Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 7 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10597578/W10597578.html

บทที่ 7

แล้ววันคืนก็เคลื่อนผ่านไป มันพัดพาฤดูกาลซ้ำซากมาเยือน เตือนให้รู้ว่า เวลาไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่เลย และการพลัดพรากจากเป็นของสามแสนกับพี่ชาย มันก็ล่วงเลยยาวนานผ่านห้าปีไปแล้ว

ฝนตกหนักไม่ลืมหูลืมตาตลอดคืนวาน ทำให้สะพานไม้ไผ่ข้ามลำธารขาดห้อยรุ่งริ่ง ปลายส่วนที่ขาดทั้งสองข้างถูกกระแสน้ำเชี่ยวสาดซัดไปกระแทกกับโขดหินโครมแล้วโครมเล่า

ชาวบ้านที่อาศัยข้ามฟากไปมาหาสู่กัน ต้องระดมกำลังมาช่วยซ่อมแซมกันตั้งแต่เช้า ผู้ชายก็ไปรวมตัวกันกลางลำธาร

ผู้หญิงก็ปักหลักเตรียมเสบียงปากท้อง ทั้งน้ำดื่มและอาหาร ส่วนหนึ่งแยกไปก่อไฟตั้งเตา อีกส่วนก็ละเลงเนื้อผักเครื่องปรุง รอไฟติดเตาร้อน ก็เป็นอันลงมือปรุงกันอย่างครื้นเครง

ภภีมในวัยสี่สิบต้นๆ พาร่างสูงเพรียวลุยน้ำกลับขึ้นมานั่งบนโขดหิน ต้นแขนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากแรงกระแทกตอนนำหน้าไปคว้าปลายส่วนที่ขาดกลางลำธาร เกือบโดนฟาดเข้าตา ยังดีว่าฉวยไว้ได้ทันก่อน

"แขนช้ำเลยจ้ะ อาดุ"

'ใบพลู' ร้องทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางยื่นกระบอกน้ำส่งให้ดื่ม หล่อนพาร่างเล็กในชุดกางเกงตัวโคร่งสีเทากับเสื้อคอกลมแขนสั้นสีขาวตัวหลวมไปนั่งเบียด ทำให้คนนั่งอยู่ก่อน ยืดคอดื่มน้ำพอดี ต้องรีบกระเถิบและพานสำลักน้ำที่ดื่มเล็กน้อย

"เจ็บหรือยัง" สาวบ้านป่าวัยไล่เลี่ยกับสามแสนถามอย่างเป็นห่วง

"ไม่เจ็บหรอก มันก็แค่ช้ำ เรามาเพ่นพ่านอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปช่วยแม่ทางโน้น"

"แหม อยู่ทางโน้นก็โดนไล่ให้มาช่วยคนแก่ๆ ทางนี้ พอมาทางนี้ ก็โดนไล่ให้กลับไปช่วยคนแก่ๆ ทางโน้น สาวสวยอย่างใบพลู ทำตัวลำบากนะ"

หนุ่มใหญ่พยักหน้ารับรู้ วางกระบอกน้ำไว้บนโขดหิน ตัวเองก็ย้อนกลับไปช่วยเหลือหนุ่มแก่กลางลำธาร โดยไม่สนใจ 'สาวสวยอย่างใบพลู'

"บ้าจริง คนเขาอุตส่าห์มาเอาอกเอาใจ ยิ้มให้ชื่นใจหน่อยก็ไม่ได้ นี่ถ้าไม่รักนะ เชิดหน้าไปควงพี่ขิงตั้งนานแล้ว"

ใบพลูบ่นหงุดหงิด แววตาที่ไล่ตามหลังคล้ำของหนุ่มใหญ่ ฉายความน้อยใจกึ่งเบื่อหน่าย

หล่อนเป็นบุตรสาวสุดสวยของนางเก่งกาจ เจ้าของฉายา 'นายพรานทั่วสิบทิศ' แต่เจ้าตัวไม่ค่อยอยู่โยงเฝ้าบ้านให้ภรรยากับบุตรสาวเห็นหน้านานนัก เพราะต้องออกท่องป่าเพื่อไม่ให้เสียถึงฉายาที่เพื่อนพ้องในแวดวงร่วมใจกันตั้งให้

ใบพลูแก่นแก้วเหมือนผู้ชาย เพราะ 'นางใจ' ก็มัวแต่ทำงานในไร่ในสวน กับหาของป่าไปขายในเมืองเป็นครั้งคราว จึงไม่ค่อยมีเวลาได้อบรมบุตรสาวให้มีความเป็นกุลสตรี

แต่ในสายตาของหนุ่มฉกรรจ์ทั้งหลาย สาวแก่นแก้วคนนี้ สวยเด็ดขาดบาดใจ ทุกคนจึงหมั่นแวะเวียนไปทำคะแนนฝากเสน่หาที่กระท่อมของนางใจอยู่เนืองๆ

คนเราก็มักจะเป็นเสียอย่างนี้ มีคนมารุมล้อมรักใคร่ตั้งมากมาย กลับไม่พอใจ มิหนำซ้ำ ยังไปรู้สึกรำคาญเสียอีก แต่กับคนที่เขาไม่เคยใส่ใจชายตาแล ก็จำเพาะเจาะจงไปหลงไปชอบ มอบใจเสน่หาให้ครอง

สาวแก่นแก้วอย่างใบพลูก็เข้าข่ายเดียวกันนี้ หล่อนแอบเทใจดวงบริสุทธิ์ให้หนุ่มใหญ่หน้าขรึมดุแต่เพียงผู้เดียว ความรักของสาวสวยในดงในป่า เริ่มต้นในคืนนั้น ฝนตกหนักมาก และมารดาก็ป่วยหนัก ภภีมกลับมาจากในเมือง

ถ้าจำไม่ผิดละก็ ตอนนั้น หนุ่มใหญ่ดูจะวุ่นวายกับการให้ความช่วยเหลือเด็กสาวหลงป่าคนหนึ่ง เวียนเข้าเวียนออกในป่าในเมืองตั้งหลายหน บางทีลุงแม้นก็ไปด้วย บางทีเขาก็ไปตามลำพัง

คืนนั้น เขากลับเข้าป่ามาดึกมากแล้ว ก่อนจะถึงกระท่อมของตัวเอง ต้องผ่านกระท่อมของหล่อนก่อน เขาคงได้ยินเสียงหล่อนร้องไห้ จึงแวะขึ้นมาถามไถ่ แล้วกุลีกุจอต้มยาสมุนไพรให้หม้อใหญ่

กว่ายาจะได้ที่ เขาก็เคี่ยวอยู่ค่อนคืน เสียงไก่ขันแว่วข้ามราวป่ามาแล้วโน่นล่ะ เขาจึงกลับกระท่อมของตัวเอง โดยไม่รู้ตัวเลยว่า เขาได้ทิ้งหัวใจอบอุ่นไว้กับหล่อนแล้ว

"เฮ้อ แกอย่าแก่แดดนักเลยวะใบพลู ยังสาวยังแส้แท้ๆ มองหาไอ้หนุ่มที่มันวัยไล่เลี่ย แก่อ่อนกว่ากันสักปีสองปี มันไม่เข้าท่ากว่าหรือ ไปยุ่งอะไรกับนายดุ"

มารดาเคยเอ็ดกึ่งติง นางชอบหนุ่มใหญ่เป็นการส่วนตัว หรือจะว่าไปแล้ว คนทั้งป่าก็ชอบเขาทั้งนั้น แต่นางกลับไม่สนับสนุนให้หล่อนรักใคร่กับเขา

"ใบพลูไม่สนว่าแก่หรือหนุ่ม ใบพลูสนหัวใจของตัวเองว่ารักใคร แม่ไม่ต้องมาห้าม แล้วก็ไม่ต้องมากีดกัน ไม่สำเร็จหรอก ใบพลูรักอาดุหมดหัวใจแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้"

"เอาเถอะ แกจะดันทุรังโง่ๆ ก็ตามใจแก อกหักดังเป๊าะเมื่อไหร่ ก็อย่ามาฟูมฟายกับแม่ก็แล้วกัน"

"อุ๊ย สาวสวยอย่างใบพลู สะกดคำอัปมงคลแบบนั้นไม่เป็นหรอกแม่"

"ไม่เป็นไรหรอก แม่สะกดให้แกแล้ว เชื่อเถอะ อย่างแกน่ะ เข้าไม่ถึงหัวใจของนายดุหรอก เห็นๆ อยู่ว่าขวางโลก"

"ขวางตรงไหน คนเขามีจุดยืน มีเอกลักษณ์ ไอ้พวกพี่ขิง พี่มะขาม อะไรพวกนั้น อย่าดึงมาเทียบนะ ไม่เห็นฝุ่น"

"ไม่ขวางแล้วจะย้ายลึกเข้าไปในดงฟากโน้นทำไมวะ ก็เห็นอยู่ว่า ชาวบ้านชาวช่องอยู่กันหนาแน่นทางนี้ ตัวเองกลับพิเรนทร์ระเห็จเข้าดงโจร บ้าไหมล่ะ"

หล่อนเถียงมารดาได้ฉอดๆ ประโยคต่อประโยค จนมาถึงประโยคยอกย้อนสุดท้าย มันเด็ดคมเสียจนฉอดๆ กลับไม่ออก เพราะหล่อนเห็นพ้องด้วย

จนทุกวันนี้ ก็ไม่เข้าใจความคิดของหนุ่มใหญ่ เขาพิเรนทร์ย้ายตัวเองไปปักหลักในดงโจร ชาวบ้านไม่ค่อยย่างกรายไปแถวนั้น ลุงแม้นเคยแวะไปเยี่ยม กลับมาเล่าให้ฟังว่า

"สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก นายดุมันไม่ใช่คนหาเรื่องใคร แล้วก็ไม่ใช่คนที่ใครจะหาเรื่องมันได้ง่ายๆ ถ้ามันไม่แน่จริง มันก็คงทิ้งความเป็นคนเมือง ทิ้งเมืองเจริญที่เต็มไปด้วยแสงสี แล้วผันตัวเองมาเป็นชาวป่าชาวดงเหมือนพวกเราไม่ได้หรอก"

"แต่อยู่ฝั่งเรามันปลอดภัยกว่านี่" มารดาของหล่อนแย้งไปอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยนัก

"ก็แล้วจะทำไมวะ แกจะไปยุ่งกับชีวิตชาวบ้านทำไม คนเขาดูแลตัวเองได้ แกเถอะ หัดระแวงบ้างว่าพ่อขมองอิ่มของแก จะดอดไปเลี้ยงอีหนูไว้แถวชายแดนเขตไหนบ้าง สี่เดือนหกเดือนถึงได้โผล่หน้ามาหน"

วาจานั้น มันเด็ดคมบาดใจมารดามากเลย คืนนั้น นางตวัดค้อนวงใหญ่ มุบมิบด่าลุงแม้นไปเรื่อยเปื่อย

หล่อนหัวเราะขำๆ กับภวังค์เก่าเก็บนานกว่าห้าปี จังหวะนั้น ก็สะดุดรากไม้ หน้าเกือบทิ่มลงกะละมังผัก ก็ยังดีว่ามีมือใหญ่หยาบมากระตุก ไหล่มนชนแผงอกแน่น

ตอนแรกก็เกือบจะด่าออกไปแล้ว เพราะนึกว่าเป็นไอ้หนุ่มที่มาตามแจกขนมจีบ แต่พอเห็นว่าเป็นหนุ่มใหญ่หน้าดุ ปากที่อ้าจะด่า ก็ค่อยแย้มยิ้มอ่อนหวาน แล้วเปลี่ยนจากด่าเป็นอ้อนว่า

"เกือบไปแล้วไหมล่ะ นี่ถ้าอาดุไม่ช่วยไว้ละก็ สาวสวยอย่างใบพลู เอ้า จะไปไหนล่ะ ยังพูดไม่จบเลย อาดุ"

แม่ครัวละแวกใกล้เคียงหัวเราะคิกคัก สายตาทุกคู่มองหล่อนเหมือนตัวตลก โดยเฉพาะมารดา เบะปากส่ายหน้าดูแคลนพร้อมสรรพ แถมยังตะโกนด่าซ้ำเติมไม่รักษาน้ำใจบุตรสาวตัวเองให้ชาวบ้านฟังอีกว่า

"ว่ายังไงล่ะ ดื้อด้านไม่เข้าท่า แม่เชื้อเตือนก็อย่าไปฟัง สมน้ำหน้า"

"อาดุเขารีบ งานเขาเยอะ ไม่เห็นหรือ"

"รีบอะไรวะ เขาพักกินข้าวกันตั้งนานแล้ว แกนั่นแหละ หายหัวไปไหน ไล่ให้ไปช่วยทางโน้นก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลย ดีแต่สวยกับเกะกะ"

"เอ๊ะ แม่ จะแว้ดอะไรนักหนา"

ใบพลูจอมแก่นเหลียวซ้ายเหลียวขวา พบว่าทุกคนพักงานมากินข้าวกลางวันกันจริงๆ

แปลกจัง นี่หล่อนใจลอยได้นานเป็นชั่วโมงเชียวหรือ แล้วดูสิ ไม่มีใครสนใจหล่อนอีกแล้ว ปล่อยให้ยืนโดดเด่นเน้นสวยบาดจิตอยู่กลางกองกะละมังผักหญ้านี่ล่ะ บ้าจริงๆ




ตลอดช่วงบ่าย ฝนถาโถมลงมาอีกระลอกใหญ่ ทำให้ภารกิจซ่อมแซมสะพานข้ามลำธารต้องหยุดชะงัก ใบพลูรำคาญมากกับการเดินตามนัวเนียแจกขนมจีบของเหล่าชายนอกสายตา

ขณะเดียวกันก็ลอบหงุดหงิดน้อยใจที่ชายในดวงใจ ก็ขยันหลีกลี้ไปปลีกวิเวก เขานั่งอยู่บนโขดหิน แต่ท่านั่งก็บอกว่ากำลังครุ่นคิด มารดาดึงแขนปราม ตอนหล่อนจะโฉบเข้าไปใกล้ โดยอ้างว่า 'อย่าไปกวน'

"จะเดินตามอีกนานไหม" อารมณ์หงุดหงิดภายใน ทำให้สาวสวยจอมแก่นหยุดเดิน แล้วหันกลับไปแว้ด

"แหม พี่ก็บอกแล้วไงว่าตามมาเพราะอยากช่วย ให้พี่ช่วยถือให้ก็ไม่เอา"

'นายขิง' หมายถึงกะละมังผักใบใหญ่ ที่สาวสวยจะนำไปล้าง อันที่จริง มันก็ล้างไปแล้ว แต่สาวเจ้าหาเหตุมาอ้าง เพราะหวังจะพาตัวไปลำธาร ได้ใกล้ชิดกับหนุ่มใหญ่หน้าดุอย่างเนียนๆ หน่อย

"เมื่อกี้นี้ ใบพลูเพิ่งจะไล่พี่มะขามไป พี่พุดก็โดนว้าก พี่ตำลึงก็เพิ่งโดนด่า พี่ขิงอยากโดนอะไร ไปไกลๆ หน้า"

"ไอ้พวกนั้นมันใจเสาะนี่ ไม่มุ่งมั่นเต็มร้อยได้เท่าใจพี่หรอก มาเร็ว พี่ช่วยถือดีกว่า หนักนะ"

"ใบพลูไม่หนักมือ แต่หนักใจ แล้วถ้าพี่ขิงจะไสหัวไปเสียได้ ใจของใบพลูก็จะเบาลงทันที เข้าใจหรือยัง วุ้ย รำคาญ"

นายขิงหัวเราะในลำคอ อดทนให้สาวสวยในดวงใจแว้ดใส่อย่างไม่ถือสา เขาเป็นบุตรชายคนเล็กของลุงแม้น เป็นหนุ่มชาวป่าที่แปลกไปจากเพื่อนบ้าน

เพราะลุงแม้นส่งไปเรียนหนังสือในเมือง ปิดเทอมโน่นล่ะ เจ้าตัวจึงค่อยกลับบ้านป่าเมืองดง แต่ทุกครั้งที่กลับมา หัวใจก็มุ่งไปยังกระท่อมของใบพลูคนสวยก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ

หนุ่มชาวป่าเรียนจบแล้ว และโลกก็กลมมาก เมื่อปรากฏว่า เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนกลุ่มใหญ่ของสามแสน ชอบที่จะเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับป่าให้หมู่เพื่อนฟัง และสามแสนก็ฟังอย่างสนใจ

น่าเสียดายก็ตรงที่เธอไม่เคยสืบสาวประวัติความเป็นมาของนายขิง อ้อ สำหรับในเมืองใหญ่อันเจริญแล้ว หนุ่มชาวป่ารูปงาม เป็นที่รู้จักของหมู่เพื่อนในนาม 'วิเรก เพลงดง'

นายขิงเป็นหนุ่มชาวป่ารูปงามมาก หุ่นเพรียวสูงและเต็มแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อสมบูรณ์ เคยเข้าตากรรมการจนถูกทาบทามไปเป็นนายแบบขึ้นปกหนังสือชื่อดังอยู่สองสามเล่มเชียวล่ะ

เพื่อนนิสิตสาวในคณะต่างคณะ พร้อมใจกันมารุมล้อม ขอสมัครเป็นหวานใจกันถ้วนหน้า

ซึ่งนายขิงก็จะเป็นอีกคนที่มักจะมองข้ามสิ่งที่ตัวเองมีไปอย่างไม่เห็นค่า ด้วยการไม่แยแสไมตรีของบรรดาสาวสวย ทายาทลูกท่านหลานเธอทั้งหลาย แต่ไพล่จดจ่อเทใจให้สาวป่าดงชื่อใบพลูแบบหมดห้วง

"ใบพลูอยากตากฝน อยากเล่นน้ำฝน เข้าใจหรือยัง หุบร่มเสียที"

หนุ่มชาวป่ารูปหล่อหัวเราะอีก แต่ก็ไม่ยอมทำตามคำสั่ง หุบได้ยังไง ฝนเทออกอย่างนี้ คนสวยของเขาก็เถอะ จำเพาะอะไรต้องมาอยากล้างผักเอาตอนนี้ ขณะเหลียวไปเห็นภภีมย้ายลงไปดำผุดดำว่ายในลำธาร ใจก็อดแวบไปถึงคำบอกเล่าของบิดาไม่ได้ว่า

"แกน่ะ ต้องเอาแบบอาดุรู้ไหม อาเขาเก่งรอบด้าน อาจจะดูเป็นคนขวางโลกไปหน่อย ไม่ชอบคบหาสุงสิงใครเป็นกิจจะลักษณะ แต่บทเดือดร้อนขึ้นมา อาเขาจะเต็มใจยื่นมือเข้ามาช่วยเต็มที่เสมอ"

"แล้วต้องให้ขิงปั้นหน้ายักษ์แบบนั้นตลอดเวลาด้วยหรือเปล่า ขิงทำไม่ได้นะ ขิงชอบยิ้ม"

"ไม่ต้องหรอก แกก็เป็นตัวแกไปอย่างนี้แหละ แต่หัดเก๊กท่าให้เท่ๆ เหมือนอาเขาบ้าง ไม่ใช่ลอยชายเหมือนเด็กไม่รู้จักโต ดูไม่มีมาด ไม่น่ายำเกรง อีกหน่อยแกอาจจะต้องเป็นผู้นำหมู่บ้านต่อจากพ่อ แล้ว.. "

"โอ๊ย ไม่เอาหรอก พี่ขม พี่ข่าง อีกตั้งสองคน พ่อก็เคี่ยวเข็ญไปสิ ขิงไม่อยากเป็นผู้นำใคร ไม่อยากให้การเป็นผู้นำมาผูกมัดตัวเองจนหมดอิสระ ดูอย่างพ่อสิ ทำอะไรก็ไม่ถนัด โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เหมาะ เอะอะก็ต้องคิดถึงส่วนรวม เบื่อ"

"ขมข่างมันไม่มีความรู้เหมือนแกนี่ ถ้าแกไม่ป่วยไข้ จนหมอป่าทักว่าต้องส่งแกไปไกลหูไกลตาก่อน แกถึงจะรอดชีวิตละก็ พ่อไม่ส่งแกเข้าไปอยู่กับป้าในเมืองหรอก เพราะฉะนั้น แกต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงต่อจากพ่อ ใช้ความรู้มาพัฒนาบ้านป่าของเราให้ดูดี"

"ทำไมพ่อไม่ลองทาบทามอาดุ"

"เคย แต่อาเขาไม่สนใจ"

"เขาไม่มีแฟนหรือ"

"ไม่มี แต่สาวๆ บ้านเราก็เหล่ๆ อยู่"

"จริงหรือพ่อ"

"เออ ที่แน่ๆ ก็ไอ้ใบพลูจอมซนของแม่ใจนั่นแหละ เฮ้อ แก่นกะโหลกอย่างนั้น อาเขาไม่ชายตาแลหรอกวะ ก็ขนาดแม่หนูหลงป่าคนนั้น น่ารักน่าเอ็นดูกว่าเป็นไหนๆ อาเขายังเมินใส่เลย"

น่าเสียดายอีกว่า การสนทนากันเมื่อสามสี่ปีก่อน มันก็จบลงตรงที่ลุงแม้นปลีกตัวไปเดินตระเวนรอบหมู่บ้าน และนายขิงก็ไม่ได้ซักไซ้เจาะลึกว่า แม่หนูหลงป่าคนนั้นเป็นใคร แล้วถ้าซักไซ้ ลุงแม้นก็อาจตอบว่า 'ไม่รู้สิ รู้แต่ว่าชื่อสามแสน'

สาระมากมายจากการสนทนาในครั้งนั้น ทำให้นายขิงไม่เคยลืมว่า หนุ่มใหญ่หน้าดุมีอิทธิพลเงียบๆ ในห้องใจทั้งสี่ห้องของใบพลูคนสวย

เขาไม่เชิงมีอคติ และไม่นึกอิจฉาด้วย ถ้าสาวทั้งหมู่บ้านจะพร้อมเพรียงกันกรูเข้าใส่หนุ่มใหญ่คนนั้นด้วยจิตเสน่หา แต่ที่ไม่ชอบเหมือนคนไม่มีเหตุผลอยู่ในเวลานี้ ก็เป็นเพราะว่า สาวสวยอย่างใบพลูของเขา ไปนึกรักนึกชอบอีกฝ่ายนั่นเอง

"อาดุ ฝนตกหนักขนาดนี้ ทำไมยังไปว่ายน้ำเล่นอีก เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก ขึ้นมาเถอะจ้ะ"

ใบพลูป้องปากตะโกนจากริมฝั่ง ฝ่ายโน้นไม่ได้ยินหรอก เพราะเสียงฝนมันดังมาก แล้วเจ้าตัวก็ดำผุดดำว่ายอยู่ไกลมาก

ร่มคันใหญ่ไม่ค่อยมีประโยชน์เลย เมื่อใบพลูพาตัวไปตากแรงถาโถมอย่างจงใจ นายขิงถอนใจส่ายหน้า แทนที่จะเคืองสาวสวย ไพล่ไปพาลใส่ตัวต้นเหตุกลางลำน้ำ ทำนองว่า 'เรียกร้องความสนใจชะมัด'




ภภีมไม่เคยคิดไร้สาระกับเรื่องพวกนี้ เขาทิ้งความรักไปยี่สิบปีแล้ว ป่านนี้มันคงไปเกิดใหม่ เติบโตอยู่ในห้องหัวใจใครต่อใครมากมาย แล้วถ้าบังเอิญโคจรมาสวนทางกัน มันก็คงจำไม่ได้หรอกว่า ภภีมหน้าดุคนนี้ เคยเป็นเจ้าของมันมาก่อน

ร่างกำยำแหวกว่ายเบื่อๆ กลางลำน้ำเชี่ยวกราก บางครั้ง ก็ดำไปผุดใกล้เชิงสะพาน และครั้งสุดท้าย ก็ขึ้นไปนั่งพักเหนื่อยบนโขดหิน หรี่ตาไปยังริมฝั่งตรงข้าม เห็นใบพลูโบกมือหยอยๆ หล่อนคงจะตะโกนอะไรมาสักอย่าง แต่เขาไม่ได้ยิน และไม่สนใจด้วย

วัยสี่สิบต้นๆ ทำให้เขาอ่านสายตาหลงใหลของสาวจอมแก่นคนนั้นออก ใบพลูเป็นสาวสวย มีชายวัยไล่เลี่ยกันรุมล้อมฝากเสน่หา หล่อนน่าจะพิจารณาใครสักคนเป็นพิเศษ แทนการมาป้วนเปี้ยนกับชายไร้รักไร้ใจคนนี้

ห้าปีแล้ว กับการโยกย้ายตัวเองเข้าไปพำนักใกล้ชิดกับหมู่โจร ณ แดนดงที่ไม่ค่อยมีใครกล้าย่างกรายไปเหยียบ เขาไม่ต้องการเจอสามแสนอีก เธอต้องพาบิดามารดา เพื่อนฝูง ย้อนกลับมาหา หลังจากหายป่วยแล้ว

ร่องรอยของเขา มันควรจะเป็นความลับ คนในเมืองรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่สามแสนจะเป็นคนชักนำคนเมืองมากมายเข้ามา เขาจึงต้องพาตัวเองหายเข้ามาในดงลึก ที่แวดล้อมไปด้วย 'ชาวโจร'

"คิดดีแล้วหรือไอ้หนุ่ม นี่มันดงโจรนะเว้ย ชาวบ้านตาแหกปอดแหกละแวกนี้ ไม่กล้าแหย่เท้าพรวดเข้ามาหรอก แล้วแกคิดยังไง ถึงได้ย้ายมาปักหลักสร้างกระท่อม ไม่ถามความเห็นคนอยู่เก่าเจ้าถิ่นสักคำ"

"ป่าทุกผืนเป็นที่สาธารณะ มันไม่มีเจ้าของหรอก หรือจะว่าไปแล้ว ทุกหนแห่งในโลกนี้ มันเป็นสาธารณะ แล้วคนก็ไปทึกทักกันเองว่า ตรงนั้นเป็นของฉัน ตรงนี้ฉันเป็นเจ้าของ"

"ปากดีนี่หว่า หรือว่าลืมตัว ฉันจะได้เตือนว่าตอนนี้ แกมันหัวเดียวกระเทียมลีบ อย่ากำแหงให้มาก"

"ฉันอยากอยู่อย่างสงบ ใครจะเป็นโจรเป็นตำรวจ ฉันไม่อยากสนใจ แล้วใครก็อย่ามาสนใจฉัน เอาแค่ว่า ถ้ามาเจอฉันตายอยู่ในกระท่อม ก็ช่วยฝังให้หน่อย เท่านั้นล่ะ"

มันเป็นวาจาของคนสิ้นไร้ความหวังและอนาคตอย่างแท้จริง ภภีมไม่เหลือสิ่งใดไว้ยึดเหนี่ยว

พลังแห่งการมีชีวิต มันไม่ได้ผุดทะลักเหมือนตาน้ำ เหมือนเมื่อครั้งได้พบรักกับชุลียา เหมือนเมื่อครั้งได้เจอสามแสนอย่างไม่คาดฝัน หากแต่มันรินไปเรื่อยๆ เหมือนว่าพร้อมทุกเมื่อต่อการเหือดแห้ง

เพราะวาจาไม่แยแสว่าจะอยู่ได้หรือตายจากนี่เอง ทำให้ 'นายขมิ้นทอง' หัวหน้าโจรดงเกิดความประทับใจ ภภีมจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสมดั่งตั้งใจ

มิหนำซ้ำ หากเกิดปัญหาฉุกเฉินเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ฟืนเปียก ตะเกียงแตก นายขมิ้นทองก็เอื้อเฟื้อช่วยเหลืออย่างเต็มใจเต็มที่ ข้าวปลาอาหารก็เคยนำมาร่วมวงแบ่งกันกินแบ่งกันใช้อย่างสนิทสนม

ห้าปีแล้ว ที่หัวใจดวงมืดลอยเคว้งคว้างไปตามสายลมแห่งความสิ้นหวัง มันลอยห่างไปจากจุดเริ่มต้น และขณะนี้ ก็บอกไม่ได้ว่า มันอยู่ตรงไหน ใกล้หรือไกลจากจุดสิ้นสุดของการเดินทาง

ความรักที่แตกสลายลงถึงสองครั้ง ได้แปรสภาพเป็นพิษร้าย แล้วดีดสะท้อนย้อนกลับมากัดกร่อนเจ้าของอย่างทารุณ ซึ่งภภีมเอง ก็จงใจปล่อยชีวิตบอบช้ำให้มันถูกทำลายไปอย่างช้าๆ สิ่งที่เขาปรารถนาไม่ใช่ตายเลย แต่ต้อง 'ค่อยๆ ตาย'




การเดินทางต้องหยุดชะงักตลอดช่วงบ่ายที่ตกอยู่ใต้เวทมนตร์ของห่าฝน ทั่วบริเวณฉ่ำนอง เกิดน้ำขังในหลุมในปลักหลายแห่ง คณะเดินทางของสามแสนจึงจำเป็นต้องปักหลักหลบฝนในโพรงถ้ำเล็กๆ นายเก่งกาจเป็นคนบอกกับสามแสนว่า

"กว่าฝนจะซา ฟ้าก็มืดพอดี เราคงต้องออกเดินทางกันอีกทีก็พรุ่งนี้เช้าครับ"

"ไม่เป็นไรค่ะ สามแสนไม่รีบ"

"ดีนะครับที่เราพอจะมีโพรงถ้ำไว้หลบฝน ไม่อย่างนั้น ลำบากกันแย่เลย ผมน่ะไม่เป็นไรหรอก ชินเสียแล้ว"

"สามแสนก็ไม่เป็นไรค่ะ ถึงจะไม่ชิน แต่ก็พอมีประสบการณ์ลำบากลำบนกลางป่ามาแล้วครั้งหนึ่ง"

ลูกน้องนายพรานคนเก่ง ชงกาแฟมาให้ดื่มแก้หนาว สามแสนรับมา แต่วางไว้ข้างตัว เธอไม่หนาวกายมากไปกว่าหนาวใจ ไม่อาจระบายความทุกข์ทรมานที่เกิดจากพลังโหยหาพี่ชายอย่างแรงกล้า

ดวงตาหม่นหมองทอดจับม่านฝนขาวหนาหน้าโพรงถ้ำ ปากเธอก็บอกว่าไม่เป็นไร หากแต่ใจข้างใน กลับลอบคำนึงตัดพ้ออย่างเศร้าๆ

ทำนองว่า เป้าหมายอยู่ไม่ไกลแล้ว ฟ้าฝนก็ช่างโหดร้ายนัก จำเพาะต้องโถมกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาตอนนี้ ทำเหมือนว่าจะกีดกันไม่ให้เธอได้พบกับพี่ชายเร็วๆ อย่างนั้นล่ะ

"นั่นใครวะ" นายเก่งกาจตะโกนถามแข่งกับเสียงฝนหนัก

"ใครคะ" สามแสนรีบถามบ้าง ร่างขยับลุกอย่างตื่นตัว

"ไม่รู้สิครับ มาเปียกม่อลอกม่อแลกเชียว เฮ้ย ใครวะไอ้ต้อง" ตอนท้ายก็หันไปพยักพเยิดถามลูกน้อง

"ไอ้มะเฟืองครับ"

ลูกน้องพาเจ้าของชื่อเข้ามาหลบฝน นายเก่งกาจพอเห็นหน้า ก็ร้อง 'อ้อ' เพราะรู้จักมักคุ้นกันดี แกหันไปบอกสามแสนว่า

"ไม่ต้องกังวลนะครับคุณสามแสน ไอ้มะเฟืองมันคนกันเอง คงจะกลับมาจากในเมือง มันหาของป่าไปขายครับ เอ้อ แล้วทำไมมาโผล่ตรงนี้" ตอนท้ายก็หันไปซักไซ้เจ้าของชื่อ

"ก็ว่าจะย้อนกลับไปอ้อมทางหมู่บ้านดงโจรเสียหน่อย ฝนมันลงเสียก่อน ฉันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ"

"อ้อมทำไมวะ ไกลก็ไกล อันตรายก็อันตราย"

"ก็มันกลับเข้าหมู่บ้านไม่ได้นี่ลุงกาจ สะพานมันขาด เมื่อคืนนี้ฝนตกหนักมากเลย ชาวบ้านจะข้ามฟาก พากันเดือดร้อนไปทั่ว นี่ก็เห็นว่ากำลังเร่งซ่อมแซมกันอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใช้ได้ตอนไหน"

"อ้อ แย่หน่อยนะ" นายพรานคนเก่งครางรับรู้ สีหน้าเหมือนเห็นอกเห็นใจ

สามแสนกระเถิบลึกเข้าไปข้างใน เธอเริ่มดื่มกาแฟ ตอนแรกลอบหวังว่าฝนอาจจะหยุดคลุ้มคลั่งภายในชั่วโมงสองชั่วโมงนี้ แต่เมื่อฟังนายมะเฟืองเล่าจบ เธอก็ไม่อยากหวังลมๆ แล้งๆ ฟ้าฝนในป่ามันเอาแน่นอนไม่ได้หรอก

ก็เหมือนคืนนั้น ฝนถาโถมไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้พี่ชายกลับถึงกระท่อมช้ากว่าปกติ ทำให้ทรชนคนเลวเกือบจะข่มเหงย่ำยีกลางป่า ครั้นเมื่อฝนหยุดคำราม เธอก็ถูกความเหือดแห้งนั้น พรากพี่ชายไปจากหัวใจ




ป่าผืนเดียวกันแท้ๆ แต่หนุ่มสาวกลับถูกขวางกั้นไว้ด้วยแรงถาโถมของห่าฝน สามแสนคุดคู้ตัวเองในโพรงถ้ำ พร่ำวิงวอนสวรรค์ให้รีบเก็บน้ำฟ้าคืนไปเสียที

ภภีมย้ายจากโขดหินไปนั่งพักให้ตัวชื้นในกระโจมที่ทำขึ้นชั่วคราว เจ้าตัวไม่ได้แยแสว่า ฟ้าจะเก็บน้ำคืนไปตอนไหน แต่ใส่ใจว่า เมื่อไหร่หนอ ลมหายใจสุดท้ายจะ 'หายไป' เสียที

"อาดุ กาแฟจ้ะ ของคนอื่นน่ะ แม่ชงรวมกันเป็นหม้อๆ เลย แต่ของอาดุถ้วยนี้นะ ใบพลูเป็นคนชงเองกับมือ ชิมหน่อยสิจ๊ะ ว่าอร่อยไหม"

"ขอบใจ วางไว้ก่อน เหนื่อยไหม วิ่งไปวิ่งมา ไม่เห็นว่าจะได้งานเป็นชิ้นเป็นอันเลย"

"ทำไมถามอย่างนั้นจ๊ะ" สาวใบพลูย้อนยิ้มๆ ทรุดร่างลงนั่งข้าง

"ไม่ได้ถาม กำลังด่าอยู่" ภภีมย้อนกลับให้รอยยิ้มสวยของอีกฝ่ายหุบเกือบไม่ทัน "ปล่อยให้:-)่วนหน้าง่วนหลังตั้งแต่เช้ายันใกล้ค่ำ ใช้ได้ที่ไหน"

"แหม อาดุ" สาวแก่นทำหน้ามุ่ย "บ่นเหมือนคนแก่"

"ก็แก่แล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รำคาญที่มีสาวๆ อย่างเรามาคลอหน้าคลอหลัง เอาล่ะ อาได้กาแฟแล้ว อร่อยมาก ไปช่วยแม่รินกาแฟแจกชาวบ้านเถอะ"

"ใบพลูอยากนั่งเป็นเพื่อนอาดุนี่"

"อาอยากอยู่คนเดียว ไม่ชอบให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อน ไปเถอะ"

นายขิงดื่มกาแฟอยู่ตรงมุมหนึ่ง ตาเรียวดำหรี่ลง อิจฉาว่าหนุ่มใหญ่หน้าดุ มักจะได้ใกล้ชิดกับสาวสวยในดวงใจบ่อยกว่า

เจ้าตัวดูท่าว่าไม่ค่อยปรารถนานัก แต่ใบพลูของเขา ก็ทำเหมือนกับอ่านท่าทีนั้นไม่ออก อย่างตอนนี้ ร่างเล็กลุกกระฟัดกระเฟียดกลับมา หน้าตาไม่ค่อยสำราญใจเลย คงจะโดนฝ่ายโน้นไล่ตะเพิดมาอีกเป็นแน่

"อย่าไปยุ่งกับเขานักน่า" เขาตามมาเตือนกึ่งปลอบใจ

"จะยุ่ง" ใบพลูชักสีหน้า "คอยดูนะ ใบพลูจะเอาชนะใจอาดุให้ได้ เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ใบพลูรัก และใบพลูก็จะไม่รักใครอีกนอกจากเขา คอยดูนะ คอยดูๆ หลีกไป อย่าเกะกะขวางทางสาวสวยอย่างใบพลู หลีกๆ "

นายขิงหัวเราะขำๆ ร่างกำยำโดนผลักโดนรุนอย่างรังเกียจ เขาคงจะรักใบพลู เพราะประทับใจกับวาจายกยอตัวเองอย่างยโสของหล่อนนั่นล่ะ ฟังมาตั้งแต่เป็นเด็ก เป็นสาวรุ่น กระทั่งเป็นสาวสะพรั่ง

ใบพลูไม่รู้ไปจำใครมา ไม่ว่าจะเจรจาอย่างอารมณ์ดีหรือแว้ดแหวอย่างเกรี้ยวโกรธ หล่อนก็จะไม่ลืมพ่วงวลีติดปากที่ว่า 'สาวสวยอย่างใบพลู' แนบท้ายมาด้วยเสมอ

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 29 พ.ค. 54 18:34:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com