บทที่ 21 เที่ยวชมตลาด
เช้าวันรุ่งขึ้น ดวงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นจากขอบฟ้าดี หยางเฟยเยื่ยก็ตื่นนอนเตรียมตัวเข้าประชุมในวังแต่เช้าตรู่แล้ว โดยในวันนี้เขาไม่ได้ปลุกสตรีที่ยังคงนอนหลับใหลอยู่บนเตียงให้ตื่นขึ้นมาดังเคย เพียงแต่เอ่ยกำชับเสี่ยวปี้สองสามประโยคก็เร่งรุดออกจากบ้านไป ไม่แม้แต่จะเสียเวลาไปกับการทานมื้อเช้าหรือแตะน้ำชาเพื่อขับไล่ความหนาวในยามเช้าแม้แต่น้อย ราวกับในวันนี้เขายังมีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องไปจัดการให้เสร็จสิ้นกระนั้น
เจิ้งเยี่ยอิงเมื่อตื่นขึ้นมาไม่เจอสามีก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เพราะปกติหากเขาตื่นนอนก่อนนางก็มักจะหาเรื่องปลุกนางขึ้นมาทานข้าวพร้อมกันกับเขาทุกเช้า แม้จะแปลกใจแต่นางก็ไม่ได้คิดเอ่ยถามใด ๆ ออกมาอยู่ดี กลับเป็นเสี่ยวปี้ที่ดูเหมือนจะมองเห็นความกังวลของนางจึงเอ่ยขึ้นอย่างรู้ใจ
“นายท่านฝากบอกว่าวันนี้มีประชุมสำคัญทำให้ไปสายไม่ได้ และสั่งกำชับมิให้เสี่ยวปี้รบกวนปลุกฮูหยินในเช้านี้ด้วยเจ้าคะ”
ที่แท้ที่เขาไม่ยอมปลุกนางคงเป็นเพราะต้องการให้นางนอนหลับอย่างเต็มที่สินะ
หญิงสาวยิ้มรับคำก่อนจะลงมือล้างหน้าแต่งตัว เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกลางวันเรียบร้อยแล้ว อาหารหอมกรุ่นก็ถูกนำมาจัดวางบนโต๊ะรอให้นางทานในทันที แต่หลังจากที่เจิ้งเยี่ยอิงทานอาหารเช้าเสร็จได้ไม่นาน ก็มีแขกมาเยือนอีกครั้งในเช้าวันนี้เสียแล้ว ซึ่งผู้มาเยือนก็ยังคงเป็นแขกคนเดิมกับเมื่อวานนี้
เจิ้งชิงจื่อมาถึงหลังเวลาอาหารราวกับนกรู้ วันนี้นางยังคงแต่งกายมาในชุดบุรุษเช่นเดิมกับเมื่อวาน เมื่อเข้ามาในห้องรับแขกซึ่งเจิ้งเยี่ยอิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ เด็กสาวก็ไม่คิดพูดพล่ามทำเพลงให้มากความ นางรีบเอ่ยชวนหญิงสาวให้ออกไปเดินตลาดเป็นเพื่อนนางทันที ดังที่ได้ลั่นวาจาไว้ตั้งแต่เมื่อวานโดยไม่ได้สนใจคำเอ่ยเตือนเป็นนัย ๆ ของหยางเฟยเยี่ยแม้แต่น้อย
“เรารีบไปกันแต่เช้าเสียหน่อย พอแดดแรงจะได้กลับกันก็จะเป็นเวลาที่เดินเที่ยวจนทั่วพอดี” เด็กสาวเอ่ยบอกเหตุผลและคาดการณ์เวลาที่ต้องใช้
เนื่องจากปกตินั้นเจิ้งเยี่ยอิงก็เป็นคนที่ปฏิเสธผู้อื่นไม่เป็นอยู่แล้ว กอปรกับผู้ที่เอ่ยชักชวนในยามนี้ก็คือเจิ้งชิงจื่อเสียด้วย โอกาสในการบอกปัดจึงแทบจะไม่มีให้เห็น
เมื่อเจิ้งชิงจื่อเอ่ยมา นางจึงเพียงรับคำพยักหน้าก่อนหันไปบอกกล่าวกับเสี่ยวปี้
“เจ้าจะออกไปเที่ยวเล่นกับพวกเราด้วยไหม”
หญิงสาวเอ่ยชักชวนเพราะตั้งแต่อยู่ในเมืองเฟิงอู่ นางก็ไม่เห็นเสี่ยวปี้จะออกไปไหนนอกกำแพงบ้านเลยแม้แต่น้อย ตอนแรกยังคิดว่าเด็กสาวคงไม่ชอบการออกไปข้างนอก แต่ระหว่างการเดินทางมาเมืองหลวงในครั้งนี้ นางก็ได้รู้ว่าคิดผิดอย่างสิ้นเชิง เมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้ามีท่าทีร่าเริงสดใสยิ้มแย้มตลอดเวลาในระหว่างที่แวะพักตลอดการเดินทางกลับในครั้งนี้
“แต่ว่า... จะดีหรือเจ้าคะ หากนายท่านรู้เข้าล่ะก็”
“นายท่านของเจ้าได้สั่งห้ามไว้หรือเปล่าล่ะ” แน่นอนคนที่ถามขึ้นมาย่อมเป็นสตรีในอาภรณ์บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย
“เอ่อ..เปล่าเจ้าค่ะ” นางตอบไปตามตรง
“เช่นนั้นข้ากับพี่สาวก็จะออกไปเที่ยวชมตลาดด้วยกัน หากเจ้าไม่อยากไปก็อยู่รอที่นี่ก็แล้วกัน แน่นอนข้าไม่ได้บังคับใด ๆ ทั้งสิ้น”
“จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ นายท่านสั่งไว้หากนายหญิงไปไหนเสี่ยวปี้จะต้องคอยติดตามรับใช้ตลอดเวลา”
“ดังนั้นเจ้าจะไปกับพวกเรา?” แม้ใบหน้าของคนถามจะยิ้มแย้ม ทว่าภายในใจกลับอดคิดไม่ได้ว่าสำหรับชายผู้นั้นแล้ว ต่อให้เจิ้งเยี่ยอิงมิได้อยู่ในสายตาของเขา ก็ควรจะต้องอยู่ในสายตาของคนของเขาอยู่ดี
“เจ้าคะ”
เสี่ยวปี้รับคำอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักว่าควรยินดีที่จะได้ออกไปเปิดหูเปิดตาหรือไม่ แต่ต่อให้นางไม่อยากไปก็ไม่มีทางปฏิเสธเช่นกัน เพราะนี่ก็เป็นอีกหน้าที่ที่เจ้านายมอบหมายให้หลังจากเดินทางมาถึงเมืองหลวง นั้นคือนางจะต้องติดตามดูแลนายหญิงตลอดเวลาหากไม่มีนายท่านอยู่ด้วย
สตรีทั้งสามต่างเที่ยวชมตลาดยามเช้าที่ค่อนข้างจะสายอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ด้วยการชี้ชวนและแนะนำสิ่งของต่าง ๆ ของเจิ้งชิงจื่อ แม้ยามนี้แดดจะจ้ามากแล้ว แต่เนื่องจากอากาศในช่วงนี้นั้นไม่ร้อนมากนัก ทำให้คนเดินไปมาบนถนนแห่งนี้ต่างรู้สึกว่าแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมานั้นอุ่นสบายกำลังดี
ด้วยฐานะของสาวใช้ที่ไม่ได้มีความสำคัญ แต่กระนั้นเงินเดือนที่ได้รับแม้ไม่อาจนับว่าน้อยสำหรับหน้าที่จัดการเรื่องทั่ว ๆ ไปภายในบ้านของเสี่ยวปี้ แต่นางกลับไม่มีโอกาสมาเปิดหูเปิดตาแบบนี้บ่อยนัก ทำให้เงินเดือนที่ได้รับนั้นไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เปิดหูเปิดตาสู่โลกภายนอกเช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้าของเช่นกัน ยิ่งการที่ต้องตามไปรับใช้เจ้านายในเมืองห่างไกล ก็แทบจะทำให้นางมีงานยุ่งจนแทบไม่อาจหาเวลาออกมาผ่อนคลายเที่ยวเล่นดังเช่นเด็กสาว ๆ ทั่วไปนานมากแล้ว
ในยามนี้เด็กสาวจึงอดไม่ได้ที่จะดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันพลุกพล่านไปด้วยผู้คน และฟังเสียงตะโกนบอกขายของโหวกเหวกของเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าด้วยความเบิกบานใจ พลางสอดส่ายสายตาชื่นชมเครื่องประดับงดงามต่าง ๆ ที่ถูกนำมาตั้งแผงขายด้วยความสนอกสนใจไปด้วย
ในบริเวณที่เจิ้งชิงจื่อเดินนำทางมานี้นับว่าสำหรับสาว ๆ แล้วคงจะสามารถเรียกรอยยิ้มออกมาได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากมีร้านจำพวกที่ใช้เครื่องประทินโฉมและเครื่องประดับเรียงรายติดต่อกันอยู่หลายสิบร้าน ทั้งเครื่องเงิน หยก อัญมณีสีสันสดใสงดงามลานตาจนแทบทำให้เหล่าหญิงสาวรู้สึกว่า วันทั้งวันก็คงจะยังเดินชมของเหล่านี้ไม่หมดไม่สิ้น
เจิ้งชิงจื่อเผยรอยยิ้มพึงพอใจเมื่อเห็นเด็กสาวที่ติดตามมากำลังให้ความสนใจกับกำไลข้อมือที่แกะสลักลายรูปดอกโบตั๋นดอกจิ๋วฝังมุกเม็ดน้อยอย่างพินิจพิเคราะห์ เด็กสาวกระตุกดึงมือของเจิ้งเยี่ยอิงให้ถอยห่างออกมาอย่างแนบเนียนจนแทบไม่เป็นที่สังเกตของสาว ๆ ที่เบียดเสียดยืนมุงอยู่โดยรอบ
“ดูเหมือนสาวใช้ของท่านจะติดใจกับเครื่องประดับแถวนี้เข้าให้เสียแล้ว ข้ารูว่าท่านไม่ค่อยสนใจของพวกนี้มากนัก เช่นนั้นเราเดินไปดูทางโน้นกันดีกว่านะ”
เด็กสาวชี้มือออกไปในทิศทางที่พวกนางยังไม่ได้เดินไปถึง
“รอนางหน่อยไม่ดีหรือ จะได้ไปพร้อม ๆ กัน” เจิ้งเยี่ยอิงเอ่ยออกมาเพราะไม่อยากทิ้งเพื่อนร่วมทางอีกคนไว้ตามลำพัง
“ยิ่งเวลาผ่านไปแดดยิ่งแรง รีบเดินดูให้ทั่วจะได้รีบกลับ อีกเดี๋ยวก็ค่อยกลับมารับนางก็ได้” เจิ้งชิงจื่อเอ่ยอย่างไม่ติดขัดพลางดึงมือของเจิ้งเยี่ยอิงให้ติดตามนางมา
“แต่เรายังไม่ได้บอกเสี่ยวปี้เลยนะ จากมาแบบนี้จะทำให้นางไม่สบายใจเอาได้”
“ไม่เป็นไร เมื่อกี้ข้ากระซิบบอกนางไปแล้ว ท่านอย่ากังวลไปเลย ไปเถอะ ไปดูทางโน้นต่อดีกว่าเผื่อท่านจะได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับไปฝากท่านพี่เขยสักสองสามชิ้น”
เจิ้งชิงจื่อเอ่ยตอบเพื่อให้หญิงสาวสบายใจ ก่อนจะกล่าววาจาหยอกเย้าพาดพิงไปถึงพี่เขยจนทำให้คนฟังอดที่จะหน้าแดงไม่ได้
ทั้งสองแวะเข้าไปในร้านขายภาพเขียนร้านหนึ่ง ทว่าชิ้นงานที่ถูกนำมาวางขายก็ยังคงไม่ถูกใจเจิ้งเยี่ยอิงอยู่ดี ดูเหมือนหญิงสาวจะให้ความสนใจและพิถีพิถันในการเลือกของขวัญชิ้นแรกให้แก่ผู้เป็นสามีอย่างยิ่ง เมื่อเดินเข้าไปในร้านถัดไป
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในร้านก็เจอเข้ากับของถูกใจนางอย่างยิ่ง เป็นพัดหยกเล่มหนึ่งแม้มิได้สลักเสลาลวดลายวิจิตรการตาอะไรเอาไว้ก็ดูเรียบหรูสง่างามมากแล้ว แต่หากเป็นเช่นนั้นก็น่าเสียดายว่าพัดนี้ควรจะคู่ควรกับอิสตรีมากว่าที่บุรุษจะถือไว้ แล้วยังภาพทิวทัศน์ที่วาดลงไปบนตัวพัดนั้นก็ดูงดงามเรียบสง่า คาดว่าถ้าหยางเฟยเยี่ยถือไว้คงจะทำให้เขาดูงามสง่ายิ่งกว่าเดิมเป็นแน่ แม้นางจะอ่อนด้อยในทุก ๆ เรื่องแต่หากเป็นหยกละก็พัดเล่มนี้นั้นเลือกเนื้อหยกที่ดีมาทำเลยทีเดียว
หญิงสาวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่นึกจินตนาการยามเขาถือพัดอยู่ครู่ใหญ่ แต่เมื่อถามถึงราคาก็แทบจะทำให้นางรีบวางพัดหยกเล่มนั้นลงทันที ราคาของพัดนี้สูงอย่างยิ่งจนน่าใจหาย พัดหนึ่งด้ามกลับมีราคาสูงถึงห้าสิบตำลึงเงินเลยทีเดียว เงินที่นางนำติดตัวมายังไม่ถึงหนึ่งในห้าของราคาพัดด้ามนี้ด้วยซ้ำ
“พวกเราไปดูของอย่างอื่นกันเถอะ”
“เอาเถอะน่าหากว่าท่านถูกใจ ถือว่าข้าออกให้เป็นค่าตอบแทนที่ท่านยอมออกมาเป็นเพื่อข้าก็แล้วกัน แถมพัดนี้ก็งดงามมากอีกด้วย หากตัดใจเสียก็ออกจะน่าเสียดาย”
“ใช่แล้วขอรับ พัดนี้ทำขึ้นมาจากหยกเนื้อดีที่ส่งมาจากเมืองเฟิงอู่ที่มีชื่อเสียงด้านหยกงามที่สุดในแคว้นเฟิงเลยทีเดียว แม้แต่ภาพบนพัดก็ยังด้อยไปเล็กน้อยเมื่อประดับบนพัดเล่มนี้”
เถ้าแก่ร้านรีบถือโอกาสโฆษณาบอกคุณค่าของสินค้าตนเองทันทีแล้วยังไม่พลาดโอกาสยกยอลูกค้าที่เห็นชัดว่าคงจะต้องซื้อสินค้าจากร้านของเขาในวันนี้เป็นแน่แท้ “คุณชายช่างตาถึงจริง ๆ” มือถูไปมาไม่หยุดราวกับมองเห็นเหรียญเงินที่ส่งเสียงกรุ้งกริ่งแว่ว ๆ ดังมาแล้ว
“เช่นนั้นเจ้าเอาไปห่อมาให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”
“จะดีหรือชิงจื่อ ข้าว่าราคามันออกจะสูงเกินไป น่าเสียดายตอนที่อยู่เฟิงอู่ข้าไม่ได้ซื้อหามาจากที่นั้นไม่เช่นนั้นคงจะได้ราคาที่ถูกกว่านี้มากนัก”
เจิ้งเยี่ยอิงพูดด้วยท่าทีหนักอกหนักใจ ถึงนางจะถูกใจพัดนั่นมากเพียงไรแต่ก็ยังคิดว่าพัดนั่นราคาแพงไปอยู่ดี นางมิใช่คนชอบใช่จ่ายฟุ่มเฟือย ดังนั้นการที่ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อของในราคาที่สูงมากเพียงชิ้นเดียว ก็ทำให้รู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าจัดการให้เอง”
กล่าวจบก็เดินเข้าไปหาเถ้าแกร้านที่กำลังห่อพัดด้วยท่าทีทะนุถนอม ใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง ก็ไม่ใช่ว่าทุกวันจะมีลูกค้าแวะมาซื้อพัดด้ามละห้าสิบตำลึงนี่นะ
หญิงสาวที่แต่งกายในชุดบุรุษเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าเถ้าแก่ก่อนจะทำมือเป็นสัญญาณให้เขาค่อมตัวลงมาต่ำอีกนิดแล้วนางก็กระซิบกระซาบข้อความบางอย่างด้วยท่าทีมีลับลมคมใน ที่ทันทีที่เถ้าแก่ฟังจบใบหน้าอ้วนฉุถึงกับเหงื่อกาฬแตกพลั่กจากสีแดงก่ำระเรื่ออย่างคนสุขภาพดีถึงกับเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันตาเห็น
“เถ้าแก่เห็นว่าราคาพัดด้ามนี้ลดให้ซักสิบห้าตำลึงได้หรือไม่”
เสียงเอ่ยถามที่ไม่ดังนักหลุดออกมาจากปากเจิ้งชิงจื่อ น้ำเสียงคนพูดเต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ
“ฮ่า ๆ ๆ เมื่อคุณชายต่อรองด้วยราคาเพียงแค่นี้ ข้าน้อยก็พอจะลดให้ได้บ้างเช่นนั้นพัดด้ามนี้ก็เป็นราคาสามสิบห้าตำลึงถือเป็นสินน้ำใจเล็กน้อยให้แก่คุณชาย”
เสียงหัวเราะที่ดังมาฟังประหลาดพิกล อีกทั้งใบหน้าของเถ้าแก้เจ้าของร้านราวกับกำลังจะร้องไห้เสียมากว่าหัวเราะ
“อืม ขอโทษทีข้าพูดให้ท่านเข้าใจผิดไปเล็กน้อย ข้าหมายถึงว่าให้เถ้าแก่ช่วยลดราคาขายพัดนี้ให้แก่ข้าและพี่สาวในราคาสิบห้าตำลึงได้หรือเปล่า”
นางยังคงกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจยิ่งกว่าเดิมเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น ทว่านัยน์ตาจ้องเขม็งอย่างไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธใด ๆ
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ย่อมได้ ๆ เป็นคำขอร้องของคุณชายมีหรือที่เหล่าซ่างจะกล้าปฏิเสธ”
เถ้าแก่แซ่ซ่างได้แต่กล่าวออกไปเช่นนั้นพลางก็ยื่นพัดไปให้ผู้ที่เขาเข้าใจในตอนแรกว่าเป็นบุรุษตรงหน้าที่ตอนนี้เขารู้สถานะที่แท้จริงของเจ้าตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงหัวเราะที่ดังยาวกว่าเดิมนั้นไม่ได้ทำให้ใบหน้าที่กำลังจะร้องไห้นั้นดูมีความสุขขึ้นมาแม้แต่น้อย มืออวบหนายกขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาถึงคางขาที่อยู่เบื้องหลังโต๊ะเก็บเงินยามนี้สั่นพั่บ ๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ขอบคุณ ๆ ข้าจะไม่ลืมความใจดีของเถ้าแก่ซ่างในครั้งนี้เลย แน่นอนหากมีโอกาสข้าจะไม่ลืมตอบแทนให้ท่านอย่างงามแน่”
หญิงสาวเอ่ยอย่างจริงใจรับพัดมาแล้ววางเงินลงบนโต๊ะรับเงินไปสิบห้าตำลึงไม่ขาดไม่เกินแม้แต่เหรียญเดียว
เถ้าแก่ซ่างน้อมส่งหญิงสาวทั้งสองออกจากร้านด้วยท่าทีนอบน้อม ทันทีที่ทั้งสองเดินออกไปจึงค่อยมีเวลาโอดครวญอยู่ในใจว่า ใครเข้าร้านเขาไม่เข้าเหตุไฉนจึงได้ให้ตัวอันตรายอย่างนี้มาเข้าด้วยเล่า รู้แบบนี้เขาสู้ยอมปิดร้านไปหนึ่งเดือนเต็มยังดีเสียกว่า
จากคุณ |
:
ปีศาจแมวฯ (siMiSma)
|
เขียนเมื่อ |
:
3 มิ.ย. 54 15:38:10
|
|
|
|