รอ...
อาทิตย์ใกล้อัสดง ลูกกลมแดงครึ่งดวงที่ยังคงโผล่พ้นขอบฟ้าทอแสงสีส้มอันแรงกล้าแต่อบอุ่นลงมายังเบื้องล่าง รวงข้าวสีทองต่างชูคอรับแสงสุดท้ายแห่งทิวา
ลมเอื่อยหอบพัดความสบายจากอากาศยามเย็นมาแทนที่ดั่งต้องการจะมอบมันเป็นของกำนัลให้แก่สิ่งมีชีวิตที่ต่างทำหน้าที่ของตนเองมาตลอดทั้งวัน
...สัตว์น้อยใหญ่เริ่มเข้าที่พักพิง นกน้อยบินตัดขอบฟ้ากลับสู่รัง...
สำหรับคนที่ตรากตรำทำงานตั้งแต่ย่ำรุ่ง นี่ก็จะเป็นช่วงเวลาที่เขาเหล่านั้นจะได้พักผ่อน สำหรับครอบครัว นี่จะเป็นเวลาที่ได้พร้อมหน้าพร้อมตา
และสำหรับหนุ่มสาวคู่รัก นี่ก็จะเป็นเวลาที่ได้ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบและอิงแอบพะเน้าพะนอกัน
...มันเป็นช่วงเวลาที่ดูเป็นมิตรกับทุกผู้ และเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีสำหรับใครหลายคน...
หญิงสาวคนหนึ่งนั่งเหม่อมองภาพชินตาอยู่ใต้ร่มไม้ปลายนา สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เงาดำจากการบดบังแสงอาทิตย์ของตัวเธอเองทอดยาวลงสู่ท้องนาเบื้องล่าง
มันช่างเป็นบรรยากาศแห่งความเงียบเหงาเดียวดายสำหรับเธอ สายลมเพียงแผ่วพลิ้วสามารถก่อให้เกิดความหนาวเหน็บ เสียงหวีดหวิวที่ลอยมาก่อให้เกิดความทุกข์ระทมไปถึงทรวง
รอพี่ก่อนนะ พอพี่เรียนจบจะรีบกลับมาทันที เพื่ออนาคตของพวกเรา
คำพูดจากชายคนรักดังแว่วผ่านกาลเวลาอันแสนเนิ่นนาน หากทว่ายังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ในช่วงเวลานั้นหญิงสาวตกปากรับคำว่าจะรอด้วยความยินดีอย่างเหลือล้นต่ออนาคตของชายหนุ่มและของเธอเอง
และจนถึงตอนนี้ หญิงสาวก็ยังคงยึดถือคำมั่นสัญญานั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เสียงไอหนักๆ ดังขึ้นขัดกับเสียงของธรรมชาติโดยรอบ สายตาทอดมองไปอย่างไร้จุดหมาย แสงสุดท้ายของวันหมดไปพร้อมกับความหวังของหญิงสาวที่สิ้นสุดไปอีกหนึ่งวันเช่นกัน
..............................................................
ชายหนุ่มนั่งรับลมเย็นอยู่บนระเบียงอาคารสูงเสียดฟ้าใจกลางเมืองหลวง สายตาจับจ้องฟ้าดำมืดที่แทบจะมองไม่เห็นแสงดาว
หลายปีจนหากไม่นับก็คงไม่รู้ระยะเวลาที่แน่ชัดที่ชายหนุ่มจากบ้านมา ตั้งแต่มาเรียนต่อจวบจนกระทั่งทำงาน
...นานจนทุกๆ สิ่งของชายหนุ่มอยู่ที่เมืองฟ้าอมรแห่งนี้...
การงาน เพื่อนฝูง สังคม การใช้ชีวิตพร้อมสรรพในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีช่างตื่นเต้นเร้าใจแตกต่างไปจากชีวิตในชนบทที่ผ่านมา
ชายหนุ่มอยู่ท่ามกลางแสงสว่างจากหลอดเรืองแสงบ่อยกว่าแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ เขาเลือกรับลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศแทนลมเอื่อยจากท้องทุ่ง
กลิ่นหอมอ่อนๆ จากดินและต้นไม้ใบหญ้าถูกแทนที่ด้วยกลิ่นควันจากท่อไอเสีย
ชายหนุ่มหลงระเริงไปกับมันจนหลงลืมวันเวลาไปจนหมดสิ้น ทุกเช้ากับการกรำงานหนัก และทุกคืนกับการเที่ยวเตร่ไปกับเหล่าบรรดาเพื่อนฝูง
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันจนเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากชายหนุ่ม
แต่เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป วันแล้ววันเล่า คนทุกคนย่อมมีหนทางที่ต้องเดินไป หลายคนสร้างครอบครัว หลายคนใหญ่โตขึ้น และอีกหลายๆ คนที่ต่างเลือกเส้นทางของตนเอง
จำนวนคนในกลุ่มเริ่มลดน้อยลงเช่นเดียวกับการพบปะสังสรรค์ และในวันนั้นเองที่ชายหนุ่มหันกลับมามองตัวเองในกระจกเงา และพบเห็นความเปลี่ยนแปลงในนั้น
เขาลูบไล้ใบหน้าและเส้นผมราวกับต้องการจะตรวจสอบเพื่อความแน่ใจ ริ้วรอยเริ่มปรากฏ และเส้นผมดำที่เริ่มมีสีขาวแซมให้เห็น
จนวันนี้ วันที่เขานั่งมองหาดวงดาวบนฟ้าอยู่เพียงลำพังบนระเบียงสูง ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเงียบเหงา การนั่งอยู่คนเดียวแบบนี้ทำให้เขาได้คิดอะไรบางอย่าง
...มันนานมากแล้วที่เขาไม่เคยได้ทำแบบนี้...
การใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงแบบที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้เขามีความสุขในชีวิตขึ้นเลย มันเป็นเพียงสิ่งจอมปลอมที่พร้อมจะหายไปเมื่อคิดไขว่คว้า มันเป็นเพียงความสุขที่เกิดขึ้นและหมดไปอย่างรวดเร็วเพียงข้ามคืน
และเวลาเพียงชั่วข้ามคืนนั้น เมื่อเขามองไปรอบกายเขาก็พบว่าเหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่บนเส้นทางอันไร้จุดหมายนี้
ชายในกระจกที่เขาไม่เคยสังเกตมานานกลับกลายเป็นคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จักไปเสียแล้ว
เรียนจบแล้วรีบกลับมานะจ๊ะ น้องจะรอพี่อยู่ที่นี่ทุกวัน
เสียงหนึ่งดังแว่วมาแต่ไกล ชายหนุ่มหลับตาเพื่อซึมซับภาพแห่งอดีตนั้น ดวงอาทิตย์กลมโตบนท้องฟ้าใสกระจ่าง ท้องทุ่งเขียวขจี รอยยิ้มบริสุทธ์จากญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน
และที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ปลายทุ่ง หญิงสาวคนเดิมยังคงนั่งรออยู่ที่ตรงนั้น ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างครุ่นคิด
..............................................................
ที่ใต้ร่มไม้ปลายนายามอาทิตย์ใกล้อัสดง ชายหนุ่มนั่งทอดอารมณ์ สายตาเหม่อมองไร้จุดหมาย ลมเอื่อยพัดพาอากาศเย็นแห่งท้องทุ่งปะทะใบหน้าและร่างกายจนสะท้าน
เสียงหวีดหวิวจากสายลมดั่งต้องการจะบอกกล่าวและตอกย้ำสิ่งที่เกิดขึ้นให้ตรึงอยู่ในนั้นไม่รู้คลาย
เอ็งกลับมาอะไรเอาป่านนี้ มันสายเกินไปแล้ว
แสงสีส้มที่ทอประกายลงมายังเบื้องล่างแฝงความเศร้าสร้อยอย่างเหลือกำลัง เงาดำจากการบดบังแสงอาทิตย์ของชายหนุ่มทอดยาวลงสู่ท้องทุ่งเบื้องล่างไม่ต่างจากจิตใจของชายหนุ่มในขณะนี้แม้แต่น้อย
มือกำวงแหวนสีทองอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักไว้แน่น สัญลักษณ์ที่เขาตั้งใจจะนำมันมาให้หญิงสาวในวันนี้
มันรอเอ็งทุกวัน จนสุดท้ายมันก็รอไม่ไหว
เสียงปนสะอื้นจากผู้เป็นแม่ของหญิงสาวในช่วงกลางวันยังคงก้องอยู่ในโสตประสาทของชายหนุ่ม
ไม่มีใครคิดว่าโรคที่มันเป็นจะรุนแรงขนาดนี้ มันรอเอ็งจนวันสุดท้าย แต่จนแล้วจนรอดเอ็งก็ไม่กลับมา
ชายหนุ่มคลี่จดหมายที่ได้รับออกอ่าน ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว แต่เขาก็ยังอดที่จะอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้ ราวกับว่าเขาต้องการจะชดเชยและซึมซับเอาความรักที่เขาได้เคยหลงลืมมันไป
พี่จ๊ะ ชั้นคงจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ก่อนที่เราจะต้องจากกันชั้นยังหวังลึกๆ ว่าจะได้เห็นหน้าพี่ ได้บอกรักพี่เป็นครั้งสุดท้าย แต่ ชั้นขอโทษด้วยที่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ไม่ได้ ลาก่อนนะจ๊ะ
ข้อความสุดท้ายเลือนรางด้วยคราบน้ำตา
นี่เราไปอยู่ที่ไหนมา เรามัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกัน
ชายหนุ่มกอดจดหมายแนบอก น้ำตาไหลราวกับจะไม่มีให้ไหล แววตาสะท้อนเพียงความอ่อนแออย่างแท้จริง
คงทรมานมากสินะ กับการที่ต้องนั่งอยู่ที่นี่และรอคอยการกลับมาวันแล้ววันเล่า พี่ขอโทษ
คงเป็นดังที่ใครหลายคนเคยกล่าวไว้ เวลาของคนที่ขอให้รอกับคนที่ต้องรอคอยนั้นมักจะเร็วไม่เท่ากัน
เวลาของคนที่ต้องรอคอยมักจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า ยาวนาน ทุกลมหายใจเข้าออกนั้นทุกข์ทรมานกับการถูกตราตรึงไว้ด้วยคำสาปที่เรียกว่าคำสัญญา
ส่วนเวลาของคนที่ขอให้รอนั้น มักดำเนินไปอย่างรวดเร็วเสมอ มันเร็วจนกระทั่งบางครั้งสามารถทำให้คนบางคนกลายเป็นคนของอดีตได้อย่างไม่รู้ตัว
หญิงสาวผู้หยุดเวลาของตัวเองไว้ เธอรอคอยมายาวนานวันแล้ววันเล่าจบจนวันสุดท้ายของชีวิต
ชายหนุ่มผู้ติดอยู่ในวังวนของกาลเวลา ความสุขจอมปลอมได้บดบังสายตาหมดสิ้นจนเขาลืมนึกถึงคนที่สำคัญที่สุดไป
และกว่าที่เขาจะรู้ตัว กว่าที่จะมองเห็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง ทุกสิ่งก็สายเกินไปเสียแล้ว
จากคุณ |
:
KTHc
|
เขียนเมื่อ |
:
29 พ.ค. 54 16:40:50
|
|
|
|