“บอกตรงๆ ข้านึกไม่ถึงเหมือนกันว่ารูอาร์คจะถูกใจคนในสายอาชีพข้าอย่างนี้”
“คะ?” ลีชาเหลือบมองสาวใหญ่ด้วยความสงสัย ระคนหวาดหวั่น ขณะที่อีกฝ่ายยกถ้วยชาขึ้นจิบ
คำพูดเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร
“เจ้าเคยอยู่ที่เมืองเอกิว ใช่ไหมล่ะ”
เอกิว เมืองราตรีอันขึ้นชื่อของชอร์ซา เมืองที่เธอเคยอาศัยและทำงานในสมัยก่อน ...ลีชาขมวดคิ้วอย่างกังวล “ทำไมหรือคะ”
“สังหรณ์บอกมาละมั้ง เรื่องของเจ้าดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าใช้คนสืบดีๆ ... ‘อะไรๆ’ ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาเอง”
“ท่าน...สืบเรื่องของข้าเหรอคะ”
“ข้าต้องอยากรู้สิ ว่าผู้หญิงที่เด็กคนนั้นชอบเป็นใคร มาจากไหน” หญิงสาวค่อยๆ คลี่ยิ้ม “พอรู้จากนางโลมคนประจำของรูอาร์คว่าเขาไปบ่นว่าชอบสาวชาวบ้าน บวกกับเขาแวะไปอาแดร์บ่อยๆ เพื่อพบครอบครัวของอาจารย์คนทราย แล้วพอรู้ว่าเจ้ากับครอบครัวคนทรายเคยอยู่กลาสเดล เรื่องหลังจากนั้นก็ง่ายเข้าล่ะ”
ลีชาบีบหลังมือที่เริ่มมีเหงื่อซึมของตน และพยายามผ่อนลมหายใจ “ข้าไม่ได้คิดจะแย่งรูอาร์คไปจากใครเลยค่ะ”
“ข้าไม่ได้เป็นเจ้าของเด็กคนนั้น ไม่ต้องร้อนตัวก็ได้” คุณหญิงแมฟปรายตามองเธออย่างเยือกเย็น “ถึงจะต้องยอมรับว่าข้าเจ็บใจอยู่เหมือนกัน ที่แพ้เด็กที่ดูไม่มีอะไรเลยอย่างเจ้า แม้เรื่องต่างๆ นานาของเจ้าจะน่าเห็นใจมาก จนเข้าใจอยู่ว่าทำไมรูอาร์คถึงได้ถูกใจ ขนาดนึกจะทำเรื่องเป็นไปไม่ได้...อย่างดันเจ้าเป็นเมียแต่งนั่นละ”
“เขาคงแค่สงสารข้าเท่านั้นเองค่ะ” หญิงสาวพยายามตอบเรียบๆ “และข้าก็ไม่คิดจะตอบรับเขาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะในฐานะเมียแต่งหรือเมียเก็บ”
“อนาคตมันไม่แน่ไม่นอนหรอกนะ” นางโลมชั้นสูงโบกพัดในมือช้าๆ พร้อมกับทอดสายตาไปไกล “เจ้ากับข้าก็เหมือนกัน เรารู้ซึ้งถึงความจริงนี้ดี ถึงได้ต้องรีบคว้าไว้ทุกโอกาสไม่ใช่รึ”
“ข้าไม่ได้เป็นนางโลมอีกแล้ว และไม่คิดจะกลับไปเป็นด้วยค่ะ” ลีชาตอบหนักแน่น “ดังนั้นข้าจะไม่หวังพึ่งพิงเพื่อนของท่านเป็นอันขาด”
คุณหญิงแมฟหัวเราะราวกับแค่นเสียง “ใช่ เจ้าอาจไม่หวังพึ่ง แต่เด็กคนนั้นยังมีอะไรมากกว่าเงินทองหรือความมั่นคง แล้วไอ้ ‘อะไร’ นั่นแหละ ที่จะทำให้เจ้าโอนอ่อนเข้าหาเขาเอง”
“‘อะไร’ ที่ท่านว่านั่นคืออะไรล่ะคะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว “เสน่ห์ในฐานะผู้ชายหรือ ถ้าท่านสืบเรื่องของข้ามาดีอย่างที่ว่า ก็คงรู้แล้วว่าข้าไม่คิดจะรักผู้ชายคนไหนอีกทั้งนั้น”
และรักไม่ได้ด้วย แผ่นหลังของลีชาพลันเย็นวาบ เมื่อความทรงจำอันเจ็บปวดผุดขึ้นมาโดยไม่ทันห้าม
ไม่มีอีกแล้ว...วันที่เธอจะมอบกายให้กับผู้ชายคนใดได้ด้วยความรัก ความหวาดกลัวขยะแขยงในครั้งนั้นท่วมท้นจนเกินไป
“นั่นละ เพราะอนาคตไม่แน่ไม่นอน เรื่องไม่คาดฝันเลยเกิดขึ้นได้เสมอ” หญิงผู้มากวัยกว่าเหยียดยิ้มน้อยๆ เหมือนตนเป็นผู้ชนะ “เจ้ามีแผล ข้าก็มีแผล นางโลมแทบทุกคนก็คงจะมีแผลไม่ต่างกัน เพียงแต่มากหรือน้อยเท่านั้น รูอาร์คตระหนักถึงแผลพวกนั้น และปฏิบัติต่อพวกเราเป็นอย่างดี เขาต้องการอะไรจากคนอื่น เขาก็จะให้สิ่งนั้นไปก่อน...แม้แต่กับนางโลมอย่างพวกเรา เพราะอย่างนั้น พวกนางส่วนมากถึงได้ชอบเขากันทั้งนั้น ตอนแรกที่พบกัน ข้ายังคิดว่าเขาเป็นแค่คุณชายเจ้าสำราญหยิบโหย่ง แต่พอได้พูดคุยกันมากเข้า ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่เลย”
หญิงสาวนิ่งฟัง ใช่...เธอรู้สึกได้ว่ารูอาร์คเป็นคนแบบนั้นเอง เขาปลอบโยนเธอด้วยความเข้าใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เธอกลับมาพูดได้อีกครั้งราวกับปาฏิหาริย์ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะตอบรับความรักของเขาได้ไม่ใช่หรือ
“ถึงข้าจะไม่ชอบเขา ก็ยังมีคนอื่นที่เขาชอบ และไปหาได้อย่างท่าน ก็ไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนอะไรนี่คะ” ลีชาพยายามตอบอย่างใจเย็น
เรื่องที่มีฐานะแตกต่างกันมากจนไม่อาจแต่งงานได้เป็นเรื่องหนึ่ง เรื่องที่รูอาร์คยังคงแวะหานางคณิกาคนอื่นก็เป็นอีกเรื่อง
ต่อให้รูอาร์คอยู่ในฐานะที่แต่งงานกับเธอได้...อย่างเกล็น ลีชาก็ยังรู้สึกว่าเขาไม่ควรไปเที่ยวราตรี ในขณะที่ปากอ้างว่าจะพิสูจน์ความจริงใจให้ผู้หญิงซึ่งตนบอกว่ารักอยู่นั่นเอง
“อะไรกัน นี่เขาไม่บอกเจ้าเลยเหรอ” คุณหญิงแมฟเลิกคิ้วที่กันไว้เรียวบางขึ้น
“บอกอะไรหรือคะ” หญิงสาวบังคับตนเองให้พูดเสียงเย็น “ว่าเขาให้อะไรท่านบ้าง ท่านเลยให้เขาเป็นการตอบแทนงั้นเหรอ”
“เขา ไม่เคย เป็นแขกของข้า” นางโลมชั้นสูงเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ที่เขาไปค้างบ้านข้า ก็เพราะข้าช่วยพาเขาซ่อนตัวผ่านด่านไปมณฑลหลวง แล้วข้าขอให้เขามาอยู่สักคืนเป็นการตอบแทน”
ลีชาแสดงสีหน้าไม่เชื่ออย่างชัดเจน
“ทีแรก เขาหลอกข้าว่าจะแอบไปหาสาวที่จีบอยู่ แต่ตอนหลังข้าถึงได้รู้ว่าเสี่ยงออกไปช่วยอาจารย์คนทรายของเขาที่แหกคุกออกมา แล้วพอเรื่องสงบ เขาก็มาค้างที่บ้านข้าจริงๆ แต่ก็ไม่ยอมกระทั่งจะกอดข้า ...เขาบอกว่าในเมื่อมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ในใจ ก็ควรจะซื่อสัตย์กับนาง และความรู้สึกของตัวเอง” คุณหญิงแมฟเอ่ยต่อไป “ใช่ เขารักษาสัญญา ทำตามข้อตกลงของเรา แต่ก็แค่มาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับข้าเท่านั้น คืนนั้นเรานอนกันคนละห้อง ถ้าไม่เชื่อจะลองถามคนรับใช้ที่บ้านข้าดูก็ได้”
“คนของท่านก็ต้องตอบตามที่ท่านอยากให้ตอบอยู่แล้ว ไม่ใช่เหรอคะ” หญิงสาวแย้ง
“หมายความว่าต่อให้ข้าบอกว่าครั้งล่าสุดที่รูอาร์คแวะหานางโลมคนประจำของเขา เด็กคนนั้นบอกนางไว้แต่แรกว่าแค่อยากได้เพื่อนดื่มเหล้าปรับทุกข์ แล้วก็คุยกับนางจนเมาหลับไปเอง เจ้าก็คงไม่เชื่อสินะ”
“ท่านจะนำเรื่องพวกนี้มาบอกข้าทำไมกันคะ รูอาร์คขอให้มาบอกเหรอ”
“เพราะเขาไม่ขอต่างหากถึงต้องบอก เห็นเจ้าทำตัวแบบนี้แล้วมันน่าหมั่นไส้” คุณหญิงแมฟแค่นเสียง “หากเจ้ารับรักของเขาไม่ได้เพราะไม่รักด้วยหัวใจจริงๆ ก็ยังพอเข้าใจได้ แต่เท่าที่เห็น เจ้าเอาแต่ยกเรื่องอื่นมาเป็นข้ออ้างทั้งนั้น ทั้งแต่งงานกับเขาเท่ากับกลับไปขายตัวเอย เขาไม่ได้จริงใจกับเจ้าเพราะไปค้างบ้านข้าเอย ทั้งๆ ที่เรื่องพวกนี้จะไม่เป็นปัญหาเลยสักนิด ถ้าเจ้าถามตัวเองดูว่า ‘รักเขาหรือเปล่า’ ไม่ใช่ ‘รักเขาได้ไหม’”
“ข้าเป็นแค่อดีตนางโลม...นางโลมข้างถนนด้วย จะไปหวังสูงถึงลูกชายเจ้ามณฑลได้ยังไงล่ะคะ”
หญิงอีกคนส่งเสียง “ฮึ” ก่อนจะลุกจากม้านั่ง ชายกระโปรงยาวลากพื้นของนางส่งเสียงแสกสาก ขณะพาร่างเยื้องกรายไปด้วยเท้าในรองเท้าส้นสูง
“ข้าจะไปลารูอาร์คเสียที วันนี้หมดอารมณ์จะเสวนาต่อกลอนกันเหมือนทุกวัน”
“ค่ะ” ลีชาเพียงแต่รับสั้นๆ “ลาก่อน”
หญิงสาวก้มลงมองมือของตน ขณะที่เสียงฝีเท้าของคุณหญิงแมฟดังห่างออกไปทุกขณะ
แม้ว่าถ้อยคำของนางจะไม่ยอมจากตามไปด้วย และยังคงอยู่รบกวนต่อไปในจิตใจ
* * * * *
เมื่อคุณหญิงแมฟเดินมาทางสวนป่า เจ้าหญิงแอชลีนน์จึงได้พบ และมีโอกาสเชิญนางอยู่ร่วมโต๊ะมื้อกลางวัน ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธ และคุยกับรูอาร์คเพียงครู่เดียวก็ขอตัวกลับไป
ถึงอย่างนั้น งานเลี้ยงอาหารกลางวันที่ศาลาริมสวนก็ดูกร่อยลงกว่าที่ควรเป็น ในเมื่อลีชากับเคียราเอาแต่เงียบตลอดการสนทนา ปล่อยให้เจ้าหญิงซักถามพูดคุยกับท่านสิมาและเด็กๆ ส่วนรูอาร์คล้อเล่นเรื่อยเปื่อยไปตามประสา
เธอไม่รู้ว่าลูกพี่ลูกน้องของตนได้พูดคุยอะไรกับแม่ของอาเมียร์ หรือรู้สึกอย่างไรกับครอบครัวของเขา แต่ก็ดีใจที่ตนได้มีโอกาสพบทุกๆ คนอีกครั้ง และได้รู้จากท่านสิมาว่ามาลิอากลับมาพักอยู่ที่บ้านของพวกเขาเรียบร้อยดี ก่อนที่เจ้าหญิงเองจะต้องย้ายออกจากจวนในวันพรุ่งนี้
เมื่อไปอยู่ที่บ้านพักนั้นคงมีความเป็นส่วนตัวขึ้น แต่ก็มีเวรยามเฝ้าระวังเข้มงวดขึ้นเช่นกัน โอกาสที่แอชลีนน์จะได้ออกมาข้างนอกตามใจชอบคงลำบากอยู่ ทว่าหญิงสาวก็ดีใจที่บ้านหลังนั้นมีลานขี่ม้าสงบๆ ให้เธอได้ฝึกขี่ม้าต่อ หลังจากหยุดไปหลายวันตั้งแต่ออกจากวัง ด้วยไม่อยากให้เป็นที่เอิกเกริกกับคนในจวน อีกทั้งท่านเบเรคยังอนุญาตให้อาเมียร์พาเธอออกไปซื้อม้าดีๆ สำหรับใช้ขี่ส่วนตัว และให้เขามาสอนขี่ม้ากับฝึกอาวุธให้เธอในตอนเย็นหลังเลิกงาน หรือวันหยุดตามแต่เจ้าหญิงต้องการด้วย
บางที หากสถานการณ์ทางดูลัสที่ออกเดินทางไปอุลทูร์แล้วเรียบร้อยดี เจ้าหญิงก็คงต้องกลับวังหลวงเร็วกว่าที่คิด แต่ในเมื่อยังมีเวลาอยู่ที่นี่อีกบ้าง แอชลีนน์ก็อยากจะใช้เวลานี้เรียนรู้ให้มากขึ้น และอยู่กับเขาให้เต็มที่...ก่อนจะต้องจากกันอีกครั้งนั่นเอง
* * * * *
คนเขียนขอคุย
สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ
ทีแรก คิดว่าตอนนี้จะให้ชื่อ “เมื่อพบและตระหนัก” แต่สุดท้ายก็แก้เป็นชื่อตอนปัจจุบัน เพราะพบว่าเมื่อพบแล้วสองสาวน้อยยังไม่ได้ตระหนัก แต่กลับฟังยากฟังเย็น เพราะเนื้อความที่สาวใหญ่บอกมันช่างขัดกับความเชื่อของตัวเองซะงั้น =w=;;;
ด้านเคียราพูดไปเมื่อตอนที่แล้ว ส่วนลีชาผมคิดว่าอาการเหมือนอาเมียร์ในช่วงก่อน คือจัดรูอาร์คไว้ในประเภทคนที่ “เป็นไปไม่ได้ที่จะรัก” ด้วยเหตุต่างๆ นานา ขณะที่เจ๊แมฟคงจะอยากตบเรียกสติสาวรุ่นน้องอยู่เหมือนกัน โทษฐานงาบ (ใจ) เด็กเจ๊ไปกินแล้วยังเล่นตัวนัก
ก่อนหน้านี้มีผู้อ่านท่านนึงทักว่าเคมีของคู่แอชกับรูอาร์คก็ดูน่าสนดี พอมาเขียนตอนนี้ก็รู้สึกได้ว่าแอชเป็นผู้หญิงที่รับลูกรูอาร์คได้แบบ ‘เพื่อน’ จริงๆ ...แต่ถ้าในฐานะแฟน ก็นึกภาพรูอาร์คหวานกับแอชไม่ออกเลยแฮะ
แล้วพบกันตอนหน้า แอชกับการเรียนขี่ม้าจะเป็นยังไง เคียราจะ "แม่เจ้าประคุณรุนช่อง" แค่ไหน และดูลัสที่เงียบหายไปกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ขอเชิญติดตามต่อไปครับผม :)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
4 มิ.ย. 54 01:24:31
|
|
|
|