เส้นทางการเดินทางของคนทั้งสี่แม้จะเป็นการเดินบนที่ราบสลับกับป่าละเมาะขนาดย่อมแต่ก็เต็มไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากตลอดระยะทางพวกเขาต้องพบกับกองโจรกลุ่มเล็กๆซึ่งกลับจากการปล้นสดมภ์เมืองต่างๆ ฟอร์เซ็ตติมักจะปล่อยให้โซลย์เป็นผู้จัดการกับโจรมนุษย์เหล่านั้นโดยไม่ยอมเข้าไปช่วยเหลือหรือยุ่งเกี่ยว ตรงกันข้ามกับในตอนกลางคืนซึ่งมักจะมีเหล่าผีดิบซึ่งเคยเป็นพลเมืองของมาร์วัลลัสออกมาล่าหยื่อ จอมเวทหนุ่มจะเผาร่างของพวกเขาทันทีที่พบโดยไม่ยอมให้เพื่อนร่วมทางช่วย
ยิ่งเข้าใกล้ป่าอันเป็นพรมแดนระหว่างมาร์วัลลัสกับแซฟเวจย์มากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกถึงพลังกดดันอันมหาศาลที่แผ่ออกมามากขึ้นทุกขณะ ฟอร์เซ็ตติเพ่งสายตามองผ่านความมืดไปยังทิศทางของป่าดิบด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างหนัก โซลย์ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจอันหนักหน่วงของเขา
ดูเจ้าวิตกกังวลกับป่าเบื้องหน้านั่นเหลือเกินนะ ฟอร์เซ็ตติ
ที่ข้าวิตกคืออารักษ์ผู้เฝ้าผืนป่าแห่งนั้นต่างหาก จอมเวทหนุ่มตอบก่อนนั่งลงข้างกองไฟ โมไดเคี้ยวเนื้อเค็มแห้งชิ้นสุดท้ายช้าๆ เขากลืนมันลงคอพร้อมกับยกถุงน้ำขึ้นมาดื่มและปาดปากของตนเองเพื่อเช็ดน้ำที่ไหลเปื้อน
ข้าไม่เคยเห็นเจ้ากลัวใครมาก่อน เด็กหนุ่มพูด เห็นทีเจ้าอารักษ์ที่ว่านั่นคงจะน่ากลัวมาก
เจ้าเข้าใจผิดแล้วโมได ฟอร์เซ็ตติกล่าว ข้าเคยบังเกิดความกลัวจนจับจิตมาแล้วหลายครั้งเพียงแต่ไม่เคยบอกให้เจ้าได้รับรู้เท่านั้นเอง
ข้าไม่เคยรู้ เด็กหนุ่มขยับนั่งตัวตรงทันที เจ้าเคยกลัวอะไรบ้าง
ข้ากลัวว่าจะสูญเสียลินซ์ไป กลัวว่าเจ้าจะตายเมื่อตอนที่โดนเข็มของนิตฮอกก์ กลัวว่าพวกเจ้าจะได้รับอันตรายตอนที่อยู่ในหมู่บ้านผีดิบนั่น
ที่เจ้ากลัวน่ะมันเป็นเรื่องของพวกข้าทั้งนั้น ข้าอยากจะรู้ว่าสิ่งที่เจ้ากลัวมากที่สุดจริงๆแล้วคืออะไรกันแน่ โมไดคาดคั้น ฟอร์เซ็ตติมองดูเขาด้วยดวงตาสีฟ้าที่ฉายความเศร้าออกมา
สิ่งที่ข้ากลัวมากที่สุดก็คือ การต้องเสียเพื่อนที่ข้ามีอยู่ในเวลานี้
คราวนี้ทั้งโซลย์ โมไดและแนชท์ถึงกับนั่งนิ่งอึ้ง แม่ทัพหนุ่มส่ายหน้าพร้อมกับกล่าว
เจ้าจะไม่มีวันเสียพวกเราไปอย่างแน่นอนตราบใดที่พวกเรายังคงไม่ทอดทิ้งกัน นอกเสียจากจะเป็นการกระทำของกาลเวลา
จริงอย่างที่โซลย์พูด ข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งหรือหันหลังให้กับเจ้าเป็นอันขาดเจ้าจอมเวท ถึงแม้ว่าภารกิจของพวกเราจะเสร็จสิ้นลงแล้วก็ตาม
ข้าก็จะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป แนชท์พูดขึ้นมาบ้าง จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเอื้อมมือไปขยี้ผมของนางเบาๆ
ขอบใจเจ้ามากแนชท์ เขาหันไปมองโมไดและโซลย์ รวมทั้งเจ้าทั้งสองคนด้วย
มือหนาหนักของโซลย์ตบลงบนบ่าของฟอร์เซ็ตติสองสามครั้ง ในขณะที่โมไดเกาคางของตนและเอนตัวลงนอน
คืนนี้ข้าขอยกเวรแรกให้กับเจ้าเพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจก็แล้วกันเจ้าจอมเวท เขาอ้าปากหาวและหลับตาลง โซลย์ถึงกับส่ายหน้าด้วยความรู้สึกระอาใจส่วนฟอร์เซ็ตติกลับยิ้ม
เจ้าเองก็นอนก่อนเถิด ข้าจะเฝ้ายามให้เอง
และอย่าลืมเรียกข้าเมื่อถึงเวลา โซลย์บอกและล้มตัวลงนอน จอมเวทเหลือบสายตาไปทางแนชท์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
หากเจ้าเริ่มรู้สึกไม่ดีก็จงรีบบอกข้าอย่าได้เกรงใจ
ข้าสบายดี แนชท์ตอบเบาๆและเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าที่มืดสนิท สีหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความหวาดวิตก ฟอร์เซ็ตติมองดูนางแต่ไม่พูดอะไร เพียงไม่นานแนชท์ก็ผล็อยหลับลงไปโดยไม่รู้ตัว
สายลมยามดึกพัดพาความเย็นยะเยือกมาสู่กายของแนชท์ นางลืมตาขึ้นและกวาดมองไปรอบๆ รอยยิ้มอันแสนน่ากลัวปรากฏบนมุมปากเมื่อเห็นร่างของโซลย์และโมไดซึ่งยังนอนหลับสนิทอยู่ เด็กสาวดันกายให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ลิ้นสีชมพูตวัดแลบเลียริมฝีปากด้วยท่าทางกระหาย
อย่าไปปลุกสองคนนั้นเลยแนชท์
เสียงนุ่มอันแสนอ่อนโยนพูดขึ้นไม่ดังนัก เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยและหันไปทางจอมเวทซึ่งกำลังยืนมองดูนางด้วยสีหน้าปรานี เขาหมุนกายเดินออกไปจากตรงนั้นโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา แนชท์รีบลุกขึ้นยืนและก้าวเดินตามไปติดๆ ฟอร์เซ็ตติหย่อนกายนั่งลงบนก้อนหินและปลดผ้าคลุมลงเหมือนเช่นครั้งก่อน เขามองดูแนชท์ซึ่งค่อยทรุดตัวนั่งลงเบื้องหน้าและหลับตาลง
แม้ร่างกายจะร้อนรุ่มไปด้วยความหิวกระหาย ความปรารถนาที่จะลิ้มรสเลือดแสนหวานซึ่งเคยได้รับเมื่อเดือนก่อนคุกรุ่นอยู่อย่างเต็มเปี่ยม แต่สติสัมปชัญญะของแนชท์ก็ยังไม่ถูกอำนาจแห่งคำสาปกลืนหายไปจนหมดดังเช่นทุกครั้ง นางจ้องมองดูบุรุษตรงหน้าด้วยความรู้สึกสับสน ทั้งละอายที่ต้องลงมือดูดกินโลหิตของเขาดุจดั่งปิศาจ ทั้งต้องการจะฝังคมเขี้ยวลงบนลำคอขาวผ่องด้วยความรู้สึกหิวโหย มือขาวซีดไล้แผ่นอกของจอมเวทอย่างแผ่วเบาน้ำตาใสๆไหลรินอาบแก้มนวล
ข้าไม่อยากทำเช่นนี้เลย
เด็กสาวกระซิบเสียงแห้งก่อนเลื่อนริมฝีปากขึ้นไปจุมพิตปลายคางของฟอร์เซ็ตติ เขาลืมตาขึ้นและไหวตัวน้อยๆด้วยความตระหนกเมื่อแนชท์แนบเรียวปากนุ่มของนางลงบนริมฝีปากของเขา
พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน!
เสียงโมไดดังลั่น แนชท์ผละออกจากร่างของจอมเวทและถอยหลังออกไปสองสามก้าวด้วยความตกใจในขณะที่ฟอร์เซ็ตติกระชับผ้าคลุมของเขาพร้อมกับลุกขึ้นยืน
เจ้ากำลังเข้าใจผิดแล้ว โมได
เข้าใจผิด! เด็กหนุ่มร้อง อ้อ สิ่งที่ข้าเห็นอยู่เมื่อครู่นี้คือการเข้าใจผิดอย่างนั้นเรอะ เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือยังไงที่ทำเรื่องน่าทุเรศแบบนี้ เจ้าจอมเวท
ข้า...ฟอร์เซ็ตติถอนหายใจหนักๆ โซลย์ก้าวเข้ามาพร้อมกับถาม
เกิดอะไรขึ้น
เจ้าจอมเวทนั่นกำลังล่อลวงแนทช์ โมไดตอบด้วยสีหน้าโกรธจัด แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันและหันไปทางฟอร์เซ็ตติซึ่งยืนนิ่งเงียบ
เขาล่อลวงแนชท์....ยังไง
ถามนางดูสิ
เด็กหนุ่มตอบพร้อมกับเลื่อนสายตาไปทางแนชท์ ดวงตาที่กำลังเกรี้ยวกราดเบิกกว้างอย่างตระหนกเมื่อเขาพบว่าเด็กสาวที่กำลังพูดถึงกำลังทรุดกายลงและล้มดิ้นทุรนทุรายไปมา เสียง ฟอร์เซ็ตติร้องเรียกชื่อของนางด้วยความเป็นห่วงแต่โมไดกลับรีบวิ่งถลันเข้าไปเพื่อจะประคองท่ามกลางเสียงห้ามของจอมเวท
อย่าแตะตัวนางโมได!
มือที่แข็งแรงยื่นออกไปคว้าไหล่ของเด็กหนุ่มก่อนที่เขาจะได้ทันเข้าไปถึงตัวแนชท์ โมไดสะบัดตัวเต็มแรงและหันไปจ้องหน้าฟอร์เซ็ตติด้วยความโกรธจัด
ทำไมข้าจะแตะต้องตัวนางไม่ได้
เพราะนางกำลังอยู่ภายใต้อำนาจแห่งคำสาปเลือด จอมเวทหนุ่มตอบ จงมองดูนางให้ดีๆ
โมไดและโซลย์หันไปมองเด็กสาวซึ่งกำลังอ้าปากหอบหายใจหนักๆ ทั้งสองตกใจจนแทบสิ้นสติเมื่อเห็นดวงตาวาวโรจน์ดุจดวงตาของสัตว์ป่าในยามค่ำคืน เสียงร้องคำรามอย่างดุร้ายดังมาจากปากบางนุ่ม เขี้ยวขาววับคมกริบคู่หนึ่งโผล่พ้นริมฝีปากของนางออกมา
นี่...มัน...
ผลของคำสาปเลือดที่เกิดขึ้นทุกคืนเดือนดับ ฟอร์เซ็ตติตอบ พวกเขาจะแปรเปลี่ยนสภาพไปเป็นปิศาจร้ายที่กระหายโลหิต ข้าจำต้องนำแนชท์ออกมาให้พ้นจากพวกเจ้าและยอมให้นางดื่มเลือดจนกว่าจะพอใจ
โซลย์มองดูเด็กสาวที่กำลังร้องขู่ด้วยความรู้สึกสงสารในขณะที่โมไดจ้องนางด้วยสีหน้าเศร้าสลด แล้วจู่ๆเขาก็เดินตรงไปหาแนชท์พร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างออก
เข้ามาสิ
ร่างเล็กบอบบางโผเข้าหาเด็กหนุ่มพร้อมกับฝังเขี้ยวคมกริบลงไปบนลำคอของเขาทันทีท่ามกลางความตกใจของฟอร์เซ็ตติ ร่างของโมไดกระตุกน้อยๆเมื่อแนชท์เริ่มดูดเลือดจากตัวของเขาอย่างกระหาย แขนสองข้างที่กางไว้ค่อยๆโอบเข้าหากันและกอดร่างของเด็กสาวแนบแน่น
เจ้าน่าจะบอกข้าเสียตั้งแต่ครั้งแรก โมไดกระซิบ เขากัดฟันตนเองแน่นเพื่อสะกดความเจ็บปวดที่เริ่มแผ่ไปทั่วร่าง เรี่ยวแรงกำลังเริ่มลดถอยลงทีละน้อย เขายิ้มเมื่อได้ยินเสียงครางอย่างพอใจของแนทช์
พอได้แล้วแนชท์ ฟอร์เซ็ตติพูดเสียงห้วนและรีบดึงร่างของเด็กสาวออกจากอ้อมแขนของ โมได เด็กหนุ่มทรุดตัวนั่งลงอย่างอ่อนแรงและคงล้มฟาดลงไปบนพื้นหากโซลย์ไม่รีบยื่นแขนมารับร่างของเขาไว้ได้ทัน
ข้า....ไม่เป็น ...ไร เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับยิ้มอย่างซีดเซียว ดวงตาเหลือบมองไปที่แนชท์ซึ่งกำลังยืนมองมายังเขาด้วยสีหน้าตระหนก ความน่ากลัวที่เห็นเมื่อครู่มลายหายไปจนหมดสิ้น เขาพยายามฝืนดันตัวให้ลุกขึ้นเมื่อเห็นเด็กสาวกำลังร้องไห้
ข้าสบายดีเห็นไหม เขายกแขนขึ้นแล้วแกว่งไปมาพร้อมกับทำท่ากระโดดอย่างร่าเริง ข้าไม่ได้เป็นอะไรเลยสักนิด
ฟอร์เซ็ตติบีบไหล่ของแนชท์เบาๆ เด็กสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
ข้าขอโทษ
โมไดหยุดการกระทำของตัวเองทันที เขาเดินเข้าไปหาเด็กสาวและก้มหน้าลงไปหานาง
ไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษ เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ดวงตาสีฟ้าเข้มตวัดมองไปยังจอมเวท หรือถ้าจะว่ากันตามตรงแล้วคนผิดน่าจะเป็นเจ้ามากกว่านะ เจ้าจอมเวท ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมเล่าเรื่องของแนชท์ให้พวกข้าฟัง
ข้ากลัวว่าพวกเจ้าจะหวาดกลัวนาง
แนชท์มีอะไรที่น่ากลัว โมไดย้อนเสียงสูง แล้วอีกอย่างอาการของนางเกิดเพียงแค่เดือนละครั้งเท่านั้นไม่เห็นจะต้องมานั่งวิตกอะไร
สีหน้าที่เคร่งเครียดของฟอร์เซ็ตติคลายลงทันทีเมื่อฟังคำกล่าวของโมไดจบลง เขาวางมือลงบนบ่าของเด็กหนุ่มซึ่งกำลังเช็ดน้ำตาให้กับแนชท์และกล่าวเบาๆ
ขอบใจเจ้ามาก
ใบหน้าซุกซนของโมไดเข้มขึ้น เขาพูดอะไรออกมาสองสามคำ โซลย์ยิ้มกว้างขณะที่มองดูเด็กหนุ่มวุ่นวายอยู่กับการหาคำพูดมาปลอบโยนแนชท์
ข้าคิดว่าพวกเจ้าควรจะไปนอนพักกันได้แล้ว พรุ่งนี้พวกเราต้องออกเดินทางกันแต่เช้า
แม่ทัพแห่งมอร์เซลพูดขึ้นในที่สุด
เช้าวันรุ่งขึ้นโมไดลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย เขาพยายามฝืนดันตัวเองให้ลุกยืนโดยไม่ยอมบอกให้คนอื่นรู้แต่ดูเหมือนฟอร์เซ็ตติจะเข้าใจ จอมเวทหนุ่มมองดูกิริยาอาการของโมไดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามเบาๆ
เจ้าเดินไหวไหม
สบายมาก เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงทั้งที่ใบหน้ายังคงซีดเซียว เขามองดูแนชท์ที่กำลังช่วยโซลย์ดับกองไฟ อย่าให้นางรู้ก็แล้วกัน
ข้าคิดว่าแนชท์คงจะรู้ดีว่าเจ้าเป็นอย่างไร ฟอร์เซ็ตติพูด นางเป็นห่วงเจ้ามากนะ
สีหน้าของโมไดสดชื่นขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขารีบผละจากจอมเวทและเดินตรงไปหาเด็กสาวซึ่งเงยหน้าขึ้นมาพอดี ฟอร์เซ็ตติยืนมองดูเด็กทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินไปหาโซลย์
ข้าจับพลังบางอย่างได้เมื่อตอนใกล้รุ่ง จอมเวทหนุ่มกระซิบ มันกำลังมุ่งหน้าตรงมาหาพวกเรา
สีหน้าของโซลย์แปรเปลี่ยนไป คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความวิตก เขาหันไปมองแนชท์และโมไดก่อนจะหันกลับมาทางฟอร์เซ็ตติและย้อนถาม
ราชันย์มารหรือ
ดูจากพลังแล้วมันอ่อนเกินกว่าที่จะใช่ แต่เป็นพลังอย่างเดียวกันแน่นอน
แล้วพวกเราจะหลบหลีกมันไปทางไหนดี แม่ทัพหนุ่มครุ่นคิด อีกไกลแค่ไหนกว่าพวกเราจะไปถึงป่าที่เป็นชายแดนนั่น
ราวสองวัน
ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องเร่งออกเดินทางกันเสียแล้ว โซลย์พูด เขาหันไปร้องเรียกโมไดและแนทช์พร้อมกับใช้เท้าเกลี่ยเศษเถ้าถ่านบนพื้นอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่ามันดับสนิทและไม่มีร่องรอยของการพักแรม
การเดินทางของคนทั้งสี่เป็นไปอย่างเร่งรีบ พวกเขารู้สึกตระหนกเมื่อพบว่าเบื้องหน้ามีกลุ่มคนจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าเข้ามาหา โซลย์ดึงบรุนนาลาออกมาจากฝักในขณะที่โมไดกระชับรันนิ่งเอาไว้ในมือแน่น ส่วนแนชท์กุมซาเบลลอทที่อยู่บนเข็มขัดในท่าทางพร้อมใช้ทุกเวลา
พวกกองโจร ฟอร์เซ็ตติเอ่ยขึ้นหลังจากเพ่งมองจนแน่ใจ พวกมันมีจำนวนคนเกือบร้อย
มันคิดจะขยี้พวกเราให้แหลกไปเลยหรือยังไงถึงได้ขนคนมามากขนาดนั้น
โซลย์บ่นด้วยความรู้สึกหงุดหงิดในขณะที่โมไดยิ้ม
แบบนิ้สิค่อยสมกับการต่อสู้ระดับแม่ทัพใหญ่
คนสี่คนกับโจรเป็นร้อยนี่เขาเรียกว่าการต่อสู้ที่สมกันหรือ เจ้าเด็กแสบ แม่ทัพหนุ่มพูดฉุนๆ เขากวัดแกว่งบรุนนาลาซึ่งเปล่งประกายสีแดงสุกสว่างดุจกำลังลิงโลดที่จะได้ดื่มเลือดของศัตรูอีกครั้ง เสียงโห่ร้องดังสนั่นหวั่นไหวมาจากเหล่าโจรซึ่งวิ่งกรูกันเข้ามาอย่างกระหายเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีจำนวนคนเพียงแค่สี่เท่านั้น
ฆ่ามัน!
ธนูนับสิบดอกวิ่งแหวกอากาศตรงเข้าไปหาคณะเดินทาง มันระเบิดแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเมื่อกระทบกับเขตอาคมของฟอร์เซ็ตติ
มีชาวมาร์วัลลัสอยู่ในกลุ่มของพวกมันด้วย โจรผู้หนึ่งร้องขึ้น
ปล่อยจอมเวทให้เป็นหน้าที่ของฮุนท์บรุท ชายผู้ดูคล้ายเป็นหัวหน้าร้องบอก พวกแกจัดการคนที่เหลือให้เรียบร้อย
สิ้นคำสั่งกลุ่มโจรต่างควงดาบและวิ่งเข้าโจมตีคนทั้งสี่ทันที รันนิ่งในมือของโมไดถูกปล่อยออกไป มันบั่นคอของโจรจนขาดกระเด็นไปหลายคน ส่วนที่เหลือพยายามก้มตัวเพื่อหลบแต่ก็ต้องร้องลั่นเมื่อถูกซาเบลลอทปักเข้าที่ลำคอและหน้าอก เลือดสีแดงฉานพุ่งทะลักออกมาราวกับสายน้ำ แนชท์เรียกอาวุธของนางกลับมาและเหวี่ยงไปปักที่หน้าของโจรอีกคนซึ่งกำลังเงื้อดาบเพื่อทำร้ายโมไดจากทางด้านหลัง เสียงร้องอุทานเรียกให้เด็กหนุ่มหมุนตัวหันมามอง เขาส่งยิ้มให้กับนางและหันกลับไปต่อสู้กับโจรอีกสองคนที่วิ่งถลันเข้ามา
โซลย์เหวี่ยงบรุนนาลาไปมาอย่างคล่องแคล่ว ดาบเวทปลิดชีวิตของโจรร้ายจนล้มตายราวกับใบไม้ร่วง จากกองโจรที่มีกำลังเกือบร้อย บัดนี้เหลือพียงไม่กี่สิบ พวกมันต่างถอยหลังออกไปด้วยความหวาดเกรง
ถ้ายังรักชีวิตก็วางอาวุธลงแล้วไปเสียจากที่นี่! โซลย์ร้องบอกด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ เหล่าทรชนมองหน้ากันไปมาคล้ายปรึกษา พวกมันค่อยๆวางดาบลงบนพื้นและยกมือขึ้นแสดงการยอมจำนน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำเพียงจ้องมองดู โจรที่เหลือจึงกลับหลังหันและวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็วโดยมีเสียงหัวเราะของโมไดดังไล่หลัง
คิดว่าจะแน่....... เสียงของเขาเงียบหายไปเมื่อเห็นพื้นดินตรงทิศทางที่โจรวิ่งหนีแยกออกเป็นหลุมกว้าง น้ำพุสีแดงฉานดุจเลือดพวยพุ่งขึ้นมาจากรอยแตกสูงขึ้นไปในอากาศ พวกโจรพากันหยุดชะงักบางคนถึงกับล้มลงเพราะยั้งตัวไม่ทัน
ฮุนท์บรุท! ใครคนหนึ่งร้องขึ้น คนที่เหลือรีบหันตัวเพื่อจะวิ่งไปอีกทางแต่น้ำพุเลือดกลับบิดเอี้ยวทิศทางการไหล เส้นสีแดงหลายเส้นงอกออกมาจากน้ำพุโลหิตซึ่งกำลังแปรเปลี่ยนไปจนมีรูปร่างคล้ายคลึงกับคน โซลย์จึงรู้ว่าเส้นสีแดงที่เขาเห็นนั้นก็คือนิ้วทั้งห้าของอสูรเลือดที่ยืดยาวออกมา มันพุ่งเข้าเสียบกลางลำตัวของโจรที่วิ่งหนีและดึงพวกเขาเข้าไปหา เหล่าทรชนส่งเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัวเมื่อร่างของพวกเขาถูกหย่อนเข้าไปในช่องเปิดบนส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นใบหน้า เมื่อร่างสุดท้ายหายเข้าไปในช่องปาก ดวงตาสีแดงก่ำของปิศาจเลือดก็ผุดออกมา มันกลอกกลิ้งกวาดมองไปรอบๆและหยุดลงตรงร่างของฟอร์เซ็ตติ รอยยิ้มหยามหยันปรากฏบนใบหน้าสีแดงเหลวเละ มันเป็นรอยยิ้มที่จอมเวทหนุ่มคุ้นเคยเป็นอย่างดี
จากคุณ |
:
moony (Moony_Lupin)
|
เขียนเมื่อ |
:
1 มิ.ย. 54 12:10:03
|
|
|
|