Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 9 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10633862/W10633862.html

บทที่ 9

ราวป่าเบื้องหน้าอุ้มไอชื้นจากฝน ใบเขียวก้านน้ำตาลแซมแดงแลฉ่ำเลือนในม่านหมอกขาว ป่าทิ้งไว้เพียงความทรงจำของความหมาย หากไม่เคยตรึงภาพเก่าๆ ไว้ให้เป็นร่องรอย

ใบไม้ทุกใบ ลำต้นสูงทุกต้น พื้นดิน ขอบฟ้า กับแสงสะท้อนวูบวาบ ลอดช่องเล็กช่องน้อยของมวลใบดก ล้วนแปลกตาและเปลี่ยนไปเรื่อย ดั่งเช่นผืนทะเลทรายที่ไม่เคยหลับใหลต่อการโยกย้ายรูปร่างไปตามแรงพัดพาของสายลมร้อน

สามแสนวางกระเป๋าเป้ไว้บนหินก้อนเขื่อง มองลูกน้องของนายเก่งกาจแยกย้ายไปเตรียมอาหารกลางวัน รู้สึกอุ่นใจอยู่บ้างที่เช้าวันนี้ ไม่มีอุปสรรคจากฟ้าฝนมาขัดขวาง นายพรานคนเก่งบอกกับเธอว่า

"ถ้าอากาศเป็นใจแบบนี้ทั้งวันนะครับ ไม่เกินบ่ายสามโมง เราต้องถึงชายป่าเป้าหมายแน่"

"พี่ชายจะอยู่ที่นั่นใช่ไหมคะ"

"ผมก็ไม่แน่ใจครับ" นายพรานหัวเราะเบาๆ "รูปถ่ายที่ให้มา ก็เก่ามากไป หน้าตาของคนอายุยี่สิบกับสี่สิบ มันไม่น่าจะเหมือนเดิมเท่าไหร่แล้ว"

นายพรานเก่งกาจหมายถึงรูปถ่ายของภภีม สามแสนยื่นให้แกดูเมื่อวานนี้ เธอตื่นเต้นกับเช้าวันนั้นมาก ตื่นมารอคนนำทางตั้งแต่ฟ้าเรื่อ

ระหว่างนั้น ความทรงจำเก่าๆ ก็ไหลมาเทมา มันเริ่มต้นจากวินาทีแรก ที่ตระหนักได้ว่า ตนหลงป่าอย่างเดียวดาย และสิ้นสุดลง เมื่อเธอลืมตาขึ้นในโรงพยาบาล

ภวังค์ยาวนานเช่นนั้น ไม่เคยน่าเบื่อ สามแสนหมกมุ่นคุ้นเคยอยู่กับมัน มานานถึงห้าปีเต็ม และไม่นึกหงุดหงิด ที่นายเก่งกาจเข้าไปปรากฏตัว ร้องทักทายทำลายภวังค์ตราตรึงนั้นโดยไม่เจตนา

ตรงกันข้าม เธอกระตือรือร้นมาก ปรี่ไปทักทายตอบ พร้อมกับยื่นรูปพี่ชายให้แกดู เผื่อว่ามันจะช่วยยืนยันว่า คนที่แกสงสัยจะเป็นคนคนเดียวกัน

ครั้นแกจดจ้องอยู่พักหนึ่ง ส่ายหน้าให้แววตาลุ้นระทึกเฉื่อยเนือยลง แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ ใจของเธอฮึกเหิมตลอดเวลา ความรัก คือพลังยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจคะเนปริมาณ มันเต็มไปด้วยแรงผลักแรงดันมากมาย ส่งเธอมาหยุดยืนอยู่ตรงนี้ และอย่างทระนงในความตั้งใจ

"เอ้อ ผมขอโทษที่พูดแบบนี้" นายเก่งกาจอ้อมแอ้ม รู้สึกผิด เพราะคิดว่าคำปรารภของตัวเอง ทำให้อีกฝ่ายเงียบไปเลย "ผมไม่มีเจตนาจะบั่นทอน.. "

"สามแสนไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ" สามแสนรีบบอกกลั้วยิ้มกว้าง "ก็เห็นด้วยว่า หน้าตาของคนเรา มันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลา สามแสนเองก็เปลี่ยน นี่ก็ยังไม่แน่ใจอยู่เลยว่า ถ้าเจอกันแล้ว พี่ชายจะจำได้หรือเปล่า"

"คงไม่ลืมหรอกครับ"

"ไม่แน่หรอกค่ะ เขาตั้งใจอย่างนั้น ตั้งแต่แรกแล้ว"

คนฟังเลิกคิ้ว แต่คนพูดย้ายตัวเองไปรับถ้วยกาแฟจากลูกน้อง แล้วพานหย่อนนั่งบนก้อนหินแถวนั้นเสียเลย นายบัญชาเล่าให้แกฟังว่า

"ฉันก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียด ก็ฟังที่คุณหมอแสวงบุญเล่ามานั่นแหละ คุณสามแสนจะเข้าไปตามหาเพื่อนสนิทของคุณหมอ จะเกลี้ยกล่อมให้กลับบ้าน"

"แล้วทำไมคุณหมอไม่ไปตามเอง ปล่อยให้ผู้หญิงเข้าไปตามทำไม"

"ไม่รู้สิ เรื่องของเจ้านายเขา เราถูกว่าจ้างมาแค่ให้นำทางเข้าไป รู้ข้อมูลพอสังเขปเว้ย เข้าใจคำว่าพอสังเขปไหมวะไอ้นายพราน"

นายพรานคนเก่งอดหัวเราะกับภวังค์ตัวเองไม่ได้ กำลังนึกว่ามันสังเขปตรงไหนสักที ลูกน้องมาส่งกาแฟ แกก็รับมาดื่ม แล้วสลัดข้อมูลพอสังเขปทิ้งไป พลางเดินไปสมทบกับสาวสวย แล้วหยอดคำถามเล่นๆ ไปว่า

"สมมติว่าเจอกันแล้ว แต่จำกันไม่ได้ แล้วจะทำยังไงกันละครับ"

"สามแสนไม่เข้าใจค่ะ" เธอตอบ แล้ววางถ้วยกาแฟทับพงหญ้าอ่อน

"ตามที่คุณสามแสนบอกเมื่อกี้นี้ คนที่คุณสามแสนเข้ามาตามหา เขาตั้งใจจะลืมคุณสามแสนอยู่ก่อน"

"ค่ะ เขาทำอย่างที่ตั้งใจมาจนถึงวันนี้"

"นั่นสิครับ ถ้าต่างฝ่ายต่างจำกันไม่ได้ แล้วปะหน้ากัน ถามไถ่กัน ทีนี้ เขาก็อาจจะไม่ยอมแสดงตัว จะทำยังไงครับ"

"มันจะเป็นไปได้หรือคะลุงเก่งกาจ"

"ไม่ทราบสิครับ ผมก็บอกแล้วว่าสมมติ"

รอยยิ้มทีเล่นทีจริงของนายเก่งกาจ สะกิดสมองของสามแสนให้ครุ่นคิดจริงจัง เธอไม่เคยนึกถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน เพราะที่นึกถึง และจำจนขึ้นใจตลอดเวลา มันคือประโยคซ้ำซากของคุณหมอแสวงบุญ

เขาบอกย้ำกรอกหูมาห้าปีเต็ม แล้วเธอก็เอือมมากด้วย กับการต้องฟังประโยคที่ว่า 'เขาตัดสินใจดีแล้ว ปล่อยเขาไว้กับชีวิตที่เขาเลือกเถอะ อย่ารื้อฟื้นเรื่องที่มันจบไปแล้วอีกเลย'




คำถามสมมติ ดูจะเป็นปัญหาใหญ่ในอกหวั่น สามแสนกินข้าวกลางวันได้น้อยจนนับช้อนได้ ในสมองมันตื้อไปด้วยคำถามนั้น การเดินทางรอบบ่าย จึงทำให้สามแสนเงียบขรึมลงไปถนัด

เธอระดมความทรงจำออกมาวางเรียง โดยเฉพาะใบหน้าดุเข้มของพี่ชาย เธอจำได้เพียงเท่านี้ ห้าปีผ่านไป หน้าดุเข้มก็อาจเปลี่ยนไป เพิ่มหนวดเคราชัดเจนกว่า

ไม่สิ ห้าปีก่อน เขาไม่ได้ไว้หนวดเคราเลย ใบหน้านั้นเกลี้ยงเกลา หากจะมีที่มันรกตาเธอ ก็น่าจะเป็น 'ความเย็นชา'

"เสียงน้ำ" สามแสนทิ้งภวังค์ตื้อๆ ร้องอุทาน แล้วสาวเท้าเร็วมาเคียงนายพรานคนเก่ง

"ครับ เราใกล้จะถึงลำธาร ไม่เกินสักยี่สิบนาที"

"หรือคะ" สามแสนรับรู้อย่างตื่นเต้น เหลียวมองไปรอบตัว "พอเราเจอลำธาร เราก็จะเจอป่าโปร่ง ป่าไผ่ ใช่ไหมคะลุงเก่งกาจ"

"ไม่แน่ใจว่าจะเป็นลำธารสายเดียวกันหรือเปล่านะครับ ป่ามันก็กว้าง ในป่าก็มีหลายที่หลายแห่งที่ดูว่ามันเหมือนๆ กัน แล้วก็มีลำธารตัดผ่านหลายสาย ตรงนี้ก็อาจจะเป็นคนละแห่งกับที่คุณสามแสนเคยหลงมาแล้ว"

"หรือคะ"

นายเก่งกาจอมยิ้ม ลอบเวทนาน้ำเสียงกร่อยลงของคนรับรู้ แววกระตือรือร้นในตาสวย ลดดีกรีตามลงไปด้วย เจ้าตัวพยายามปลุกตัวเองให้เข้มแข็ง ด้วยการทำทีพยักหน้าหงึกๆ แต่ก็ตบตานายพรานคนเก่งไม่สำเร็จ

"ป่านนี้ ผู้กองจับนักโทษแหกคุกได้หรือยังก็ไม่ทราบนะคะ" เธอเปลี่ยนเรื่องคุย ระบายยิ้มให้ดูร่าเริง

"ยังครับ" นายพรานตอบเลย

"หรือคะ" สามแสนเหลียวมาเลิกคิ้วแปลกใจ "เสียงลุงเก่งกาจมั่นใจจัง"

"จะหาใครสักคนในป่า ไม่ใช่ของง่ายหรอกครับ" นายเก่งกาจตอบกลับ แล้วหัวเราะสุขุม "หรือต้องบอกว่า การหาใครสักคน ที่เจ้าตัวจงใจไม่อยากให้เราเจอ มันไม่ใช่ของง่ายเลย"

"นั่นสิคะ คนหนึ่งหาในที่แจ้ง อีกคนก็ซ่อนตัวในที่มืด" สามแสนเสริมเนือยๆ พยักหน้าเฉื่อยๆ

"ครับ แล้วยิ่งหนีเข้าป่ามาอีก ก็จะยิ่งยากแบบดับเบิ้ลครับ" นายพรานเดาะภาษาอังกฤษด้วย "คนนอกไม่ชำนาญเส้นทาง ไม่แม่นยำต่อทุกตารางนิ้วที่ตัวเองจะไป เผลอๆ มีแต่จะหลงกับหลง เหมือนคุณสามแสนคราวก่อนไงครับ"

"นั่นสิคะ คราวก่อน สามแสนหลงอยู่ตั้งสองวัน แต่ก็ดีนะคะ การหลงป่าครั้งนั้น สอนให้สามแสนได้รู้ว่า ลูกอมมันกินแทนข้าวได้ แล้วก็อร่อยที่สุดในโลกเลย"

เธอหัวเราะร่าเริง ให้กับบทสรุปของประสบการณ์สยดสยอง เธอไม่ได้บอกนายพรานต่อไปอีกนิดว่า ป่าได้มอบรักหวานๆ ประทับไว้ในใจอย่างไม่รู้เลือน

และมันก็เป็นได้ทั้งประตูที่เปิดกว้าง รอให้เธอย้อนกลับมา เป็นได้ทั้งกำแพงขวางกั้น และมั่นใจว่าเธอจะไม่มีวันปีนข้ามมันมาสานรักหวานเบื้องหลังได้สำเร็จ

"เราถึงลำธารแล้วครับ"

ลูกน้องตะโกนบอกมา นายเก่งกาจตะโกนร้องรับว่า 'เออ' ไปคำเดียว สามแสนยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้น ทุกความคิดในสมอง ต้องเก็บไว้ก่อน เธอสาวเท้าเร็วขึ้น ล้ำหน้านายพรานไปหลายก้าว

อยากให้เห็นกับตาว่า ลำธารสายนี้ จะขนานแนวป่าโปร่ง ป่าไผ่ เพราะภาพเก่าๆ เช่นนั้น มันยังสว่างจ้าอยู่ในความทรงจำ เธอมั่นใจว่า สามารถกลับไปยังกระท่อมของพี่ชายได้ตามลำพัง ด้วยลำธารสายนี้

"สีหน้าของคุณสามแสน บอกผมว่าผิดหวังอยู่นะ" นายเก่งกาจมาหยุดสัพยอกอย่างเห็นใจแกมเอ็นดู

"ค่ะ"

สามแสนยอมรับ แต่ยังคงยิ้มละไม เธอผิดหวังที่จำไม่ได้ มากกว่าจะผิดหวังเพราะว่ามันไม่ใช่ลำธารสายเดิม คงจะเป็นจริงตามที่นายเก่งกาจบอกมานั่นเอง แกบอกว่า 'ในป่าก็มีหลายที่หลายแห่งที่ดูว่ามันเหมือนๆ กัน แล้วก็มีลำธารตัดผ่านหลายสาย'

"มันอาจจะเป็นลำธารสายเดียวกันกับที่คุณสามแสนรู้จักเมื่อห้าปีก่อนโน้นก็ได้ครับ"

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ จะสายเดิมสายใหม่ ขอแค่ว่า มันจะนำเราไปถึงจุดหมายปลายทาง สามแสนก็ไม่เกี่ยงค่ะ"

"ครับ เราจะเดินเลียบมันไปนะ จากตรงนี้ไปสักพัก จะเจอป่าโปร่ง มีบ้านเรือนตั้งอยู่ประปราย ผ่านจากตรงนั้นไป จะเป็นราวป่าทึบ ตั้งบ้านเรือนประปรายอีกเช่นกัน ผมเดาว่า เราต้องไปถึงก่อนค่ำ และต้องพักที่นั่นล่ะ"

"ที่ไหนคะ"

"หมู่บ้านที่ตั้งเรียงไปตามราวป่าทึบครับ อันที่จริง เราอ้อมไปได้ แต่ต้องผ่านหมู่บ้านดงโจร ผมไม่อยากเสี่ยง"

"ดงโจร" สามแสนอุทาน อดนึกไปถึงทรชนหกคนที่ฉุดเธอไปย่ำยีคืนนั้นไม่ได้

"ครับ แล้วถ้าโชคดี คนในหมู่บ้านนั้น รู้จักกับพี่ชายของคุณสามแสน ภารกิจเราก็จะลุล่วง"

"สามแสนก็หวังว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นค่ะ"

หญิงสาวหัวเราะเสียงรื่น ดวงตาเริ่มปรากฏหยดน้ำหล่อเลี้ยง นายเก่งกาจเห็นมันเคลื่อนไหวอย่างกระตือรือร้น และเปี่ยมด้วยความหวังอันเจิดจ้า

แกอยากเห็นหน้าพี่ชายคนนั้นเสียจริงๆ จะหล่อเหลาได้เท่ากับคุณหมอแสวงบุญ ที่แกนับถือหรือเปล่า สำคัญยิ่งใหญ่แค่ไหน จนทำให้ผู้หญิงชาวกรุงตัวเล็กๆ คนนี้ ต้องเป็นฝ่ายดั้นด้นลุยป่าลุยดงเข้ามาเอง




ความวุ่นวายข้างหน้า ทำให้การเดินทางอย่างเร่งรีบต้องชะงัก นายเก่งกาจมาหยุดข้างลูกน้อง เจ้าตัวป้องมือชิดคิ้ว หรี่ตาฝ่าแสงสลัวไปยังกลางลำธาร นายพรานคนเก่งก็เลียนแบบด้วย

"เราคงต้องค้างแถวนี้ก่อน" เสียงสุขุมพึมพำคล้ายหารือ

"เอาอย่างนั้นหรือนาย จะให้ไปต่ออีกหน่อยก็ได้นะ มืดหน่อย แต่ก็จะมีช่วงที่ลำธารตื้น ข้ามฟากไปนอนในหมู่บ้านได้"

"อีกหน่อยของเรามันเกือบสามชั่วโมงเว้ย" นายพรานแย้งลูกน้องขำๆ "คุณสามแสนคงจะไม่มาหน่อยกับเราด้วย"

ลูกน้องหัวเราะ เพิ่งนึกได้เหมือนกัน เจ้าตัวปลีกไปสมทบกับเพื่อน ป้องปากตะโกนบอกให้ช่วยกันตั้งกระโจม ก่อไฟ สามแสนขยับเป้กระชับไหล่ เธอพยักหน้าว่าง่าย เมื่อนายพรานคนเก่งย้อนกลับมาบอกความตั้งใจ

"ดูวุ่นวายจังนะคะ" เธอหมายถึงกลางลำน้ำ ซึ่งเต็มไปด้วยชาวบ้านและเสียงตะโกนโหวกเหวก

"ก็ตามที่ไอ้มะเฟืองมันบอกละครับ สะพานขาด ชาวบ้านต้องเร่งกันซ่อมทั้งวันทั้งคืน"

"อันที่จริง ถ้าลุงเก่งกาจอยากข้ามฟากไปนอนในหมู่บ้าน ก็ไปต่อได้นะคะ อีกแค่สองสามชั่วโมง สามแสนไหวค่ะ"

"พรุ่งนี้ดีกว่าครับ การเดินทางในป่าตอนกลางคืน ถ้าไม่จำเป็นผมมักจะหลีกเลี่ยงเสมอ คน ผี ผมไม่กลัวหรอก แต่กลัวสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืน โดยเฉพาะสัตว์มีพิษ"

สามแสนพยักหน้าเห็นด้วย สมองก็นึกไปถึงงู สัตว์เลื้อยคลานมีพิษที่น่ากลัว มันถูกจัดเป็นสัตว์กามเทพ ถ้าเลื้อยเข้าไปรัดหรือฉกใครสักคนในความฝัน แต่ถ้ามันทำอย่างนั้นในโลกใบแท้ มันก็จะถูกจัดเป็นมัจจุราช

"เฮ้ย พาคุณสามแสนไปอาบน้ำหน่อย"

นายพรานใจดีตะโกนเรียกลูกน้องคนหนึ่ง สามแสนเห็นด้วย เพราะไม่ได้อาบน้ำมาสองวันแล้ว

เธอเดินตามลูกน้องหุ่นทะมัดทะแมงไปตามริมน้ำ เหลียวมองความวุ่นวายกลางลำน้ำในแสงทึมทึบไปด้วย ไม่เฉลียวใจเลยว่า ในจำนวนชาวบ้านมากมายตรงนั้น มีพี่ชายของเธอปะปนอยู่ด้วย




อาหารเย็นพร้อมแล้ว เหล่าแม่ครัวทั้งหลายช่วยกันยกมาจัดในเพิงพัก รอแค่ว่าเหล่าช่างซ่อมทั้งหลายจะขึ้นจากน้ำมาเพิ่มพลัง ใบพลูอาสาไปตาม นายขิงรีบประกบสาวแก่นทันที เจ้าตัวเลยชักสีหน้า

"มันมืด พี่ช่วยส่องคบไฟ ไม่ดีหรือยังไง สะดุดหกล้มไป เข่าแตกน่องช้ำ เดี๋ยวก็ไม่สวยหรอก"

"ไม่ต้องมาหวังดี มองตาก็รู้แล้วว่าไม่ซื่อ หลีกไป"

นายขิงหัวเราะใจเย็น ในเมื่อหัวใจเทรักไปให้จนหมดดวงแล้ว ก็ต้องเดินหน้าต่อไปให้ถึงที่สุด ถือคติที่ว่า 'ตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก'

สาวสวยอย่างใบพลูจึงต้องจ้ำอ้าวไป งึมงำด่าไอ้หนุ่มช่างตื๊อไป หล่อนรำคาญ เพราะการถูกตามประกบไม่ห่างเช่นนี้ ทำให้โอกาสตามกะหนอกะแหนกับหนุ่มใหญ่หน้าดุลดน้อยลง หรืออาจจะหมดไปเลยก็ได้

ภภีมโยนเถาวัลย์ไปกองรวมกับไม้ไผ่ หลังมือได้บาดแผลเพิ่มมาอีกรอย ใบพลูเห็นเขาเดินไปเพ่งไป จึงรีบปรี่มากระแซะอ้อน ไม่เกรงใจนายขิง

"ได้แผลมาอีกแล้วหรือจ๊ะอาดุ ทำไมไม่ระวังเลย ไหนมาให้ใบพลูดูซิ"

"ไม่เป็นอะไรมากหรอก คมไผ่บาดนิดหน่อยน่ะ"

"นิดหน่อยก็ดูได้"

สาวจอมแก่นดื้อดึง โยกมือใหญ่หยาบไปส่องใกล้คบไฟ พอเห็นแผลปริยาว เลือดยังชุ่มซึม ก็ทำตาโต อุทาน 'โอ้โฮ' แล้วขึงขังติ

"แผลใหญ่ขนาดนี้ อาดุยังบอกว่าไม่เป็นอะไร นิดหน่อยเอง อีกหรือจ๊ะ ไปอาบน้ำเลย เดี๋ยวใบพลูไปโขลกสมุนไพรมาโปะให้"

ชาวบ้านทยอยกลับขึ้นมาบ่นงึมงำกันคนละคำสองคำ ต่างเหนื่อยและล้าจากการจมอยู่กลางลำน้ำเกือบเต็มวัน นายขิงช่วยส่องคบไฟ พอให้เห็นทางเดิน สาวๆ สองสามคน ถือคบไฟตามมาสมทบ แล้วนำทางกลับเข้าเพิงพัก

หนุ่มใหญ่เดินตามหลังเนิบเนือย ไม่สนใจการต้อนหน้าต้อนหลังของสาวจอมซน ออกจะรำคาญจนต้องปรายตาเตือนอยู่บ่อยๆ แต่สาวเจ้าก็คล้ายดึงดัน เพราะอยากเอาชนะใจ

นายขิงพอมองออกว่า หนุ่มใหญ่ไม่เออออกับไมตรี แต่ทั้งที่รู้ก็ยังอดอิจฉาไม่ได้อยู่ดี

เขาถูกย้ายไปเดินรั้งท้าย คบไฟก็โดนแม่สาวงามแย่งไปส่องทางให้หนุ่มใหญ่ ท่าทางประจบเอาใจเหลือเกิน เขาไม่ติว่าใบพลูโง่ แต่กำลังนึกไปว่า หล่อนไม่ยอมรับความจริง จึงดึงดันอยากเอาชนะความเย็นชาห่างเหินของอีกฝ่าย

ดูสิ ลำธารสายเดียวแท้ๆ กลับทำหน้าที่กั้นขวางหนุ่มสาวไว้คนละฟาก แสงไฟสว่างเป็นจุดเล็กๆ ทำให้คนสองฟาก ต่างรับรู้ว่า มีคนพักพิงอยู่ไม่ไกล แค่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้างเท่านั้น

หนุ่มใหญ่ร่วมวงกินข้าวกับกลุ่มชาวบ้านหลายละแวก สามแสนร่วมวงกับคณะเดินทางไม่กี่สิบคน

ใบพลูประจ๋อประแจ๋ ไม่แยแสสายตาตำหนิของนางใจและนายขิง หมั่นหยิบโน่นตักนี่ใส่จานหนุ่มใหญ่ หวังจะได้ยินเขาเจรจาระหว่างมื้อสักหลายคำ นายเก่งกาจก็ขยันเอาใจ ชี้ชวนให้ลองกินนั่นนี่ เพื่อหันเหการกินไปเงียบไปของสาวชาวกรุง




รัตติกาลถูกโอบล้อมด้วยสายลม กระแสเหน็บหนาวแผ่กระจายลงมากรีดผิวอ่อนของสามแสน ร่างโปร่งก้าวเนิบไปหยุดใกล้ริมฝั่ง

น้ำค้างโรยละอองนุ่มลงมาชโลมป่าทั้งผืน กิ่งก้านใบแลชุ่มฉ่ำอยู่ในความมืด สายน้ำในลำธารไม่เคยแยแสต่อกาลเวลา หน้าที่ของมันคือไหลเรื่อยไป พร้อมกับส่งเสียงเกรียวกราวเป็นเพื่อน

นายเก่งกาจยังไม่หลับ หน้าที่ของนายพราน คือดูแลความเรียบร้อยของคณะเดินทางทั้งยามหลับและตื่น แม้จะจัดเวรยามไว้ชั้นหนึ่งแล้ว แต่หากยังไม่ง่วง เจ้าตัวก็จะช่วยสอดส่องอย่างเงียบๆ

แกเกือบจะลุกไปคุยเป็นเพื่อน เพราะสงสารอากัปกิริยาว้าเหว่ของหญิงสาวไม่น้อย แต่ครั้นเห็นเจ้าตัวหย่อนนั่งบนหินก้อนหนึ่ง ได้กิ่งไม้มาขีดเขี่ยเล่นพอเพลิน แกจึงเลิกล้มความคิด แล้วนอนสอดส่องไปเงียบๆ ดังเดิม

"พรุ่งนี้ สามแสนต้องได้เจอกับพี่ชายแน่ๆ มีบางอย่างกระซิบบอกสามแสนอย่างนี้"

หญิงสาวงึมงำกับวลี 'พี่ชาย' ที่ตนขีดเขี่ยด้วยกิ่งไม้บนพื้น ความฝันเมื่อคืนวานย้อนกลับมาให้เห็นกลางความมืดชิดปลายเท้า

สาวแปลกหน้าในชุดสีชมพูหวานสำทับว่า 'ขอบใจ' ด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง เสียดายไม่หายที่สะดุ้งตื่นก่อน น่าจะได้เห็นหน้าเจ้าของเสียงสักนิด หรือไม่ก็ซักไซ้ให้หายข้องใจว่า 'ทำไมต้องขอบใจ'

"พี่ชายอยู่ไหนคะ หลับหรือยัง คิดถึงสามแสนอยู่ไหม จำเด็กหลงป่าเรื่องมากคนนี้ได้หรือเปล่า"

สาวสวยรำพันไปเรื่อยเปื่อย มองลำน้ำใต้แสงจันทร์ด้วยหัวใจพองโต ในนั้นเปี่ยมล้นด้วยความหวังของวันพรุ่งนี้

ห้าปีก่อน พี่ชายกอดเธอไว้ในวงแขนอันแสนอุ่น เธอไม่เคยลืมว่าปลาบปลื้ม ไม่มีวันจืดจางต่อแรงกระชับปลอดภัย ตราตรึงและซึ้งเหลือเกินกับเสียงกระซิบทุ้มๆ ข้างแก้ม

"เราต้องได้พบกันอีกแน่นอน สามแสนจะทวงสัญญา จะกวนประสาทพี่ชาย จนกว่าพี่ชายจะยอมพูดกับสามแสนอีกครั้งว่า พี่ชายจะไม่ยอมให้อันตรายกล้ำกรายถึงตัวสามแสนได้ จะนอนเฝ้าสามแสนทุกคืน"

หญิงสาวหัวเราะขำๆ ไม่นึกว่าจะคุยเพ้อเจ้อกับตัวเองได้เป็นตุเป็นตะ วงหน้าเรียวเงยขึ้นชื่นฉ่ำกับหมู่ดาวบนฟ้ามืด มันดารดาษเหมือนเกล็ดกำมะหยี่ ระยิบระยับแสงแข่งกัน

"ถ้าพี่ชายยังไม่หลับ พี่ชายกำลังทำอะไรอยู่คะ เอ๊ะ หรือว่ากำลังวิ่งขึ้นวิ่งลงเก็บฟืนที่ตากหลังกระท่อม แล้วโยนโครมๆ ในห้องเก็บของ หรือว่าจะออกมานั่งห้อยเท้าเล่นหน้าชาน ชื่นดาวชมเดือนเหมือนสามแสนคะ"

ห้าปีก่อน การหลงป่าอย่างเดียวดายกลางความมืด ก่อความตระหนกหวาดกลัวจนลืมดื่มด่ำความงดงามของธรรมชาติ

ความมืดที่มืดสนิทจริงๆ ของป่า คือความงามที่แฝงมนตร์ขลังประหลาด ความเงียบที่เงียบอย่างสงัดของป่า คือความไพเราะของเสียงที่สดับได้ด้วยหัวใจ

เดือนดวงกลมใหญ่ กระจายรัศมีนวลนุ่ม ดาวดาษดื่นดั่งเกล็ดกำมะหยี่ คือเครื่องประดับล้ำค่าของรัตติกาล ดูดดึงให้ตรึงตราได้นานเท่านานอย่างไม่รู้เบื่อ

"สามแสนเพิ่งจะพบว่า ป่าตอนกลางคืนมันสวยมากอย่างนี้ ในคืนนี้เอง" เธองึมงำออกมาอีก ปากจิ้มลิ้มระบายยิ้มเข้มแข็ง "สามแสนคิดถึงพี่ชายจัง" ท้ายวจีลึกซึ้ง รอยยิ้มในตาก็พราวหวานไปเอง "ถ้าพี่ชายอยู่ด้วย เราคงนั่งชิดกัน ไหล่ชนกัน พี่ชายต้องดูดาวเก่งกว่าสามแสนแน่ๆ ต้องเป็นฝ่ายอวดภูมิรู้ว่า ตรงนั้นชื่อดาวนั่น ตรงนี้ชื่อดาวนี่ หมั่นไส้"

สามแสนเบะปากแต่หน้าระรื่น เขี่ยกิ่งไม้ลบวลีบนพื้น แล้วโยนจ๋อมลงลำธาร

เจ้ากิ่งไม้ตัวดีก็ลอยเรื่อยไป โดนกีดโดนขวางก็ชะงักระหว่างทางบ้าง ถูกกระแทกจากแรงคลื่นถาโถม ก็พรวดไหลต่อไป ทันปะทะกับอีกกิ่งที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย และลอยมาสมทบจากริมฝั่งอีกฟาก

ภภีมเพิ่งจะโยนมันลงไป เพื่อระบายความหงุดหงิด ทรวงร้อนมันทรยศความเย็นชา หัวใจทระนงอ่อนแอลง จิตยืนหยัดหวั่นไหวสั่นรวน จะเค้นหาสาเหตุใดๆ มาบิดเบือนอำพรางก็เหนื่อยล้ายิ่ง

และเพราะต้องยอมจำนนกับความจริงที่เจ็บปวด กิ่งไม้กิ่งนั้น จึงถูกโยนลงลำธาร พร้อมกับหอบความจริงที่ว่า 'คิดถึงสามแสนใจจะขาด' ไปเฉียดชนกับอีกกิ่งของเจ้าของชื่อ โดยที่สองฝ่ายต่างไม่รู้ไม่เห็นแม้แต่น้อย




ใบพลูหน้ามุ่ยลง รีบโยกร่างออกจากพงไม้ที่ซ่อน ฉุนตัวเองที่โอ้เอ้ตรองเยอะ ทำให้พลาดโอกาสทอดสะพาน

พอตั้งท่าจะออกไปคลอเคลีย หนุ่มใหญ่ก็ลุกผละไปแล้ว หล่อนเดินตามมาสามสี่ก้าว ก่อนจะหยุดเท้าสะเอว เดาทิศทางได้ว่า เขาย้อนกลับเพิงพัก จึงไม่จำเป็นต้องเร่งฝีเท้าตามประกบ

นายขิงก็ยังไม่เข้านอน เพราะต้องตามประกบความพยายามของสาวแก่นในดวงใจ เขาปรากฏตัวพร้อมกับรอยยิ้มขำแกมเอ็นดู ร่างสูงโปร่งมาหยุดข้างสาวหน้ามุ่ย สะกิดมือลงจากสะเอว เจ้าตัวฮึดฮัดฉุนเฉียว ชักสีหน้ารำคาญใส่

ใบพลูเป็นสาวตาหวาน แต่น่าจะไม่เคยมีใครบอกให้ทราบ เพราะทุกคนติดภาพแก่นแก้วแสนซน จนอาจจะมองข้ามความงดงามตรงนี้ไป แต่นายชิงคนนี้ไม่เคยมองข้าม หรือต้องบอกว่าจะไม่มองข้ามทุกอณูที่ก่อเป็นมวลร่างของสาวแก่น

เวลานี้ บนทางเดินห่างริมฝั่งน้ำ มันสลัวและสงัด ทุกคนหลับใหลในเพิงพัก เขาจะเสนอหน้า อาสาบอกความจริงให้เจ้าของรับรู้เสียบ้าง แต่ไม่ใช่ด้วยวาจา

"อุ๊ย พี่ขิง ทำไมลากใบพลูเข้ามาในนี้"

"จูบอวดแสงจันทร์ ไม่อายหรือ"

"ว่าไงนะ จูบหรือ"

"ฮื่อ จูบ"

สาวสวยอย่างใบพลูตาโตค้าง ปากอิ่มร้อนฉ่าเหมือนโดนเตารีดนาบ กระแสร้อนแผ่ซ่านรวดเร็ว เกาะกล้ามเนื้อทั่วร่าง สะกดให้มันหยุดทำงานก่อน

จากนั้น ก็ย้ายไปฉีดพ่นหัวใจ กระตุ้นให้เต้นหนัก บังคับให้ส่งเสียงตึกๆ ถี่รัว คลื่นแปลกปลอมบางอย่างไหลครืน กระทุ้งกระแทกวูบวาบ จากศีรษะลงสู่ปลายเท้า แล้วโคจรย้อนกลับวนขึ้นวนลง

'นี่หรือจูบ' สาวแก่นตั้งคำถามซาบซ่าน ดวงตาเริ่มฉ่ำปรือ วาบหวามทีละนิด ซู่ซ่าทีละหน่อย เรือนร่างบริสุทธิ์ถูกรัดด้วยวงแขนเสน่หา กายสูงโปร่งของนายขิงร้อนจัดจังเลย หรือว่าเนื้อผู้ชายทุกคนร้อนแบบนี้

"พี่ขิง" จุมพิตถ่ายถอนเพียงเสี้ยววินาที สาวแก่นก็รีบคราง ขนลุกซู่ตื่นเต้น กับไอร้อนที่นาบฉ่าลงในเนื้อคอ "ทำอะไรอีก"

"จูบเหมือนกัน" นายขิงครางพร่า กอดรัดร่างผุดผ่องแน่นอยู่ในวงแขน คลื่นเสน่หาสาดซัดแผ่วภายใน กายเลยพานร้าวปนสั่น

"ทำไมมันร้อน" สาวแก่นครางประสาซื่อ

"ยังไม่ได้ถอดเสื้อผ้าไง"

เสียงทุ้มพร่ากระซิบตอบส่งเดช คึกคักกับจังหวะชโลมไฟร้อนเผาเนื้อหอมนุ่มผ่านจุมพิตอ่อนหวาน

กระแสวาบหวามคมกริบเหมือนปลายแส้ ฟาดกระหน่ำสองร่างในกรงกอดอย่างทารุณ แผ่นหลังบอบบางแอ่นหยัด อัดทรวงอ่อนอวบอ้อนเย้ากล้ามเนื้อแข็ง สองร่างจึงพานระทดระทวย พ่ายแพ้แก่กระสันสวาท จำต้องกระหวัดรัดกอดฮึกเหิม

สาวสวยอย่างใบพลู ต้องนึกไม่ถึงแน่ว่า ตนอ่อนไหวและตกเป็นทาสจูบแรกง่ายดาย จนลืมตัวกลั้วแขนลงคลุกกอดโลมลูบเนื้อร้อนๆ ของผู้ชายอย่างกระเส่าลนลาน แถมยัง 'นาน' มากด้วย

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 19:26:43




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com