก็ด้วยกรรมะ อันเกิดขึ้นโดยผลแห่งการกระทำอันเป็นปัจเจกของพวกเขาเหล่านั้นเอง...
เราผองต่างก็มีกรรมะร่วมกัน ทั้งตัวของพี่เอง เอกนรินทร์ ป๊ะยี หรือชาวกุรุงปักกาไม่ว่าจะเป็นปีศาจที่ต้องคำสาปหรือคนที่ต้องถูกสังหารเป็นเหยื่อภักษา พวกเขาได้รับการชดใช้เวรกรรมของตนเองหมดสิ้นแล้ว และด้วยการตัดสินใจในครั้งนี้ของป่าน กรรมของพวกเขาที่เคยมี เคยเหนี่ยวรั้งให้ดวงวิญญาณเขาต้องมาเผชิญกับแรงแห่งคำสาปเพื่อการชดใช้ก็จะหมดสิ้นลง
ซึ่งถ้าหากป่านยังยืนยันที่จะยึดมั่นกับคำสาปแห่งการพิษฐานนั้นต่อไป ผลแห่งกรรมนั้นก็อาจจะย้อนกลับมาผูกเงื่อนปมแห่งความพยาบาท สลับสับเปลี่ยนต่อเนื่องกันไปไม่สิ้นสุดในชาติภพต่อมา ไม่ว่าในฐานะของผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ... วนเวียนกันอยู่เช่นนี้มิรู้จบสิ้น ศาปานต์ พี่ต้องขอแสดงความยินดีต่อการสิ้นสุดทุกสิ่งทุกอย่างในวาระนี้ รวมถึงตัวของพี่ด้วยเช่นกัน
พี่ปอหมายความว่าอะไรคะ?
คราวนี้หล่อนร้องอุทานเสียงหลงด้วยความตระหนก แม้จะเตรียมใจสำหรับ วาระของปรมามาบ้างแล้วก็ตาม
พี่เองก็จะต้องลาจากป่านไปเช่นเดียวกัน คราวนี้คงเป็นการจากลาโดยที่ไม่มีโอกาสได้พบพานกันอีกแล้วในนามของปรมา ในชาตินี้ เพื่อไปตามเส้นทางที่ควรจะเป็นของตัวพี่ กับ... เขา
ดวงวิญญาณของหญิงสาวหันไปยิ้มเยื้อนกับร่างอสุรกายที่เริ่มคืนกลับสภาพเป็นดวงวิญญาณของเจ้าชายสิงหราปาตีผู้อัปลักษณ์รูปโฉม หากบัดนี้ ความสว่างงดงามในพระทัยที่ฉายฉานออกมาจากทั้งดวงเนตรและวงพักตร์ก็ทำให้วรกายนั้นคล้ายจะทรงซึ่งบารมีและรัศมีแห่งพระสิริโฉมออกมา เหนือกว่ารูปกายภายนอกอย่างเห็นได้ชัด
วรกายของเจ้าชายสิงหราปาตีเสด็จก้าวขึ้นมาเคียงกันกับพระชายาในอดีตชาติ ทรงโอบพาหาของอีกฝ่ายเอาไว้แนบแน่นด้วยความรัก รักที่มิได้ถูกชักนำให้ไหลหลงไปด้วยเล่ห์มนตราจากภาพจิตรเลขา เหมือนกับที่ตกอยู่ใต้กลอุบายอุบาทว์ของปะตาปาเฒ่าผู้นั้นอีกต่อไป
เมื่อพระทัยกระจ่าง ปราศจากความมืดมัวแห่งดำฤษณา ก็ทำให้มองเห็นถึงอีกดวงหทัยหนึ่งอันเปี่ยมท้นไปด้วยความจงรักและภักดีมาโดยตลอด
ขององค์เกนหลงดะราหวันพระชายายอดหทัย ซึ่งเป็นสิ่งที่มิได้เกิดขึ้นจากความประทับใจในรูปลักษณ์ภายนอก แต่เกิดขึ้นเพราะรัก... เพียงประการเดียวเท่านั้น รักโดยไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไข รักเพราะรัก!!
กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทยิ่งนัก... ที่ทรงเล็งเห็นถึงการให้อภัย การช่วยเหลือทุกดวงวิญญาณที่ทุกข์ทรมานของกุรุงปักกาให้พ้นจากห้วงคำสาปนี้ ย่อมได้รับการคารวะสรรเสริญ และกระหม่อมก็ขอเป็นผู้แรกที่ได้แสดงเจตนารมณ์นั้นแด่พระองค์ เจ้าหญิงติกาหลังหนึ่งหรัด
เจ้าชายสิงหราปาตีแห่งกุรุงปักกา ค้อมวรกายลงและเตรียมคุกพระชงฆ์ทรุดลงกับผืนปฐพี หากศาปานต์รีบห้ามเอาไว้อย่างลืมตัว
อย่าเพคะ หม่อมฉันรับรู้แล้ว พระองค์มิต้อง...
รอยแย้มสรวลปรากฏขึ้นจากดวงพระวิญญาณที่ได้รับการปลดปล่อย หัตถ์ทั้งสองแห่งองค์สิงหราปาตียื่นออกมาสัมผัสกับมือของหญิงสาวและผู้กองหนุ่มด้วยความปรีติยินดีอย่างเต็มพระทัย
กระหม่อมขอลา และชาติภพหน้า... เราคงได้มีโอกาสพบกัน ได้เป็นปิยมิตรซึ่งกันและกัน โดยมิใช่อริราชศัตรูที่ต้องมาห้ำหั่นเบียนบีฑากันเหมือนกับในอดีตชาติอีกต่อไป ทั้งองค์ติกาหลังหนึ่งหรัด และ อิสมารา อินทรา
เช่นกันพระเจ้าค่ะ
พระแสงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ด้วยบุคลิกแห่งนายตำรวจหนุ่มเดนตายผู้ไม่เคยพรั่นพรึ่งต่อเหตุการณ์ใดๆ แทบไม่ต่างกับองค์ระตูอิสมาราผู้บ้าบิ่นและหาญกล้าผู้นั้นในอดีตแม้แต่น้อย
ด้วยนัยน์ตาเจิดประกายคมกล้า ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวผู้ยืนหยัดอยู่ข้างกาย แล้วแปรแสงอ่อนลงเป็นประกายแห่งความรักและหวงแหน ความรู้สึกเช่นนี้เขาเข้าใจแล้วว่ามันไม่ต่างกันเลยกับระตูอิสมาราที่มีต่อองค์ระเด่นติกาหลังหนึ่งหรัดยอดดวงหทัยแม้แต่น้อย...
ไม่ว่าคำสาปแห่งการอธิษฐาน หรือ พลังแห่งความรัก ไม่เคยแปรเปลี่ยน แม้จะผ่านกาลเวลามานานแสนนานเพียงใด
ดวงวิญญาณทั้งสองเริ่มถอยห่างออกไปช้าๆ ด้วยม่านน้ำตาอันพร่าพราย ศาปานต์มองเห็นร่างของ พี่ปอ ค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับเจ้าชายหนุ่มแห่งกุรุงปักกา
พี่ปอ...
หล่อนร้องตะโกนออกไปสุดเสียง รู้ว่านี่คือครั้งสุดท้ายในชีวิตที่จะได้มีโอกาสพบกัน หญิงสาวยืนกายสั่นสะท้านด้วยความอาดูรความเข้มแข็งทั้งมวลที่เคยมีมลายลงไปพร้อมกับร่างของปรมา บัดนี้ไม่เหลือพี่สาวสุดที่รักอีกต่อไปแล้ว แม้จะรู้ว่าการจากไปนั้นเป็นไปด้วยความเต็มใจและยินดีของ พี่ปอ ก็ตาม
แล้วร่างสูงหนาของนายตำรวจหนุ่มก็คว้ารวบหล่อนให้เข้ามาซบแนบอกกว้างของตน ศาปานต์ร้องไห้จนนัยน์ตาเปียกชุ่มอย่างลืมตัว สัมผัสความอบอุ่นของแผงอกกว้างอันเป็นเหมือนปราการคุ้มภัยและคอยปลอบประโลมทุกข์ให้อย่างสุดแสนรัก เขาลูบศีรษะหล่อนเบาๆกดศีรษะให้แนบปลายคางตนเองแล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มนุ่มนวลปลอบประโลมใจ
ร้องออกมาเถิดป่าน ร้องให้พอ ผมยินดีที่จะรับรู้และรับฟังทุกสิ่งทุกอย่างของคุณ ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือความทุกข์ของป่าน ไม่ว่าจะเป็นวันนี้ เมื่อใดหรือแม้ว่าจะเป็นตลอดไปก็ตาม...
ความอบอุ่นอ่อนหวานแผ่ผ่านเข้ามาช้าๆหากหนักแน่นในหัวใจและมันก็ซึมซ่านไปทั่วร่างกายของหญิงสาว นี่คือบุรุษที่รอคอยเธอมานานแสนนาน ด้วยสัญญาด้วยชีวิต! ศาปานต์รับรู้ถึงหัวใจของเขาที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกันกับหัวใจของตนเอง หล่อนหลับนัยน์ตาลงแนบใบหน้าอยู่กับแผ่นอกนั้นเหมือนจะรำลึกถึงความทรงจำและการจากพรากที่ผ่านมา
นานเหมือนชั่วนิรันดร์ที่หล่อนยืนอยู่ในอ้อมแขนอบอุ่น ตราบจนเสียงหนึ่งดังแทรกผ่านขึ้นมาในความสงัดแห่งรัตติกาล ศาปานต์ผละออกจากอ้อมแขนแข็งแกร่งของเขา และหันหน้าออกไปยังท้องทะเลเบื้องหน้าก่อนจะเบิกนัยน์ตากว้าง...
กำแพงคลื่นขนาดมหึมาผงาดเงื้อมในระยะไกลลิบออกไป เสียงโหมโห่ดังสนั่นหวั่นไหวราวพสุธาสะท้านสะเทือน ถัดออกไปมองเห็นคลื่นมนุษย์นับหมื่นแสนล่องลอยอยู่กลางท้องทะเลปั่นป่วน ทุกอย่างเหมือนกับกลับคืนไปสู่เหตุการณ์ในราตรีนรกของการล่มสลายนครามิผิดเพี้ยน
แต่แล้ว ชั่ววิบตา สรรพเสียงกรีดร้องโหยหวนก็เลือนหาย กลับกลายเป็นเสียงร้องระงมเซ็งแซ่ด้วยความปิติของดวงวิญญาณที่ได้รับการปลดปล่อย ประกายโชติช่วงประดุจแสงฟอสฟอรัสวูบวับ ต่างผุดจากท้องทะเลขึ้นจับฟากฟ้า ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนแสงตะไลเพลิงนับหมื่นแสนดวง เมื่อแต่ละดวงวิญญาณ ต่างถึงกาลจุติเพื่อดำเนินไปสู่หนทางตามวิถีแห่งกรรมนั้นโดยแท้จริง
ผืนน้ำกระเพื่อมทวีขึ้นเรื่อยๆ ก่อนการยกตัวของผืนแผ่นดินขึ้นมา อย่างช้าๆ เมื่อซากแห่งบุหรงปุระที่จ่อมจมพร้อมกุรุงปักการาชธานี ปรากฏขึ้นเคียงข้างมหานคราอันเป็นเสมือน บ้านพี่เมืองน้องแต่เบื้องบรรพ์ คลื่นน้ำสาดซ่า และบัดดล เสียงลั่นเปรี๊ยะก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มมองลงไปยังพื้นศิลาและแนวเกาะ รอยปริแยกบังเกิดขึ้นไม่ต่างกับธรณีสูบกำลังดำเนินขึ้นอย่างน่ากลัว
เกาะทั้งสองกำลังจะจมกลับลงไปอีกครั้ง ตามสภาพแท้จริงของมันแล้วครับ เราต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!
เขาตะโกนออกไปเมื่อตระหนักถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องหน้า
เรือ... เราต้องกลับไปที่เรือ
มือแข็งแกร่งแตะลงอย่างอ่อนโยนยังมือศาปานต์ เห็นหญิงสาวพยักหน้ารับอย่างรู้กัน เบื้องหน้าเยื้องไปทางขวามือ เงารูปเรือสำราญมณีไพลินปรากฏเป็นเงาโครงขึ้นจากเหลื่อมฉากฟ้า เหมือนอยู่ในความฝัน
แต่เราจะไปไม่ถึงนะคะผู้กอง เรือมณ๊ไพลินอยู่ไกลออกไปจากชายฝั่งมากเหลือเกิน ป่านว่า...
ชายหนุ่มหันมายิ้มให้นางอันเป็นที่รักด้วยประกายตาอันมุ่งมั่น ริมฝีปากหนาได้รูปเบิกกว้างขึ้นจนเห็นไรฟันขาวตัดกับใบหน้าคร้ามคม ไม่ต่างกับนักรบหน่มแห่งบุหรงปุระในอดีตภพ
คุณลืมไปแล้วหรือ ระตูอิสมาราเองก็ไม่เคยยอมพ่ายแพ้ต่อสิ่งใดๆทั้งสิ้น เพื่อนางอันเป็นที่รักของตน ไม่... แม้แต่ความตายจะมาขวางกั้นก็ตาม
และเช่นเดียวกัน ผม... พระแสง ก็ขอสัญญา ว่าจะต้องพาคุณกลับไปด้วยกันให้ได้ ด้วยวิธีการเดียวกับองค์ระตูอิสมาราที่ได้ย้อนกลับมาหา ระเด่นติกาหลังหนึ่งหรัดที่นี่ โดยไม่ยอมหนีเอาชีวิตรอดไปแต่เพียงผู้เดียวเด็ดขาด
อุ้งมือของหญิงสาวเย็นเฉียบขณะหัวใจเต้นโลดแรงขึ้น มิใช่ด้วยความพรั่นพรึงต่อมฤตยูที่กำลังคืบคลานเข้ามา แต่เป็นความอิ่มเอมเบิกบานเมื่อได้สัมผัสกับความรู้สึกลึกซึ้งของชายคนหนึ่งที่มีต่อตนเองอย่างซื่อสัตย์มั่นคง ตลอดระยะเวลาอันยาวนานแสนนาน เกินกว่าในชั่วชีวิตของใครคนหนึ่งจะมีโอกาสพานพบ
ด้วยชีวิต ยอมพลี ทั้งชีวิต จักอุทิศ แด่พธู เพื่ออยู่ใกล้ ขอตามติด พิศวาส ทุกชาติไป จากหัวใจ และชีวิต อิสมารา!
ความตายที่อาจจะบังเกิดเบื้องหน้า หาใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไปไม่ ในเมื่อตระหนักชัดถึงสิ่งที่มีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่เหนือไปกว่านั้น
นั่นก็คือ ความรักของเขา ระตูอิสมารา อินทรา หรือ พระแสง สุริยภพ!!
ผู้กองหมายความว่า...
สายตาคมกล้ามุ่งมั่นของชายหนุ่มเบนตรงไปยังทิศทางเบื้องหน้าที่คนทั้งคู่มาถึง และนั่นคือคำตอบของเขา เรือลำน้อยในสภาพเดิมยังปรากฏอยู่เคียงข้างซากโครงกระดูกที่เริ่มสลายป่นลงไปตามกาลเวลา หากลำเรือพาหนะกลับยังคงสภาพเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลง คล้ายกับต้องการรอคอยและทำหน้าที่สุดท้ายให้กับเจ้าของๆมันอย่างซื่อสัตย์...
*********************
กำแพงหมอกมนตราปรากฏขึ้นอีกครั้ง อย่างแผ่วเบาไม่ต่างกับปุยนุ่นที่ล่องลอยฟ่องในผืนอากาศ มันเคลื่อนที่เหมือนกับมีชีวิตตรงปรี่เข้าหาเรือสำราญมณีไพลินที่ตั้งตระหง่านลอยเด่นอยู่นอกชายฝั่ง ขณะที่เรือลำน้อยกำลังพาผู้โดยสารสองคนที่ผ่านประสบการณ์มหัศจรรย์เกินรำลึกตรึกฝันให้ดำเนินไปข้างหน้า ทิ้งเกาะร้างแห่งมหาอาณาจักรที่กำลังล่มสลายและจมดิ่งลงสู่ใต้บาดาลอีกครั้ง
ไม่มีเสียงใดๆผ่านออกมาจากภายในลำเรือที่มืดสนิทลำนั้น ราวกับปราศจากผู้คน และในที่สุดทะเลหมอกก็ลอยปกคลุมลำเรือจนบริเวณแห่งนั้นกลายเป็นกลุ่มหมอกสีขาวขุ่นข้นจนไม่อาจเห็นแม้แต่ลำเรือที่อยู่ด้านใน รวมถึงสองหนุ่มสาวที่ก้าวขึ้นสู่เรือสำราญได้สำเร็จในวินาทีสุดท้ายพอดี!!
เปรี๊ยะ!
เสียงลั่นปานผืนพสุธาถล่มทลาย บัดนั้นบนพื้นชายฝั่งที่ประกอบด้วยเนื้อแผ่นดินอันคุมกันเป็นผืนเกาะแก่งก็เริ่มปริแยกออกจากกันเรื่อยๆ บางส่วนเกิดรอยร้าวฉีกกว้าง บางส่วนแตกสลายจากเนื้อศิลาเป็นเศษกรวดทรายและผงคลีละลายหายลงสู่ใต้ผืนชลธี มีเพียงวัตถุสองชิ้นวางเคียงกันอยู่บนพื้นศิลาโดยมิขยับ
ตราบเมื่อธรณีปริแยกออกจากกันในการคำรนครั้งที่สอง กริชกุหนุงมัสศัสตราคมน์คู่นครกุรุงปักกาอาถรรพ์ก็หล่นร่วงลงไปในช่องว่างที่เปิดออกรับและจมดิ่งหายลับไปในบัดนั้น ในขณะที่การปริแยกครั้งต่อมา เรือนแก้วติกาหลังปัตราก็พลิกเอียงเพียงเล็กน้อย ค้างไว้เช่นนั้นชั่วขณะ... ก่อนเรือนผลึกอันหม่นแสงจะหล่นร่วงตามติดกันลงไป ประกายวาบหนึ่งปรากฏออกมาจากภายในเรือนแก้วติกาหลัง เรือนจองจำซึ่งศาปานต์เข้าใจว่าดวงวิญญาณบาปแห่งรายาบุหลันรัศมีได้รับการปลดปล่อย จนคลายมนตร์ขลังลงไปจนสิ้นแล้ว
โดยหารู้ไม่ว่ากลับมีดวงวิญญาณอีกดวงหนึ่งกำลังถูกจองจำเข้าไปทดแทน ด้วยพลังแรงแห่งความโลภ ความกระหายอยาก อันเกิดขึ้นในวาระสุดท้ายของการแตกดับ แรงอกุศลกรรมจิตในวาระนั้นได้เหนี่ยวนำเชื่อมต่อให้พันผูกกับวัตถุชิ้นนี้ไว้ โดยไม่ยอมปล่อยวาง
ช่วยด้วย ช่วยปลดปล่อยข้าออกไปจากเรือนแก้วหลังนี้ด้วย ข้าถูกจองจำเอาไว้ ไม่อาจหนีออกไปได้... ช่วยข้าด้วย!!
น้ำเสียงที่เปล่งออกมา เต็มไปด้วยความเร่งร้อน หวั่นไหว ของดวงวิญญาณที่กำลังหวาดกลัว ต่อโทษทัณฑ์อันสยดสยองที่กำลังจะมาเยือนเบื้องล่าง... ในความมืดมิดใต้ก้นบึ้งบาดาลไปจนจวบชั่วนิจนิรันดร์
เป็นเสียงแห่งบุรุษเพศผู้เคยดำรงตำแหน่งปะตาปาแห่งราชสำนักกุรุงปักกาในอดีตภพ
เสียงของนายหัวชิงฉัตร ธารานพรัตน์!
แล้วเสียงที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสดับได้ก็เบาบางลงจนหายลับลงไปพร้อมกับเรือนแก้วหลังนั้น สู่ความมืดมิดอนธการเบื้องล่าง...
*********************** โปรดติดตามอ่านบทส่งท้าย สาปพิษฐาน เร็วๆนี้ครับ หมอกมุงเมือง
จากคุณ |
:
สามปอยหลวง
|
เขียนเมื่อ |
:
26 พ.ค. 54 10:12:28
|
|
|
|