Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 17 อสูรโลหิต ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่  16 ป่าแห่งมนตรา
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10598082/W10598082.html

<17>

อสูรโลหิต


  ดาม่อนทรุดกายลงนั่งคุกเข่าอย่างนอบน้อมเมื่อเข้ามาในห้องโถงใหญ่ซึ่งมีบัลลังก์ของ
คอร์ฟคาคาร์สตั้งตระหง่านอยู่ เขามีสีหน้าแปลกใจเมื่อพบว่าราชันย์มารกำลังนั่งก้มหน้าโดยยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางไว้ ดวงตาดุดันปิดสนิทราวกับเจ้าของร่างกำลังเข้าสู่นิทรา จนเมื่อหัวหน้าโจรเอ่ยปากขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงหวั่นเกรง

“ท่าน เรียกหาข้าหรือ”

ร่างของจอมมารยังคงนั่งนิ่ง มีเพียงเปลือกตาเท่านั้นที่เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาสีดำแสนเย็นชาเหลือบมองดูสาวกซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าลงคล้ายสำนึกในความผิด รอยยิ้มเหี้ยมฉาบอยู่บนมุมปาก

“ข้าได้ยินมาว่าสมุนของเจ้าเพิ่งกลับมาจากชายแดนแซฟวี”

“พวกเขาเพิ่งมาถึงได้เมื่อครู่ใหญ่”

ดาม่อนตอบด้วยความนอบน้อม คอร์ฟคาคาร์สลดแขนของเขาพร้อมกับยืดตัวนั่งตรง

“งานของพวกมันเป็นเช่นไร”

“กองโจรของข้าและเหล่าบริวารของท่านล่าสังหารชาวแซฟวีจนเกือบหมดสิ้น ส่วนเด็กและผู้ที่มีอายุน้อยซึ่งยังอยู่ในความบริสุทธิ์ถูกนำกลับมาเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการแก่ท่าน”

“แล้วทางมาร์วัลลัสเล่า” จอมมารถามสั้นๆ ดาม่อนค้อมกายลงเล็กน้อยก่อนตอบ

“สำหรับชาวมาร์วัลลัส สมุนของข้าไม่สามารถจัดการกับพวกเขาได้ทั้งหมด ต้องอาศัยเหล่าบริวารผีดิบและสัตว์อสูรของท่านเป็นผู้ลงมือ ที่น่าแปลกก็คือ พวกเราพบชาวเอลฟ์เพียงไม่กี่ตนที่ป่าแห่งมนตราด้านใต้เท่านั้น ส่วนที่อื่นกลับไม่เจอพวกเขาแม้แต่เงา”

“เจ้าพวกอมตชนเหล่านี้เก่งในด้านการหลบซ่อน พวกเจ้าไม่ต้องกังวลไปนัก ข้าจะเก็บชนเหล่านี้เอาไว้ไล่ล่าเล่นเองเมื่อข้ารู้สึกเบื่อ ส่วนทางมอร์เซลนั้นอย่าเพิ่งบุกทำลาย เพราะที่นั่นจัดเป็นแหล่งอาหารอันอุดมสำหรับข้า เนื้อมนุษย์ที่นั่นหวานนุ่มลิ้นกว่าที่อื่นนัก”

ลิ้นสีแดงฉานตวัดแลบเลียไปบนริมฝีปากด้วยท่าทางกระหาย ดาม่อนกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ราชันย์ปิศาจจึงลุกยืนขึ้นและก้าวลงมาจากบัลลังก์

“ข้าจะไปที่คุกใต้ดิน”

อันทรัสต์ผูกเงื่อนที่ใช้ล่ามเด็กราวสิบกว่าคนเสร็จเรียบร้อยเมื่อจอมมารไปถึง เขาก้มตัวลงทันทีเมื่อเห็นร่างสูงในชุดดำก้าวลงมาจากบันได คอร์ฟคาคาร์สยิ้มอย่างน่ากลัว

“อาหารครั้งนี้น่าลิ้มลองยิ่งนัก”

“ส่วนมากมักจะเป็นลูกของชาวแซฟวีที่มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ผิวกายเนื้อตัวของพวกมันจึงล้วนแล้วแต่อวบขาวสมบูรณ์”

อันทรัสต์รายงาน จอมปิศาจยิ้มแสยะขณะที่ยื่นมือออกไปบีบคางของเด็กหญิงคนหนึ่ง เด็กน้อยกรีดร้องเสียงดังพร้อมกับหดใบหน้าหนีพลางร่ำไห้ด้วยความหวาดกลัว

“เจ้าจะกลัวไปทำไมกัน เพราะอีกไม่นานเจ้าก็จะมีสภาพเป็นเพียงชิ้นเนื้อสดๆให้ข้าลิ้มรสแล้ว”

กรงเล็บอันแหลมคมกางออก ดาม่อนและอันทรัสต์เบือนหน้าหนีไปด้านอื่นด้วยความรู้สึกสยอง เพราะแม้พวกเขาจะชินชากับการล่าสังหารผู้คน แต่กับการมองดูเด็กตัวเล็กๆถูกฉีกกินไปต่อหน้าเช่นนี้ จอมโจรทั้งสองมีความรู้สึกแทบทนไม่ได้ ทั้งคู่หลับตาแน่นจนกระทั่งเสียงใสๆดังขึ้น

“หากท่านหิวก็จงมากินข้าก่อนเถิด จอมมาร”

จอมโจรทั้งสองลืมตาขึ้นและหันไปมองดูเจ้าของเสียงพร้อมกันด้วยความรู้สึกตกใจ ต่างจากคอร์ฟคาคาร์สที่ทำเพียงเลิกคิ้วและเอี้ยวตัวไปดู ราชันย์ปิศาจยิ้มเยาะ

“อย่าคิดว่าที่ข้ายังไม่ลงมือกับเจ้านั้นคือความปรานี นังเด็กน้อย”

ลินซ์ยืนขึ้นและจ้องหน้าจอมมารนิ่ง แม้จะรู้สึกหวาดกลัวอยู่ภายในใจ แต่เด็กน้อยกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านยามถูกดวงตาอันอำมหิตมอง

“ข้าไม่เคยคิดว่าท่านมีความปรานี แต่ข้ารู้สึกรำคาญที่ต้องทนนั่งรอให้ท่านมาฉีกกินตามอำเภอใจ”

คราวนี้จอมปิศาจถึงกับปล่อยมือออกจากคอของเด็กหญิงที่กำลังทรุดตัวนั่งลงอย่างสิ้นแรงและเดินเข้าไปหาลินซ์ ร่างสูงก้มลง ใบหน้าคมแสนน่ากลัวยื่นลงไปจนเกือบจะชิดกับดวงหน้าอันไร้เดียงสาของบุตรีแห่งเดฟล่อน

“เจ้าคิดว่าคำพูดเช่นนี้จะช่วยให้รอดหรือ”

“ข้าไม่เคยคิด และไม่หวังจะให้มันเกิดขึ้นด้วย เพียงแต่ข้าไม่อยากยืนดูคนอื่นๆถูกฉีกกินทุกวัน รอเวลาที่จะถึงคราวของข้าด้วยความหวาดกลัว สู้ขอให้ท่านจัดการข้าเสียตอนนี้เลยดีกว่า”

อุ้งมืออันแข็งแกร่งยื่นออกไปคว้าที่ลำคอของลินซ์และกระชากเข้าหาตัวอย่างแรง ดวงตาสีดำวาวโรจน์ขึ้น จอมมารคำรามในลำคอ

“เจ้าแน่ใจรึ”

ดวงตาสีฟ้าฉายแววกล้าแข็งแทนคำตอบ คอร์ฟคาคาร์สบีบมือที่รวบลำคอเล็กๆแน่นขึ้น แล้วจู่ๆก็คลายออก ร่างสูงยืดตัวยืนตรง

“แต่ข้าไม่ชอบทำตามคำสั่งของใคร” เขาหันไปคว้าร่างของเด็กชายคนหนึ่งและก้มหน้าลงกัดลำคอของเขาฉีกกระชากอย่างแรง ร่างนั้นสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด เขาขาดใจตายโดยไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง เลือดสีแดงฉานฉีดพุ่งกระจายไปทั่ว เด็กที่เหลือถึงกับร้องไห้ระงมและนั่งลงกองกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ลินซ์มองดูคอร์ฟคาคาร์สยกแขนของเด็กผู้เคราะห์ร้ายขึ้นใส่ปากเคี้ยวด้วยดวงตาเศร้าสลด

“แต่ข้าชอบใจในความกล้าของเจ้า นังเด็กน้อย ดูเหมือนจะมีเจ้าเป็นคนแรกที่กล้าสบตากับข้าและเอ่ยปากท้าทายออกมาอย่างไร้ความหวาดกลัว”

“ข้ากลัวท่าน” ลินซ์ยอมรับด้วยสีหน้านิ่งสงบ “แต่พ่อของข้าเคยสอนเอาไว้ว่า จงเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรากลัวที่สุดด้วยความกล้า แล้วความหวาดผวานั้นจะมลายหายไปเอง”

“เป็นคำสอนที่ดี” จอมมารเอ่ยชม เขาเอื้อมมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดไปหาลินซ์และกรีดกรงเล็บไปบนใบหน้าน้อยๆ ดวงตาน่าสะพรึงหรี่ลง

“เจ้าไม่ใช่เด็กธรรมดา” รอยยิ้มเยาะหยันแสยะกว้าง “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่แฝงอยู่ในกายของเจ้า แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

อุ้งมือแข็งราวกับคีมรวบคอเสื้อของลินซ์ ใบหน้าอันน่าสยองก้มลงมาจ้องหน้าเด็กน้อยจนแทบจะชิด นางหลับตาลงด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อกลิ่นคาวเลือดโชยจากร่างตรงหน้ามาปะทะจมูก

“ข้าจะเก็บเจ้าไว้ใกล้ๆตัว เพราะถูกใจกับการเจรจาพาทีอันโอหังบังอาจ แต่อย่าคิดว่าที่ข้าละชีวิตให้เพราะความเมตตาเป็นอันขาด นังเด็กน้อย”

“ข้าชื่อลินซ์”

มุมปากบางที่เปื้อนเลือดแสยะยิ้มหยัน ร่างสูงหมุนกายเดินกลับขึ้นไปยังหอคอยโดยลากร่างน้อยๆของลินซ์ไปด้วย ท่ามกลางสายตาที่แสดงความแปลกใจและงุนงงของดาม่อนและอันทรัสต์

*-*-*-*-*-*


ฟอร์เซ็ตตินำเพื่อนร่วมทางของเขาไต่ไปตามหินผาอย่างช้าๆ แม้จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ทุกคนกลับรู้สึกสบายใจเนื่องจากไม่ต้องคอยระวังภัยจากเหล่าบริวารของจอมมารดังเช่นทุกครั้ง การเดินทางเป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่งขึ้นเมื่อเชิงเขาเริ่มเพิ่มความลาดชัน เสียงกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากดังแว่วมาจากหุบผาที่อยู่ไม่ไกล กระแสลมเย็นพัดพาเอาไอละอองน้ำอันแสนสดชื่นผ่านร่างของคนทั้งสี่สร้างความเย็นสบายจนพวกเขาแทบจะลืมความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดเลยทีเดียว

“ผ่านหินใหญ่ข้างหน้าไปก็จะถึงลานหินที่ข้าบอก” เสียงจอมเวทหนุ่มพูดขึ้น โซลย์เงยหน้าขึ้นมองดูแสงตะวันซึ่งเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีส้ม ดวงอาทิตย์เริ่มลับทิวไม้ปล่อยให้ความมืดคืบคลานเข้ามาแทนที่ เขาหันไปมองโมไดที่ดูเหมือนจะยังคงสนุกอยู่กับการปีนป่ายภูเขาอย่างไม่รู้จักอ่อนล้า แม่ทัพหนุ่มส่ายหน้าทั้งที่ในใจนึกขำ

แนชท์พยายามที่จะก้าวตามจอมเวทหนุ่มให้ทัน แต่ด้วยความเคยชินกับพื้นที่ราบทำให้เรี่ยวแรงของเด็กสาวลดลงอย่างรวดเร็ว หลายครั้งที่นางก้าวพลาดจนลื่นล้ม แต่โมไดก็รีบโผเข้าไปรับร่างผอมบางนั้นไว้อย่างว่องไวคล้ายกับว่าเขาจับจ้องมองดูนางอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดทั้งหมดก็บรรลุถึงลานหินโล่งกว้างอันราบเรียบรูปวงกลมซึ่งมีก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งเรียบรายอยู่โดยดูคล้ายเป็นปราการกั้น ด้านข้างมีลำธารสายเล็กๆซึ่งแยกตัวมาจากแม่น้ำนิรันดร์ไหลผ่านก่อนจะวกอ้อมโขดหินไปบรรจบกับแม่น้ำอันเชี่ยวกรากอีกครั้ง ฟอร์เซ็ตติเดินสำรวจจนแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้วจึงหันมาบอกกับทุกคน

“คืนนี้พวกเราจะพักกันที่นี่ จะก่อกองไฟก็ได้เพราะแถบนี้มีก้อนหินบดบังสายตาอยู่โดยรอบ”

“ข้าคงหนาวตายแน่ถ้าไม่ก่อไฟในคืนนี้” โมไดบ่นและจัดแจงเดินหากิ่งไม้แห้งอย่างขะมักเขม้นโดยมีโซลย์ช่วย และหลังจากจุดไฟจนติดเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มจึงรีบลุกขึ้นเดินตรงไปยังลำธาร เขาก้มตัวลงวักน้ำล้างหน้าล้างตาเพื่อเรียกความสดชื่น สายตาเหลือบไปมองแนทช์ที่กำลังแกว่งมือในน้ำเล่น ประกายซุกซนเต้นระริกอยู่ในดวงตาสีฟ้าเข้มอันแจ่มใส เด็กหนุ่มจุ่มมือลงไปในลำธารและดีดน้ำเย็นๆใส่เด็กสาวอย่างนึกสนุก นางส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ

“เจ้าทำบ้าอะไรกันน่ะ”

แนชท์ตวาดเสียงดังต่างจากโมไดที่เริ่มหัวเราะ

“ข้าจะช่วยเจ้าล้างหน้าล้างตาไง จะได้สดชื่นขึ้นเร็วๆ”

กล่าวจบเด็กหนุ่มก็เริ่มต้นวักน้ำใส่นางอีกครั้ง คราวนี้แนชท์โกรธจนหน้าแดง นางจุ่มมือลงไปในน้ำและวักเข้าใส่โมไดบ้าง เขากระโดดถอยห่างออกไปเล็กน้อยและยกมือขึ้นปาดน้ำซึ่งเปียกใบหน้าจนชุ่ม

“มันหนาวนะ”

เขาร้อง เด็กสาวหัวเราะเยาะและพูด

“เจ้าจะได้สดชื่นมากขึ้นกว่าเดิมไง”

โมไดหรี่ตาลงและลงไปยืนในน้ำซึ่งตื้นเพียงแค่ข้อเท้า เขาก้มตัวลงและเริ่มต้นสาดน้ำเข้าใส่แนชท์อย่างเร็ว เด็กสาวร้องเสียงดังและลุยลงไปในลำธารและเริ่มต้นวักน้ำใส่เขาบ้าง โซลย์และฟอร์เซ็ตตินั่งมองดูเด็กทั้งคู่ซึ่งตอนนี้เริ่มสนุกสนานอยู่กับการเล่นน้ำจนลืมเรื่องราวรอบตัว ทั้งคู่ยิ้มออกมาพร้อมกัน โซลย์เอ่ยขึ้น

“ดูเหมือนแนชท์จะร่าเริงขึ้นกว่าเก่ามาก”

“นั่นเป็นเพราะโมได” ฟอร์เซ็ตติพูด “เจ้าหนูนั่นมีพรสวรรค์ทางด้านสร้างความเบิกบานให้กับผู้อื่น เจ้าจะไม่มีวันพบกับเความเศร้าหากมีเขาอยู่ข้างๆ”

ดวงตาสีฟ้าใสฉายแววโศกสลดออกมา แม่ทัพหนุ่มหันไปพบเข้าจึงรีบกล่าวทันที

“อย่าได้วิตกกับเรื่องของลินซ์”

จอมเวทถึงกับเลิกคิ้วน้อยๆด้วยความรู้สึกแปลกใจรอยยิ้มอ่อนโยนประทับบนเรียวปาก

“ข้าแค่นึกถึงนางขึ้นมาเท่านั้น ขอบใจที่เป็นห่วง”

“ไม่เป็นไร” โซลย์ตอบและเลื่อนสายตากลับไปมองดูเด็กทั้งสองที่กำลังส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังเดิม หลังจากเล่นกันไปได้สักพักใหญ่ แนชท์และโมไดจึงชวนกันเดินขึ้นมาจาก   ลำธารและนั่งลงข้างกองไฟ ทั้งคู่ยื่นมือออกไปข้างหน้าเพื่อรับความอบอุ่นจากกองเพลิงที่กำลังคุโชนอยู่ เสียงเด็กหนุ่มบ่นงึมงำจนโซลย์ต้องพูดขึ้นด้วยความรู้สึกรำคาญ

“เจ้าจะบ่นอะไรกันนัก”

“ก็ข้าหนาว”

โมไดตอบด้วยสีหน้ายุ่ง เขามองดูฟอร์เซ็ตติกำลังถอดผ้าคลุมของเขาและห่มให้กับแนชท์ เด็กสาวกล่าวขอบคุณด้วยใบหน้าสีเข้ม

“เฮอะ!”

เขาระบายลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกขุ่นใจอย่างหาสาเหตุไม่ได้เมื่อดูภาพตรงหน้า โซลย์จัดแจงปลดผ้าคลุมของตนและยื่นส่งให้กับเด็กหนุ่ม

“ข้าไม่หนาว”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างนึกขัดใจ โซลย์ยื่นหน้าเข้าไปจนใกล้แล้วพูด

“ตกลงเจ้าจะเอายังไงแน่ เมื่อครู่บ่นว่าหนาว แต่พอข้าส่งผ้าให้กลับบอกปฏิเสธ” สายตาคมกริบของแม่ทัพหนุ่มเลื่อนมองไปด้านแนชท์ซึ่งกำลังกระชับผ้าคลุมของจอมเวทด้วยสีหน้าเป็นสุข เขายิ้มอย่างรู้ทัน

“ข้ารู้แล้ว” แม่ทัพแห่งมอร์เซลหันกลับมาทางโมไดที่ตีสีหน้าบึ้งตึง “เจ้ากำลังไม่พอใจที่เขาดูแลแนชท์จนเกินหน้าเกินตา”

“ข้าแค่รู้สึกร้อนขึ้นมาเฉยๆเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับใครทั้งสิ้น” โมไดโพล่งเสียงดังจนคนที่ถูกกล่าวถึงเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความตกใจ ฟอร์เซ็ตติถามด้วยความสงสัย

“เจ้าเป็นอะไรไปหรือ โมได”

“แค่เกิดอาการหน้ามืดขึ้นมาอย่างกระทันหันเท่านั้น ไม่มีอะไรมาก” โซลย์ตอบแทน เขาหันไปหลิ่วตาให้กับโมไดซึ่งกำลังทำสีหน้างอง้ำมากขึ้นกว่าเดิม สายตาของเด็กหนุ่มตวัดมองไปยังแนชท์และจู่ๆเขาก็ลุกพรวดขึ้นและเดินออกไปจากที่นั่นโดยไม่พูดไม่จาอะไร โดยมีเสียงหัวเราะของโซลย์ดังไล่หลังท่ามกลางสายตาแสดงความแปลกใจของเด็กสาวและจอมเวท

“เขาหน้ามืดได้ยังไงกัน แล้วทำไมต้องมีท่าทางหงุดหงิดถึงขนาดนั้น” ฟอร์เซ็ตติถาม โซลย์พยายามกลั้นหัวเราะก่อนตอบ

“รู้สึกว่าจะมองอะไรนานเกินไปเท่านั้นไม่มีอะไรมาก” แม่ทัพหนุ่มยิ้ม “อีกสักพักเจ้านั่นคงจะดีขึ้นเอง ไม่ต้องเป็นกังวล”

แม่ทัพหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้ารื่นเริงกว่าทุกครั้ง

*/*/*/*/*

ในวันรุ่งขึ้นคนทั้งสี่ตื่นด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า ฟอร์เซ็ตติเดินนำพวกเขาต่อไปอย่างรวดเร็วแต่ไม่เร่งรีบ จนกระทั่งทั้งหมดไปยืนอยู่ริมหน้าผาศิลา เบื้องหน้าคือน้ำตกขนาดใหญ่ซึ่งไหลพรั่งพรูลงมาจากยอดเขาสูงส่งเสียงดังสนั่น ปริมาณน้ำอันมหาศาลที่ตกกระทบแอ่งน้ำเบื้องล่างสร้างไอละอองหมอกเย็นฉ่ำ สายรุ้งอันแสนงามปรากฏขึ้นเมื่อแสงแดดยามเช้าสาดส่องมากระทบ เหล่าพืชพรรณจำพวกเฟิร์นและมอสงอกงามอยู่ตามก้อนหินอันชุ่มชื้นดูราวกับพรมธรรมชาติสีเขียวสด โซลย์ถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆในขณะที่แนชท์มีสีหน้าตื่นเต้นกับทุกอย่างจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่  

“ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน” เด็กสาวกล่าวกับฟอร์เซ็ตติเสียงใส “ดูเฟิร์นพวกนั้นสิ ข้าไม่เคยเห็นเฟิร์นที่มีใบแบบนี้มาก่อนเลย มันสวยจริงๆ”

จอมเวทหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับแนชท์ เขายกมือขึ้นขยี้ผมนางเบาๆด้วยความรู้สึกเอ็นดูก่อนหันไปทางโมไดซึ่งกำลังยืนตีสีหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ท้ายสุด

“เจ้ายังไม่หายดีอีกหรือ”

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร” เด็กหนุ่มตอบเสียงห้วนจนโซลย์รู้สึกขำ คิ้วเรียวสวยของฟอร์เซ็ตติขมวดเข้าหากันด้วยความไม่เข้าใจ เขามองดูโมไดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเดินตรงไปยังริมผาและชี้มือตรงไปข้างหน้า

“สะพานศิลาที่แม่ข้าบอกอยู่ที่นั่น”

คนทั้งสามมองตามมือของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสไป สายน้ำอันเชี่ยวกรากอันเกิดจากแรงของน้ำตกไหลมารวมกันจนกลายเป็นแอ่งน้ำลึกสีเขียวเข้มขนาดย่อม เหนือขึ้นไปจากแอ่งน้ำเป็นสะพานศิลาขนาดกว้างราวสองเมตร มันทอดยาวจากริมผาด้านหนึ่งไปยังหน้าผาอีกด้านหนึ่งซึ่งเมื่อข้ามไปแล้วจะมีเส้นทางเข้าสู่ผืนป่าทึบที่มีอาณาเขตทอดยาวไปไกลจนสุดสายตา

“ป่าอีกด้านเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างมาร์วัลลัสกับแซฟเวจย์” ฟอร์เซ็ตติอธิบาย “เมื่อข้ามพ้นจากสะพานศิลาแล้วพวกเราต้องรีบเดินลงจากเขาโดยเร็วที่สุด เพราะอารักษ์ผู้ดูแลป่าแห่งนี้มีพลังบงการธรรมชาติอันน่ากลัว”

“เจ้ารู้จักอารักษ์ที่ว่านี่ด้วยหรือ ฟอร์เซ็ตติ” โซลย์เอ่ยถามขึ้นขณะที่เดินตามหลังเขาไปไม่ห่าง จอมเวทหนุ่มเม้มปากตนเองก่อนตอบ

“ก็ไม่เชิง”  

จอมเวทหยุดยืนอยู่ที่ปลายสะพานศิลา เขาหันไปทางแนชท์ซึ่งชะโงกลงไปมองกระแสน้ำวนเบื้องล่างด้วยสีหน้าหวาดกลัว จอมเวทลูบศีรษะของนางเบาๆคล้ายกับปลอบก่อนเลื่อนสายตาไปทางโมได

“เจ้าช่วยมาคอยดูแลนางแทนข้าด้วย โมได”

สีหน้าของแนทช์แสดงความแปลกใจออกมาต่างจากโมไดที่ยิ้มกว้างรับคำสั่งจากฟอร์เซ็ตติด้วยความยินดีผิดกับทุกครั้ง เขารีบเดินแทรกผ่านโซลย์และหยุดยืนอยู่ข้างๆเด็กสาวและวางท่าทางเคร่งขรึมราวกับผู้ใหญ่

“ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี ไม่ต้องเป็นกังวล”

แนชท์เบ้หน้าน้อยๆแต่ไม่ได้กล่าวอะไรโต้ตอบเขา นางเดินตามหลังจอมเวทหนุ่มซึ่งย่างเท้าขึ้นไปบนสะพานศิลาอย่างระมัดระวังก่อนจะเดินนำหน้าออกไป โมไดรีบก้าวเดินตามเด็กสาวไปติดๆ ตามด้วยโซลย์ซึ่งคอยระวังอยู่ท้ายขบวน

สะพานศิลามีระยะความยาวราวสามร้อยเมตร ทั้งสี่เดินไปทีละก้าวอย่างช้าๆและเต็มไปด้วยความระมัดระวัง จนในที่สุดจึงผ่านพ้น ทันทีที่ย่างเหยียบลงบนพื้นดิน กระแสความเย็นอันมหาศาลก็พลุ่งออกมาจากป่าปะทะกับร่างของฟอร์เซ็ตติจนถึงกับเซถอยหลังไปสองสามก้าว โซลย์รีบเอื้อมมือไปแตะบรุนนาลาของเขาแต่จอมเวทหนุ่มกลับยกมือห้ามพร้อมกับกล่าวอย่างเร็ว

“นั่นเป็นเพียงการหยั่งเชิงว่าข้าเป็นใครเท่านั้น พวกเรารีบลงจากเขานี่โดยเร็วเถิดก่อนที่อารักษ์ผู้นั้นจะออกมาต้อนรับพวกเราด้วยตัวของเขาเอง”

แม้จะเต็มไปด้วยความสงสัยว่าเหตุใดฟอร์เซ็ตติจึงดูหวาดหวั่นกับผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นอารักษ์นัก แต่โซลย์ก็รีบเดินตามหลังเขาไปโดยมิได้เอ่ยปากถามสิ่งใดออกมา ทั้งหมดเดินทางลงจากเขาไปยังพื้นที่ราบซึ่งเป็นเขตชายแดนของมาร์วัลลัสอีกครั้งมันเป็นเวลาที่ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าพอดี ฟอร์เซ็ตติมองออกไปเบื้องหน้า มีผืนป่าขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แม้จะไม่หนาทึบนักแต่ก็พอใช้อาศัยเป็นที่หลบกำบังสายตาได้เป็นอย่างดี สีหน้าของจอมเวทฉายแววเคร่งครียดออกมาวูบหนึ่งก่อนคลายลง เขาหันไปทางเพื่อนทั้งสามและพูดเบาๆ

“คืนนี้พวกเราจะพักค้างแรมในป่านั่น”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเดินนำหน้าออกไปทันทีโดยไม่รอฟังคำถามจากผู้ใด โซลย์และโมไดต่างหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกสงสัยต่างจากแนชท์ที่รีบก้าวเดินตามฟอร์เซ็ตติโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น

“เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่มีผีดิบหรือบริวารของจอมมารในบริเวณนี้”

โซลย์เอ่ยถามขึ้นหลังจากก่อกองไฟและทำที่กำบังสายตาไว้เพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นได้เห็นแสงสว่างได้จากระยะไกล ฟอร์เซ็ตติเงยหน้าจากการจ้องมองดูเปลวไฟซึ่งกำลังเต้นไหวในกองฟืนและตอบ

“ข้าสัมผัสถึงพลังมืดได้อย่างเบาบาง อาจจะเป็นไปได้ว่าบริวารของราชันย์มารได้เดินทางผ่านบริเวณนี้หลายวันแล้ว”

“แต่พวกเราก็ไม่ควรวางใจนัก” แม่ทัพหนุ่มกล่าวพลางโยนกิ่งไม้เข้าไปในกองไฟอีกสองสามกิ่ง เขาหันไปมองดูโมไดซึ่งดูเหมือนจะเงียบกว่าทุกครั้ง แม่ทัพแห่งมอร์เซลเลิกคิ้วสูงด้วยความรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มกำลังนั่งแหงนมองดูท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความครุ่นคิดจากนั้นจึงลดสายตาลงและยกนิ้วขึ้นมานับ

“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือโมได”

โซลย์เอ่ยถาม เด็กหนุ่มขมวดคิ้วย่นก่อนหันมาตอบ

“ข้ากำลังสงสัยเรื่องดวงจันทร์”

“ดวงจันทร์?” แม่ทัพหนุ่มทวนคำ “ทำไม”

“ข้าจำได้ว่าตอนที่เราเดินทางออกจากป่าอาถรรพ์ ดวงจันทร์เหลือเพียงเสี้ยวแหว่งเว้าเล็กๆเท่านั้น นับจากวันนั้นมาจนถึงวันนี้พระจันทร์น่าจะอยู่ในช่วงข้างขึ้นจนเกือบเต็มดวงแล้ว แต่เท่าที่ข้าสังเกตดู มันเหมือนกับว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ตกลงตอนนี้มันเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมกันแน่”

“ข้างแรม” เสียงฟอร์เซ็ตติเอ่ยขึ้นมา โมไดอ้าปากค้าง

“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ก็ข้าจำได้ว่า.......”

“เจ้าคิดว่าเจ้านอนรักษาตัวอยู่ในป่าแห่งมนตรานานกี่วันกัน โมได” จอมเวทหนุ่มพูดอย่างเคร่งขรึม เด็กหนุ่มมีท่าทางลังเลใจก่อนตอบ

“ข้าหลับไปหลายวันเหมือนกัน แต่ก็ไม่น่าจะเกินห้าหรือหกวันแน่นอน”

“เจ้าหลับไปเกือบสองอาทิตย์” ฟอร์เซ็ตติกล่าว “และกว่าเหล่าเอลฟ์จะไล่พิษออกจากเลือดในกายของเจ้าได้หมดก็กินเวลาไปอีกราวสิบกว่าวัน สรุปแล้วพวกเราเสียเวลาไปในป่าแห่งมนตราเกือบเดือน”

“นานขนาดนั้นเลยหรือ” โมไดพูดเสียงดังแล้วจึงลดเสียงลงพร้อมกับสีหน้าที่ดูสลด “ข้าทำให้พวกเราเสียเวลาไปเปล่าๆ”

“อย่าคิดแบบนั้น” เสียงโซลย์พูดขึ้น “เพราะอย่างน้อยข้าก็ไม่สูญเสียเจ้าไป”

ความเงียบเคลื่อนเข้ามาปกคลุมอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มีเพียงเสียงปะทุของฟืนที่อยู่ในกองไฟ โมไดระบายลมหายใจออกมาเบาๆ

“ข้าคงดีใจจนแทบกระโดดถ้าคำพูดแบบนั้นมาจากปากของผู้หญิงสาว”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลนิ่งงันไปชั่วครู่เพราะงงในคำพูดของเด็กหนุ่ม สีหน้าเคร่งขรึมดุดันเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย โซลย์ถึงกับหักกิ่งไม้ในมือ

“ข้าจะไม่พูดอะไรที่แสดงความห่วงใยในตัวของเจ้าอีกเป็นอันขาด เจ้าเด็กแสบ” เขาโยนกิ่งไม้นั้นเข้าไปในกองเพลิง ทันทีที่พูดจบ ฟอร์เซ็ตติยิ้มเมื่อเห็นโมไดแอบหลิ่วตาให้กับแม่ทัพ

“ตอนนี้พวกเราอยู่ใกล้ชายแดนของแซฟเวจย์มาก ดังนั้นการเฝ้าระวังจึงเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นนับแต่นี้ต่อไปต้องมีการจัดเวรยามช่วยกันดูแลตลอดทั้งคืน”

โซลย์พูดกับจอมเวทหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง อีกฝ่ายผงกศีรษะ

“ให้โมไดอยู่เวรเป็นคนแรก ข้าจะรับช่วงเองหลังจากเขา ที่เหลือจากนั้นคงต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้า” โซลย์แจกแจงรายละเอียด แนชท์รีบแย้งขึ้นมา

“แล้วข้าล่ะ”

“เจ้าควรเก็บแรงไว้สำหรับการเดินทางในตอนกลางวัน” แม่ทัพหนุ่มพูด เด็กสาวชักสีหน้าไม่พอใจ

“แต่ข้าอยากช่วยพวกเจ้าด้วย อย่าทำเหมือนกับข้าเป็นเด็กไร้ค่าแบบนี้ ข้าไม่ชอบ”

“เจ้าไม่ได้ไร้ค่า แต่พวกเราควรจะมีใครคนหนึ่งที่แข็งแรงปราดเปรียวไว้คอยช่วยเหลือยามมีภัยระหว่างการเดินทาง ขอให้เจ้าเข้าใจตามนี้ด้วย”

โซลย์อธิบายเสียงเรียบ แนชท์ป้าปากเตรียมจะแย้งแต่ต้องนิ่งเมื่อฟอร์เซ็ตติพูดขึ้นมา

“ท่านแม่ทัพกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เจ้าอย่าได้ขัดคำของเขาเลยแนชท์”

เด็กสาวเม้มปากตนเองด้วยความรู้สึกขัดใจนางยกมือขึ้นกอดอกและเบือนหน้าไปทางด้านอื่นอย่างเง้างอน โมไดแอบอมยิ้มขณะมองดู

“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงกันตามนี้ รีบพักผ่อนกันได้แล้วเพราะเรารีบต้องออกเดินทางกันตอนรุ่งเช้า”

โซลย์สรุป

*/*/*/*

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 11:59:46




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com