Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 8 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10617942/W10617942.html

บทที่ 8

'ร้อยตำรวจเอกพันยศ  ดิษฐ์อัจฉริย์' ปรากฏตัวหลังฝนซา เขามาพร้อมกับตำรวจชุดหนึ่ง นายเก่งกาจต้อนรับทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ร่างสูงในชุดลำลองสีดำ สวมทับด้วยแจ๊กเก็ตสีครีม แยกจากลูกน้องมานั่งรวมกลุ่มกับสามแสน เขาส่งยิ้มให้ด้วยไมตรี รับถ้วยกาแฟมาวางข้างตัว แล้วกล่าวกับสามแสนว่า

"ต้องขอโทษจริงๆ ที่โผล่พรวดพราดมาทำให้ตกใจ"

"ไม่เป็นไรค่ะ ผู้กองมาปฏิบัติหน้าที่นี่คะ" สามแสนกล่าวตอบยิ้มแย้ม ดื่มกาแฟแก้หนาวไปสองสามอึก

"ได้ยินนายเก่งกาจเล่าว่าคุณสามแสนเข้ามาตามหาพี่ชายหรือครับ"

"ค่ะ ถ้าทุกอย่างไม่เลวร้ายเกินไป สามแสนมั่นใจว่าต้องได้เจอพี่ชายพรุ่งนี้ค่ะ"

หญิงสาวตอบด้วยเสียงราบเรียบ สายตามองไปยังตำรวจทั้งชุดที่นั่งรวมกลุ่มกับเหล่าลูกน้องของนายเก่งกาจ ไม่เห็นว่าผู้กองหนุ่มลอบสำรวจด้วยความพึงใจ

เขาออกตามล่านักโทษที่แหกคุกมาจากระนอง เบาะแสที่ได้มา และค่อนข้างเชื่อถือได้ บอกว่าเจ้าตัวมีเครือญาติในดงโจร จึงรีบรุดมาตามจับกลับไปรับโทษ

ใครจะไปเชื่อว่า ระหว่างทางจะได้เจอะเจอกับคณะเดินทางของสาวสวย สังเกตจากผิวพรรณกับเสื้อผ้าแล้ว เขาเดาว่า เจ้าตัวคงไม่ใช่คนแถวนี้

"สามแสนเป็นคนกรุงเทพค่ะ พี่ชายที่สามแสนเคารพ เป็นหมอใหญ่อยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนในเมืองกาญจน์ค่ะ"

"อ้อ ครับ" ผู้กองรีบร้องรับอย่างพอใจ เมื่อหญิงสาวเปิดเผยไม่อ้ำอึ้ง หลังจากที่เขาลองหยั่งคำถามใคร่รู้ไปเล่นๆ "เขาเป็นคนดีนะครับ ท่าทางจะเป็นหมอกินอุดมการณ์เสียด้วย อุตส่าห์เข้ามารักษาคนไข้ถึงในป่าในดงลึกขนาดนี้"

"สามแสนไม่ได้มาตามหาเขาหรอกค่ะ สามแสนมาตามหาพี่ชาย ซึ่งเป็นเพื่อนของเขา"

กาแฟหมดถ้วยแล้ว สามแสนลุกไปเติมน้ำร้อนครึ่งแก้ว แล้วย้อนกลับมา เธอเพิ่งเห็นแววตาประทับใจพราวแสง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกยินดียี่หระใดๆ เพราะสำหรับเธอ จะไม่มีชายใดมาก่อความหวั่นไหวให้เกิดขึ้นในหัวใจดวงนี้ได้อีกแล้ว นอกจากพี่ชาย

"แย่หน่อยนะครับ ฝนตกแบบนี้ ทำให้การเดินทางลำบากจัง นักโทษที่ผมตามล่าตัวอยู่ ก็คงกระหยิ่มใจเหมือนกัน ที่เราขลุกขลัก ทำให้มันมีเวลาหนีเตลิดไปได้ไกลอีกหน่อย"

"ค่ะ" สามแสนรับรู้แกนๆ ค่อยๆ จิบน้ำร้อนแก้หนาวไปเรื่อยเปื่อย

"เอ้อ พี่ชายคุณสามแสนเข้ามาทำอะไรในป่าครับ"

"เขาอยู่ที่นี่ค่ะ อยู่มานานถึงยี่สิบปีแล้ว สามแสนจะมาพาเขากลับออกไป"

ผู้กองหนุ่มร้อง 'อืม' รับรู้ไปแกนๆ เช่นกัน ใจก็นึกเสียดายว่า พอพรุ่งนี้มาเยือน ก็จะต้องแยกทางกัน

เธอมุ่งหน้าไปตามหาพี่ชาย เขาก็ต้องเร่งรีบไล่ล่านักโทษกำแหง เบื้องบนกำชับลงมาว่า ต้องจับให้ได้เร็วที่สุด ก่อนที่คนชั่วจะไปก่อความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน

ไม่น่าเชื่อว่า ในทันทีที่หญิงสาวลุกผละไปพักผ่อนตรงมุมหนึ่งของโพรงถ้ำ หัวใจของเขาก็พลันเกิดอาการรวนแปลกๆ แวบหนึ่งในความคิด มันก็ผุดข้อสันนิษฐานขำๆ วาบออกมา ทำนองว่า 'รักแรกพบหรือเปล่า'

ใช่หรือไม่ก็ช่าง เอาเป็นว่า ขณะนี้ เขาไม่อาจละสายตาไปจากร่างโปร่ง จนเห็นว่าเธอทอดตัวลงนอนหันหลังให้ ก็ยังไม่อาจละทิ้งอิริยาบถนั้น

พลังปรารถนาเร้นลึก กำลังกู่ร้องในห้วงอารมณ์กระเจิง อยากเข้าไปลูบไล้และสัมผัสเนื้ออุ่น พรมจูบแผ่วๆ ตรงไหนก็ได้ ซอกคอก็น่าจะดี อุ่นและวาบหวามไม่หยอก

ผู้กองพันยศหัวเราะขำๆ รีบลุกออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ของป่า สลัดความคิดร้อนแรงทิ้งอย่างรวดเร็ว ขืนปล่อยให้มันรุดหน้าไกลไปกว่านี้ เขาคงต้องหลบไประบายความเร่าร้อนตามลำพัง ตรงไหนสักแห่งในซอกป่าใกล้ๆ นี่ล่ะ




แสงไฟสีส้มลุกโชนมาจากกองฟืน มันกระจายหลายกอง เรียงรายไปตามริมฝั่งน้ำ เพิงพักที่สร้างลวกๆ ด้วยไม้ไผ่ จอแจไปด้วยเสียงสนทนาของชาวบ้าน

ภภีมย้ายตัวเองออกมาหาความสงบสงัดใกล้ริมน้ำ และใกล้กองไฟ เขามองหาหินก้อนย่อมๆ แล้วหย่อนร่างห่างจากกองไฟประมาณสามสี่ก้าว หยิบกิ่งไม้ยาวได้หนึ่งกิ่ง ก็แหย่ไปเขี่ยๆ ท่อนฟืนแดงๆ เล่น

ลุงแม้นแวะมานั่งคุยด้วย แกไม่มีก้อนหินให้หย่อนบั้นท้าย จึงพานนั่งลงบนกองดินกองกรวด ชาวบ้านคนหนึ่ง เพิ่งกลับจากตระเวนรอบนอก รายงานแกว่า

"ได้ยินว่ามีโจรแหกคุกหนีตำรวจหลบเข้ามาในป่า ลุงแม้นต้องรีบประกาศบอกชาวบ้านให้ระมัดระวังตัวด้วยนะ"

"เอ้า แล้วมันหนีไปกบดานแถวไหนวะ พอจะมีเบาะแสอะไรบ้างไหม"

"ก็ได้ยินว่า มันมีญาติๆ กันนั่นแหละ ใหญ่โตอยู่ในดงโจร นี่ตำรวจจากในเมืองก็เข้ามาตามล่ามันแล้วนะ เห็นบอกว่า พักแรมกันอยู่ตรงป่าไผ่ป่าหินทางฟากโน้นแน่ะ"

ป่าไผ่ป่าหินอยู่ห่างจากแดนดงทางนี้ไกลโข คนเล่าจึงลากเสียงบุ้ยปากบุ้ยหน้าประกอบ ลุงแม้นเล่าข่าวนี้ให้หนุ่มใหญ่หน้าดุฟัง พร้อมกับเปรยตบท้ายว่า

"เฮ้อ สงสัยอาจจะเกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่เสียก็ไม่รู้นะ"

"แล้วไม่ดีหรือ"

"ดีน่ะมันดี ถ้าสำเร็จนะ แต่ถ้าไม่สำเร็จขึ้นมา คนที่เดือดร้อนก็คือพวกเรากันเอง"

"ลุงแม้นก็ชอบทำตัวเป็นพลเมืองดีอยู่แล้วนี่ ช่วยกำจัดโจรให้ตำรวจอีกแรง ก็ไม่ใช่ของยาก ป่าวประกาศน้ำลายไม่ทันแห้ง ชาวบ้านก็กรูมาชุมนุมร้องสู้ๆ แล้ว"

"มันจะง่ายขึ้นกว่านี้ไหมวะ ถ้านายดุจะช่วยสอดแนมสืบข่าว ทำตัวเป็นสายลับประจำหมู่บ้านเราให้หน่อย ไหนๆ ก็อยู่ในนั้นแล้วนี่"

ภภีมพยักหน้าเรื่อยเปื่อย คร้านจะชี้แจงให้เข้าใจว่า สมัยหนึ่งในอดีต ดงโจรที่ถูกกล่าวขวัญถึง เป็นแหล่งซ่องสุมเหล่าโจรใจชั่วมากมาย

แต่เมื่อคนรุ่นนั้นค่อยๆ ล้มหายตายจาก คนรุ่นใหม่ที่อยู่ต่อ ก็น้อยคนนักจะปักหลักอาชีพโจรตามผู้ใหญ่ หรือแม้แต่หัวหน้าโจรคนเก่งที่คบหาเขาเป็นเพื่อนร่วมวงการ ก็เพลาๆ เขี้ยวเล็บลงไปโขแล้ว

ดงโจรจึงเหลือเพียงชื่อไว้เป็นที่เล่าขาน ถึงความน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่รู้จบ จนถึงทุกวันนี้ ชาวบ้านก็ยังเชื่อปักใจว่า ในนั้นมันเกลื่อนไปด้วยหมู่โจรใจร้าย ซึ่งมันก็ยังมีอยู่ แต่ก็ไม่เกลื่อนจนน่ากลัว

"เอ้อ นายดุ" ลุงแม้นกระแอมไล่ความเงียบ "อย่าหาว่าละลาบละล้วงเลยนะ ใจคอไม่คิดจะย้ายกลับออกมาอยู่กับพวกเราเหมือนเดิมจริงๆ หรือ คนทางนี้น่ะ อยากให้นายดุกลับมาอยู่ด้วยเหมือนเดิมนา"

"อยู่ที่ไหนก็ได้ ฉันไม่ได้เลือกที่อยู่ เพราะอยากมีชีวิตอยู่ จะเป็นที่ไหนก็ได้ ถ้ามันจะทำให้ชีวิตของฉัน ค่อยๆ ตายลงอย่างช้าๆ เงียบๆ ฉันก็อยู่ได้ทั้งนั้น"

"นายดุ" ลุงแม้นเป่าลมพรู ไม่สบายใจทุกครั้งที่ฟังหนุ่มใหญ่เปรยเหมือนไม่อนาทรต่อชีวิตอีกแล้ว "ทำไมชอบพูดแบบนี้เรื่อยเลย"

"มันเป็นจุดยืนของฉัน"

"กว่าจะเกิดมาเป็นคนได้ มันไม่ใช่ง่ายๆ นา มีคนตั้งเท่าไหร่ ที่ดิ้นรนปากกัดตีนถีบก็เพื่อรักษาชีวิตนี้เอาไว้"

"เพราะพวกเขามีเป้าหมาย"

"ลมหายใจของเรานี่ล่ะ ที่มันจะเตือนเราเสมอว่า เรายังมีเป้าหมายเหลืออยู่ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะหันไปมองมันหรือเปล่า"

"อะไรกันลุงแม้น" ภภีมหัวเราะขรึม โยนก้อนกรวดใส่กองไฟ "ไม่ต้องมาวาทะกับฉันเลย"

"มองหาหวานใจสักคนสิ ชีวิตมันจะได้มีเป้าหมาย ดีไหมนายดุ"

ภภีมสั่นหน้า เริ่มจะปรายตารำคาญคู่สนทนา คุยเรื่องอื่นก็พอถูไถ แต่หากวกเวียนมาวุ่นวายเรื่องส่วนตัว เขาไม่อยากคุยด้วย ลุงแม้นรีบดึงข้อมือคนหนุ่ม สะกดไม่ให้ร่างกำยำลุกหนี

"เอาน่า ทำเป็นเคืองอีก" คนแก่มากวาทะประนีประนอมกลั้วหัวเราะ "เราก็รู้จักกันมานาน นิสัยใจคอเป็นยังไงก็ใช่ว่าจะไม่รู้นา แต่ในฐานะที่รู้จักกันมานานนี่แหละ ในสายตาของลุง นายดุจึงเหมือนเป็นญาติ"

"ขอบคุณ"

"ก็เพราะว่าเหมือนเป็นญาติ ลุงถึงได้ห่วง อยากเห็นนายดุมีความสุขบ้าง โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ได้ยังไง ตั้งยี่สิบปีแล้วนา"

"ฉันก็รำคาญอยู่เหมือนกันว่า ทำไมตัวเองถึงแข็งแรงนัก ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยหนักๆ สักครั้ง ฉันเชื่อว่าถ้าฉันเป็น ไอ้เจ้าความท้อแท้ในใจที่มีอยู่เป็นต้นทุนเดิม มันต้องช่วยกันบั่นทอนความเข้มแข็งให้ลดลงและลดลง แล้วฉันก็จะได้ตายเร็วขึ้น"

"ถ้าคิดอย่างนั้นจริง ก็รีบทำประโยชน์ให้กับโลกของเราเถอะ" ลุงแม้นสรุปเอาดื้อๆ ให้คนหนุ่มเหลียวมาเลิกคิ้ว "ก็มันจริงนี่หว่า ก่อนจะตายก็ควรจะตอบแทนแผ่นดินบ้าง เกิดมาทั้งที ก็ต้องมีผลผลิตทิ้งไว้เป็นมรดกโลกเว้ย"

"อะไรของลุงแม้นหรือ มรดกโลก"

"ลูก"

ภภีมหัวเราะพร้อมกับส่ายหน้า ในแววตาฉายความรำคาญยิ่ง เขาทำท่าจะลุกหนีไปอีกแล้ว แต่ลุงแม้นก็ดึงดัน รั้งข้อมือเขาไว้เช่นเดิม

"จริงนานายดุ อย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย สาวๆ ในละแวกนี้ เหล่ตาทอดสะพานนายดุตั้งหลายคู่ มองบ้างสิ ทำลูกน่ะ ไม่ต้องอาศัยความรักก็ได้ เอ้อ อย่างไอ้จอมซนใบพลูก็ใช่ได้นะ ท่าทางมันจะหลง.. "

"จะไปไหนก็ไปเถอะ ถ้ายังขืนเพ้อเจ้อไร้สาระต่อไป ฉันจะกลับเดี๋ยวนี้เลย"

ลุงแม้นถอนใจเฮือก ส่ายหน้าผิดหวังจัง หนุ่มใหญ่เสียงตึงกร้าวขนาดนั้นแล้ว ขืนให้ดันทุรัง ก็อาจจะจบลงด้วยความบาดหมาง แกทำทีชำเลืองไปยังสาวแก่นใบพลู เห็นตั้งนานแล้วว่า เจ้าตัวมาแอบซ่อนซุกหลังพงหญ้า ตั้งท่าเงี่ยหูแอบฟังจริงจัง

และเพราะเห็นนี่ล่ะ เจ้าความคิดอยากให้หนุ่มใหญ่ละทิ้งอุดมการณ์อยากตาย แล้วผันเป้าหมายไปทำลูกเพื่อทิ้งไว้เป็นมรดกโลกก่อนตาย มันจึงผุดวาบขึ้น

แต่ตอนนี้ พ่อหนุ่มเข้าถึงตัวยากก็ผลุนผลันผละไปเสียแล้ว สังเกตจากท่วงท่าเดินย่ำฝีเท้าหนักๆ ก็พอเดาได้ว่า อารมณ์หงุดหงิดไม่เบา




ใบพลูรีบผลุงออกจากที่ซ่อน วิ่งเหยาะๆ ตามหลังลุงแม้นกลับมายังเพิงพัก หล่อนเกาะแขนประจบคนแก่ ลากไปซักไซ้ใกล้ที่นอนของตัวเอง

"ผู้ใหญ่คุยกัน แกจะรู้ไปทำไมวะ" ลุงแม้นบ่ายเบี่ยงไปขำๆ

"แหม ใบพลูไม่อยากสวยอย่างเดียว อยากฉลาดด้วย การเป็นคนฉลาด มันก็ต้องรู้จักขวนขวายใคร่รู้ตลอดเวลาไม่ใช่หรือลุงแม้น"

"เออ" คนแก่ก็เห็นพ้อง พยักพเยิดด้วยกิริยาหมั่นไส้ แล้วตลบหลังด่าว่า "แต่อย่างแกนี่นะ เขาเรียกสอดรู้สอดเห็น"

"ก็ได้ จะใคร่รู้ หรือสอดรู้ ก็ทำให้รู้เหมือนกัน ลุงแม้นไปคุยอีท่าไหน ทำไมอาดุถึงได้ย่ำตึกๆ กลับไปนอนโครม"

"ไม่มีอะไร ลุงก็แค่แนะนำให้มันเหล่ตามองสาวสักคน ทำลูกสักโหลฝากไว้เป็นมรดกโลก ก่อนที่มันจะตาย"

"หรือจ๊ะ" สาวสวยใบพลูเลิกคิ้ว แววใคร่รู้ปนสอดรู้มันกระตือรือร้นยิ่ง "แล้วอาดุว่ายังไงบ้าง"

"ว่ายังไง ก็ถอนหงอกหลุดไปหลายกระจุกนี่ไง แล้วก็ย่ำตึกๆ กลับไปนอนโครม อย่างที่แกเห็น"

ใบพลูคนงามพอฟังจบ หน้าสวยก็แห้ง ใจก็เหี่ยว ถ้าลุงแม้นจะตอบว่า เขาสนใจ มีทีท่าว่าเห็นด้วย หล่อนก็คงจะมีความหวังได้เข้าไปเป็นตัวเก็งตัวเลือก แต่เขากลับโกรธลุงแม้นเสียได้ แสดงว่า ชั่วชาตินี้ ใจคอเขาไม่คิดจะฝากเสน่หากับหญิงใดในโลกาอีกแล้วหรือยังไง

"ใบพลูถามจริงๆ เถอะลุงแม้น อย่าหาว่าทะลึ่งเลยนะ" หล่อนตัดสินใจระบายข้อสงสัยตงิดๆ "อาดุเขาเป็นโรคอะไรมาจากในเมืองหรือเปล่า เอ้อ อย่างเช่นว่า กามตายด้าน อ้อ หรือถูกจับได้ว่ามั่วกับผู้ชายด้วยกัน อะไรพวกนี้น่ะ"

สาวสวยจอมแก่นร้อง 'อุ๊ย' เพราะโดนคนแก่เขกหัวดังตึก หล่อนทำหน้ามุ่ยคอย่น ถลึงตาฉุนๆ ใส่ ลุงแม้นจะมาเคืองอะไรหล่อนเล่า ที่ถามออกไปอย่างนั้น ก็ว่าไปตามเนื้อผ้าชัดๆ พฤติกรรมโดดเดี่ยวเดียวดายของหนุ่มใหญ่ มันส่อให้คลางแคลงใจอย่างนั้นไม่ใช่หรือ

"นายดุน่ะ เขาปกติดีอยู่ แต่ไอ้ที่ทำท่าจะคุ้มดีคุ้มร้ายนี่ก็แกล่ะไอ้ใบพลู พูดสุ่มสี่สุ่มห้า อาเขามาได้ยิน จะโกรธกันจนมองหน้าไม่ติด แบบนั้นเขาเรียกลบหลู่รู้ไหม"

"ใบพลูไม่ได้ตั้งใจน่า ถามก็เพราะสงสัย อยู่มาได้ยังไงคนเดียว ไม่ชายตาแลสาวสักคน สาวสวยอย่างใบพลู สะพรั่งอวบอัดน่าฟัดขนาดนี้ อาดุเขาก็มองทื่อ เหมือนมองต้นกล้วยต้นไผ่ มันน่าสงสัยไหมล่ะ"

"กับแกหรือกับใครๆ อาเขาก็มองทื่อ เหมือนมองต้นกล้วยต้นไผ่นั่นแหละ แต่แกเชื่อเถอะ มันต้องมีสักวันหนึ่ง และมีสักคนหนึ่ง ที่จะทำให้อาดุของแกมองอย่างมีอารมณ์ละวะ"

"จริงหรือลุงแม้น แหม ถ้ามีจริง แม่นั่นต้องได้เป็นศัตรูคู่แค้นกับใบพลูแน่ๆ อาดุน่ะ ใบพลูจองตั้งนานแล้ว ใครคิดจะแหยมมาแก่งแย่งชิงไปเกยละก็ สาวสวยอย่างใบพลู สู้ตายเชียวนะ บอกให้เลย"

ลุงแม้นเลยแจกเขกหนักเข้าให้อีกตึก หมั่นไส้สาวสวยอย่างใบพลูเหลือกำลัง ยอมรับตั้งนานแล้วว่า ใบพลูจอมแก่น ยิ่งโตก็ยิ่งสวย แต่ความรัก มันไม่มีเงื่อนไขใดๆ มาต่อรองให้เกิด ถ้ามันจะเกิดแก่ใจใครสักคน มันจะเกิดเอง

ทันทีที่สาวจอมแก่นประจำหมู่บ้านผละไปนอน ลุงแม้นก็ค่อยถอนใจเฮือก

แกไม่ได้บอกใครว่า ห้าปีมาแล้ว ที่แกไม่เคยลืมแววตาอาทรเปี่ยมล้นของหนุ่มใหญ่หน้าดุ ในขณะที่จับจ้องสาวหลงป่าเคราะห์ร้าย ซึ่งเกือบจะถูกเดนมนุษย์หกคนย่ำยีในคืนฝนตก

แกมั่นใจเงียบๆ เสียด้วยซ้ำไปว่า เด็กสาวคือเจ้าของตำแหน่ง 'หวานใจ' ที่หนุ่มใหญ่ไปพบเจอโดยบังเอิญ 'ณ ปลายดง'




รัตติกาลย่างกรายมากางม่านคลี่คลุมป่าทั้งผืนไว้อย่างจริงจัง ทุกคนหลับใหลด้วยอิริยาบถต่างกัน

ในโพรงถ้ำของป่าฟากหนึ่ง ปรากฏเพียงแสงสว่างน้อยนิด ซึ่งสาดมาจากกองไฟเบื้องนอก ส่องให้เห็นร่างของสามแสนหลับคุดคู้

ในเพิงพักห่างออกไปอีกฟากของป่าผืนเดียวกัน แสงสลัวจากกองไฟก็สาดไปกระทบร่างกำยำของภภีมซึ่งหลับอย่างไม่เป็นสุขนัก เขากำลังฝัน และในนั้น ก็ได้เจอกับคนที่ปรารถนาเคียงข้าง มอบกายและใจให้เป็นเจ้าของตลอดกาล

"ชุ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน" เขาครางเงอะงะ กลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้น

"ชุคิดถึงคุณภีมค่ะ" ร่างบางในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีชมพูอ่อน พลิ้วมาอวดความผุดผ่อง

"ฉันก็คิดถึง ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันไม่คิดถึง ฉันคิดถึงชุ คิดถึง"

น้ำตาแห่งความตื้นตันไหลอ้อยอิ่ง คนหลับไม่รู้สึกตัว เพราะมัวแต่อิ่มเอมกับการได้กอดทรามเชยในห้วงฝัน ชุลียาโอนอ่อนน่ารักไม่ผิดเพี้ยนไปจากเมื่อยี่สิบปีก่อน หล่อนคือเจ้าของความรักที่ไม่มีวันตายไปจากหัวใจดวงนี้

"ฉันรอเวลานี้มานาน บอกฉันซิ ฉันหลุดพ้นจากวังวนระกำอย่างเดียวดายมาแล้วใช่ไหม เราสองคน.. "

"อดทนอีกหน่อยนะคะ อีกไม่นาน จะมีคนคนหนึ่งยื่นมือลงไปช่วย คุณภีมต้องจับมือคนคนนั้นไว้ ห้ามปล่อยเด็ดขาด แล้วคนคนนั้น ก็จะดึงคุณภีมหลุดพ้นจากวังวนระกำในที่สุด"

"ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ต้องใครอีกแล้ว เวลานี้ ชุกลับมาหาฉันแล้วไม่ใช่หรือ ฉันไม่สนใจว่าที่นี่จะเป็นที่ไหน ขอแค่ว่าให้เราสองคนได้กลับมาอยู่ด้วยกัน อยู่กับความรักของเราอย่างมีความสุข ฉันก็พอใจแล้ว"

"ชุกำลังจะไปค่ะ อีกไม่นานนี้ ชุก็จะหายสาบสูญไปจากความทรงจำของคุณภีมตลอดกาล"

"ไม่.. ไม่นะชุ ไม่นะ อย่าไป ฉันไม่ให้ไป อยู่กับฉันที่นี่ อยู่กับความรักของเรา อย่าไปนะชุ อย่าไป อย่าไป"

ฝนตกพรำๆ ทำให้ไฟทุกกองเริ่มหรี่แสงจ้า อากาศหนาวจับขั้วใจ ผลักร่างหนุ่มใหญ่ให้เปลี่ยนอิริยาบถจากนอนตะแคงเป็นหงายอย่างอึดอัด

น้ำตาเปื้อนเปียกชุ่มหางตา ปากแห้งเม้มสั่น และบางขณะก็งึมงำเบาหวิว มีเพียงเจ้าตัวที่จับความได้ไปตามลำพังว่า 'อย่าไป'

ฟ้าร้องครืนมาเบาๆ คนนอนหลับลืมตาตื่น มองความสลัวบนหลังคาสังกะสี เสียงซู่ๆ ของสายฝน ณ รัตติกาล ดึงร่างกำยำให้ลุกมานั่ง พลางทอดถอนใจ ส่ายหน้า แล้วยิ้มสมเพชในความปรารถนาไร้สาระของตัวเอง

ชุลียาถูกความตายพรากไปจากอกนานกว่ายี่สิบปีแล้ว หล่อนย้อนกลับมาไม่ได้หรอก ความรักความหลัง และเยื่อใยสายสวาท มันขาดสะบั้นลงพร้อมกับลมหายใจที่ขาดห้วงในอ้อมกอดโหยหารุนแรง ณ ค่ำวันนั้น และฝนตกอย่างนี้

ผ่านช่วงเวลานั้นไปสิบห้าปี ณ ค่ำวันนั้น และฝนตกอย่างนี้ ก็ย่างกรายมาเยือนซ้ำรอย เขาโอบกอดสามแสนด้วยความรู้สึกโหยหารุนแรง ตัวเธอร้อนจัดมาก จนเขาพรั่นพรึงลึกๆ กริ่งเกรงว่า มัจจุราชจะมาพรากเธอไปอีก

แต่ก็ไม่เลย สามแสนเป็นเด็กดวงแข็งคนหนึ่ง เธอก้าวผ่านช่วงนาทีสำคัญนั้นไปอย่างปลอดภัย และความปลอดภัยในครั้งนั้น ก็พรากเธอไปจากหัวใจดวงนี้

น้ำตาร้อนไหลเป็นสายลงมา คล้ายย้ำเตือนให้ระลึกอย่างขมขื่นว่า 'บทลงเอยของความรัก ก็คือ การหันหลังให้กันอย่างเจ็บปวด'




สามแสนสะดุ้งตื่น เพราะเสียงฟ้าร้องเปรี้ยง นายเก่งกาจก็ตื่นเช่นกัน แกลุกมาด้อมๆ มองๆ แล้วหย่อนกายลงถามไถ่ว่า

"คุณสามแสนไม่เป็นอะไรนะครับ"

"ไม่เป็นอะไรค่ะ สามแสนตกใจตื่นเพราะฟ้าร้องนิดหน่อยค่ะ ลุงไปนอนต่อเถอะค่ะ"

"ครับ แต่แหม ดูไปแล้ว ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจให้เราเดินทางสักเท่าไหร่เลย ถ้าพรุ่งนี้ ฝนยังตกอีก เราคงจะเดินทางต่อไปลำบากนะครับ อาจจะช้าหน่อย"

"ช้าก็ไม่เป็นไรค่ะ โบราณยังว่าเลย ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามไม่ใช่หรือคะ สามแสนรอได้ค่ะ ช้าไปอีกสักวันสองวัน เดือนสองเดือน ปีสองปี หรือนานกว่านั้น สามแสนก็รอได้ค่ะ ขอแค่ให้เจอพร้างามเล่มนั้นเถอะ"

"อ้อ ครับ"

นายเก่งกาจไม่ค่อยเข้าใจว่าหญิงสาวกล่าวถึงเรื่องอะไร แกกลับไปนอนต่อ พลิกไปพลิกมาอยู่สองสามหน ท่าทางเหมือนจะหลับต่อไม่ได้อีกแล้ว จึงแค่นอนรอเวลาให้เช้าเท่านั้น

สามแสนก็เช่นกัน เธอไม่ง่วงอีกแล้ว จึงแค่ขยับตัวไปพิงผนังถ้ำ ประสานมือเหนือหน้าท้อง ทอดตาไปจับพื้นขรุขระในแสงสลัว ทบทวนความฝันประหลาด

มันอาจจะดำเนินไปได้ยาวกว่านั้น หากเธอไม่สะดุ้งตกใจด้วยเสียงฟ้าผ่าเมื่อครู่นี้ รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ที่ยังไม่ทันได้เห็นหน้า 'ผู้หญิงในชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีชมพู'

"แม่หนู ฉันจะไปแล้ว"

"ไปแล้ว ไปไหนคะ แล้วคุณเป็นใครคะ ที่นี่ที่ไหน ทำไมมันดูสวยแปลกๆ นะคะ สามแสนไม่เคยเห็นที่ไหนสวยเท่าที่นี่เลยค่ะ"

"สักวันหนึ่ง แม่หนูก็จะได้มาที่นี่ แต่จะพักพิงนานแค่ไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาของแม่หนูเอง"

"หรือคะ ไม่เอาหรอกค่ะ สามแสนขออยู่บ้านกับพ่อกับแม่ดีกว่า ที่นี่มันสวยก็จริง แต่มันดูว่างเปล่า และอ้างว้างเกินไป สามแสนแค่ชอบว่ามันสวย แต่หากให้อยู่ สามแสนไม่ชอบค่ะ"

สาวแปลกหน้าในห้วงฝันหัวเราะนุ่ม สามแสนได้ยินแล้วรู้สึกอิ่มใจอย่างประหลาด เธอมองไม่เห็นใบหน้าและรูปร่างที่ซ่อนอยู่ในม่านหมอกสีชมพูหวาน แต่เห็นว่า กระโปรงสีชมพูตัวนั้น มันสวย บางพลิ้ว และไหวไปไหวมา จนเธออยากสวมใส่บ้าง

"ขอบใจนะ ที่แม่หนูมาช่วยปลดปล่อยฉัน ให้หลุดพ้นออกจากวังวนพันธะทางใจ ที่ฉันมีต่อคุณภีม"

"อะไรนะคะ คุณพูดเรื่องอะไร สามแสนไม่เข้าใจเลย อ้อ คุณยังไม่บอกเลยว่า คุณเป็นใคร"

"อีกไม่นาน แม่หนูก็จะได้รู้จักฉันเอง ฉันต้องไปแล้ว ฉันมาเพื่อจะบอกว่า ฉันดีใจที่แม่หนูจะเป็นคนช่วยฉุดคุณภีมให้หลุดพ้นจากวังวนระกำ ขอบใจแม่หนูอีกครั้ง ขอบใจอีกครั้ง ขอบใจ"

สามแสนอยากจะบอกกลับไปว่า 'ไม่ต้องขอบใจ' แต่เพราะเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงนั่นเอง ทำให้วิมานสีชมพูหวาน กับสาวแปลกหน้าในชุดสวยหายวับไป เธอตบหน้าผากเบาๆ ปลุกตัวเองให้ตื่นจากความคิดเพ้อเจ้อเหลวไหล ทำนองว่า 'นางไม้ในป่า คงมาทักทาย'

หญิงสาวลุกออกไปชะเง้อชะโงกหน้าปากถ้ำ ยังเห็นม่านฝนพลิ้วไหว ละอองหนาบางส่วนปลิวเข้ามาสาดผนัง จนเกิดเงามันแปลบ สะท้อนผ่านแสงไฟริบหรี่

เธอกระชับผ้าคลุมไหล่ ก่อไออุ่นให้ร่างกาย ยอมรับลึกๆ ว่า น้อยใจฟ้าฝน ที่ไม่ยอมเป็นใจ ผิดหวังที่ตัวเองได้เจอหน้าพี่ชายช้าลง

แต่ผ่านไปแค่อึดใจหนึ่งของนาที สามแสนก็สูดหายใจลึกอย่างเข้มแข็ง เธอต้องไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคเล็กน้อยเพียงเท่านี้ใช่ไหม เธอต้องมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว

ไม่ว่าป่าผืนนี้ จะเปลี่ยนไปจากห้าปีก่อนมากแค่ไหน ขยับขยายอาณาเขตไพศาลไปชิดเขตชายแดนเพื่อนบ้านฟากไหนก็ตาม เธอต้องท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจว่า ตราบใดที่ยังไม่เจอหน้าพี่ชาย เธอจะไม่มีวันกลับออกไป

"พี่ชายอยู่ที่ไหนคะ คิดถึงสามแสนบ้างหรือเปล่า จำเด็กหลงป่าคนนี้ได้ไหม จำอ้อมกอดอุ่นๆ ที่พี่ชายเคยฝากไว้เป็นที่ระลึกก่อนจากมาได้หรือเปล่า จำคำสัญญาของเราได้ไหม มันต้องมีวันพรุ่งนี้สักวันหนึ่ง ที่ทำให้สามแสนตื่นขึ้นมา แล้วเจอหน้าพี่ชายเป็นคนแรก"

นายเก่งกาจนอนลืมตาอยู่ในเงาสลัว แกเห็นสาวสวยออกไปยืนกอดอกใกล้ปากถ้ำ แต่เสียงงึมงำระบายความคิดถึงของสามแสน แกคงไม่ได้ยินหรอก

อยากจะร้องเรียกให้กลับเข้ามาข้างใน เพราะเกรงว่า โดนละอองฝนในป่า แล้วอาจจะไม่สบายระหว่างทางได้ แต่เมื่อเห็นอากัปกิริยาแน่วนิ่งดั่งรูปปั้น แกก็เกิดความเกรงใจ บางที เจ้าตัวอาจกำลังใช้ความคิดอยู่ก็เป็นได้

สามแสนไม่เห็นว่านายเก่งกาจลุกขึ้น แล้วนอนลงดังเดิม พร้อมกับพลิกตะแคงหันหลังให้ด้วย

เธอยังคงตรึงม่านฝน ด้วยแววตาโหยหา จิตผูกพันหมั่นโบยบินแทรกความเหน็บหนาวในบรรยากาศ ไปตามหาร่องรอยของพี่ชาย เขาต้องอยู่ตรงไหนสักแห่งในป่าผืนนี้ล่ะ

และไม่ว่าตรงนั้น มันจะลี้ลับซับซ้อนยิ่งเสียกว่าเขาวงกตก็ช่าง สามแสนจะขอดั้นด้นไปให้ถึง ต้องตามหาเขาให้เจอ ต้องเจอเท่านั้น

เจอแล้ว สามแสนจะทำทุกวิถีทาง เพื่อพาเขากลับออกไปจากป่าจากดงผืนนี้ แล้วถ้าเขาไม่กลับ สามแสนก็จะอยู่เคียงข้างเขาในนั้นตราบจนวันตาย

สำหรับเขาจะคิดยังไงกับความรักของสามแสนก็ช่าง แต่สำหรับสามแสน 'บทลงเอยของความรัก ต้องไม่ใช่การหันหลังให้กันอย่างเจ็บปวด แต่ต้องหลอมใจสองดวงให้เป็นหนึ่ง และตรึงรักหวานซึ้งสุดใจไว้ที่ไหนก็ได้ ในเมืองก็ได้ ณ ปลายดง ก็ไม่เกี่ยง'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 11:07:39




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com