ชีวิตบ้านคลองหวะ-การแต่งงาน
|
 |
ชีวิตบ้านคลองหวะ - การแต่งงาน
สมัยก่อนการจะแต่งงาน เป็นเรื่องค่อนข้างยุ่งยาก เพราะผู้หญิงส่วนมากอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ถ้ายังไม่แต่งงาน มักจะไม่ค่อยออกจากบ้าน เดินไปมาหาสู่เพื่อนบ้านแต่อย่างใด จะเจอผู้หญิงได้ก็แต่งานเทศกาล หรืองานบุญเท่านั้น หรือถ้าจะไปทำไร่ ไถนา ทำสวน จะต้องมีผู้ใหญ่คอยควบคุม หรือมีญาติพี่น้องหลายคน คอยติดตามไปเป็นเพื่อนคุ้มกันเป็นต้น
บ้านไหนมีลูกชายที่ควรจะมีเหย้ามีเรือนแล้ว มักจะมีญาติพี่น้องหรือคนสนิท ไปตะโกนหยอกเย้าบ้านที่มีผู้หญิงว่า เฮ้อ ใครจะเอาบ่าวบ้าง บ้านนี้ มีบ่าวต้องการแต่งงาน
เพราะถ้าผู้ชายคนไหน ใครอยู่โสดนาน ๆ จะมีคำหยอกเย้าว่า คนม่ายเมีย อยู่เป็นทวด (คนไม่มีเมีย อยู่จนเป็นทวด (แก่ชรา))
คำว่า ทวด ตามนัยของภาคใต้จะมีสองแบบ แบบหนึ่งเรียก คนชราสูงอายุที่เคารพนับถือว่า ทวด อย่างเช่นคำว่า หลวงพ่อทวด หรือ หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ มีนัยว่า เคารพนับถือบูชาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้มีความหมายว่า เป็นต้นตระกูล หรือมีตำนานอายุยืนนานแต่อย่างใด
อย่างที่สองจะเรียกสิ่งที่นับถือและมีอายุมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งงูบ้องหลา (งูจงอาง) แถวพัทลุง มักจะมีตำนานเล่าขานกันว่า งูบ้องหลาที่มีอายุมาก ๆ แล้ว มักจะเลื้อยผ่านหมู่บ้านบางแห่ง (น่าจะเป็นเส้นทางเลื้อยผ่านของงูสมัยก่อน) บางครั้ง ก็อาจจะเจอทวดบ้องหลานอนนิ่ง เพื่อรอลอกคราบตามศาลาหรือในที่ร่มบางแห่ง บางรายว่า ทวดนอนพักเหนื่อยหรือมาอวยพรลูกหลาน ก่อนจะเลื้อยหายไปที่อื่นอีก ชาวบ้านจะเรียกด้วยความเคารพว่า ทวด ทวดมักจะนอนนิ่งไม่สนใจใคร หรือมีท่าทีว่าจะกัดใคร ชาวบ้านมักจะเอาธูปเทียนดอกไม้ ขนมหวาน ไปไหว้ บางคนกล้า ๆ จะไปปะแป้งขาว พรมน้ำหอม ให้ทวดตามลำตัว เพื่อเป็นศิริมงคล รวมทั้งหาหวยไปในตัว
ส่วนทวดบางประเภทก็มี เช่น วัวตัวใหญ่อายุมาก เสือ หรือ หมูป่า หรือ จรเข้ หรือ เก้ง ส่วนมากเป็นสัตว์ป่าขนาดใหญ่หรือมีอายุมากแล้ว ที่ชาวบ้านเคยพบเห็นหรือเล่าสู่กันมา หรือสามารถให้คุณให้โทษตามที่เชื่อกันมา ตามแต่ละชุมชนหรือชาวบ้านจะนับถือกัน
ส่วนของบ้านคลองหวะ ชาวบ้านส่วนหนึ่งเชื่อว่า ทวดของหมู่บ้าน คือ งูบ้องหลาขนาดใหญ่หนึ่งงู บางคนเล่าว่าคนเก่าคนแก่เคยพบเห็น ในวันเวลาที่มีพิธีกรรมไหว้ทวด โดยคนทรงผู้หญิงคนหนึ่ง จะมาบอกเล่าทำนายทายทัก แล้วระบุว่าเป็น ทวดงู ที่สิงสถิตย์อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้
ขอวกกลับมาที่พิธีแต่งงานในสมัยก่อน เมื่อตกลงปลงใจว่าจะแต่งงานกันแล้ว จะมีการหาฤกษ์ หายาม วันศิริมงคล โดยอาจจะเป็นพระภิกษุ หรือ ฆราวาส ก็ได้
เมื่อรู้วันเวลาที่แต่งงานแน่นอนแล้ว จะมีการหา หมอแต่งสาว ทำหน้าที่ขัดสีฉวีวรรณ ให้เจ้าสาวงดงาม ก่อนจะหาฤกษ์ยามในการประกอบพิธีกรรม พร้อมกับการมีสวดมนตร์คาถาอาคม เพื่อเริ่มพิธีตั้งหม้อข้าวเหนียว หรือที่ชาวบ้านมักพูดกันว่า เตรียมกินเหนียว คือความหมายว่า จะมีงานแต่งงาน ได้ฤกษ์ยามเวลาที่ตั้งหม้อข้าวเหนียวบนเตาไฟ เมื่อวางลงบนเตาไฟเรียบร้อยแล้ว พ่อแม่ญาติพี่น้องในบ้านเจ้าสาว จะทำการยิงปืน หรือ จุดประทัด ให้ดังสนั่นหวั่นไหว เป็นการป่าวประกาศว่า จะมีงานแต่งงานแล้ว ให้ชาวบ้านละแวกนั้นรู้กันทั่วไป
หลังจากนั้นจะมีพิธีกรรมทำนายทายทัก โดยการเอามะพร้าวห้าวมาผ่าซีก โดยเอามีดพร้าหวดโครมลงไป แล้วทำนายทายทักจากมะพร้าวที่ผ่าซีก ถ้าซีกของมะพร้าวที่แบ่งออกเป็นสองซีกแล้ว ทั้งสองซีกหงายพร้อมกันสองด้าน หมายถึงว่า คู่สมรสนี้ จะเหลือกินเหลือใช้ เหลือเก็บ เพราะรับทรัพย์ ถ้าคว่ำข้าง หงายข้าง ทำนายว่า ฐานะปานกลาง พอกินพอใช้ แต่ถ้า คว่ำทั้งสองข้าง หมายถึงว่า จ่ายหมด ไม่มีเหลือกินเหลือเก็บแต่อย่างใด
ส่วนฝ่ายเจ้าบ่าว ต้องทำตามฤกษ์ผานาที ก่อนจะนำขันหมากไปสู่ขอเจ้าสาว ทั้งในเวลาออกจากบ้าน ขึ้นบ้านเจ้าสาว ลงจากบ้านเจ้าสาว บางรายต้องอยู่ในบ้านเจ้าสาวเป็นเวลาสามวันเป็นต้น หรือบางรายอาจจะอยู่ช่วยครอบครัวเจ้าสาวมาเป็นปีแล้ว แต่ไม่ได้ค้างบ้านเจ้าสาวแต่อย่างใด เรียกว่ามาช่วยงานงานแบบไปกลับ ไม่มีค่าแรงหรือค่าตอบแทนแต่อย่างใด จะได้ใกล้ชิดว่่าที่เจ้าสาว กับประพฤติตนให้ว่าที่พ่อตาแม่ยายพึงพอใจ ก่อนจะตัดสินใจยกลูกสาวให้เป็นภริยา
การเป็นเจ้าบ่าวสมัยก่อน พ่อตาบางรายมักจะบอกว่า "มะรึงดีจริง เอาวัวมาให้ตัว ลักวัวไม่ได้ เป็นลูกเขยกูไม่ได้" วัวที่ลักจะเน้นวัวตัวผู้ เพราะเนื้อมากกว่าวัวตัวเมีย
ที่ต้องเป็นธรรมเนียมแบบนี้ เพราะสมัยก่อนบ้านนอกเป็นดินแดนกันดาร การลักเล็กขโมยน้อยหรือ การลักวัวเป็นเรื่องที่มีอยู่มาก ถ้าหัวหน้าครอบครัวใดที่ไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ มักจะจับไม่ได้ไล่ไม่ทันวิธีการของขโมย
อนึ่ง ในการไปลักวัวชาวบ้าน ต้องมีสมัครพรรคพวกหรือเพื่อนฝูง ที่ไว้เนื้อเชื่อใจกันไปคอยช่วยเหลือกัน การไปลักวัวเพียงตามลำพังคนเดียว เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก
แต่ถ้ามีประวัติผ่านทางด้านนี้บ้าง จะเป็นที่ยอมรับว่า เป็นคนมีเพื่อนฝูงมาก หรือเรียกว่า ถ้าวันหลังมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ ก็จะมีสมัครพรรคพวกเพื่อนฝูงคอยช่วยเหลือได้มาก หรือ เรียกว่าเป็นคนเก่งระดับหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเรียกว่า คนเชิดกัน (เก่ง)
ในสมัยก่อนถ้าผู้ใหญ่บ้านตีเกราะสองค้อน เคาะรัว ๆ เร็ว ๆ ถี่ ๆ แสดงว่ามีอันตราย มีเหตุร้าย เกิดขึ้นในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็จะแบกพร้า แบกมีด ถือปืน (ถ้ามี) มารวมตัวกันที่จุดนัดหมาย มักจะเป็นที่หน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้าน เพื่อแบ่งงานกันทำ/ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตามแต่ภาระงานที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยกัน
ในครั้งหนึ่งชาวบ้านสามารถ ไปตามวัวที่ถูกลักกลับคืนมาได้ โดยผู้ร้ายได้มัดมือ มัดเท้า เจ้าของวัว แล้วเดินจูงวัวพาหนีไปเส้นทางบ้านพรุ แต่ชาวบ้านไปติดตามเอาคืนกลับมาได้แต่วัว ส่วนคนร้ายหลบหนีไปได้ เคยมีแม่วัวตัวหนึ่ง หลังจากที่ถูกลักพาไปแล้ว ชาวบ้านสามารถตามคืนกลับมาที่หมู่บ้านได้ หลังจากที่ได้ออกลูกวัวอีกสามตัวในภายหลัง ไม่ช้าไม่นานก็ถูกลักพาไปอีก แต่คราวนี้คนร้ายจูงแม่วัวพาไปเส้นทางควนลัง ติดตามคืนไม่ได้อีกเลย
แก้ไขเมื่อ 05 มิ.ย. 54 07:07:58
แก้ไขเมื่อ 04 มิ.ย. 54 20:48:48
จากคุณ |
:
ravio
|
เขียนเมื่อ |
:
4 มิ.ย. 54 20:13:15
|
|
|
|