Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Elve Avatar เอลฟ์ อวาตาร์ : เจ้าชายอัปลักษณ์กับแหวนวิเศษ ตอนที่ 3 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 1 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10647031/W10647031.html
ตอนที่ 2 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10651823/W10651823.html

เมืองโลซาน เมืองเล็กๆที่อุดมด้วยสีเขียว พืชไม้นานาพันธุ์ปกคลุมตั้งแต่ทางเข้าเมือง ประตูเมือง ตลอดจนหลังคาบ้าน ในเทือกสวนไร่นา และคอกม้า ซิลวาเล่าไปตลอดทางว่าต้นไม้และพืชพันธุ์มากมายล้วนเป็นสมุนไพรทางยาที่สืบทอดกันมานาน ซึ่งก็เข้าเค้าตำนานที่ว่ามหาเวทยากรสร้างเมืองนี้ขึ้นเพื่อถ่ายทอดวิชาการแพทย์

“ท่านพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยที่เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ๆ พวกนากะไสคิดจะทำลายทิ้งด้วยซ้ำไป เพราะหลากหลายเผ่าพันธุ์สนใจในวิชาการแพทย์ที่แก้ได้กระทั่งคำสาป”

“แล้วทำไมพวกนากะไสไม่ทำลายที่นี่เสียล่ะ” อาริเทียร์เอ่ยถามขณะอยู่บนหลังม้ามูโรไคอีกตัว

“ก็ได้ท่านโอไรกับท่านซอร์และเหล่าสหายช่วยกันปกป้องเมืองนี้ไว้ หลังจากนั้นสงครามใหญ่ก็บังเกิด แล้ววีรบุรุษทุกตนก็หายสาบสูญ” ซิลวาลอยหน้าเอ้อระเหย ช่างเป็นตำนานที่เขาได้ฟังมาจนจำขึ้นใจ “เจ้านี่แปลกนะ ทำไมสนใจประวัติศาสตร์ ข้านึกว่าพวกเอลฟ์จะชอบร่ำเรียนเวทมนตร์กับวิชายิงธนูเสียอีก”

“ประวัติศาสตร์ก็คือความรู้ การแพทย์ก็คือเวทมนตร์อีกแขนง”

“จริงสินะ ขนาดพวกซาไชน์ยังสามารถปรุงยาได้อย่างร้ายกาจ ข้ายังกลัวเลยว่าพวกมันจะขี่นกโครวเวอร์แล้วเอายาพิษราดทั่วเกาะมูโรไค”

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ พวกซาไชน์ทำราวกับว่าโกรธแค้นชาวบร็อมนักหนา หรือยังมีอะไรที่ข้ายังไม่รู้อีกไหม” เอลฟ์สาวหลิ่วตามองซิลวา

“ตลกน่าอาริส ข้าเป็นชาวบร็อมนะ และชาวบร็อมจะไปมีพิษสงทำร้ายใครได้ยังไง ต่อให้เดือดดาลแค่ไหน ชาวบร็อมก็ได้แค่ตีเกราะเคาะไม้ ไม่มีทางจะร่ายเวทมนตร์อย่างเอลฟ์หรอก”

“แล้วพวกซาไชน์จะกดขี่ชาวบร็อมไปทำไมล่ะ” อาริเทียร์ยังคงเซ้าซี้หาคำตอบ

“ไม่รู้สิ” ซิลวาที่ไม่เคยตระหนักก็อดสงสัยไม่ได้ “พวกมันเพิ่งจะรุกรานชาวบร็อมเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำสงคราม ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันจึงพยายามลักพาตัวชาวบร็อมไปให้ได้”

“ชาวบร็อมคงจะสูญเสียประชาชนไปเยอะแล้วสินะ”

“ไม่เชิงหรอก ถึงจะโดนคุกคามมาหลายปี แต่เท่าที่หัวหน้าองครักษ์รายงานท่านพ่อ ชาวบร็อมไม่กี่สิบคนเท่านั้นเองที่โดนลักพาตัวไป และส่วนใหญ่ก็เป็นชาวเมืองโลซานนี่แหละ บางคืนก็ให้น่าแปลก ว่ากันว่ามีคนเห็นพวกซาไชน์มาเป็นฝูง แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือสูญหาย”    

“ประหลาดดีแท้ พวกมันคิดจะทำอะไรกันแน่”

ซิลวาได้ทีหลิ่วตาสังเกตอาการของอาริเทียร์บ้าง นางมีทีท่าขบคิดอย่างจริงจัง ราวกับพวกปราชญ์ที่กำลังพยายามแปลภาษาโบราณ

“เดี๋ยวก็มหาเวทยากร เดี๋ยวก็พวกซาไชน์ เจ้านี่สนใจไปทุกเรื่องเลยนะอาริส”

“ข้าอยู่ในปราสาท... เอ่อ... หมายถึงอยู่ใกล้ๆปราสาทคาเทียร์น่ะ เกือบสองร้อยปีที่ข้าไม่เคยออกจากบ้าน อ่านแต่ตำรา พอได้มาเห็นโลกกว้างแบบนี้ข้าก็ตื่นเต้น”

“โน่นไง” ซิลวายิ้มกว้าง ชี้นิ้วไปที่ซุ้มประตูที่อยู่ลิบๆ “ทางเข้าเมืองโลซาน”

ไม่เชิงว่าเป็นป่าดงดิบ มันแค่เต็มไปด้วยต้นไม้ บางต้นสูงลิบไม่เห็นยอด บางต้นแตกพุ่มปกคลุมราวกับเป็นหลังคาคฤหาสน์ เถาวัลย์พันเกี่ยวเลี้ยวลดฉวัดเฉวียนตามสิ่งปลูกสร้างและกิ่งก้านของต้นไม้ ดอกไม้นานาพันธุ์ส่องประกายหลากสีสัน ยามที่มันตกต้องแสงแดดก็ดูอร่ามงามตา

เมื่อผ่านเข้าประตูเมือง อาริเทียร์แลเห็นสิ่งปลูกสร้างที่เป็นบ้านของชาวเมือง ไม่แตกต่างจากอาณาจักรเอลฟ์หรือเมืองท่าบรู๊ซ ที่ดูน่าสนใจมากกว่าคือสนามแข่งม้าที่อยู่ทางขวา กว้างด้วยอาณาบริเวณที่ร่มรื่น ภายใต้โดมต้นไม้ที่แผ่พุ่มไสวปกคลุม

ซิลวานำทางมาจนถึงด้านในตัวเมือง รูปสลักจากต้นไม้ประจักษ์เบื้องหน้า มันสูงมาก สูงกว่ายอดปราสาทมูโรไคเสียอีก เป็นรูปสลักของเอลฟ์ตนหนึ่งในชุดคลุม ถือหม้อดินใบเล็กในมือซ้าย และอีกมือชูสิ่งที่เหมือน... แหวน

“นี่คงจะเป็น...” อาริเทียร์แหงนหน้ามอง สายตาจับจ้องไปที่สิ่งของในมือขวาของรูปสลัก

“มหาเวทยากรซอร์ รูปสลักนี้สวยใช่ไหมล่ะ”

“ใช่... สวยมาก ท่านกำลังชูอะไรในมือขวา?”

“อืม ไม่รู้สินะ ข้าไม่เก่งประวัติศาสตร์อย่างเจ้า แต่มันดูเหมือนแหวนหรือไม่ก็กำไล” อาริเทียร์ถอนใจกับคำตอบของซิลวา

“เจ้ารู้อะไรบ้างเนี่ย”

“รู้สิ ข้ารู้วิชาดาบแล้วก็รู้วิธีควบม้ามูโรไค แล้วก็มีโคลงมนตราสองสามบทที่พอท่องได้”

“โคลงมนตรา?” เอลฟ์สาวขมวดคิ้ว ก่อนจะคลายปมเมื่อนึกออก “อย่าบอกนะว่าเจ้ายังใช้เวทมนตร์เชยๆพวกนั้นอยู่น่ะ นั่นเป็นเวทมนตร์ที่ล้าสมัยมาก ข้านึกว่าจะหายสาบสูญไปแล้วเสียอีก”

ซิลวาเพียงสูดหายใจเบา นิ่งเงียบ ไม่สบตา เขาแสดงออกราวกับว่าไม่พอใจในคำพูดของอาริเทียร์ ซึ่งอากัปกิริยานั้นก็ทำให้นางต้องรีบถอนคำพูด อาจเพราะความลืมตัวไปชั่วครู่

“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจดูหมิ่นเจ้า”

“ช่างเถอะ ชาวบร็อมได้รับคำดูหมิ่นเช่นนี้จนชาชินแล้ว พวกเราไม่มีพลังเวทมนตร์อะไรนอกจากร่ายโคลงมนตรา” ซิลวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางดึงบังเหียนเพื่อบังคับม้าไปอีกทาง “คืนนี้เราจะไปพักกันที่นั่น มีเตียงกับผ้าห่มใหญ่พอสำหรับเอลฟ์”

ราตรีมาเยือนอย่างรวดเร็ว อาริเทียร์ไม่สบายใจกับคำพูดสองสามประโยคที่พลั้งเผลอ นางผุดลุกผุดนั่งบนเตียง บางคราก็ทอดสายตาผ่านบานหน้าต่างมองจันทร์ครึ่งดวง สุดท้ายนางก็ตัดสินใจถือตะเกียงแก้วเดินออกจากห้องเพื่อไปหาซิลวา เขาพักอยู่ในห้องถัดไป

นางเคาะประตูสองสามครั้ง ไม่มีเสียงตอบกลับ ใจที่เป็นกังวลก็ยิ่งปริวิตกหนักหน่วง เกือบจะพังประตูเข้าไปด้วยความคิดที่ว่าซิลวาไม่เปิดประตูเพราะกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่สติสัมปชัญญะยังพอมี นางผลักประตูเข้าไปเบาๆจึงรู้ว่าประตูไม่ได้ขัดกลอนเอาไว้และได้เห็นว่าเขากำลังหลับสนิท

ร่างป้อมเตี้ยของซิลวานอนแผ่หลาบนเตียงไม้เล็กๆ เหมือนตุ๊กตาที่ทำจากปลอกหมอนยัดไส้ด้วยดอกทาทาเรียร์ที่มีกลีบนุ่มนิ่ม อาริเทียร์เดินถือตะเกียงเข้าไปวางบนเชิงหน้าต่าง นั่งข้างเตียงมองร่างที่กำลังหาวหวอดๆและส่งเสียงกรนเบาๆ แสงไฟจากตะเกียงที่วะวับไหวปลุกให้ซิลวาค่อยๆงัวเงียตื่นขึ้นมา

“เหวอ!” ซิลวาลืมตาเห็นอาริเทียร์มานั่งข้างเตียงก็ร้องเสียงหลง “ให้ตายสิอาริส! เจ้าเข้ามาได้ยังไง นี่คิดจะทำอะไรข้างั้นหรือ! ข้าเป็นชาวบร็อมตัวน้อยๆนะ นี่เจ้า...” ก่อนที่ชาวบร็อมทั้งเมืองจะตื่น อาริเทียร์จึงรีบเอามือปิดปากซิลวา

“ตื่นตูมจริงๆนะเจ้า กำลังฝันเห็นซาไชน์อยู่รึไง” อาริเทียร์อมยิ้มในท่าทีของเขา ดวงตากลมโปนของบร็อมหนุ่มเบิกโพลงราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้าย เมื่อเห็นอาการของเขาสงบลง นางก็ปล่อยมือ ซิลวาเลียปากแผลบๆ เพราะรสชาติผิวกายเอลฟ์สาวเพิ่งจะสัมผัสลิ้มของเขา

“ข้าตกใจหมดเลย เจ้านะเจ้า มีธุระอะไร”

“ข้ารู้สึกผิดกับคำพูดในวันนี้ ก็เลย...”

“โธ่ อาริส เจ้าคิดมากไปได้ ข้าลืมไปหมดแล้วล่ะ มันก็แค่เรื่องเล็กน้อยและข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ”

“เจ้าพูดจริงหรือ”

“จริงสิ ข้าเป็นบุรุษ จะโกรธเคืองสตรีด้วยเรื่องแบบนี้ได้ยังไง และข้าก็ไม่ใช่บร็อมที่จะผูกใจเจ็บกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ด้วย” ซิลวาปาดเหงื่อก่อนจะเขยิบลงจากเตียงแล้วเดินมารินน้ำในเหยือกเพื่อดื่มดับกระหาย “ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าเป็นเอลฟ์ที่คิดมากเหมือนกันนะเนี่ย โอ๊ะ! ดูดวงจันทร์นั่นสิ สวยชะมัด คืนนี้ไร้เมฆ ท้องฟ้าใสสวยงาม นี่ถ้าไม่ติดเรื่องซาไชน์ ข้าคงจะออกไปเดินเล่มชมจันทร์เสียหน่อย”

“ไปไหมล่ะ”  

“ไม่ล่ะ ข้ากลัวซาไชน์ ขืนมันโผล่มาข้าคงไม่รอดแน่” ซิลวาวางแก้วน้ำแล้วกระโดดขึ้นเตียง

“มีข้าอยู่ทั้งคน เจ้าจะกลัวซาไชน์ทำไม” อาริเทียร์เอ่ยอารมณ์ดีพลางลุกยืนกระชับเสื้อคลุม ซิลวาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางเป็นเอลฟ์ที่ทรงพลัง จึงหันมายิ้มแป้นแล้น

จากคุณ : CaesarNote
เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 00:19:08




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com