Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ชีวิตบ้านคลองหวะ-ปลากริม ติดต่อทีมงาน

ชีวิตบ้านคลองหวะ-ปลากริม

ในช่วงเวลาว่างจากทำนาเดือนหก
(ประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคม)
ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยจะเริ่มทำนากัน
ประมาณหลังเดือนกันยายน
เพราะฝนจะเริ่มตกมากหลังจากช่วงเดือนนี้
(ส่วนพื้นที่ของหาดใหญ่
น้ำจะท่วมก็ประมาณปลายตุลา-มกราของแต่ละปี)

เด็ก ๆ และชาวบ้านที่นิยมชมชอบการกัดปลากริม
ปลากริม คือ ชื่อเรียก ปลากัด  พื้นเมืองสมัยก่อน
จะเริ่มต้นเดินกันไปตามปลัก
ที่ชุ่มน้ำมักจะมีพืชน้ำ
ประเภท กก  อ้อ เถาวัลย์น้ำ หรือ สาหร่าย
ที่มักจะขึ้นแทรกอยู่ประปราย
หรือเป็นทุ่งนาที่ว่างเว้นการทำนา
ที่ปลักมักจะเป็นที่ที่ วัวและควายชอบมาดื่มน้ำ
กับเป็นสถานที่พักผ่อนนอนเล่นของควาย
หรือที่เรียกกันว่า นอนจมปลัก

วัดปลักกริม  มีที่มาคือ
แหล่งที่มีปลากัดอยู่มากตามปลักแถวนี้
ที่หาดใหญ่มีวัดปลักกริมนอก วัดปลักกริมใน (แยกเป็นสองวัด)
เดิมอยู่ในหมู่ 8 ของตำบลคอหงษ์
ซึ่งเป็นวัดใกล้ ๆ กับหมู่บ้านคลองหวะ ที่เดิมเป็นหมู่ 7
ก่อนโอนย้ายเป็นเขตเทศบาลตำบลหาดใหญ่
แล้วอยู่ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่  ปัจจุบัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฝนตกในระหว่างเดือนนี้
ประมาณช่วงก่อนสองโมงเช้า (แปดนาฬิกา)
เด็ก ๆ และชาวบ้านจะมาตีเครง (เครง คือ รังปลากัด)
ซึ่งบางครั้งปลากัดอาจจะก่อหวอดอยู่
คือ พ่นเป็นฟองอากาศจำนวนมากลอยอยู่
หรือ เป็นที่ผสมพันธุ์ของปลาตัวผู้ปลาตัวเมีย
การจับจะใช้วิธีง่าย ๆ คือ เอามือช้อนเอา
ช้อนกันด้วยความชำนาญ
ต่อมาเริ่มพัฒนาใช้เครื่องมือประเภท
สวิง ตาข่าย ช้อนปลากริมเอา

ปลากริมที่นิยมมากในสมัยนั้นที่ขึ้นชื่อคือ
ลานไทร  ที่แถวนาหม่อม  ควนลัง บ้านพรุ ปลักกริม
เป็นปลาลูกทุ่งที่ทนและกัดเก่ง
สมัยนั้นยังไม่มีปลาลูกหม้อ
หรือปลาเมืองจีนหรือปลาสายพันธุอื่น ๆ
ที่นำมาเลี้ยงกันมากเหมือนปัจจุบัน

เมื่อจับปลากริมได้มาแล้วมักจะเลี้ยงดูสักพัก
หรือนำมาเปรียบคู่กัน  เพื่อกัดแข่งขันกัน
พอกัดเสร็จตัวไหนแพ้มักจะปล่อยลงน้ำไป
ส่วนตัวชนะจะนำมาเลี้ยงดูสักพัก
พอแข็งแรงจะนำไปเปรียบคู่
เพื่อกัดแข่งขันกับตัวอื่นต่อไป
พอเริ่มเทศกาลทำนาแล้ว
จะปล่อยปลาลงในปลักตามเดิม
ไม่มีการเลี้ยงหรือขยายพันธุ์ขายแบบปัจจุบัน

มีบางรายที่แพ้พนันแล้ว  
เกิดอาการจิตหรือเกิดความโหด
หรือเกิดความสนุกแบบซาดิสต์  
เวลาปลากัดของตนที่แพ้พนันแล้ว
จะนำปลาใส่ในขวดน้ำขนาดขวดโซดาหรือขวดเบียร์
แล้วใส่น้ำให้ได้ระดับหนึ่งพอมีอากาศช่วงคอขวด
หรือบางครั้งก็จะใส่น้ำเต็มขวด
เอานิ้วชี้หรือนิ้วก้อยแยงลงไปในขวดน้ำ
ดึงออกมาเร็ว ๆ แรง ๆ ดัง พล๊อก
ปลากัดมักจะถูกอัดด้วยอากาศและแรงดันน้ำ
บางตัวจะตายแต่เพียงยกแรก
บางตัวพอโดนสักครั้งสองครั้งกว่าจะตาย
ก่อนจะนำไปเททิ้งที่คูคลอง
หรือโคนต้นไม้แถวบ้านต่อไป

แม้ว่าการพนันในสมัยนั้น
จะเล่นได้เสียกันแบบสนุกสนานมากกว่า
ครั้งละหนึ่งบาท ถึงสองบาท
ไม่ใช่แบบปัจจุบันที่ได้เสียกันหลายเงิน
แต่ต้องยอมรับกันก่อนว่า
ค่าใช้จ่ายในสมัยนั้น เงินแพง ของถูก

สมัยก่อนเด็ก ๆ แถวบ้านคลองหวะ
เวลาจะไปเที่ยวในเมือง(หาดใหญ่)
หรือมีงานวัดที่วัดโคกสมานคุณหาดใหญ่
มักจะช่วยกันเดินเก็บ บัวบก
ที่ขึ้นอยู่ตามทุ่งนา หรือป่าไผ่
ใส่กระจาดเดินทูนกันไปสองสามคน
เพื่อไปวางขายในตลาดแถวศรีภูวนารถ(สุดสายสาม)
คนจีนในตลาดหาดใหญ่  ชอบซื้อไปต้มน้ำกิน
หรือนำไปกินสด ๆ แบบผัก เป็นยาแก้ร้อนใน แก้ช้ำใน
เด็ก ๆ ขายได้ถาดละบาทถึงสองบาทก็ถือว่ามากแล้ว

หรือบางครั้งจะช่วยกันไปหาใบกล้วยป่า (ขึ้นเองตามธรรมชาติ)
หรือใบกล้วยตามบ้านญาติพี่น้อง
นำมาเจียนเป็นใบ ๆ ไปขายแบบใบตอง
ราคาขายก็พอ ๆ กับ บัวบก
แม่ค้าร้านตลาดมักจะนิยมซื้อ
ถือว่า ช่วยเหลือเด็กส่วนหนึ่ง
กับราคาขายของเด็กไม่ถือว่า  แพงเท่าไรนัก

ส่วนรายจ่ายเวลาเข้าเมืองที่จ่ายมากที่สุดคือ
ไอติมน้ำแข็งบอก
ไอครีมแท่งใส่น้ำสีต่าง ๆ มีไม้เสียบกลาง
เวลาผลิตจะเทน้ำหวานผสมสีต่าง ๆ
ลงในกระบอกสังกะสีที่มีหลายช่อง
แล้วเขย่า ๆ กับ น้ำผสมน้ำแข็งผสมเกลือเม็ดใหญ่ ๆ
ให้เย็นจัดจนจับเป็นแท่งไอศครีม
แล้วค่อยเสียบไม้ลงไประหว่างกลางแท่งไอศครีม
ราคาขายเพียงแท่งละหนึ่งสลึงถึงสองสลึง (ภาษาบางกอก)
(ราคาขายยี่สิบห้าสตางค์ถึงห้าสิบสตางค์)

ถ้าหรูขึ้นมาหน่อยก็คือ ไอติมน้ำแข็งขูด
ที่ใส่พวกเครื่องเคียงเช่น  ไข่กบ (แมงลัก) ลอดช่อง วุ้นดำ
ลูกจาก (ลูกชิด) มัน ข้าวเหนียว ขนมปัง ฯลฯ
แล้วขูดน้ำแข็งใส โปะทับเครื่องเคียง
ลาดด้วย น้ำเชื่อม หรือน้ำกะทิ
ตามด้วยบางทีจะราดหน้าด้วยนมสด
หรือราดหน้าด้วยน้ำหวานผสมสี
ราคาขายก็ห้าสิบสตางค์เหมือนกัน

เด็ก ๆ สมัยนั้นรวมทั้งผู้เขียนสมัยเป็นเด็กนักเรียน
เวลาได้เงินเหรียญหรือธนบัตร
จะเอาหนังยางสติ๊กมัดเงินให้แน่นกับกระเป๋ากางเกง
กันเงินตกหล่น หรือกระเด็นออกจากกระเป๋ากางเกง
เวลาวิ่งเล่นหรือเล่นซุกซน หรือ
กลัวขโมยขโจรล้วงกระเป๋า
ตามคำบอกเล่าผู้ใหญ่ที่ขู่ให้หวาดกลัว
เวลาจะใช้จะค่อย ๆ แกะยางหนังสติ๊กออก
แล้วค่อยหยิบเงินจับจ่ายซื้อของต่อไป
เงินทอนก็จะมัดกลับตามเดิมด้วยหนังสติ๊กอีกครั้ง

สมัยก่อนใครที่พกเงินในกระเป๋า
มีมากถึงยี่สิบบาทถือว่ามากแล้ว
ยิ่งใครมีเงินในมือหรือในกระเป๋าถึงจำนวนขนาดนี้
เพื่อน ๆ จะถือกันว่า เว้ง หรือแปลว่า   เข้มแข็ง
คือมีความมั่นใจ มีเงินมากพอแล้ว
เวลาจะไปไหนมาไหนก็สบายใจ
มีความอุ่นใจว่ามีเงินมากพอแล้ว

ภาพประกอบ น้ำแข็งบอก จาก

http://krabiwalkingstreet.com/wp-content/uploads/2011/03/201103111830_00018.jpg

แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 54 10:40:52

 
 

จากคุณ : ravio
เขียนเมื่อ : 6 มิ.ย. 54 12:39:34




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com