รูอาร์คเดินออกไปจากห้องนอนโดยมีเด็กๆ ตามไปกับลีชา พอคนรับใช้ที่อยู่ข้างนอกเห็นเข้าและรีบเข้ามาใกล้ คุณชายรองก็เพียงแต่โบกมือบอกว่าตนเดินเองได้ และสั่งให้อีกฝ่ายไปบอกทางครัวให้ยกอาหารกลางวันมาตั้งที่ศาลาในสวนแทน
ลีชาอุ้มอาซิซไปพลางมองตรงไปด้านหน้าแทบตลอดเวลา โดยพยายามไม่ใช้สายตาซอกซอนความโอ่อ่าโอ่โถงของจวนเจ้ามณฑลนัก หญิงสาวไม่เคยได้เข้ามาในบ้านขุนนางอย่างนี้มาก่อน...และหากไม่ติดว่ารูอาร์คต้องการให้เด็กๆ ทั้งบ้านมาเยี่ยม เธอก็คงจะไม่ต้องตามติดมาด้วย
แต่ที่จริง ลีชาก็อดระแวงไม่ได้อยู่ดี ว่ารูอาร์คกำลังหาเรื่องให้ตนยอมมาพบหน้า และอาเมียร์กับท่านสิมาก็ดูจะเป็นใจด้วยอย่างพิกล แม้ทั้งสองจะไม่พูดอะไรกับเธอเรื่องชายหนุ่มผมแดงเลยก็ตาม
จริงอยู่ว่าเธอคงจะอยู่ที่บ้านของท่านซิอ์บุลกับท่านสิมาตลอดไปไม่ได้ เมื่อเด็กๆ โตขึ้นกว่านี้ก็คงจะต้องออกมา หาที่อยู่ใหม่ หางานใหม่ บางทีพวกเขาคงต้องการให้เธอมีหลักมีฐาน มีคนคอยดูแลไม่ให้ลำบากเสียทีกระมัง
และรูอาร์คก็คงมีกำลังทรัพย์เกินพอที่จะทำอย่างนั้น ...ต่อให้ลีชายิ่งกว่าแน่ใจว่าใครๆ ย่อมรู้ดี ว่าไม่มีวันที่เธอจะแต่งงานเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของลูกชายเจ้ามณฑลได้เลย
นึกดูก็น่าขัน สมัยที่ยังเตร็ดเตร่อยู่ริมถนนในย่านโคมแดงแทบทุกค่ำคืน หญิงสาวเคยคิดว่าเธอพร้อมจะตอบตกลงกับใครก็ตามที่เสนอจะรับเลี้ยงตนเองเป็น ‘เมียเก็บ’ ไม่ว่าเขาจะมีอายุมากแค่ไหน รูปร่างหน้าตาหรือนิสัยใจคอน่ารังเกียจอย่างไร ...ขอเพียงแต่มีเงินมากพอที่จะพาเธอออกไปจากชีวิตแบบนี้ก็พอ
แต่เวลานี้...ลีชาไม่รู้เหมือนกัน
ถ้าไม่นำความรู้สึกของตนเองเข้ามาเกี่ยวข้อง การสานต่อความสัมพันธ์กับรูอาร์คเป็นโอกาสที่ ‘ไม่คว้าไว้ก็โง่’ สำหรับนางโลมทุกคน เขายังหนุ่มแน่น รูปร่างหน้าตาห่างไกลคำว่าขี้ริ้ว นิสัยแม้จะยียวน กะล่อน และเจ้าชู้ไปบ้าง ก็ยังถือว่าเป็นคนดี สามารถทำให้คนที่อยู่ใกล้ร่าเริงมีความสุข...หากไม่นับว่าปวดหัวเป็นบางเวลา ดีกว่าลูกค้าหลายๆ คนที่ลีชาเคยพบเจอมาหลายเท่า
แล้วปัญหาอยู่ที่ไหนกันนะ ...ในเมื่อวันนี้ลีชาไม่มีครอบครัวของตนเอง และหากไม่ได้รับความเมตตาจากบ้านของท่านซิอ์บุลที่ไม่ได้เป็นญาติอะไรกัน ก็จะไม่มีที่อยู่ ไม่มีข้าวกิน ไม่มีงานทำ ...ไม่มีอะไรเลย
อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากขายตนเองอีกแล้วกระมัง
ถึงแม้ว่าผู้ชายคนเดียวที่เธอรักจะไม่ใช่คนแรกและคนเดียวในชีวิต ก็ขอให้เขาได้เป็นคนสุดท้าย ถึงแม้ว่าลูกที่เกิดกับเขาจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ขออย่าให้ตัวเธอเองต้องอับอายลูกด้วยการกลับมาทำเรื่องเสื่อมเสียอีกครั้งเลย
ขณะที่เธอคิดไปนั้น รูอาร์คก็อาศัยไม้เท้าเดินออกไปจากอาคารหลังใหญ่ของจวนทางประตูขนาดกลางที่ด้านข้าง ซึ่งเปิดไปสู่สวนกว้างขวางที่จัดแต่งอย่างสวยงาม มีกุหลาบและดอกไม้ฤดูร้อนนานาพันธุ์บานสะพรั่ง
แต่เมื่อถึงศาลาทรงโปร่ง ซึ่งล้อมด้วยระเบียงไม้ฉลุลาย และชานหลังคากระเบื้องสีน้ำเงินเย็นตา คนนำขบวนก็ชะงักเท้ากึก...คงเพราะมีใครอีกคนนั่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว
ลีชาที่เดินตามมาเมียงมองไปด้านข้าง ด้วยสงสัยว่าเงาร่างที่ตนเห็นในศาลานั้นคือใคร
นั่นเป็นสาวใหญ่วัยราวสามสิบต้นๆ ในชุดผ้าไหมหรูหราอย่างขุนนาง ที่คอสวมสร้อยไข่มุกเส้นยาว ดวงหน้าผัดแป้งแต่งสีจนงามเด่น แต่ไม่ถึงกับฉูดฉาด และเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเกล้าแต่งทรงอย่างประณีต ในมือถือพัดขลิบปลายลูกไม้ซึ่งคลี่โบกช้าๆ ท่ามกลางอากาศหน้าร้อน
ทีแรก หญิงสาวสงสัยว่านั่นคือคุณหญิงภรรยาเจ้ามณฑลใช่ไหม...แต่แล้วก็พบว่านางดูมีอายุน้อยเกินกว่าจะเป็นแม่ของเฟย์ลิมกับรูอาร์ค และมีบางสิ่งในการแต่งกายกับท่าทางกรีดกรายที่บ่งบอกว่าไม่น่าจะใช่
“นั่นใครเหรอพี่รูอาร์ค” นาสิราตั้งคำถาม
“สวัสดีจ้ะ รูอาร์ค” เสียงทุ้มของหญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นช้าๆ พร้อมกับที่เธอลุกขึ้นยืน “ตอนได้ข่าว ข้าเป็นห่วงแทบแย่ แต่ท่าทางจะดีขึ้นมากแล้วสินะ นอกจากเดินได้แล้ว...ยังมีเพื่อนฝูงมากันครึกครื้นน่าดู”
“ท่านมาตั้งแต่เมื่อไร” ชายผมแดงตั้งคำถาม
“เมื่อครู่นี้เอง เห็นเขาว่าเจ้ามีแขกอยู่ก่อน แต่จะกลับตอนบ่าย ข้าเลยขอรอ แล้ว...ก็อย่างที่รู้ ให้รถม้าของข้าจอดในโรงเก็บรถม้าที่นี่จะเอิกเกริกน้อยกว่าจอดหราอยู่หน้าจวน” หญิงสาวลึกลับคลี่ยิ้ม ก่อนจะปรายตามองเพื่อนร่วมทางของชายหนุ่ม “ดูซิ สองสาวน้อยผมดำตาคมน่ารักเชียว คงเป็นน้องสาวของอาจารย์คนทรายของเจ้ากับท่านเฟย์ลิมสินะ”
“ฮื่อ” รูอาร์ครับ ก่อนจะแนะนำชื่อเด็กหญิงทั้งสอง และเด็กทารกกับพี่เลี้ยงที่อุ้มอยู่ให้หญิงสาวในศาลา ...แล้วหันมาบอกชื่อของนางกับทุกๆ คนบ้าง “นี่เพื่อนของพี่เอง เรียกว่า ‘พี่แมฟ’ ก็ได้”
ลีชาตัวเกร็งขึ้นในทันที
เธอเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ...ในฐานะนางโลมชั้นสูงที่รูอาร์คแวะค้างบ้านเมื่อไม่นานมานี้
* * * * *
เมื่อครู่ในครัวมีเรื่องวุ่นวายเล็กน้อย (หากไม่นับเรื่องที่ว่าแขกของจวนพร้อมใจกัน ‘ลงครัว’ มาถึงสามคนเป็นเรื่องวุ่นวายเช่นกัน) เคียราจับใจความได้จากคำพูด และการที่คนรับใช้จัดชุดน้ำชาและของว่างหนึ่งชุดไปที่ศาลาริมสวนอย่างเร่งด่วนว่ามีแขกมาอีกคนหนึ่ง ได้ยินแว่วๆ ว่าเป็นคุณหญิงสักคน แต่คนที่จวนดูเหมือนจะไม่ได้พูดถึงเธออย่างเคารพยำเกรงเท่าที่ควรเลย และหากไม่ติดว่าเจ้าหญิงแอชลีนน์กับท่านสิมาอยู่ในบริเวณนั้นด้วย ก็คงจะซุบซิบเกี่ยวกับนางกันเสียงดังกว่านี้
จากนั้นอีกสักพักหนึ่ง ก็มีคนรับใช้วิ่งมาบอกว่าคุณชายรูอาร์คให้เตรียมจัดอาหารกลางวันที่ศาลาริมสวน มีคนอุทานขึ้นว่าถ้าทำแบบนั้นก็จะชนกับ ‘คุณหญิงแมฟ’ แต่คนมารายงานก็สั่นศีรษะ บอกว่าห้ามไม่ทันเสียแล้ว
เจ้าหญิงแอชลีนน์ถามว่าคุณหญิงแมฟเป็นใคร พวกเขาก็อึกอักไม่ยอมตอบ จนสุดท้าย ก็มีหญิงรับใช้ส่วนตัวของคุณหญิงภรรยาท่านเจ้ามณฑลมาเชิญเจ้าหญิงขึ้นจากครัว โดยบอกว่ามีเรื่องจะกราบทูล
เวลานี้จึงเหลือเพียงสิมาอยู่กับเคียราในมุมหนึ่งของครัวเพียงลำพัง
หญิงผู้มากวัยกว่ากำลังแกะสลักชิ้นมันฝรั่งและแครอทเป็นรูปพรรณพฤกษ์ บางอันก็ทำเป็นเฉพาะกลีบสำหรับวางสลับสีประกอบขึ้นเป็นดอก บางอันก็เป็นใบไม้โดดๆ หรือดอกไม้ทั้งดอก กลีบซ้อนงดงามเหมือนดอกกุหลาบ กระทั่งนางกำนัลสาวที่เคยเห็นอาหารขึ้นโต๊ะเสวยมานักต่อนักแล้วยังต้องยอมรับ...ว่าการจัดแต่งอาหารของหญิงคนทรายงดงามแปลกตาเกินคาดคิดไปมาก
กระทั่งมันฝรั่งและแครอทที่ลงหม้อซุปไปกับเนื้อแกะหมักเครื่องเทศ สิมาก็ไม่ได้หันเป็นชิ้นใหญ่เฉยๆ แต่แกะสลักตกแต่งเช่นเดียวกัน แม้จะไม่ลงรายละเอียดมากเท่า
“อยู่ที่บ้านไม่ได้ทำหรอก เพราะใช้เวลานาน แต่วันนี้เป็นโอกาสพิเศษ ให้ดูสวยเวลาจัดขึ้นโต๊ะก็ดี” สิมาพูดเหมือนกับจะออกตัว ขณะที่เคียราซึ่งไม่กล้าจับมีดแกะสลักเล่มเล็กปลายบาง ใบมีดยาวแค่กว่าข้อนิ้วได้แต่มองต่อไป หลังจากหมดหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายให้ดูแลแล้ว และแน่นอนว่าเธอไม่กล้ารับช่วงลองแกะสลักต่อจากเจ้าหญิงแอชลีนน์ ซึ่งลองทำจนได้ดอกไม้เบี้ยวๆ เสร็จไปราวสองสามดอก
“ท่านสิมา...เอ่อ...ฝึกจากไหนเหรอคะ” นางกำนัลสาวอดถามไม่ได้
บางที นี่อาจเป็นเงื่อนงำว่าครอบครัวคนทรายมีสถานะไม่ธรรมดาอย่างที่คิดจริงๆ เสียด้วย
“แม่ข้าสอนให้จ้ะ”
“แต่คนทรายธรรมดาๆ ก็คงไม่ทำอย่างนี้กันทุกครอบครัว...ใช่ไหมคะ”
“คนทรายมีกันหลายเผ่า อาหารแต่ละที่ก็ต่างกัน แต่ที่ที่ข้าโตมา เขาชอบดอกไม้ กระทั่งอาหารยังใช้ดอกไม้ทำ หรือประดับด้วยดอกไม้ทั้งจริงทั้งปลอมเป็นธรรมดา”
“ที่จริง...ในทะเลทรายไม่น่าจะมีดอกไม้เยอะเลยนะคะ”
“แต่ก็มีโอเอซิสหรือพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์บ้างเหมือนกัน”
เคียรานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรวบรวมความกล้า กลั่นออกมาเป็นเสียงที่เบาลง
“แล้ว...ทำไมถึงไม่อยู่ที่นั่นต่อไปล่ะคะ”
“บ้านเดิมของพวกเราไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกแล้วล่ะ” เสียงตอบของหญิงผู้มากวัยกว่ายังคงราบเรียบ “เรียกได้ว่าไม่ใช่ที่ที่จะอยู่ต่อไปได้อีกก็ได้”
“เลยต้องย้ายมาที่ธีร์ดีเรเหรอคะ”
“จ้ะ”
นางกำนัลสาวมองคู่สนทนาที่ยังคงใช้มีดแกะสลักชิ้นผักต่อไปอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะเหลือบดูมุมอื่นๆ ของครัว และพูดด้วยเสียงแทบเป็นกระซิบ หลังจากเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นอีก
“แล้ว...ท่านสิมาเห็นด้วยกับเรื่องที่...อาเมียร์...ทำเหรอคะ”
แม่ของผู้ถูกพาดพิงชะงักไปครู่หนึ่ง
“เรื่องอะไรหรือ”
“ก็...เรื่องที่ลักพาเจ้าหญิงแอชลีนน์มาอย่างนี้น่ะสิคะ” เคียราตัดสินใจพูดตามตรง
ครอบครัวของอาเมียร์ดูไม่มีลับลมคมในในแง่ร้ายอย่างที่เธอเคยคิดก็จริง ทั้งยังมีเด็กเล็กๆ อยู่ถึงสามคน ในฐานะแม่ ท่านสิมาก็ย่อมห่วงใยลูกๆ ทุกคน และไม่อยากให้พวกแกเป็นอันตรายไม่ใช่หรือ
“ถึงเจ้าหญิงจะทรงเห็นด้วยกับเขา แต่ใครๆ ก็รู้นี่คะ ว่าจะยกเลิกพิธีเสกสมรส แล้วให้พระองค์ขึ้นครองราชย์เพียงพระองค์เดียวได้ยังไง ยิ่ง...ยินยอมให้คนทรายได้เป็นพระสวามีด้วยยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย”
ครั้นเห็นผู้ฟังยังคงเงียบเฉย และทำงานฝีมือต่อไปเรื่อยๆ เคียราก็กังวลว่านางจะโกรธ จึงได้รีบพูดต่อ
“ข...ข้าไม่ได้เห็นว่าอาเมียร์เป็นคนไม่ดี แต่สิ่งที่เขาทำอยู่ก็เสี่ยงอันตรายมาก โทษของการเป็นกบฏแผ่นดินคือประหารทั้งเจ็ดชั่วโคตรเชียวนะคะ ยิ่งเห็นท่านสิมากับน้องๆ ของเขาในวันนี้แล้ว ข้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้”
“ขอบใจที่เป็นห่วงจ้ะ” หญิงชาวทรายเงยหน้าขึ้นส่งรอยยิ้มอ่อนๆ ให้กับนางกำนัลสาว “ข้ารู้ความเสี่ยงที่เด็กคนนั้นกำลังแบกรับดี และพวกเราก็เตรียมตัวพร้อมที่จะปกป้องทุกๆ คนในบ้านไว้แล้ว เพื่อไม่ให้อาเมียร์ต้องเป็นห่วงจนเกินไป”
เคียราชะงักกับคำตอบนั้น
“หมายความว่า...ท่านก็อยากให้ลูกตัวเองได้ขึ้นเป็นราชาเหรอคะ!”
บางทีเสียงของเธอคงจะดังเกินไป เพราะคนรับใช้ที่นอกห้องครัวเหลียวมาทางนี้ แต่พอสบตากับนางกำนัลสาวเพียงแวบเดียวก็หันกลับไป ทำราวกับไม่เห็นหรือไม่ได้ยินอะไรผิดสังเกต
ใบหน้าของหญิงสาวพลันร้อนผ่าว กลัวว่าตนได้เผลอหลุดความลับที่ว่า ‘คุณหนูแอช’ แขกของจวนคือเจ้าหญิงแอชลีนน์ออกไป แต่ในขณะเดียวกัน...ก็รู้ว่าตนเองมาไกลเกินกว่าจะถอนคำพูดคืน
เพราะสิมาได้ให้คำตอบของตนแล้ว
“ข้าอยากให้เขาได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ หากนั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดดีแล้ว และตั้งมั่นว่าจะทำให้ได้”
“ข้ารู้ว่าเขาอยากให้เจ้าหญิงมีความสุข แต่ธีร์ดีเรล่ะคะ ถึงเขากับเจ้าหญิงจะ...จะมีใจให้กันจริงๆ ท่านคิดว่าเขาเหมาะสมจะเป็นกษัตริย์ของธีร์ดีเรแล้วหรือ”
“หากจะหาคำตอบที่แท้จริง ก็ต้องให้ ‘โอกาส’ และ ‘เวลา’ ที่จะพิสูจน์ไม่ใช่หรือ”
“แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่นะคะ!” เคียราแย้ง “เขาจะดูแลอาณาจักรได้ยังไง ในเมื่อไม่ได้เป็นคนธีร์ดีเร ไม่มีสายเลือดขุนนาง ต่อให้มีความสามารถ...คนทั้งธีร์ดีเรทั้งหมดก็ไม่มีวันยอมรับหรอก”
“การยอมรับต้องอาศัยเวลา และความพยายาม”
“รวมทั้งเรื่องที่เขา...มีเวทมนตร์ด้วยงั้นเหรอคะ”
นางกำนัลสาวเชื่อว่าแม่ของอาเมียร์ต้องรู้
สิมาหันมาสบตากับหญิงผู้อ่อนวัยกว่าด้วยนัยน์ตานิ่งสงบ ปราศจากความหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง “เจ้าจะบอกเรื่องนี้กับคนอื่นหรือ”
เคียราชะงักไปนาน
บอกหรือ ...ใช่ หากพูดออกไปว่าอาเมียร์มีเวทมนตร์ดำ และพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง อารามสุริยเทพย่อมจับกุมเขามาเผาทั้งเป็น เช่นเดียวกับเครือญาติทั้งหมด และทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือแก่เขา
ทั้งเจ้ามณฑลยาร์ลาธกับครอบครัว คุณชายรูอาร์ค ...พ่อของอาเมียร์ รวมทั้งเด็กเล็กๆ ทั้งสามที่เธอเพิ่งพบในวันนี้ และหญิงชาวทรายตรงหน้า
แต่หากมีโอกาส...บอกท่านดูลัสหรือท่านผู้สำเร็จราชการ ก็อาจจะมีทางล้มเลิกเรื่องทุกอย่างนี้ได้ไม่ใช่หรือ บางทีเจ้ามณฑลยาร์ลาธอาจไม่รู้...ไม่สิ ต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าคนทรายนั่นมีเวทมนตร์ ไม่อย่างนั้นจะยอมช่วยเหลือให้ตนเองกับครอบครัวเป็นอันตรายไปด้วยได้อย่างไร ส่วนเจ้าหญิงทรงตกเป็นเหยื่อ ถูกล่อลวงด้วยวาจา...และอาจจะมายา อีกทั้งทรงเป็นถึงผู้ปกครองธีร์ดีเรคนต่อไป ศาสนจักรซาเกรดา โซล ย่อมต้องช่วยเหลือพระองค์มากกว่าลงโทษแน่นอน
“ข...ข้า...” นางกำนัลสาวเริ่มตะกุกตะกัก แต่แล้วก็พยายามรวบรวมความกล้า “ถ้าลูกชายของท่านยังทำเรื่องเดือดร้อนให้ธีร์ดีเรอีก...ก็...ก็ต้องมีคนหยุดเขา”
“อย่างนั้นหรือ” สิมารับเสียงเรียบ
“ท่านไม่เห็นเลยเหรอคะ ว่าเขากำลังทำร้ายอาณาจักรของเรา”
“ในการรักษาโรคเรื้อรัง หลายครั้งผู้ป่วยก็ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดนะ” หญิงผู้มากวัยกว่าหันกลับไปแกะสลักชิ้นผักที่ค้างไว้ “ไม่ว่าจะเป็นคน หรืออาณาจักร ก็ไม่ต่างกันหรอก”
“นี่ท่าน...ท่านคิดว่าเขากำลังรักษาธีร์ดีเรเหรอคะ แค่เจ้าหญิงแอชลีนน์เสกสมรสกับพระคู่หมั้น ก็จะไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้วต่างหาก”
“เคียรา” คู่สนทนากลับเรียกกะทันหัน จนหญิงสาวสะดุ้ง “ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะสนิทกับแอชมากกว่าข้า และรู้ว่าสิ่งที่เด็กคนนั้นต้องการจากใจจริง ทั้งเพื่อตัวนางเองและอาณาจักรนี้คืออะไรนะ”
เคียราก้มหน้าลง ปฏิเสธไม่ได้ว่าตนรู้...แต่ไม่อาจยอมรับ
แต่นั่นเป็นไปเพื่อความสุขของตัวเจ้าหญิงเอง หรือธีร์ดีเรกันแน่ ธีร์ดีเรไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงรักหวงแหนมากกว่าสิ่งใด และจะทรงยอมทำทุกอย่างเพื่อธำรงความสุขสงบของแผ่นดินนี้ไว้หรอกหรือ
แล้วความสุขของพระองค์...ท่านดูลัสก็พร้อมจะถวายให้ไม่ใช่หรือ ไม่เห็นต้องปฏิเสธการเสกสมรส ดึงดันไปตามเส้นทางยากลำบาก โดยไม่รู้แน่ชัดเลยด้วยซ้ำ...ว่าเบื้องหน้านั้นจะมีความสำเร็จรออยู่หรือไม่
แล้วทำไม...ทำไมเจ้าหญิงถึงทรงเลือกเส้นทางนี้ และเลือกลูกชายของผู้หญิงคนนี้ล่ะ
แค่เพราะคำว่า ‘รัก’ งั้นหรือ
“แต่ความปลอดภัยของพวกท่านล่ะคะ” นางกำนัลสาวนึกขึ้นได้ “ลูกๆ ของท่านอีกสามคน...ท่านก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือคะ ว่าต่อให้อาเมียร์มีเวทมนตร์ เขาก็ปกป้องเพื่อนอย่างรูอาร์คไว้ไม่ได้ ไม่สิ...บางทีเขาอาจจะ...เป็นต้นเหตุให้รูอาร์คบาดเจ็บด้วยซ้ำ”
เคียราพูดไปตามที่นึกขึ้นได้ในเดี๋ยวนั้น แต่ก็รู้สึกว่านั่นมีทางเป็นความจริงได้ไม่ใช่หรือ อาเมียร์บอกใครๆ ว่าเขาอยู่ไม่ห่างรูอาร์คในตอนที่เกิดเรื่อง แต่ลูกชายเจ้ามณฑลก็ยังได้รับบาดเจ็บหนักอย่างนั้น ...หากไม่ใช่ว่าปกป้องไม่ได้ ชายคนทรายอาจคิดทำร้ายรูอาร์คเพื่ออะไรบางอย่าง เหมือนกับที่เฟย์ลิมถูกฆ่าด้วยเวทมนตร์ก็เป็นได้
“ข้าไม่เคยสอนให้ลูกชายข้าทำความเดือดร้อนแก่คนอื่นโดยไร้เหตุผล หรือด้วยความเห็นแก่ตัว” เสียงของสิมายังคงราบเรียบตามเดิม “อย่างที่ข้าบอก พวกเราจะป้องกันตัวเองกับเด็กๆ ให้เต็มที่ ส่วนอาเมียร์...ข้าเชื่อว่าข้ากับพ่อของเขาได้สอนทุกอย่างที่ควรสอนให้กับเด็กคนนั้น เพื่อที่เขาจะไม่ต้องเสียใจภายหลังไปแล้ว ตอนนี้ข้าจึงเคารพการตัดสินใจของเขา และจะไม่ก้าวก่ายเป็นอันขาด”
“แต่ว่า...”
“ข้าเคารพการตัดสินใจแอช และของเจ้าเช่นกันจ้ะ เคียรา” หญิงผู้มากวัยกว่าหันหน้ามาสบตากับเธอ ด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง ราวกับแม่ที่กำลังสั่งสอนลูก “ต่อให้เจ้าตัดสินใจโน้มน้าวแอชให้เปลี่ยนใจ หรือนำเรื่องที่อาเมียร์มีเวทมนตร์ไปบอกใคร ข้าก็คงห้ามไม่ได้ แต่ข้าก็หวังว่า...ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรลงไป เจ้าก็จะไม่เสียใจในภายหลังนะ”
แต่ว่า... นางกำนัลสาวกัดริมฝีปาก ยังคงรู้สึกว่าตนควรคัดค้าน ทว่าดูเหมือนจะหมดโอกาสเสียแล้ว เมื่อสิมาก้าวไปดูที่หม้อใบใหญ่ซึ่งตั้งเคี่ยวซุปอยู่ ก่อนจะเปรยขึ้นอย่างร่าเริง ราวกับไม่เคยมีบทสนทนาก่อนหน้า
“ซุปได้ที่แล้วละ ตักลงมาจัดแต่งอีกเดี๋ยวก็ยกไปได้แล้ว”
* * * * *
คนเขียนขอคุย
สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ
ตอนนี้ยาวกว่าที่คิดไว้สักหน่อย (บางทีคนอ่านคงอยากถามไรเตอร์แล้วแฮะ ว่าจะมีตอนไหนที่สั้นกว่าที่ไรเตอร์คิดบ้างมั้ยเนี่ย ^^a ) เลยแบ่งครึ่งลงที่นี่
อาจจะมีคนรู้สึกว่าเคียราทำตัวน่าเพลียอยู่ แต่ขอเข้าข้างนิดนึง ^^a ว่าเคียรานั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแฟคท์นาลอบปลงพระชนม์ และแอชเองก็คงไม่อยากให้รู้ แต่เคียราก็ดันเห็นจะๆ ตาไปแล้วว่าอาเมียร์มีเวทมนตร์ และคนในโลกนี้ก็มองว่าคนมีเวทมนตร์ = พ่อมดหมอผี ไม่ดีและน่ากลัว ไปแล้วด้วย
ตอนนี้ก็แทรกเรื่องอาหารการกินของยุคกลางมาเล็กน้อย คือเรื่องของ “นกยูง” สมัยก่อนเขาอิมพอร์ตนกยูงมาขึ้นโต๊ะอาหารของเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางชั้นสูง และตกแต่งด้วยการถลกหนังนกยูงพร้อมขนหางมาห่มเนื้อมันหลังจากปรุงสุกแล้ว ให้เห็นกันแบบตัวเป็นๆ จริงๆ ฮะ (ถ้ามีหวัดนกก็เตรียมตัวเป็นกันยกปราสาทได้แล้วมั้งน่ะ) แต่เท่าที่ผมค้นมา บอกว่าเนื้อนกยูงแห้งและไม่มัน พอตอนหลังหาไก่งวงได้ เลยนิยมกินไก่งวงแทนมากกว่า ซึ่งเนื้อไก่งวงนี่ก็ถือว่าจืดแห้งแล้วล่ะนะ =w=a
ด้านแกะสลัก...ที่จริงก็อิงมาจากการทำอาหารไทยนี่ละครับ คงเป็นเพราะเร็วๆ นี้ยืมนิยายเรื่อง “ค่าของคน” มาอ่าน แล้วติดใจการแกะสลักแตงกวาใส่ไส้หมูสับทำแกงจืดขึ้นมา พอหาข้อมูลในเน็ตก็พบว่าการแกะสลักนี่ดูเหมือนจะมีของไทยที่ขึ้นชื่อจริงๆ ขณะที่สาวชั้นสูงยุคกลางไม่ยักจะมีบอกว่าลงมาเข้าครัว ประดิดประดอยอาหารเหมือนกุลสตรีไทย แถมพ่อครัวอาชีพตามวังก็จะเป็นผู้ชายเสียด้วย
แล้วพบกันในช่วงครึ่งหลังของตอนครับผม :)
แก้ไขเมื่อ 02 มิ.ย. 54 00:14:43
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
2 มิ.ย. 54 00:14:08
|
|
|
|