“ของมาถึงเย็นพรุ่งนี้ ลื้อมารับให้ทันก็แล้วกัน” เสียงที่ปลายสายย้ำก่อนวางหู ถึงผมพยายามอธิบายว่าตอนนี้อยู่บนภูเขา แต่เจ้านายก็ยืนยันเสียงแข็ง บอกเป็นนัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่ทำตาม ซวยจริงๆ ก่อนลาเราก็เช็คกับบริษัทต่างประเทศแล้วว่าของจะมาอาทิตย์หน้า ตั้งใจจะค้างบนยอดเขาสองคืนแล้วกลับพรุ่งนี้เช้าแท้ๆ แต่งานเข้าแบบนี้คงต้องกลับวันนี้แทน รีบเดินกลับไปที่พัก เก็บของแล้วหอบเต็นท์มาคืนที่สำนักงาน มองผ่านกระจกเข้าไปไม่เห็นเจ้าหน้าที่ ผมตัดสินใจเอาของที่เช่าทั้งหมดวางไว้ที่โต๊ะหน้าห้อง ไม่ลืมที่จะเขียนโน๊ตทิ้งไว้ เดินออกจากสำนักงาน หยุดมองป้ายตรงทางลงเขา จำได้ว่าดีใจจนลืมเหนื่อยตอนเห็นมันเมื่อวาน คิดไปก็น่าเสียดายที่ไม่ได้เดินเที่ยวให้ทั่ว มองนาฬิกา ตอนนี้ก็บ่ายสามโมงกว่า ลังเลว่าจะลงเขาทันก่อนฟ้ามืดหรือเปล่า ถ้าเทียบกับตอนเดินขึ้นใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมง ตอนลงเขานี่ก็น่าจะใช้เวลาน้อยกว่า ตอนที่กำลังลังเลอยู่ผมก็มองไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขานั่งอยู่คนเดียวที่จุดชมวิวริมหน้าผา ดูแล้วเขาคงอายุน้อยกว่าผมไม่กี่ปี ตอนเข้าไปทักเห็นเขาสะดุ้งและมองผมอย่างแปลกใจ หลังจากนั้นรอยยิ้มที่เป็นมิตรก็ปรากฏขึ้นมาแทน เอกบอกว่าเขาเป็นลูกจ้างชั่วคราวคอยดูแลผืนป่าแห่งนี้ ผมถามเอกเรื่องลงเขา “ปกติจะลงกันก่อนเที่ยงครับ” เขาตอบ “ทำยังไงดี พี่มีธุระสำคัญต้องกลับวันนี้ด้วยสิ” ผมพูด สีหน้ากังวล “ผมก็กำลังตัดสินใจว่าจะลงเขาไปทำธุระดีหรือเปล่า เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี่ยวผมไปเป็นเพื่อนก็แล้วกัน” เอกเสนอตัว คงเห็นผมจำเป็นต้องลงเขาจริงๆ และเขาก็อยู่ที่นี่นานจนจำเส้นทางต่างๆได้แม่น “ผมอยู่จนเริ่มเบื่อแล้วครับ บางทีอาจได้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอกบ้าง” เอกให้เหตุผล เราสองคนลงเขามาด้วยกัน ในตอนแรกเราต้องลงบันไดที่ค่อนข้างชัน ฝนที่เพิ่งหยุดทำให้มันลื่นจนผมเกือบพลาดตกลงไป ดีที่คว้าราวบันไดไว้ได้ทัน หลังจากนั้นต้องไต่ลงทางแคบๆ ตรงนี้ลำบากจนต้องใช้มือเกาะก้อนหินแล้วเดินไปทีละก้าว กว่าจะผ่านได้เล่นเอาพวกเราหมดแรงจนต้องนั่งพัก ตอนที่กำลังกินน้ำอยู่ ผมมองไปเห็นศาลไม้เก่าๆ มีผ้าแพรสีต่างๆผูกไว้รอบฐาน ผมยกมือขึ้นอธิฐานขอให้ลงเขาได้อย่างปลอดภัย เอกยืนมองผมอยู่ห่างๆ เขายิ้มแล้วเล่าว่าศาลนี้เป็นของเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธ์เหล่านี้เป็นเทวดาหรือเทพารักษ์ที่คอยคุ้มครองป้องกันภัย มีบ้างเหมือนกันที่เมื่อบรรพบุรุษตายไปมีบารมีเพียงพอก็กลายเป็นเจ้าที่คอยดูแลรักษาลูกหลาน “แต่ก็มีที่ตายไปแล้วมีบ่วงกรรมทำให้ไปใหนไม่ได้ต้องอยู่ที่เดิมไปจนกว่าจะมีคนมาแทน” เอกเล่าให้ฟัง “กลางป่าเขาห้ามไม่ให้พูดเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ” ผมห้าม กลัวว่าเอกจะเล่าเรื่องที่หน้ากลัวกว่านี้แล้วจะพาลทำให้ไม่กล้าเดินทางต่อ “ขอโทษครับผมเผลอไป” เอกรีบขอโทษ ตอนนี้เรามาได้ไม่ถึงครึ่งทาง มองเห็นเมฆฝนเริ่มตั้งเค้า บังแสงอาทิตย์ที่มีน้อยอยู่แล้วให้ยิ่งสลัวลงไปอีก ผมเริ่มกังวลว่าการเดินทางครั้งนี้อาจอันตรายกว่าที่คิด เดินมาได้ไม่นานเราก็มาหยุดที่ทางแยกตรงหน้า ทางเส้นหนึ่งเป็นเส้นหลักที่ผมใช้เดินขึ้นเขามา อีกทางเป็นถนนเส้นเล็กๆ “ถ้าไปทางหลักต้องเดินประมาณสองชั่วโมง แต่ถ้าไปทางลัดจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ” เอกบอกตัวเลือก ผมก้มมองนาฬิกาเห็นว่าเกือบห้าโมงเย็นแล้ว ถ้าต้องเดินอีกสองชั่วโมงฟ้าคงมืด และที่สำคัญมีโอกาสที่จะตกรถสูง ผมตัดสินใจใช้ทางลัด “ไม่ต้องห่วงครับผมใช้ทางนี้บ่อย หลับตาเดินยังได้” เอกให้กำลังใจเมื่อเห็นผมลังเล เราเดินต่อไป แต่ยิ่งเดินก็เหมือนยิ่งลึกเข้าไปในป่า ได้ยินเสียงฟ้าร้องดังมาจากอีกฟากหนึ่งของภูเขา ตอนนี้มีแสงสลัวพอให้เห็นทางข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว ผมหยิบไฟฉายออกมาส่องทาง เราต้องเดินระวังมาก บางช่วงเราต้องเดินผ่านทางแคบๆเลียบหน้าผา บางทีก็ต้องผ่านพุ่มไม้ที่ขึ้นขวางทาง เสียงฟ้าร้องดังใกล้เข้ามาทุกที “ข้างหน้าจะมีทางเดินของช้าง หรือที่เรียกว่าด่านช้าง เราต้องระวังกันหน่อยนะครับ” เอกเตือน เดินมาไม่ไกลก็มาถึงด่านช้างตามที่เอกบอก ดูเผินๆก็เหมือนทางทั่วไป แต่มีหลักฐานเป็นขี้ช้างกองใหญ่ เอกบอกว่าลักษณะแบบนี้แสดงว่าช้างน่าจะยังอยู่ใกล้ๆ เรารีบเดินออกมาเพื่อความปลอดภัย เดินเร็วจนคล้ายวิ่งแล้วมาหยุดที่ป้ายบอกทาง ป้ายบอกว่าเรากำลังตรงไปที่ทำการอุทยาน เห็นแล้วก็อุ่นใจ ข้างๆกันมีป้ายเขียนบอกทางไปผาช้างหล่น “ผาช้างหล่น ตั้งชื่อได้เห็นภาพดี” ผมพูด คิดภาพว่าเป็นหน้าผาใหญ่และสูงชันจนช้างตกลงไปได้ เอกให้ข้อมูลว่าผาช้างหล่นเป็นที่อันตราย ริมผามีต้นไม้ขึ้นรก คนจะไม่รู้ว่าข้างหน้าเป็นผาสูง แม้แต่สัตว์ป่าเองก็มีที่พลัดตกลงไป ทำให้ข้างล่างมีโครงกระดูกของสัตว์หลายชนิด “เคยมีคนตกลงไปหรือเปล่า” ผมถาม “ก็มีบ้างเหมือนกันครับ แต่ตอนนี้เขาหันไปใช้ทางหลักกันหมด ชาวบ้านเองก็กลัวจนไม่กล้ามาใกล้ ครั้งหลังสุดที่มีคนตกไปตายก็ราวๆยี่สิบปีที่แล้ว” เขาพูดประโยคหลังด้วยเสียงแผ่วเบา “รีบเดินต่อกันดีกว่าครับ ฝนจะตกแล้ว” เอกพูดตัดบท ผมสังเกตุว่าเอกพูดน้อยลง อาจเป็นเพราะความเหนื่อยหรือไม่ก็เพราะความกังวลเรื่องฝน ถ้าตกจริงๆคงลำบากและอันตรายมากขึ้น ผมรู้สึกว่าสิ่งต่างๆรอบตัวเงียบผิดปกติ ไม่มีเสียงของแมลงหรือสัตว์ป่าเลย นานๆจะได้ยินเสียงฟ้าร้องดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วฝนก็เทลงมา ฟ้ามืดสนิทถึงจะมีไฟฉายแต่ก็ช่วยได้ไม่มาก เราตัดสินใจเข้าไปหลบใต้ชะง่อนหินรอให้ฝนซา เรานั่งอยู่ตรงนั้นความเงียบทำให้อึดอัดจนผมต้องชวนคุย ไม่นานเอกก็เล่าเรื่องเขาให้ฟัง เอกเล่าว่าเป็นคนกรุงเทพแต่สอบติดมหาวิทยาลัยที่จังหวัดนี้ เขาเล่าถึงวัยเรียนที่สนุกสนาน ช่วงปิดเทอมจะรวมกลุ่มเพื่อนที่สนิทพากันไปเที่ยว จนในที่สุดก็ได้เจอแฟนที่นี่ เธอเป็นรุ่นน้องคณะที่ตามเพื่อนในกลุ่มมาเที่ยว เอกบอกว่าเขารักแฟนคนนี้มาก แต่ช่วงหลังเอกต้องทำงานสโมสรนักศึกษาทำให้ไม่ค่อยมีเวลา เขาเจอเธอน้อยลง จนวันหนึ่งเขารวมเพื่อนกลุ่มเก่ามาเที่ยวที่นี่อีกครั้ง ตั้งใจว่าจะคุยกับแฟนให้เข้าใจ แต่มันไม่เป็นไปตามที่คิด แฟนบอกเลิกเขาที่นี่ “เราทะเลาะกันหนักมาก เธอร้องไห้กลับห้อง ส่วนผมตัดสินใจเดินลงเขา” เอกเล่าอดีตให้ฟัง “วันนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้คุยกัน” เอกพูด ผมเริ่มเข้าใจว่าทำไมเอกถึงเงียบไป เขาคงคิดถึงอดีต “ถ้ามีโอกาสอีกครั้งผมก็อยากขอโทษเธอ อยากบอกว่าผมรักเธอมากแค่ใหน” เอกพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า “ทำไมไม่ปรับความเข้าใจกันละ” ผมถาม “มันสายไปแล้วครับ ตัวผมเองก็ต้องทำงานอยู่ที่นี่ เธอก็มีแฟนใหม่ไปแล้ว ที่สำคัญผมไม่กล้าที่จะพูดกับเธอ” เอกตอบ เราต่างก็เงียบไป ฝนยังคงเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ความมืดทำให้ผมกลัว รู้สึกว่าบรรยากาศมันวังเวงพิกล ตอนนี้เราคงอยู่ไม่ไกลจากผาช้างหล่น แล้วสายตาของผมก็มองเห็นสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนเงาของคนกำลังเดินไปมา ผมพยายามเพ่งมองอีกครั้ง คิดว่าคงตาฝาดไปเอง แต่แสงฟ้าแลบทำให้เห็นสิ่งนั้นได้ชัดเจน ผมค่อยๆบอกเอกให้หันไปดู “ผมเห็นเขาตามมาตั้งแต่ด่านช้างแล้วครับ ผมไม่อยากบอกพี่กลัวว่าพี่จะตกใจ” เอกตอบ “แล้วเราจะทำยังไงต่อ” ผมถามเสียงสั่น “พยายามทำตัวให้เป็นปกติครับ ถ้าดวงของพี่ยังไม่ถึงที่ อะไรก็ทำอันตรายพี่ไม่ได้” เอกตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แค่ทำตัวปกตินี่นะ” ผมตกใจกับคำตอบที่ได้ “ครับเราก็ทำได้แค่นั้น” เอกตอบ ผมมองออกไปเห็นสิ่งนั้นลอยไปมา บางครั้งมันก็ลอยเข้ามาใกล้ หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วลอยห่างออกไป เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง “มันจะเข้ามาทำร้ายเราหรือเปล่า” ผมถาม “ทุกอย่างมีกฎเกณฑ์ครับ เขาคงกำลังดูว่าจะทำอะไรได้แค่ใหน” เอกตอบ ตอนนี้ผมรอให้ฝนหยุดอย่างกระวนกระวาย นั่งลงยกมือขึ้นไหว้ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง นั่งอย่างนั้นอยู่นานจนฝนเริ่มซาลงไป มองออกไปข้างนอกสิ่งนั้นหายไปแล้ว “รีบไปต่อดีกว่าครับ นี่ก็ใกล้จะถึงแล้ว” เอกพูด เราเดินต่อไป ฝนทำให้ดินเป็นโคลน ก้อนหินก็ลื่นจนเกือบล้มหลายครั้ง บางจังหวะที่ผมหันกลับไปก็เห็นสิ่งนั้นตามเรามาห่างๆ ผมรีบเดินให้เร็วขึ้น แล้วอยู่ๆไฟฉายก็ดับไป ผมต้องใช้ไฟหน้าจอมือถือช่วยส่องทาง ผมหันกลับไปไม่เห็นเอก ผมตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง “ผมทำกุญแจหล่นครับ พี่เดินต่อไปก่อน ถ้าหาเจอแล้วผมจะรีบตามไป” เอกตะโกนตอบ “เดี๋ยวไปช่วยหา ใช้ไฟจากมือถือช่วยน่าจะหาได้ง่ายขึ้น” ผมตะโกนบอก “ไม่เป็นไรพี่ ผมใช้มือถือผมก็ได้ พี่เดินไปก่อนเถอะ” เอกตะโกนตอบ แล้วผมก็เห็นแสงไฟจากมือถือของเอก ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ สองข้างทางเป็นต้นไม้รก เดินได้ไม่ไกลก็ต้องหยุดเพราะมีพุ่มไม้ขวางหน้า ตอนที่กำลังจะเดินลุยผ่านพุ่มไม้ ผมรู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง ผมค่อยๆมองไปทางขวามือ แล้วผมก็ต้องตกใจสุดขีดเพราะมีร่างหนึ่งยืนห่างจากผมไปไม่เกินสองเมตร ไฟจากมือถือทำให้ผมเห็นสิ่งนั้นได้ชัดเจน สิ่งที่เห็นคือผู้ชายรูปร่างกำยำอายุประมาณสี่สิบปี ลักษณะคล้ายทหารโบราณ ไม่สวมเสื้อทำให้เห็นรอยสักตามตัวไล่ไปถึงแขน มือข้างหนึ่งถือขวานเก่าๆ ตาจ้องเขม็งมาที่ผม ผมกลัวจนอยากจะวิ่งแต่ทำไม่ได้ เขาค่อยๆยกขวานขึ้นแล้วชี้ไปข้างหน้า ผมมองตาม สิ่งที่ชายคนนั้นชี้อยู่คือป้ายที่เขียนว่าผาช้างหล่น ผมตกใจหันไปมองพุ่มไม้ที่ขวางอยู่ ผมยกโทรศัพท์มือถือขึ้นส่องไฟไปข้างหน้า สิ่งที่เห็นยิ่งทำให้ผมขนลุกเพราะข้างหน้าที่คิดว่าเป็นทางเดินที่จริงเป็นหน้าผาสูง ผมถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว แล้วมองไปยังจุดที่ชายคนนั้นอยู่ แต่ตอนนี้เหลือเพียงความว่างเปล่า หรือว่าเขาอาจเป็นเจ้าที่ และก่อนหน้านี้เขาแค่พยายามคุ้มครองป้องกันอันตราย ไม่นานเอกก็เดินตามมาทัน ผมเล่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เขาฟัง เอกไม่พูดอะไร เขาเดินพาผมไปทางซ้ายมือ พอเดินเข้าไปใกล้จึงเห็นว่ามีทางเส้นหนึ่งอยู่หลังก้อนหินใหญ่ เราเดินตามทางนั้นมาไม่ไกลก็ถึงตีนเขา ผมเห็นไฟจากอาคารเจ้าหน้าที่ เอกขอตัวแยกไปทำธุระ ผมหยิบเงินส่งให้เขาและพูดขอบคุณน้ำใจ “ไม่เป็นไรครับพี่เก็บไว้เถอะ ผมเอาไปก็ไม่ได้ใช้” เอกตอบปฏิเสธพร้อมรอยยิ้ม “งานที่นี่ก็อันตราย รักษาตัวด้วยนะ” ผมบอกเขา “ครับ ผมก็คิดว่าจะลาออกอยู่เหมือนกัน แต่ยังหาคนมาแทนไม่ได้” เขาตอบ “โชคดีครับ ไม่แน่เราอาจได้เจอกันอีก” เอกพูดทิ้งท้ายก่อนเดินแยกไปอีกทาง ผมติดต่อสำนักงานเพื่อถามเรื่องรถที่จะเข้าตัวอำเภอ เจ้าหน้าที่บอกว่าผมโชคดีมากที่มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาทำธุระ ตอนนี้กำลังจะกลับพอดี เจ้าหน้าที่ช่วยติดต่อให้ ปรากฎว่าพวกเขากำลังจะกลับกรุงเทพและชวนให้ผมติดรถไปด้วย ผมขอบคุณและได้เดินทางมากับครอบครัวนี้ ระหว่างทางผมเล่าประสบการณ์ที่เพิ่งได้เจอมาให้พวกเขาฟัง พวกเขาพูดว่าผมโชคดีมาก โดยเฉพาะผาช้างหล่นนั้นเป็นตรงที่พวกเขาเสียเพื่อนไปเมื่อยี่สิบปีก่อน “เขาเป็นแฟนเก่าป้า วันนี้ก็ตรงกับวันที่เขาเสีย เราเลยมาทำบุญให้พี่เอกเขา” เธอบอก ชื่อนี้ทำให้ผมตกใจ พอทบทวนเหตุการณ์ต่างๆทำให้เข้าใจชัดเจนขึ้น “ขอโทษนะครับ ป้ายังมีรูปของเขาอยู่หรือเปล่า” ผมถามขึ้น ฝนเริ่มตกลงมาอีกครั้ง รถยนต์กำลังแล่นออกจากประตูอุทยาน คนในรถไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองตามพวกเขาอย่างอาลัยอาวรณ์ ................................
จากคุณ |
:
kaewkrong
|
เขียนเมื่อ |
:
29 พ.ค. 54 22:00:12
|
|
|
|