ตอนแรก ; http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10608859/W10608859.html
เป็นการเล่าถึงเรื่องราวในอดีต ช่วงเวลาอาจจะสลับไปมาแล้วแต่ผู้เล่าจะเรียยเรียงใด้ มันเป็นการยากที่จะขุดเอาเหตุการณ์ที่เจ็บปวดขึ้นมาถ่ายทอดและคนเขียนเองก็ไม่เคยมีประสบการในด้านงานเขียนมาก่อน มิหนำซ้ำสมัยเรียนวิชาภาษาไทยยังเป็นวิชาที่เป็นปัญหามาโดยตลอด น้อมรับทุกคำติชมค่ะ
รอยอาลัย ตอนที่2: แรกพบ
เสียงหล่นตุ๊บ!ที่ดังมาจากต้นมะม่วงด้านหลังทำให้ก้องภิภพเงยหน้าจากตำราที่เขาอ่านอยู่และหันไปมอง เมื่อเจอต้นเสียงนั้นตามที่เขาคาดใว้ในใจ เด็กหญิงแสนซนข้างบ้านนอนแอ้ง:-)บนพึ้นหญ้า ผมเผ้าไม่ฟูกระเจิงแต่ก็ไม่สู้จะเรียบร้อยอย่างที่เขาเคยคุ้นตา หน้าตาที่เขารู้ว่าเจ้าตัวพยายามจะฝืนให้เป็นปกติมีริ้วรอยความเจ็บปวดฉายออกมา
"จะปืนทำไมอีกนะต้นมะม่วงน่ะ" รู้ว่าไม่ว่าเขาจะคิด จะพูดอย่างไรเด็กหญิงแสนซนก็หานำพาไม่ เขาจึงปรารภกับตัวเองมากกว่า "บนนั้นลมเย็นสบาย ใด้เห็นวิวใกลๆด้วย" เด็กหญิงพูดอ่อยๆ มองมือที่เขายื่นให้ตาละห้อยแต่ยังไม่ยอมให้เขาพยุงลุก "หื่ออ..." ก้องภิภพครางในลำคอเพราะไม่อยากต่อปากต่อคำกับเธอ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กหญิงปืนป่ายและผลัดตกลงมา "แล้วจะนอนเต้งเค้งอยู่อย่างนั้นน่ะหรือ?" เขามองตาที่มีแววดื้อดึงคู่นั้นพร้อมกับหดแขนกลับเมื่อเด็กหญิงไม่มีท่าทีจะรับการช่วยเหลือของเขาง่ายๆ
แรงกระแทกทำให้เจ็บจุกแต่ฤนนนนรีคิดว่ายอมเจ็บตัวดีกว่าแสดงอาการให้เด็กชายหน้าตี๋เห็นว่าเธออ่อนแอ เธอต้องไม่อ่อนแอ "ความผยองแบบบ้าๆ" หลายต่อหลายครั้งที่ก้องภิภพอดที่จะหัวเสียกับนิสัยหยิ่งทรนงของเธอไม่ใด้
"เห็นอ่านมาค่อนวันแล้วไม่เบื่อหรือไร?" แทนที่จะตอบคำถามเด็กหญิงชี้ไปที่หนังสือกองโตบนโต๊ะ "ไม่" ก้องภิภพตอบสั้นๆและหนุนตัวทำท่าจะกลับไปที่โต๊ะเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงไม่เป็นอะไรมาก "แล้วไม่เมื่อยหรือ? เห็นนั่งไม่ใหวติง ไม่หิวบ้างหรือ?" อะไร ทำไม ใคร
และคำถามอีกมากมายจากเธอมีให้เขาเสมอๆ เขาหยุดเดินและหันมามอง เติบโตมาด้วยกันเขารู้ว่าความต้องการที่แท้จริงของเด็กหญิงคืออะไร...ความเอาใจใส่จากใครๆก็ไม่ทำให้เด็กหญิงมีความสุขไปกว่าจาก"พี่"คนนี้ของเธอ "มา พี่จะพาไปล้างมือแล้วจะใด้มาทานขนมกัน" อารามดีใจฤนนนนรีลืมความเจ็บปวด ยันตัวลุกขึ้นแววตาเป็นประกายความดีใจไม่ใช่เพราะจะใด้ทานขนม
หลายวันมาแล้วที่พี่หน้าตี๋ของเธอไม่มาเล่นหัวอย่างที่เคยแต่หมกตัวอยู่กับหนังสือกองนั้น บนเก้าอี้หินอ่อนใต้ต้นมะม่วงตัวนั้น ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรเขาก็ยังคงไม่ให้ความสนใจเธอมากนัก เขาเงยหน้าขึ้นมานานพอที่จะพูดคุยกับเธอสองสามคำให้เธอใด้รับรู้ว่าเขารู้ว่าเธอมาแล้วตั้งหน้าตั้งตากับหนังสือตรงหน้าต่อไป "ใกล้จะสอบแล้ว พี่อยากใด้คะแนนดีๆ"เขาบอกเมื่อเธอแสดงอาการงอแงจะให้เขาเล่นด้วยอย่างเคย "พี่ใด้คะแนนดีที่สุดในห้องอยู่แล้วนี่?"เด็กหญิงบอกหน้างอด้วยความขัดใจ "ดีที่สุดของห้องไม่ใด้หมายความว่าดีที่สุดเสมอไป"ก้องภิภพให้เหตุผล การศึกษาสำคัญมากสำหรับเขา เด็กหญิงน้อยใจ หายไปสักพักก่อนที่จะกลับมาเมื่อเธอคิดวีธีการที่จะทำให้เขาหันมาสนใจเธอใด้
ร่างน้อยนั้นเซถลา"ดื้ออีกสิน่า"เขาร้องและถลาเข้าไปช้อนตัวเธอใว้ก่อนที่จะเธอจะล้มเมื่อเธอพยายามจะลุกขึ้นด้วยอาการลิงโลด "ไม่ล้มหร๊อก" เด็กหญิงทำเป็นเสียงสูงตามประสาคนหัวรั้นแล้วผละออกจากอ้อมแขนเขาเดินลิ่วเข้าบ้าน ก้องภิภพส่ายหัวระอากับความซน แต่ด้วยความเอ็นดูที่มีมากกว่ารอยยิ้มเล็กๆจึงปรากฏที่มุมปากของเขา
แต่แรกที่เขาและครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้เมื่อหลายปีก่อน ขณะที่เขากำลังช่วยพ่อแม่ขนข้าวของเข้าบ้านเขาสังเกตุเห็นมือน้อยๆเกาะที่ประตูรั้วสายตาซื่อฉายแววความอยากรู้อยากเห็นจับจ้องทุกการเคลื่อนใหวของอีกบ้าน วันหนึ่งพ่อพาเขาไปทำความรู้จักกัน'บ้านโน้น'เต็มไปด้วยความเงียบที่ผิดวิสัยบ้านที่มีลูกหลายคนอย่างบ้านของฤนนนนรี พ่อ ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของก้องภิภพและยังมีอาชีพเดียวกันด้วย "แม่และเด็กๆพากันไปเยี่ยมยาย" ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวบอกกับผู้มาใหม่ "ยายอยู่คนเดียวก็ใด้หลานๆบ้านนี้หล่ะที่ผลัดกันไปอยู่เป็นเพื่อน บ้านคนแก่ในสวนมันเงีบยลูกหลานไม่ค่อยชอบ มีก็แต่อ๋อแอ๋...ยัยหนู...นั่นแหละที่ชอบและไปค้างประจำคราวละนานๆ สองคนนั้นเขาชอบกัน" ฟังจบเขาจึงใด้คำตอบให้ตัวเองในวันที่กลับจากโรงเรียนและไม่เห็นตาคู่ซนของเด็กหญิงข้างบ้าน ยัยหนู กลายเป็นที่ชื่อเรียกขานที่ติดปากมาแต่นั้น
เมื่อใดก็ตามที่เธอไม่ไปบ้านยายฤนนนนรีจะเกาะลูกกรงรั้วเฝ้ามองอีกบ้าน "พี่หน้าตี๋ไม่มีพี่น้องคงเหงาแย่เลย"เด็กหญิงเล่าให้แม่ฟัง น้องจากพี่น้องร่วมพ่อแม่แล้วบ้านเธอยังมีหลานๆจากทั้งสองฝ่ายที่พ่อรับมาเลี้ยงดูเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระพี่น้องที่ฐานะด้อยกว่าตนอีกหลายคน "เลี้ยงคนน่ะ เลี้ยงเอาบุญ อย่าคิดเอาแต่คุณ" พ่อบอกเสมอๆ "เขาชื่อพี่ก้องภิภพ คุณเกริก คุณมลุลีเรียกเล่นๆว่าก๋วยจั๊บ ทำไมไปเรียกแบบนั้น ไม่งามเลย" แม่ตำหนิ "พี่หน้าตี๋ไม่ว่า 'เราเป็นเพื่อนกันยัยหนูจะเรียกอะไรก็ใด้' พี่เขาบอก" ฤนนนนรีบอกผู้เป็นแม่ถึงคำพูดที่เขาเคยบอกเธอ สำหรับเขายัยหนูจะพูดจะทำอะไรก็ใด้
"ตามใจจนเคยตัว อีกหน่อยก็เหลิงเอาไม่อยู่" แม่เคยเปรยกับเขาหลายปีต่อมา "เล่นซนตามประสาเด็ก โตอีกหน่อยก็หายแล้วครับ น้องรู้อะไรควรไม่ควร" เขาแย้ง ความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยของก้องภิภพทำให้แม่ทึ่งและวางใจในตัวเขา
"บ้านใกล้เรือนเคียงเป็นเพื่อนกันน่ะดีแล้ว"แม่ลูบผมและบอกเบาๆ เด็กหญิงอมยิ้ม "ไม่เห็นจะตี๋ตรงใหน ออกจะคมเข้ม"แม่ของเธอบอกนึกถึงดวงหน้าของเด็กชายข้างบ้าน "หน้าดำปี๋ ตากแดดกลางสนามฟุตบอลมาก อยากแข็งแรงอยากเป็นทหารเหมือนพ่อ" เธอจดจำทุกสิ่งอย่างที่ใด้รับรู้มาจากเขา
แต่นั้นมาเมื่อใดที่ฤนนนนรีไม่ใด้ไปบ้านสวนของยายทั้งคู่กลายเป็นเงาของกันและกัน ดูเหมือนลักษณะนิสัยที่ตรงกันข้ามนอกจากจะไม่เป็นอุปสรรคต่อเธอและเขาแล้วยังเติมเต็มส่วนขาดของอีกฝ่าย ทุกครั้งที่ฤนนนนรีหนีความอึกทึกของการอยู่ร่วมกันของเด็กวัยเดียวกันหลายคนไปเจื้อยแจ้วที่บ้านก้องภิภพ ทำให้บ้านที่เงียบๆมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตา
"แม่เห็นก้องมองไปบ้านโน้นบ่อยๆ หนูฤนไม่อยู่หรือลูก?"เสียงแม่ถามเมื่อเห็นเขาเดินวนเวียนอยู่แถวรั้วบ้านฝั่งที่ติดกับ'บ้านโน้น'เขารู้สึกผูกพันธ์กับเธอมากกว่าเพื่อนเล่น พ่อแม่ของเขาเอ็นดูเธอเหมือนลูก
"ชื่อเรียกยาก" เพื่อนของเขาคนหนึ่งเคยบอกกับเธอเมื่อคราวเเห็นชื่อด็กหญิงในสมุดวันที่เธอมาขอให้เขาช่วยสอนการบ้าน "ฤนนนนรี ออกเสียง ริน-นน-นะ-รี ไม่เห็นยากตรงใหนเลย" "รู้ใหมยายไปเอามาจากท่านเจ้าคุณในป่าโน้น" เธอบอกชี้มือไปในทิศทางที่เธอคิดว่าเป็นที่อยู่ของพระรูปนั้น "เขาเรียกวัดป่า" ก้องภิภพบอก อยากอธิบายมากกว่านั้นแต่คิดว่าเด็กหญิงมีอะไรจะเล่าต่อจึงนิ่งเงียบรอฟัง "พี่รู้ใหมหนูมีอีกชื่อ"ฤนนนนรีเปลี่ยนจากนอนเอามือเท้าคางเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหลังเขาบนเสื่อสายตามองไปที่ดอกไม้นานาชนิดที่แม่ของเธอปลูกใว้เต็ม สวนหลังบ้านที่ร่มรื่นเป็นมุมพักผ่อนของทั้งคู่ "หืมม
?
"เขาครางในลำคอไม่แน่ใจว่าเด็กหญิงจะสื่ออะไร "สามปีก่อนหนูไม่สบายมาก ผ๊อม ผอม จะตาย ยายพาไปหาท่านเจ้าคุณในป่า ท่านเป่าเพี๊ยงๆ รดน้ำและบอกว่า เปลี่ยนชื่อดีกว่านะ เปลี่ยนแล้วหายเจ็บ เลี้ยงง่าย"เด็กหญิงปะติดปะต่อเรื่องราวเท่าที่เด็กอายุ11ขวบแบบเธอจะจดจำและบอกต่อใด้ ท่านเจ้าคุณเป็นพระที่ยายนับถือมากท่านหนึ่ง "เรียกว่ารดน้ำมนต์"ก้องภิภพช่วยอธิบาย เพื่อนของเขานิ่งฟังเรื่องราวที่ไม่เคยใด้รับรู้มาก่อน ก้องภิภพมองร่างน้อยๆที่อิงแอบกับตัวเขาเทียบกับมโนภาพเด็กหญิงตัวผอมที่เธอเอ่ยถึง เอื้อมมือไปไปลูบหัวเบาๆ "โถ
.ยัยหนูของพี่"เขาคราง รู้สึกลำคอตีบตื้อขึ้นมาด้วยความสงสาร "ชื่อเดิม ภาพัชรณีย์"เธอบอก ยันตัวลุกขึ้นและเดินเข้าบ้าน ก้องภิภพมองตามร่างน้อยที่หายลับไปแล้วก้มลงอ่านชื่อของเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก นับวันความผูกพันธ์กับยายหนูตัวน้อยของเขาก็ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวีคูณ
----------------------***--------------------เขาและเธอ----------------------***--------------------
"กำลังทำอะไรอยู่หรือ?" ฤนนนนรีสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงทุ้มๆดังมาจากข้างหลัง เธอวางพู่กันลงในถาดสีและเงยหน้ามองเขา กอดอกพิงประตู ร่างเด่นอย่างชายชาติทหารน่าเกรงขามต่างกับแววตาอ่อนโยน ก้องภิภพในชุดกางเกงยืนส์ เสื้อยีดตัวโปรดของเธอ "พี่ก้องนั่นเอง มาเงีบยๆเล่นเอาตกใจ"เสียงฤนนนนรีเต็มไปด้วยความดีใจ "พอดีมีเวลาพักพิเศษ ไม่มีเวลาโทรฯมาบอกล่วงเลย"เขาเดินเข้ามาใกล้ๆ "หัดเขียนภาพสีน้ำมันน่ะค่ะ" เธอตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้เขา "อีกหน่อยพี่ก็คงมียัยหนูเป็นศิลปินชื่อดัง" เขาเย้าและหัวเราะเบาๆ "ไม่หรอกค่ะ ทำเพื่อผ่อนคลายสมองค่ะ" "เสร็จแผ่นนี้แล้วหนูจะเขียนให้พี่สักภาพชอบแบบใหนดีคะ?" เธอชี้มือไปที่แผ่นภาพที่อยู่ตรงหน้าและเอียงคอถาม "เรียนหนังสือยังไม่ยุ่งพอหรือไร?"เขาถาม เอื้อมมือไปรื้อกองกระดาษระเกะระกะ บางภาพเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ อีกหลายๆภาพยังเป็นแผ่นกระดาษที่มีโครงร่างให้เห็นจางๆ "ทานน้ำก่อนนะคะ"เธอบอกเตรียมจะรินน้ำจากเหยือกให้เขา "ไม่หล่ะ"ก้องภิภพส่ายหน้า ท่าทางที่เธอเห็นว่าน่ามองเป็นอย่างยิ่ง "พี่ว่าจะมาชวนหนูไปขับรถเล่น"เขาเริ่มเก็บอุปกรณ์เขียนภาพเหล่านั้น "นั่งรถเล่น! ดีจังเลยค่ะ ไม่ใด้ไปนานแล้ว"ฤนนนนรีตาโต น้ำเสียงตื่นเต้นอย่างเห็นใด้ชัด "ตั้งแต่เป็นสาวพูดจาน่าฟังขึ้นเยอะ" เขาพูดขึ้นมาลอยๆนึกถึงเด็กหญิงแสนซนที่พูดจาห้วนๆไม่มีหางเสียงที่หายไปและมีสาวน้อยท่าทางสุภาพเรียบร้อยพูดจาอ่อนหวานมาแทน เธอยิ้มเขิน รวบงานที่ทำค้างใว้เดินตัวปลิวเข้าไปขออนุญาตแม่ในบ้าน นอกจากจะเรียบร้อยอ่อนหวานขึ้นตามวัยแล้วยายและแม่ยังฝึกงานบ้านงานเรือนพร้อมทั้งเป็นแบบอย่างให้กับฤนนนนรี ฝืมือการร้อยมาลัยของเธอไม่แพ้ใคร งานครัวเธอก้ทำใด้ดีทีเดียว ยามว่างเธอไปเรียนวาดภาพงานศิลป์ที่เธอใฝ่ฝันอยากจะหาความรู้
ข้างๆหมู่บ้านมีลานกว้างที่มีแม่น้ำสายเล็กๆใหลผ่าน ก้องภิภพมีรถมอเตอร์ไซค์คันเล็กคันหนึ่งเมื่อมีเวลาว่างเขาจะมาชวนเธอไปนั่งรถเล่นที่ลานนั้นบ่อยๆ หลังจากสนุกสุดเหวี่ยงกับการขับรถขึ้นๆลงๆเนินเล็กๆทั้งคู่ก็พากันไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นๆเพื่อเล่นซ่อนหาหรือพากันลุยเล่นน้ำในแม่น้ำนั้น เธอไม่ค่อยชอบการล่นน้ำเพราะนอกจากจะกลัวการจมน้ำแล้วเพื่อนในกลุ่มทุกคนรู้ว่าฤนนนนรีกลัวปลิงเป็นที่สุด "แก่นออกย่างนั้นกลัวอะไรกับเขาเป็นด้วยหรือ?"ยายเคยถามล้อๆเมื่อเขาเล่าให้ฟัง "ไม่กลัวแต่แขยง ตัวมันยึกๆยักๆ บรื๋อส์...."เธอห่อปากทำเสียงอ่อยๆแต่จะให้ยอมรับว่ากลัวหล่ะไม่ใด้ทีเดียว
"ไม่เอาไม่ไป ปลิงตัวเท่าช้างน้อย"เด็กหญิทำมือให้เห็นตัว"ช้างน้อย"ตาแดงๆน้ำตาเอ่อ ส่ายหน้าจนผมกระเจิงพร้อมกับกระทืบเท้าเร่าๆแสดงถึงอาการขัดใจอย่างมาก ก้องภิภพและเพื่อนคนอื่นๆพากันลุยข้ามน้ำไปอีกฟากเพื่อเข้าป่าไปหาเล่นซนตามประสา ฤนนนนรีไม่กล้าจะย่างขาลงน้ำรู้ว่าในนั้นต้องมีปลิงคอยดูดเลือดอยู่ ไม่ว่าเขาและเพื่อนๆจะเกลี่ยกล่อมอย่างไรก็ไม่มีท่าทีว่าคนกลัวปลิงจะยอมลงน้ำเอาเสียเลย เธอไม่เคยโดนปลิงเกาความกลัวเกิดจากการฟังเรื่องเล่าที่เคยใด้ยินใด้ฟังมา เพื่อนๆหลายคนเดินเข้าป่าล่วงหน้าไปแล้ว ก้องภิภพเห็นมีทางเดียวที่จะพาเธอข้ามมาใด้เขาลุยน้ำกลับไปยังฝั่งที่เธอยืนอยู่ "มาพี่ให้ขี่คอ" พูดแล้วคว้าเด็กหญิงตัวป้อมขึ้นบ่าใด้ก็แบกเดินเยิบๆลุยลงน้ำไป คนบนบ่าถูกใจหัวเราะเอิ้กอ้ากและจับหูเขาเป็นหูม้าส่งเสียง "ฮี่ๆ กั๊บๆ ฮี่ๆ กั๊บๆ"ไปจนพ้น "ตัวยังกะฮิปโปโปเตมัส"เขาเอามือขยี้หัวเด็กดื้อที่เมื่อสักครู่ปาดน้ำตาป้อยๆแต่ตอนนี้หัวเราะชอบใจอยู่ข้างๆเขา "พี่เคยเห็นหรือไรตัวโปโปเต้น่ะ"เธอถามแววตาอยากรู้ "เห็นสิ รูปในหนังสือเรียนพี่มี"เขาบอกง่ายๆ "จริงหรือ!!"เด็กหญิงทำตาโต "ถ้าหนูเรียนชั้นเดียวกับพี่หนูก็จะใด้เห็นโปเปเต้ใช่ใหม?" เธอมีวิธีเรียกสิ่งต่างๆตามแบบของเธอเองโดยเฉพาะคำยาวๆที่ไม่คุ้นเคยจะโดนตัดให้สั้นลงและเพิ่มคำที่คุ้นเคยเข้าไปแทน "ครับ" เขาตอบ"หนูรีบเรียนให้เก่งๆให้ใด้ขึ้นชั้นพี่เร็วๆสิถ้าอยากดูฮิปโปโปเตมัส"
เมื่อก่อนเขาจะพาเธอนั่งรถมอเตอร์ไซค์แบบนั้นเสมอๆจากวัยเด็กจนกระทั่งวัยรุ่นมันก็ยังเป็นกิจกรรมที่นำมาซึ่งความสนุกสนานไม่เปลี่ยน แต่หลังจากเขาออกจากบ้านไปศึกษาต่อทั้งคู่แทบจะไม่มีเวลาไปทำอย่างนั้นอีกเลย การกลับมาพักของเขาแต่ละครั้งเป็นการพักเพียงระยะสั้นๆ เธอรู้ว่าคนที่ผ่านการฝีกอย่างหนักคงอยากพักผ่อนจึงไม่ใด้เอ่ยปากเรื่องนั้นกับเขา "แม่ให้เสื่อพับกับของคบเคี้ยวมาด้วย" เธอชูเสื่อพับอันเล็กและถุงขนมให้เขาดู "แม่เกศไม่ค่อยแข็งแรงแต่ยังทำขนมนมเนยให้เราใด้ทาน"เขาเอ่ยกับเธอ เขาเริ่มเรียกพ่อแม่เธอแบบนั้นตั้งแต่เรียนมัธยมต้น ฤนนนนรีเรียกพ่อเขาว่าลุงและป้าถึงแม้นทั้งคู่จะสูงวัยกว่าพ่อและแม่ของเธอไม่มาก
"จะเรียกพ่อ เรียกแม่ก็ใด้ หนูก็เหมือนลูกแม่ เห็นมาแต่เล็กเราเอ็นดูหนูเหมือนลูก"แม่เขาบอกเธอ แต่ไม่รู้ด้วยสาเหตุใดจนแล้วจนรอดเธอก็ไม่เคยเรียกขานท่านตามนั้น
"ดีเลย เผื่อขับไม่ใหวจะใด้นั่งทานขนมรับลมกัน"เสียงก้องภิภพดังแข่งกับเสียงเครื่องมอเตอร์ไซค์
"โอย
..สนุกมากค่ะ"เธอบอกเขาพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนเสื่อที่เขาปูใว้ "อืม
ไม่ใด้มาตั้งนานเลย"ปากพูดไปมือก็พยายามจับผมที่ยุ่งเหยิงของเธอไปทัดที่ข้างหูเป็นพัลวัน "ตั้งแต่วันแรกที่เจอก็เห็นผมยาวๆอย่างนี้มาตลอด"เขารำพึงและใช้นิ้วเขี่ยปอยผมเธอเล่นนึกถึงเด็กน้อยแววตาซื่อที่เกาะลูกกรงมองเขาวันที่ย้ายเข้าบ้านเมื่อครั้งนั้น "ชินนะคะ เคยยาวมตลอด"เธอรับคำยิ้มๆ
ทั้งสองครอบครัวรักและใว้ใจทั้งคู่การไปใหนมาใหนสองต่อสองไม่เคยเป็นเรื่องที่น่าห่วง ฤนนนนรีหยิ่งและรักศักดิ์มากกว่าที่จะให้อารมย์ชั่วแล่นใดๆมีอำนาจเหนือเธอ ในขณะที่เพื่อนผู้ชายวัยเดียวกับก้องภิภพเริงสุขกับกามารมย์สำหรับลูกผู้ชายนายทหารอย่างเขามองว่าเป็นการฉวยโอกาสของคนขลาดเขลา เขาให้เกียตริหญิงสาวอันเป็นที่รักเสมอไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังไม่ว่าจะมีสายตาผู้ใดจับจ้องอยู่ก็ตาม
"ชอบแหวนใหม? พี่ไม่เคยมีโอกาสถามก่อนหามาให้"เขาถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยพร้อมประคองมือข้างซ้ายของเธอที่มีแหวนหมั้นจากเขาสวมอยู่ "ชอบค่ะ ชอบมาก"หญิงสาวยิ้มมองแหวนวงน้อยวงนั้นนัยตาเป็นประกาย "รักมากกว่า...."
ปกติเธอไม่ใช่คนที่ใส่เครื่องประดับอะไรนัก นอกจากนาฬิกาเรือนเล็กแล้วก็มีแหวนหมั้นวงนั้นที่เธอมีติดตัวตลอดเวลา ทั้งเธอและเขาแลกเปลี่ยนเรื่องราวต่างๆของตนระหว่างที่อีกฝ่ายไปอยู่บ้าน เขาเล่าเรื่องราวการฝึกให้เธอฟังและนั่งอยู่ตรงนั้นจนพลบค่ำก่อนที่เขาจะพาเธอไปส่งบ้าน
"คุณเกศแก้วล้มเจ็บอีกแล้ว คราวนี้น่าเป็นห่วง" คุณมลุลีปรารภกับสามีหลังอาหารเย็นวันหนึ่ง "ผมก็ทราบมาอย่างนั้น วันก่อนคุณอนันต์หน้าไม่ค่อยดี พักนี้แทบจะไม่เป็นอันทำงานเทียวพาภรรยาเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น"คุณเกริกเล่าถึงพ่อของฤนนนนรีที่ทำงานสังกัดหน่วยงานเดียวกัน "นี่ดีนะที่ไม่ต้องย้ายไปย้ายมาอย่างเมื่อก่อน คุณอนันต์น่ะอดุมการณ์มาก พื้นที่ใหนที่เขาพอเห็นทางจะทำประโยชน์ให้ใด้บ้างเป็นขอย้ายไปประจำการทันที ห่วงอุดมการณ์จนลืมลูกลืมเมีย คุณเกศแก้วก็รักสามีเหลือที่ไม่เคยปริปากจนล้มเจ็บนั่นหล่ะถึงใด้เอ่ยปากขอให้สามีอยู่เป็นหลักแหล่ง" น้ำเสียงคุณเกริกเต็มไปด้วยความชื่นชมนับถือผู้ที่กล่าวถึงทั้งสอง "แกเอ่ยปากฝากฝังยายหนูทุกครั้งที่เจอดิฉัน"เข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ด้วยกัน น้ำเสียงคุณมลุลีเศร้าและแผ่วเมื่อนึกถึงคำพูดของผู้เจ็บเมื่อคราวเธอไปเยี่ยมไข้วันก่อน "ผมกำลังคิดจะปรึกษาคุณอยู่พอดีเชียว" คุณเกริกมองหน้าภรรยา "ถ้าเดาไม่ผิดดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องตาก้องกับยายหนูบ้านโน้น" เป็นสามีภรรยาร่วมทุกข์ร่วมหลายสิบปี คุณมลุลีรู้และเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้เป็นสามี เธอเองก็คิดไม่ต่างจากเขา "ปีนี้ตาก้องเรียนปีที่สองแล้วไม่นานก็จะจบ เขาโตพอที่จะรับผิดชอบชีวิตตัวเองใด้แล้ว กับหนูฤนก็เทียวไปเทียวมากันมานานถ้าไม่ทำอะไรให้ถูกต้องเหมาะสมเกรงแต่จะเป็นที่ครหาใด้ ลูกเราเป็นผู้ชายอย่างไรก็ไม่เสียหายเท่าผู้หญิง" คุณเกริกมองหน้าภรรยเชิงหารือ "ลูกกลับมาพักคราวหน้าดิฉันจะพูดกับแก หนูฤนเป็นสาวเต็มตัวแล้วหน้าตาก็ใช่ขี้ริ้ว ทางครอบครัวก็เห็นกันมาแต่ใหนแต่ไร ทำอะไรให้เป็นทางการไปจะใด้เป็นที่สบายใจทั้งสองฝ่าย" "หมั้นหมายกันให้ถูกต้องตามประเพณีก่อน เมื่อหนูฤนเรียนจบตอนนั้นตาก้องก็น่าจะใด้ทำงานแล้วค่อยแต่งกัน"คุณเกริกบอกความคิดเห็นของเขากับภรรยา
เมื่อเป็นที่เห็นต้องกันทั้งสองครอบครัวงานหมั้นระหว่างเขาและเธอก็ถูกกำหนดขึ้น "ไม่ว่ากี่ปีกี่เดือนคุณอนันต์ก็ยังเป็นคนสมถะเรียบง่าย ยึดถือประเพณีเป็นที่สำคัญเสมอมา จะให้ไปจัดใหญ่โตหวือหวาเป็นไม่มีหล่ะ" แขกผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกถึงงานหมั้นเล็กๆแต่อบอุ่นที่จัดขึ้นที่บ้าน แขกเหรื่อที่ใด้รับเชิญมาเป็นสักขีพยานล้วนเป็นผู้ที่เคารพนับถือของทั้งสองครอบครัวทั้งนั้น
วันนั้นตรงกับวันที่ฤนนนรีอายุครบ18ปีบริบูรณ์ อายุที่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่อย่างถูกต้องตามกฏหมาย เธอสวมเสื้อลูกไม้สีชมพูอ่อน คอและแขนมีระบายเล็กๆช่อดอกไม้จิ๋วกระจุ๋มกระจิ๋มทั่วตัวเพิ่มความน่ามองให้กับมันใด้อย่างดี ดวงหน้าที่แต่งแต้มแต่พองามสวยเด่น เรือนผมดกดำถูกปล่อยสยายทั่วแผ่นหลัง ผ้าซิ่นเข้าชุดยาวกรอมเท้า "ไม่ต้องไปเช่าชุด ในตู้หนูมีเสื้อผ้าลูกไม้ที่พี่ก้องซื้อให้เป็นของขวัญตอนสอบเข้าพยาบาลใด้ หนูอยากใส่ชุดนั้น" เธอบอกเมื่อแม่ชวนไปลองชุด "อะไร อะไรก็พี่ก้อง พี่ก้อง" ด้วยความเขินอายแก้มแดงเปล่งประกายเข้มมากขึ้นเมื่อโดนกนกกาญจ์ญาติผู้น้องที่เติบโตร่วมบ้านกันมาเย้า "พ่อพระเอกของเราจะมาชุดใหนนะ?"กนกกาญจ์พูดล้อๆ ฤนนนนรีลอบมองไปยังอีกบ้านที่อยู่ติดกันปล่อยใจให้ล่องไปกับความนึกคิดและภาพความทรงจำระหว่างเธอกับเขา "เอ้า! ตาลอยใจลอยไปถึงใหนแล้ว จะใด้เวลาแล้วไปส่องกระจกดูหน้าหน่อยก็ดี"เธอง่วนอยู่กับการช่วยแม่ดูแลอาหารและเครื่องดื่มให้กับแขกแต่เช้าเมื่อใด้ยินเสียงเตือนก็ละมือและเดินขึ้นไปสำรวจตัวเองบนบ้าน
ก้องภิภพสวมเสื้อคอจีนสีอ่อนตัดกับผิวสีเข้มด้วยแดดลมจากการตรากตรำฝึกฝนอย่างหนัก กางเกงผ้าเนื้อดีไม่แพ้ตัวเสื้อสีเข้มกว่าเล็กน้อยช่วยเสริมให้ร่างกำยาของเขาน่ามองมากขึ้น ทรงผมที่ผ่านการตัดด้วยช่างฝีมือพิถีพิถัน เงาหนวดเคราบ่งบอกความเป็นหนุ่มเต็มตัว
"งานหมั้นเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ทางข้างหน้าจะดีหรือร้ายขึ้นอยู่กับลูกทั้งสองที่จะเป็นคนกำหนดเส้นทางของตัวเอง ช่วยกันถนอมความรักที่มีให้กันมาให้คงอยู่และเจริญงอกงามและคงอยู่ตลอดไป พ่อฝากดูแลน้องด้วยนะลูก" พ่อของเธอให้โอวาทและหันไปบอกก้องภิภพ "ผมจะดูแลน้องให้ดีที่สุดเท่าที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งจะทำใด้ครับ" เขายกมือใหว้พร้อมกับให้สัญญา คุณอนันต์มองหน้าก้องด้วยแววตาเอ็นดู ชายต่างวัยสองคนจ้องตากัน ท่านเชื่อและใว้ใจว่าเขาจะรักษาคำสัญญานั้น ท่านรู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาจะไม่มีวันทำให้เธอและพ่อของเธอผิดหวังในตัวเขา "แค่นี้แม่ก็ตายตาหลับแล้ว"คุณเกศแก้วรับใหว้และบอกกับก้องภิภพ
----------------------***--------------------บ้านแห่งรัก----------------------***--------------------
"ไปทานมื้อเที่ยงกับท่านกนกและคุณดวงพรมา"พ่อบอกเมื่อเข้าบ้านมา คุณกนกคือผู้ใหญ่ในหน่วยงานที่พ่อของเธอและเขาสังกัดอยู่ ท่านเป็นที่นับถือของคนทั้งจังหวัดและเป็นที่เคารพของทั้งสองครอบครัว แม่วางมือจากผลไม้ที่กำลังปอกเตรียมเป็นของว่างหลังอาหารส่งแก้วน้ำเย็นให้ มองหน้าพ่อที่มีเหงื่อเกาะพรายและนิ่งฟัง ความเคารพและเชื่อใจพ่อแม่เป็นผู้ฟังผู้ตามที่ดีในทุกๆเรื่องทั้งนอกและในบ้าน "ท่านออกปากเรื่องยัยหนูให้กับคุณบ้านโน้นก่อนและบอกว่าจะมาหาคุณอีกทีถ้าผมไม่ขัดข้อง"พ่อเล่าต่อพยักเพยิดหน้าไปทางบ้านของก้องภิภพ "ค่ะ ฉันว่าตาก้องเป็นผู้ใหญ่ดี"แม่ออกความเห็น "ลูกชายเขาน่ะเป็นผู้ใหญ่ แต่ลูกสาวเราสิไม่รู้จักโตใครเขาใด้ไปคงเหนื่อยน่าดู จะมีใครทนใด้หรือ?"ในบรรดาลูกๆพ่อรักและหวงฤนนนนรีกว่าคนอื่นๆ คงเป็นเพราะการเจ็บป่วยออดๆแอดๆมาแต่เด็ก "เจ้าตัวก็บอกเองว่าอีกหน่อยก็หายดื้อ"แม่บอกยิ้มๆแล้วเล่าเรื่องที่เแม่เคยเปรยกับเขาวันก่อนให้พ่อฟัง "ว่าไงหล่ะจะมีเด็กข้างบ้านที่เห็นมาแต่เด็กเป็นลูกเขยหรือ?"พ่อเย้าพร้อมกับหัวเราะ "เห็นมานานเอ็นดูแกเหมือนลูกค่ะ"แม่บอกสั้นๆตามแบบของแก "คุณใกล้ชิดกับลูกคงพอทราบเรื่องที่ผู้ชายแบบผมไม่ทราบ"พ่อกล่าว "ถ้าคุณหมายถึงเรื่องที่ลูกอาจจะมีผู้ชายคนอื่นน่ะฉันเชื่อว่าไม่มีค่ะ เป็นธรรมดาที่มีคนมารู้จักแต่เท่าที่เห็นยัยหนูไม่เคยใส่ใจใครเป็นพิเศษ" แม่เล่าต่อ "จะให้มีเวลาไปใส่ใจใครที่ใหนคะ นอกจากการเรียนฉันก็เห็นแกหมกตัวกับการเขียนภาพบางทีอดคิดไม่ใด้ว่าแกจะเอาดีทางนั้น" "ไม่น่าจะใช่ แกบอกผมว่าพูดไม่เก่ง อยากถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมาบ้างและเลือกงานศิลป์ที่เขาชอบเป็นการก็เท่านั้น"พ่อแย้ง "ยังเด็ก ยังมีฝัน มีจินตนการที่ไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่าง ถ่ายทอดออกมาขาดๆเกินๆ"แม่พูดและหัวเราะนึกถึงภาพที่ไม่ค่อยสมบูรณ์หลายๆภาพที่ลูกสาวเอามาอวดด้วยสีหน้าดีใจเมื่อเขียนเสร็จ "ถ้าคุณไม่ขัดผมจะใด้ไปบอกท่านฯกับภรรยาท่านจะใด้ไปบอกทางโน้นเพื่อจัดการตระเตรียมทำให้ถูกต้องเหมาะสม" พ่อบอกแล้วเดินขึ้นบ้านไป
แม่มองตามหลังผู้เป็นสามีด้วยความภาคภูมิใจ คุณอนันต์ เด็กกำพร้าที่ไม่มีอะไรแต่พยายามดิ้นรนถีบตัวเองจนมามีตำแหน่งหน้าที่การที่เขามีอยู่ เธอจดจำครั้งแรกที่พบกันตอนที่เขามาสมัครงานกับพ่อของเธอใด้ดี "พอมีเวลาว่างจากงานประจำและคิดว่ามีความรู้พอที่จะช่วยงานใด้ครับ"เขากล่าวกับพ่อของเธอ ยามที่พ่อของคุณเกศแก้วเจ็บป่วยเขาเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเธอประคับประคองธุรกิจให้ผ่านอุปสรรคไปใด้ด้วยดี ทั้งยังเป็นที่ปรึกษายามเธอไม่สามารถจัดการกับเกี่ยวกับครอบครัวของเธอ นานวันความใกล้ชิดและเข้าอกเข้าใจกันและกันกลายเป็นความรักและทำให้สองคนตัดสินใจใช้ชีวิตด้วยกัน ยายไม่ชอบใจที่แม่จะแต่งงานกับ"คนงาน"ของครอบครัว แต่เมื่อคุณเกศแก้วตัดสินใจแล้วทุกคนรู้ว่าไม่มีใครสามารถหยุดยั้งหรือขัดขวางใด้ "เห็นไม่ค่อยพูดอย่างนั้นเด็ดเดี่ยวน่าดู" พ่อเคยล้อ
ถึงแม้นจะมาจากครอบครัวที่มีมากแต่แม่ไม่ใด้เอาอะไรมามากนักทั้งสองช่วยกันสร้างฐานะมาด้วยตัวเอง"เรามีปัญญาหาเองใด้ เก็บใว้ให้น้องๆคนอื่น ผมจะหาเลี้ยงคุณและลูกด้วยมันสมองกับสองมือนี่หล่ะ"คำพูดที่เป็นเหมือนคำสัญญาที่พ่อมีให้แม่คำสัญญาที่ท่านไม่เคยลืม หลังจากแต่งงานกันแล้วแม่ย้ายออกจากบ้านและมาอยู่บ้านสวัสดิการฯกับสามีและมีลูกทันที"คุณดูแลลูกดีกว่า เด็กเล็กๆให้ใครเลี้ยงก็ไม่เท่าพ่อแม่ ผมพอมีกำลังหาเลี้ยงใด้"พ่อบอก ด้วยความที่เป็นลูกกำพร้าพ่อโหยหาครอบครัวและอยากมีลูกหลายคน "เมื่อก่อนเคยเหงามากอยากมีพี่มีน้องแต่ก็ไม่เคยมี"พ่อเล่าให้ลูกๆฟัง "มนุษย์เราใกล้กับใครหรือสิ่งใดก็ไม่สุขใจเท่าใด้ใกล้ชิดกับสายเลือด" ตอนนี้พ่อมีลูกและหลานเต็มบ้าน เมื่อพี่สาวคนโตของฤนนนนรีแต่งงานและแยกบ้านออกไปพ่อก็เริ่มรับหลานๆมาเลี้ยงดู
จากคุณ |
:
..ฯ..
|
เขียนเมื่อ |
:
8 มิ.ย. 54 04:22:01
A:92.48.124.246 X: TicketID:318709
|
|
|
|