มิ่งแก้วจอมหทัย บทที่ ๑๑ : กบฏที่แท้จริง
|
 |
++ ช่วงนี้จะลงงานอาทิตย์ละครั้ง (ถ้าเป็นไปได้นะคะ) เพราะอินเพิ่งได้งานใหม่ หาวันหยุดยังไม่ได้เลย อีกอย่าง งานนี้อินเดินทั้งวัน เลย ไม่ได้นั่งโต๊ะกะใครเขาหรอกค่ะ อย่าว่าแต่พักทานข้าวเลย แค่ดื่มน้ำยังไม่ได้ดื่มเลยค่ะ ฮือๆ เข้าบ้านก็เหนื่อยแย้ว อยากสลบเสียให้ได้ แต่ยังไงๆ ก็จะหาเวลามาจัดการนิยายค่ะ ถ้ามีอะไรขาดตกบกพร่องไปช่วงนี้ อย่าว่ากันนะคะ T^T ++
บทที่ ๑๑ : กบฏที่แท้จริง
ตลอดยามบ่ายของทิวานั้น ทั้งกองทัพถูกปกคลุมด้วยความเงียบจนน่าอึดอัด ไม่มีทหารนายใดกล้าส่งเสียงเล็ดลอดออกมาแม้เพียงน้อยหนึ่ง ด้วยเจ้าชายศิขรินมิได้ตรัสอันใดอีกเลยนับแต่เกิดอสนีบาต สี่ขุนพลแห่งธาตุได้แต่ลอบมองตากันอย่างหนักใจนัก ด้วยมิรู้ว่าผู้เป็นนายทรงครุ่นคิดอันใดอยู่ แม้ที่ผ่านมาเจ้าชายศิขรินจักทรงเงียบขรึมอยู่เป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว หากไม่มีครั้งใดที่ดูแล้วน่าอึดอัดเพียงนี้มาก่อน ต่างฝ่ายต่างเกี่ยงให้กันแลกันเป็นผู้ตั้งกระทู้ถาม ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าทำดั่งนั้นแม้แต่วายุ
จวบจนดวงสุริยาลาลับเบื้องหลังภูสูงแล้ว วรองค์สูงที่ประทับนิ่งมานานดุจรูปปั้นจึงเริ่มขยับองค์เป็นคราแรก ความมืดที่เริ่มปกคลุมช่วยซ่อนเร้นแววกังวลพระทัยในสายพระเนตรจากสี่ขุนพลได้เป็นอย่างดี รหัสเหตุอันเกิดขึ้นเมื่อยามเที่ยงนั้นยังให้หทัยแกร่งอดวูบวับมิได้ มิใช่เพราะทรงตระหนกตกพระทัย หากเป็นด้วยความรู้สึกที่เจ้าตัวเองก็ยังไม่เชื่อว่าจักเกิดมีขึ้นได้ นั่นคือความลังเลไม่มั่นพระทัย ทั้งที่ทรงเชื่อมั่นในองค์เองหนักหนาว่าทุกพระวาจาที่ได้ลั่นโอษฐ์ไปนั้น จักไม่มีวันตระบัดสัตย์ก็ตาม อำนาจแห่งคำสัตย์ที่ฟ้าดินรับรู้ทรงอานุภาพเพียงใด ย่อมประจักษ์แก่หทัยตน อยากจักทรงคิดว่าอสนีบาตที่เกิดขึ้นนั้นเป็นด้วยวิศเวเทวาทั้งปวงทรงรับรู้สิ้นก็ตามที หากความนัยแห่งทวยเทพใช่มีเพียงหนึ่งเดียว ทุกสิ่งย่อมมีความหมายทั้งทางดีแลร้ายเสมอ แลนั่นยังให้ทรงตั้งปุจฉาถามองค์เองมาตลอดเพลาบ่ายที่ผ่านมาว่า ทรงแน่พระทัยได้ฤๅว่าจักไม่มีเหตุอันใดมาทำให้ความตั้งใจนั้นแปรผันสั่นคลอนไปเสียได้ วิสัชนาเมื่อแรกก็ยังทรงมั่นคงอยู่ หากเมื่อทรงตั้งปุจฉาข้อเดิมซ้ำไปซ้ำมาหลายคำรบ ความไม่มั่นพระทัยก็เริ่มบังเกิด อันใดก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น เพรงกรรมของเหล่าส่ำสัตว์ในสังสารวัฏจักหนีพ้นได้ฤๅไฉน
วายุ
สุรเสียงตรัสขานนามหนึ่งในสี่ขุนพลธาตุ ยังให้เจ้าตัวกระตุ้นม้าเข้ามาใกล้ แลทิ้งระยะห่างราวศอกหนึ่งเยื้องไปทางเบื้องปฤษฎางค์ อันเป็นตำแหน่งที่ข้าราชบริพารพึงจักอยู่ หากผู้เป็นนายทรงเรียกขานวานใช้ เนตรสีน้ำตาลไหม้ตวัดปรายทางคนสนิทแวบหนึ่งก่อนตรัสสุรเสียงห้วนๆ
อยู่ตรงนั้นจักได้ยินเสียงข้าฤๅไม่เล่า ขึ้นมาเคียงม้ากับข้านี่
วายุยิ้มนิดๆ กับพระบัญชานั้น สุรเสียงห้วนสั้นมิเคยแปรเปลี่ยนไม่ว่าจักกริ้วฤๅไม่ เป็นหน้าที่ของผู้ติดตามที่จักต้องรู้แลคอยสังเกตเอาเองว่าเจ้าชายศิขรินทรงอยู่ในพระอารมณ์ใดแน่ ขุนพลแห่งลมเป็นคนเดียวที่ทรงเรียกหาบ่อยกว่าผู้ใด ด้วยอายุที่เท่ากันทำให้ทรงก่อความสนิทสนมได้ง่ายกว่า ครั้นจักทรงสนทนากับปาษาณ ความนิ่งสงบที่แทบไม่แตกต่างกับองค์เอง ก็พาให้การสนทนาน่าเบื่อเอาง่ายๆ
ขอประทานอภัย กระหม่อม ชายหนุ่มทูลตอบพลางกระตุ้นเตือนม้าให้เข้าไปเดินเคียงคู่กับม้าทรง
วายุ ข้าเคยลั่นวาจาอย่างใดแล้วทำไม่ได้ฤๅไม่
ดวงหน้างามปานจักเย้ยสตรีให้ได้อายเงยขึ้นมองเสี้ยวพักตร์เข้มคมอย่างฉงน นี่เกิดอันใดขึ้นอีกหนอ ทรงเงียบมาตลอดกึ่งทิวา ครั้นพอออกโอษฐ์ก็ตรัสถามเยี่ยงนี้
ไม่เคย กระหม่อม ต่อให้สิ่งนั้นจักเป็นไปไม่ได้อย่างใดก็ตาม ลงพระองค์ได้ลั่นพระวาจาไปแล้ว ทุกสิ่งย่อมสำเร็จสมพระประสงค์
นั่นสินะ ต่อให้ยากแสนยากข้าก็ทำมันลุล่วงมาแล้ว
ตรัสสุรเสียงแผ่วคล้ายย้ำความเชื่อมั่นกลับคืนให้องค์เอง อีกประการนั้นเล่า เหตุยังไม่เกิดขึ้นไยต้องทรงตีตนไปก่อนไข้ถึงเพียงนี้ วิสัยเยี่ยงนี้พึงเป็นของสตรีหาใช่บุรุษไม่ วายุมองท่าทีนั้นราวจักอ่านใจผู้เป็นทั้งสหายแลทั้งนาย
ทรงเป็นอันใดไป กระหม่อม ไยตรัสถามข้าบาทเยี่ยงนี้
เปล่า ข้าเพียงอยากรู้ก็เท่านั้น
แน่ฤๅ กระหม่อม
เจ้านี่ซักข้าราวกับเป็นนักโทษก็มิปาน เอาไว้ข้านั่งเมืองเมื่อใด จักส่งเจ้าไปอยู่ด้วยท่านเมฆาช่วยไต่สวนนักโทษ
อ้าว! แล้วขุนพลลมก็ว่างสิกระหม่อม
จักว่างได้อย่างใด เจ้าเองพูดออกบ่อยไปมิใช่รึ ว่าข้าเป็นประธานแห่งธาตุทั้งสี่ ข้าก็เข้าแทนที่เจ้าเสียเลย
โอย! ไม่ดีแน่กระหม่อม ท่านเมฆาดุนัก
วายุแสร้งอุทธรณ์ลั่น ยังให้เจ้าชายศิขรินอดสรวลออกมามิได้ ขุนพลแห่งลมยิ้มน้อยๆ
สรวลเยี่ยงนี้แปลว่าไม่ทรงส่งข้าบาทไปแล้วใช่ฤๅไม่ กระหม่อม
เปล่า ยังคิดอยู่ ไว้ทิวาใดข้าเบื่อเจ้าแล้วค่อยส่งไป
เพลานี้ยังไม่ทรงเบื่อก็พอแล้ว วายุทูลกลั้วหัวเราะตามวิสัยของเขา ก่อนจักขรึมลงไป เมื่อทูลเสียงเบา
เพรงกรรมนำชัก สิ่งใดยังมิได้เกิดขึ้นอย่าเพิ่งทรงมีดำริล่วงหน้าเลยกระหม่อม ขอเพียงแค่เพลานี้ ทิวานี้ ทรงทำดั่งที่ลั่นโอษฐ์ไว้ก็เพียงพอ กาลภายหน้าจักเป็นเยี่ยงใดก็ตามแต่ อย่างน้อยหากมันไม่เป็นไปตามพระประสงค์ฤๅมีเหตุต้องแปรผันไปอย่างใดก็ตามที พระองค์ก็จักได้ทรงภูมิพระทัยว่า ครั้งหนึ่งทรงทำจนสุดพระกำลังแล้ว
รู้ฤๅ วายุ
เจ้าชายศิขรินทรงลดพระสุรเสียงลงเช่นเดียวกับพระสหาย พักตร์เข้มหันมาทอดพระเนตรอีกฝ่ายเต็มพระเนตรเป็นคราแรก วายุยิ้มอ่อน
ข้าบาทไม่รู้ทุกสิ่งหรอกกระหม่อม เพียงแต่เดาความไปเท่านั้น
เดาความฤๅอ่านใจข้ากันแน่ แต่ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า ขอบใจนะวายุ
ภายในห้องพระบรรทมพระตำหนักหิมวันต์ วรกายสูงกึ่งประทับกึ่งบรรทมอยู่บนพระแท่นที่บรรทมกว้าง พระวิสูตรสีขาวสะอาดขลิบริมทองถูกรูดไปรวบไว้ที่มุมเสาสายขวา แล้วผูกไว้ด้วยเกลียวไหมสีทองอย่างเรียบร้อย เนตรสีอ่อนดูมึนซึมแกมหม่นหมองยามทอดพระเนตรออกไปเบื้องนอกพระบัญชรที่เปิดออกรับลม ขอบฟ้าสีหมากสุกเมื่อสักครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับกลิ่นบุปผายามราตรีที่เริ่มส่งกลิ่นหอม เจ้าพนักงานอยู่งานพระประทีปค่อยทยอยเข้ามาจุดประทีปชวาลา แลอัจกลับที่อยู่ภายในห้องจนสว่างไสวก่อนกลับออกไปอย่างเงียบๆ เจ้าหลวงวายุกูลทอดถอนพระทัยยาว พักตร์คมคายหากเพลานี้ซูบซีดหนักหนาเบือนมาทอดพระเนตรผู้ที่นั่งอยู่ข้างพระที่
ชิณณะ ไยจึงไม่ยอมรับศิขรินเล่า
พระสุรเสียงแหบแห้งรับสั่งถามช้าๆ ทรงทราบดีว่าชิณณะนั้นรู้สึกอย่างใดกับพระอนุชาองค์นี้ อันที่จริงชิณณะเองก็อยู่ในฐานะพระอนุชาของพระองค์เฉกกัน แลเป็นพี่น้องร่วมพระบิดาเดียวกันกับเจ้าชายศิขรินเสียด้วยซ้ำไป หากมิได้รับการยกย่องแลอวยยศให้แต่ประการใด เหตุเพราะมารดาของชิณณะนั้นเป็นสตรีสามัญชนประการหนึ่ง แลอีกประการหนึ่งคือนางนั้นทำผิดกฏมณเฑียรบาลทำชู้ด้วยขุนนางคนหนึ่ง มิหนำยังคิดการใหญ่หวังลอบปลงพระชนม์เจ้าหลวงเวทางค์ จึงต้องโทษประหาร ทว่าเพลานั้นนางตั้งครรภ์จึงต้องรอจนกระทั่งนางคลอดจึงสั่งประหารภายหลัง ทารกนั้นเป็นชาย เจ้าหลวงเวทางค์ทรงแคลงพระทัยว่าอาจมิใช่โอรสของพระองค์จึงทรงยกทารกนั้นให้ขุนนางคนหนึ่งรับไปเลี้ยงดูเยี่ยงสามัญชนธรรมดา ครั้นเติบโตพอรู้ความก็ได้รู้ถึงชาติกำเนิดของตนโดยบังเอิญ นับแต่นั้นชิณณะก็เพียรทำทุกสิ่งให้เสมอด้วยเจ้าชายศิขริน แต่กระนั้นก็ต้องตกเป็นรองในทุกเรื่องเฉกกัน มิหนำครั้งหนึ่งเจ้าชายศิขรินยังเคยทรงเย้ยหยันชาติกำเนิดของเขากลางธารกำนัลให้ได้อาย ชิณณะจึงผูกใจเจ็บหาทางเอาคืนเรื่อยมา
ลืมเรื่องเก่าเถิดชิณณะ ครั้งนั้นศิขรินยังเด็กนักแลทำไปโดยมิรู้เดียงสาโดยแท้
ข้าบาท...
อีกอย่างศิขรินก็มีสิทธิในราชบัลลังก์นี้มากกว่าข้าเสียอีก เจ้าเองก็มีความสามารถไม่น้อย หากร่วมมือกันย่อมทำให้ธาตวากรกลับมายิ่งใหญ่ได้ไม่ยาก เชื่อข้าเถิดชิณณะ ลืมเรื่องหมางใจเสีย แล้วถ้าเขามาถึงก็จงเปิดประตูเมืองรับเข้ามา แลพาเขามาหาข้าที่นี่เถิด
นำเสด็จมาที่นี่ ข้าบาทเกรงว่าเจ้าชายศิขรินจักทรง...
ข้ารู้จักน้องข้าดี ชิณณะเอ๋ย แม้นศิขรินจักสังหารข้าจริง ข้าก็จักยอมรับแต่โดยดี ถอนคำสั่งเถิดชิณณะ แล้วเรียกปราณกลับเข้ามาเสียด้วย
ข้าบาททำมิได้ กระหม่อม เจ้าชายศิขรินทรงโหดเหี้ยมนัก หากให้นั่งเมืองแล้วข้าบาทเกรงว่าจักทรงลุแก่พระอำนาจแลพระโทสะจนนำมาซึ่งความวิบัติ อีกประการหนึ่งนั้นเล่า เจ้าชายศิขรินทรงมีพระประสงค์จักก่อสงครามด้วยอาณาจักรเวียงภูแก้ว
เจ้ามองศิขรินแต่เพียงด้านเดียว น้องข้ามิใช่คนเหี้ยมโหดดั่งนั้น ทุกสิ่งที่เขาทำไปล้วนมีเหตุผลทั้งสิ้น เรื่องที่เขาจักรบด้วยเวียงภูแก้วนั้น แม้ข้าไม่เห็นด้วย แต่ลำพังเพียงข้าแลเจ้าจักทานกำลังคนส่วนใหญ่ได้ฤๅ อีกประการหนึ่งที่เจ้าอาจหลงลืม มนุษย์ทุกผู้ย่อมรักในถิ่นฐานบ้านเมืองตน แม้เวียงภูแก้วจักดีด้วยเราสักเท่าใดก็ตาม แต่จักให้ดีเท่ากับการที่เราได้อยู่โดยเป็นไทแก่ตนนั้นมิได้เลย ใช่ว่าข้าจักยอมรับในพระราชอำนาจของเจ้าหลวงเมืองแก้ว แม้นข้าแข็งแรงดี ข้าย่อมคิดการเยี่ยงศิขรินอยู่นั่นเอง
เจ้าหลวงวายุกูลรับสั่งพลางหยุดเป็นระยะด้วยทรงเหน็ดเหนื่อยหนักหนา ไม่เคยมีคราใดที่จักรับสั่งยาวเพียงนี้มาก่อน หากเพลานี้ทรงรู้พระองค์ดีว่าจักมีพระชนม์ชีพต่อไปได้อีกไม่กี่เพลาเท่านั้น เหตุการเมืองที่เขม็งเกลียวขึ้นทุกทิวาใช่จักมิทรงรับรู้ แท้แล้วตั้งพระทัยจักทรงเวนราชสมบัติคืนให้พระอนุชาเสียเนิ่นนานแล้ว หากติดอยู่ที่เจ้าหลวงวาทิตย์ ผู้เป็นพระราชบิดาองค์เดียวที่ทรงขอคำมั่นจากองค์เองว่าจักไม่เวนสิทธิคืนกลับสู่อนุชา ทั้งยังทรงเจตนาที่จักส่งอีกฝ่ายออกไปประทับอยู่ที่ด่านไกวัลเสียด้วยซ้ำ เจ้าชายศิขรินนั้นเมื่อเสร็จจากพระราชพิธีเถลิงอาสน์แล้ว ก็มิได้เสด็จกลับเข้ามาในธาตวากรอีกเลย ความสัมพันธ์ระหว่างสายพระโลหิตนับวันก็ยิ่งไกลห่างออกไป มาทรงทราบข่าวอีกคราก็เมื่อเจ้าชายศิขรินทรงตัดสินพระทัยจักช่วงชิงราชสมบัติเสียแล้ว
ชิณณะ เปิดประตูเมืองรอรับศิขรินเถิด ถือว่าเป็นคำขอของคนใกล้ตายเถิดนะ
เจ้าหลวง รับสั่งอันใดเยี่ยงนั้นกระหม่อม
ผู้ใดจักรู้อาการข้าดีเท่ากับตัวข้าเองเล่า แลก่อนตายข้าก็อยากพบศิขรินอีกสักครั้ง
ชิณณะขบริมฝีปากแน่น ไม่ยอมรับคำว่าอย่างใด หากถวายความเคารพแลกลับออกมาจากห้องพระบรรทมเสียดื้อๆ ดวงหน้าคร้ามปรากฏความไม่พอใจฉายชัด ยอมให้เจ้าชายศิขรินทรงขึ้นนั่งเมืองกระนั้นฤๅ ไม่มีทางเสียล่ะ ในเมื่อเขาเองได้ลงทุนลงแรงแลรอคอยเพลานี้มาช้านาน นัยน์ตาสีเหล็กวาวโรจน์ขึ้นเมื่อคิดถึงกระแสพระราชดำรัสเมื่อครู่ก่อน ตั้งพระทัยจักทรงเวนราชสมบัติให้พระอนุชากระนั้นฤๅ ข้ามศพชิณณะผู้นี้ไปเสียก่อนเถิด แม้นชิณณะยังมีลมหายใจก็อย่าหมายว่าจักทรงนั่งเมืองได้ บัลลังก์แห่งธาตวากรพึงตกเป็นของเขาเพียงผู้เดียว
*** มีต่อค่ะ
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
3 มิ.ย. 54 18:27:14
|
|
|
|