รัตติกาลนี้ช่างเงียบเหงา ทั้งที่ท้องนภาสวยเด่นด้วยจันทร์ครึ่งดวงที่กำลังฉายแสง ลมจากทิศเหนือโชยสะท้านผิวกาย กลิ่นพันธุ์ไม้ลอยอวล ซิลวากับอาริเทียร์เดินเล่นแช่มช้อยจนมาถึงรูปสลักสูงใหญ่ของมหาเวทยากร ทั้งสองแหงนหน้าขึ้นมองชื่นชมอีกครั้ง
“ชาวเมืองโลซานเคารพมหาเวทยากรซอร์อย่างมาก ข้าว่าสมัยที่เขามีชีวิตอยู่ คงจะเก่งกาจสมคำร่ำลือ” ซิลวากล่าว ดวงตาเป็นประกาย
“ประวัติชาวเอลฟ์ไม่เคยบันทึกเรื่องของเขาเลย น่าแปลกที่ชาวบร็อมรู้เรื่องราวของพวกเขาเป็นอย่างดี ทั้งยังสร้างรูปสลักใหญ่โตแบบนี้อีก”
“ก็คงเป็นอย่างที่ท่านแม่ของข้าพูดเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไปนานแสนนาน ทุกอย่างก็บิดเบือน ตั้งห้าพันปีมาแล้ว สงครามน่ากลัวแบบนั้นคงไม่มีใครอยากพูดถึง ไม่ว่าจะเอลฟ์ มนุษย์ หรือสแต็กกิสท์ หรือกระทั่งพวกอาริงกัส คงจะลืมเรื่องมหาเวทยากรไปหมดแล้ว”
“นั่นสินะ” อาริเทียร์พยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเองก็เพิ่งรู้ว่าท่านโอไรไม่ได้รบเพียงลำพัง และความเป็นมาของท่านโอไรก็ลึกลับนัก ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงเขาเป็นใคร”
ขณะที่ซิลวาจะพาอาริเทียร์เดินเล่นไปอีกทาง นางกลับยืนแหงนหน้าจ้องมองรูปสลักอยู่กับที่ ซิลวาทำท่าจะเรียกแต่ก็เกิดคำถามจากปากนางเสียก่อน
“เจ้าว่านั่นมีความหมายอะไรไหม”
“อะไร?” ซิลวาแหงนมองตามสายตาของนางที่กำลังจับจ้อง
“ทำไมเขาต้องชูสิ่งที่เหมือนแหวนขึ้นมา” ได้เวลาที่อาริเทียร์ถามลองเชิง นางเผื่อใจว่าอาจจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับแหวนแห่งซอร์ในหมู่ชาวบร็อม
“ตกลงว่านั่นคือแหวนหรอกหรือ” ซิลวาตอบ ช่างเป็นคำตอบที่ชวนให้อาริเทียร์รู้สึกหน่ายจนต้องถอนใจ “ข้านึกว่ากำไลเสียอีก”
“ช่างเถอะ แล้วเจ้าคิดว่ามันมีความหมายอะไรไหม มือซ้ายท่านซอร์ถือหม้อดินไว้กับตัว มือขวาชูแหวนขึ้นมา ข้าคิดว่าแหวนวงนั้นคงจะมีบทบาทอะไรสักอย่าง”
“สงสัยต้องไปถามบร็อมที่สร้างรูปสลักนี้แล้วล่ะ” ซิลวาหัวเราะร่า แต่ก็รีบเงียบทันทีเมื่อเห็นอาริเทียร์ชายสายตาดุดันมาให้ “ข้าแค่ล้อเล่นน่า รูปสลักนี้มีมาหลายพันปีแล้ว จะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่ามีความหมายอะไรพิเศษ”
“ข้ากำลังคิดว่า...” เอลฟ์สาวแหงนหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง “ถ้ารูปสลักของท่านซอร์ชูแหวนลักษณะนี้ บางทีแหวนวงนั้นอาจมีความหมายอะไรสักอย่าง มันอาจจะเป็นของวิเศษก็ได้”
“เช่นนั้นมันก็คงจะสาบสูญไปพร้อมกับท่านซอร์น่ะสิ เจ้าจะคิดมากทำไม”
“แล้วถ้ามันไม่ได้หายสาบสูญไปล่ะ ถ้ามันตกทอดมาถึงเวลานี้”
ซิลวาไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของอาริเทียร์นัก แต่ไม่ทันที่ทั้งสองจะสนทนากันต่อ พลันได้ยินเสียงปีกกระพือด้านหลังอาคารที่อยู่ไกลออกไป ใช่แล้ว มันเป็นเสียงที่ชวนให้ซิลวาขนลุกเกรียวและสัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายบางอย่าง
เงาตะคุ่มของสิ่งมีชีวิตร่อนลงเหนือแมกไม้ก่อนจะหายไปด้านหลังของอาคารหลังใหญ่ ซิลวามองเห็นไม่ชัดแต่ก็รู้สึกได้ว่านั่นคือสิ่งที่ผิดปกติที่สุดของราตรีนี้
“ซาไชน์!” ซิลวาทำเสียงอุทานที่เหมือนถูกกักไว้ในลำคอ เขาหันไปสบดวงตานางเอลฟ์
แต่น่าเสียดายที่มันไม่เหมือนเทพนิยายอันหาญกล้า เมื่อคนหนึ่งย่อตัวเตรียมสะกดรอยในความมืดเพื่อไปหาคำตอบ ทว่าอีกคนกลับสติแตกเตรียมวิ่งกลับเข้าที่พัก อาริเทียร์พ่นลมหายใจก่อนจะคว้าเสื้อคลุมของซิลวาเอาไว้
“จะไปไหนเล่าซิลวา!”
“โธ่ เจ้าจะบ้าไปแล้ว เงานั่นต้องเป็นซาไชน์แน่ๆ เราต้องรีบกลับที่พักแล้วซ่อนตัว”
“เจ้าไม่สงสัยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้นกับซาไชน์ ทำไมพวกมันถึงได้คุกคามชาวบร็อม”
“ไม่ ข้าไม่สงสัยอะไรแล้ว” น้ำเสียงซิลวาช่างร้อนรนนัก “รีบกลับที่พักกันเถอะอาริส ถึงเจ้าจะเป็นเอลฟ์ แต่ก็อย่าไปยุ่งกับพวกมันเลย”
“ข้าอยากรู้คำตอบ และเจ้าต้องมากับข้าด้วย เห็นไหมนั่น มันร่อนลงตรงอาคารหลังนั้น ข้าไม่คิดว่ามันจะแอบมาเก็บสมุนไพรหรอก”
“ล.. แล้วถ้าด้านหลังอาคารมีพวกมันอีกเป็นฝูงล่ะ เวทมนตร์เพลิงของเจ้าก็อาจจะกำราบมันไม่ได้นะ”
“ถึงตอนนั้นค่อยคิดอีกที”
อาริเทียร์พยายามลากซิลวาที่ดิ้นงอแงเหมือนเด็กให้ย่องตะคุ่มในความมืดไปด้วยกัน ขณะที่เขาพยายามยกสองมืออุดปากตัวเองกลัวเสียงจะเล็ดรอดออกมาพร้อมกับยื้อตัวเองไว้สุดชีวิต กระทั่งเมื่อไม่อาจทานแรงเอลฟ์สาวได้ เขาก็จำต้องย่องตามด้วยสีหน้าง้ำและหวาดหวั่น
“คอยดูเถอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ข้าจะวิ่งไม่รอเจ้าเลย” ซิลวากระซิบ อาริเทียร์ยิ้มหวานให้ ทำเอาบร็อมหนุ่มถึงกับร้อนผ่าวบนใบหน้า
ทั้งสองย่องเงียบมาตามสุมทุมพุ่มไม้ จนเข้าใกล้อาคารหลังใหญ่ อาริเทียร์เป็นฝ่ายนำ แนบร่างและเขยิบไปตามผนังอาคาร เมื่อถึงมุมมองที่เห็นชัด นางจึงหยุดแล้วค่อยๆชะเง้อมองออกไป
สิ่งที่อาริเทียร์กับซิลวาได้เห็น มันช่างผิดคาดเกินแกง
จากคุณ |
:
CaesarNote
|
เขียนเมื่อ |
:
8 มิ.ย. 54 00:21:33
|
|
|
|