Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 18 อารักษ์แห่งแซฟเวจย์ ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 17 อสูรโลหิต
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10629793/W10629793.html

<18>

อารักษ์แห่งแซฟเวจย์


โมไดยืนมองดูบริเวณที่เคยใช้เป็นที่เผาร่างของแนชท์ด้วยความเศร้าสร้อย ภาพใบหน้าอันสดใสของเด็กสาวยามที่กำลังหัวเราะขณะเล่นน้ำกับเขาผุดขึ้นมาในความทรงจำ เด็กหนุ่มกลืนก้อนสะอื้นที่กำลังวิ่งขึ้นมาอยู่ในลำคอและเงยหน้าขึ้นคล้ายไม่ต้องการให้น้ำตาที่กำลังเอ่อล้นไหลออกมา

“พวกเราจะเดินทางกันแล้วนะ”

เสียงห้าวๆของโซลย์ดังขึ้น โมไดกระพริบตาสองสามครั้งและหันไปยังเพื่อนร่วมทางทั้งสองซึ่งยืนรออยู่ห่างๆ ทั้งคู่กำลังมองดูเขาด้วยสายตาที่แสดงความเป็นห่วง เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปหาพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ข้าแค่อยากจะบอกลาแนชท์เขาอีกครั้งเท่านั้น”

โมไดเดินนำออกไปทันทีที่กล่าวจบ โซลย์และฟอร์เซ็ตติมองหน้ากันและถอนหายใจก่อนรีบเดินตามหลังเด็กหนุ่มไปอย่างเร็ว

ตลอดเส้นทางทั้งสามกลับไม่พบกลุ่มโจรเหมือนสองสามวันที่ผ่านมา ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างรวดเร็ว ชั่วเวลาเพียงแค่ข้ามคืนพวกเขาก็มาหยุดยืนอยู่ที่ชายป่าซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนทางธรรมชาติระหว่างมาร์วัลลัสและแซฟเวจย์ โซลย์มองดูป่าอันรกทึบซึ่งทอดยาวไปจนสุดสายตาโดยมีเทือกเขาสูงสีเทาทะมึนเป็นฉากหลัง ในความคิดของเขาป่าเบื้องหน้านี้ดูลึกลับและน่าสะพรึงกลัวกว่าป่าแห่งมนตราหรือป่าของนครต้องสาปยิ่งนัก

“จะไปยังแซฟเวจย์ต้องเดินผ่านป่าแห่งนี้และข้ามเทือกเขาไปโดยใช้เส้นทางที่เรียกว่าช่องแคบมรณะ”

ฟอร์เซ็ตติพูดขึ้น แม่ทัพแห่งมอร์เซลขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันและหันไปย้อนถาม

“ช่องแคบอะไรนะ”

“ช่องแคบมรณะ” จอมเวทหนุ่มตอบ “มันเป็นช่องแคบที่เกิดจากการถล่มเพราะการเคลื่อนตัวของภูเขา แม้มันจะเป็นเส้นทางสู่แซฟเวจย์ที่สั้นที่สุด แต่ก็อันตรายมากที่สุดเช่นเดียวกัน”

“อันตรายยังไง”

โมไดถามขึ้นมาบ้าง จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสมองหน้าเด็กหนุ่มก่อนตอบ

“ผืนดินของช่องแคบมรณะตอนที่เชื่อมกับป่าทึบแห่งนี้จะมีหล่มโคลนอยู่กระจัดกระจายซึ่งอันตรายอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางในยามค่ำคืนเพราะหากเมื่อเจ้าก้าวเท้าพลาดและตกลงไปก็จะไม่มีวันกลับขึ้นมาได้อีกตลอดกาล เมื่อเจ้าผ่านหล่มปลักตมเหล่านั้นไปได้ก็จะพบกับบ่อทรายดูดซึ่งแม้จะเป็นบ่อที่ไม่ใหญ่นักหากจะเทียบกับหลุมโคลน แต่จำนวนของมันมีมากมายไปจนเกือบจรดพื้นที่อันเป็นที่ตั้งปราสาทของจอมมาร”

“บ่อโคลนกับทรายดูดหรือ” เด็กหนุ่มทวนคำแล้วทำสีหน้าสยอง “น่ากลัวน้อยกว่าเจอพวกกองทัพผีดิบเสียอีก”

“แต่ข้าว่าสิ่งที่เรากำลังจะเผชิญต่อไปนี้น่ากลัวกว่า” ฟอร์เซ็ตติกล่าวเสียงเรียบ ในขณะที่โซลย์กลับรู้สึกถึงความประหวั่นน้อยๆเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้นได้

“เจ้าหมายถึงอารักษ์แห่งแซฟเวจย์หรือ” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถาม จอมเวทนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบสั้นๆ

“ใช่”

“ข้าชักอยากจะพบหน้าเจ้าอารักษ์ผู้นั้นเต็มทน” โซลย์พูดขึ้นด้วยนิสัยองอาจมากกว่าอวดดี “จะได้รู้กันว่าฝีมือของเขาดีสมกับที่เจ้าหวาดหวั่นหรือไม่”

“เจ้าจะได้รู้ในอีกไม่นานนี้ โซลย์”

ฟอร์เซ็ตติกล่าว เขาเลื่อนสายตามองกลับไปยังป่าทึบอีกครั้งและก้าวเท้านำหน้าออกไปโดยไม่รอเพื่อนทั้งสอง

ทันทีที่เท้าของเขาเยียบย่างลงไปบนเงาไม้ในผืนป่า เสียงกระแสลมก็พัดอื้ออึงขึ้น โซลย์และโมไดชะงักฝีเท้าและจ้องมองดูด้วยความตระหนกต่างจากจอมเวทหนุ่มซึ่งหยุดยืนมองดูยอดไม้สะบัดกิ่งก้านแกว่งไหวไปมาอย่างนิ่งเฉยราวกับคาดเดาสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นไว้แล้วล่วงหน้า ฉับพลันผืนดินตรงหน้าก็แยกออก รากไม้ขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก มันสะบัดตัวกวัดแกว่งคล้ายกับอสรพิษและพุ่งเข้าใส่คนทั้งสามอย่างรวดเร็ว โมไดดึงรันนิ่งออกมาจากซองหนังในขณะที่โซลย์กระชับบรุนนาลาแน่น พวกเขาต้องรู้สึกประหลาดใจอีกครั้งเมื่อรากพืชยักษ์เหล่านั้นปะทะกับอะไรบางอย่างจนชะงักค้างอยู่กลางอากาศห่างจากตัวของฟอร์เซ็ตติเพียงไม่กี่ฟุต พวกมันสะบัดรากบิดเลื้อยตวัดไปมาคล้ายพยายามตีฝ่ากำแพงอากาศเพื่อหาทางเข้าไปทำลายผู้บุกรุกแต่ฟอร์เซ็ตติกลับยกไม้เท้าของเขาขึ้นพร้อมกับพูดอะไรออกมาสองสามคำ เจ้ารากไม้มีชีวิตเหล่านั้นหยุดนิ่งในทันทีและหดตัวถอยหลังกลับเข้าไปในผืนดินท่ามกลางความงงงันของโซลย์และโมได พื้นดินที่แยกออกจากกันก็ประสานกลับคืนจนกลายเป็นแผ่นดินอันราบเรียบดังเดิม

 “นะ...นั่นมันอะไรกันน่ะ”

โมไดถามขึ้นหลังจากทุกอย่างสงบลงไปแล้ว ฟอร์เซ็ตติตอบคำของเขา

“นี่เป็นเวทบงการธรรมชาติบทแรกของอารักษ์ที่ข้ากล่าวถึง” เขาเริ่มต้นออกเดินอีกครั้ง “ผู้ใดก็ตามที่กล้าล่วงล้ำก้าวข้ามเข้าไปในเขตป่าภายใต้การปกครองของเขาจะถูกรากไม้เหล่านั้นจับและฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ หรือลากลงไปในดินเพื่อกลายเป็นอาหารสำหรับพืชพรรณธรรมชาติ”

“แล้วเจ้าทำยังไงกับมัน”

โซลย์ถามบ้าง จอมเวทหนุ่มยิ้มน้อยๆแต่ไม่หันมามองหน้าคู่สนทนา

“ข้าก็ใช้วิธีเดียวกันกับอารักษ์ผู้นั้น”

“เจ้าก็รู้จักการใช้เวทที่ว่านี่ด้วยหรือ”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลซัก มีเสียงหัวเราะในลำคอดังมาจากฟอร์เซ็ตติ

“ข้ามีสายเลือดของเอลฟ์นะ อย่าลืมสิ”

โซลย์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่แล้วดวงตาสีเหล็กก็เบิกกว้างราวกับนึกขึ้นได้ แม่ทัพหนุ่มรีบพูดขึ้นทันที

“เจ้ากำลังจะบอกว่า อารักษ์ที่พูดถึงนี่เป็นเอลฟ์เหมือนกับเจ้าอย่างนั้นหรือ”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“จะว่าเหมือนก์ไม่เชิงนัก” เขาหยุดยืนและกวาดสายตาไปรอบๆ “แล้วข้าจะเล่าเรื่องราวของเขาให้เจ้าฟังภายหลัง แต่ตอนนี้เจ้าสองคนรีบมาอยู่ใกล้ๆข้าจะดีกว่า”

แม้จะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่โซลย์และโมไดก็รีบเดินไปยืนใกล้กับฟอร์เซ็ตติตามที่เขาบอกทันที ทั้งสองมองดูป่ารอบตัวซึ่งเงียบสงบลง มันเป็นความเงียบที่น่าขนลุก ไม่มีแม้แต่เสียงของใบไม้ตกกระทบลงบนพื้นดิน จอมเวทหนุ่มกระชับไม้เท้าของตนเองแน่น

“นางกำลังจะมาแล้ว”

“ใคร”

โซลย์กระซิบถาม สีหน้าของฟอร์เซ็ตติเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบ

“ลูเอนน่า ภูตนางไม้ผู้รักษาป่าแห่งแซฟวี”

“ป่าแห่งแซฟวี” แม่ทัพหนุ่มทวนคำ “นั่นมันต้องอีกด้านหนึ่งของที่นี่ไม่ใช่หรือ ทำไม........”

“เงียบ และ ระวัง”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสเตือน โซลย์จึงนิ่งเงียบและกวาดสายตามองไปโดยรอบด้วยความระมัดระวังอย่างเต็มที่ บรุนนาลาถูกกระชับแน่นจนเหงื่อไหลซึมออกมาจากมือ แล้วจู่ๆร่างกายของเขาก็เกิดอาการสั่นทะท้านเนื่องจากความเย็นที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน  ไอละอองหมอกสีเงินม้วนตัวลอยอ้อยอิ่งเข้ามาปกคลุมรอบตัวคนทั้งสามในขณะที่แสงแดดซึ่งส่องผ่านใบไม้มากระทบผืนป่าค่อยๆมืดสลัวลง สายลมเหน็บหนาวพัดโชยมาอย่างแผ่วเบาสร้างความเย็นยะเยือกจนโมไดถึงกับห่อตัวด้วยความรู้สึกสั่นสะท้าน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะ ทำไมจู่ๆข้าถึงได้รู้สึกหนาวแบบนี้”

“เจ้ากำลังสัมผัสกับลมหายใจมรณะของลูเอนน่า” ฟอร์เซ็ตติตอบ “อย่าได้เผลอหลับเป็นอันขาดเชียวนะ โมได”

ฟอร์เซ็ตติกล่าวเตือน เขาเบือนสายตามองฝ่ากลุ่มหมอกที่หนาทึบคล้ายกำลังค้นหาใครบางคนส่วนโซลย์หันกายไปอีกด้านเพราะรู้สึกว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งกำลังจ้องมองมา บรุนนาลาในมือถูกกำจนแน่น เขาสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมือเย็นจัดมากุมมือของเขาไว้

“ขออภัยที่ทำให้ท่านต้องตกใจ ท่านนักรบกล้า” เสียงหวานดังขึ้นข้างหู “ข้าเพียงแต่นึกชอบในความองอาจของท่านจนไม่สามารถระงับใจต่อไปอีกได้”

น้ำเสียงเย็นที่กำลังกระซิบแผ่วข้างกายคล้ายมีมนตร์สะกด ดวงตาของโซลย์ค่อยๆหรี่ปรือลงทีละน้อย ร่างสูงสง่าเริ่มโอนเอนไปมามือที่กุมบรุนนาลาคลายออกโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มหวานแต่โหดเหี้ยมปรากฏขึ้นในเงาสลัว มือซีดขาวเลื่อนขึ้นและกำรอบลำคอของแม่ทัพหนุ่ม พลันร่างขาวซีดนั้นก็ต้องชะงักการกระทำของตน เมื่อถูกไม้เท้าของฟอร์เซ็ตติวางจรดไว้บนใบหน้า

“ปล่อยเพื่อนข้าเดี๋ยวนี้!”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดุดันทำให้โซลย์สะดุ้งหลุดจากภวังค์ เขาสะบัดหน้าสองสามครั้งราวกับไล่ความมึนงงและมีสีหน้าตกใจเมื่อเห็นร่างของผู้คุกคามเต็มตา

“ลูเอนน่า”

รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มฉาบฉายบนเรียวปากสีซีด ดวงตาสีดำสนิทตัดกับใบหน้าขาวมีประกายระยิบระยับเต้นอยู่ภายใน ภูตสาวละมือจากโซลย์และเลื่อนไล้ไปตามแขนของจอมเวทพร้อมกับกล่าวเสียงเย็น

“ข้าแค่หยอกเย้าเขาเล่นเล็กน้อยเท่านั้น” มือซีดลูบไปบนแผ่นอกของฟอร์เซ็ตติอย่างซุกซน “ท่านไม่น่าโกรธเคืองข้าถึงขนาดนี้นะ ท่านฟอร์เซ็ตติ”

“หากเจ้าหยอกเย้าจริงแล้วเหตุใดเมื่อครู่จึงคิดจะดับลมหายใจของเขา” จอมเวทหนุ่มกล่าวเสียงกระด้าง ลูเอนน่ายิ้มหวานก่อนตอบ

“ข้าไม่คิดจะปลิดชีพเขาจริงๆหรอกท่านจอมเวท ท่านก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือว่าข้าไม่เคยลงมือสังหารผู้ใด”

“แต่เจ้าดับลมหายใจของพวกเขาด้วยไอเย็นและกักขังดวงวิญญาณคนเหล่านั้นเอาไว้ในทางน้ำใต้ดิน”

ฟอร์เซ็ตติลดไม้เท้าในมือลง เขาเบือนหน้าหนีไปอีกด้านเมื่อภูตสาวเลื่อนมืออันเย็นเฉียบขึ้นไปสัมผัสใบหน้าของเขา

“ดวงวิญญาณของมนุษย์มันช่างอบอุ่นยิ่งนัก” ลูเอนน่ากล่าวพลางแนบดวงหน้าอันซีดขาวลงบนแผ่นอกของจอมเวทด้วยอาการหลงใหล “ยิ่งดวงวิญญาณของเหล่าจอมเวทด้วยแล้วมันทั้งอบอุ่นและให้แสงสว่างเจิดจรัสยิ่งกว่าคบเพลิงเสียอีก”

มือที่กำลังลูบไล้ใบหน้าของจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสต่ำไปตามลำคอ ภูตสาวยิ้ม

“ข้าอยากให้ท่านได้ไปเห็นความงามของดวงวิญญาณเหล่านั้นเหลือเกิน ท่านฟอร์เซ็ตติ อย่าปล่อยให้ข้าต้องรอท่านอีกต่อไปเลย”

นิ้วเรียวขาวซีดไล่ไปบนผ้าคลุมอย่างช้าๆ ดวงตาสีดำสนิทหรี่ลงเล็กน้อยก่อนเบิกกว้างขึ้น กรงเล็บอันคมกริบงอกออกมาจากนิ้วทั้งห้า มันจิกลงไปบนแผ่นอกด้านซ้ายของฟอร์เซ็ตติเต็มแรง เขาสะดุ้งสุดตัว เสียงร้องอุทานอย่างตกใจดังมาจากโซลย์และโมได ทั้งคู่ทำท่าจะถลันเข้าไปช่วยแต่จอมเวทหนุ่มกลับยกมือขึ้นห้าม ลูเอนน่ามองดูกรงเล็บที่จมลึกลงไปบนเนื้อของฟอร์เซ็ตติด้วยสายตาตระหนกเมื่อไม่มีหยดเลือดแม้เพียงสักหยดไหลออกมาจากรอยแผล

“น่าเสียดายที่จอมมารจารึกคำสาปไว้บนทรวงอกของข้าก่อนหน้านี้” จอมเวทหนุ่มพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “พลังของเขาทำให้ข้าต้องทนทรมานในขณะเดียวกันมันก็ช่วยป้องกันข้าจากอาวุธมีคมทุกชนิดมิให้เกิดรอยแผลซ้ำที่เดิมได้อีก”

มือขาวสะอาดแต่แข็งแรงกุมข้อมือซีดเย็นของภูตสาวและดึงออกช้าๆ ดวงตาของฟอร์เซ็ตติฉายประกายสีน้ำเงินเข้มขณะที่พูด

“ที่เจ้าคิดทำร้ายข้า นั่นพอจะอภัยให้ได้เพราะเจ้ามักจะออกมาหยอกเย้ากับข้าเช่นนี้ทุกครั้งที่พบกัน แต่การที่เจ้ามุ่งร้ายต่อเพื่อนทั้งสองของข้านั้น มันเป็นความผิดที่ไม่อาจยกโทษได้”

คริสตัลบนยอดไม้เท้าส่องแสงสีฟ้าออกมาจางๆ ดวงตาของลูเอนน่าเบิกกว้างด้วยความ หวาดกลัว ภูตสาวพยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่เพื่อให้หลุดจากมือของจอมเวท

“ข้าเพียงแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น” นางส่งเสียงกรีดร้อง ฟอร์เซ็ตติยิ้มอย่างน่ากลัว

“ข้าก็แค่ทำหน้าที่ของข้าเช่นเดียวกัน”

“ท่านรัคเชนน์!”

ลูเอนน่ากรีดเสียงร้องโหยหวนเมื่อแสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้น ร่างโปร่งบางในชุดสีขาวมลายหายไปทันทีพร้อมกับคลื่นพลังบางอย่างที่แผ่ออกมาจากด้านในส่วนลึกของป่า มันกระแทกเข้ากับร่างของจอมเวทหนุ่มเต็มแรงจนเขาผงะถอยหลังไปสองสามก้าว โซลย์รีบถลันเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วงขณะที่ดวงตามองจ้องไปในทิศทางที่คลื่นวิ่งออกมาด้วยความตระหนก

“นั่นมันอะไรกัน”

“พลังโจมตีของอารักษ์แห่งแซฟเวจย์” ฟอร์เซ็ตติตอบ เขาทรงกายยืนตัวตรงและถอนหายใจออกมา “ลูเอนน่าถูกชิงตัวและหลบหนีไปได้”

“แบบนี้ก็แย่น่ะสิ” โซลย์บ่นด้วยสีหน้ากังวล “นางอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายเราอีกครั้งก็ได้”

“แต่ข้าคิดว่าไม่” จอมเวทกล่าว “ถึงลูเอนน่าจะรอดพ้นจากอาคมของข้าแต่นางก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย”

“ข้าได้ยินเสียงนางร้องเรียกชื่อของใครบางคน” แม่ทัพแห่งมอร์เซลพูดขึ้น ฟอร์เซ็ตติมองหน้าเขาและตอบ

“นั่นเป็นนามของอารักษ์แห่งแซฟเวจย์ ดาร์คเอลฟ์รัคเชนน์”

“ดาร์คเอลฟ์รัคเชนน์” โซลย์ทวนคำด้วยสีหน้าฉงน “ฟังดูเหมือนเจ้านั่นจะเป็นพวกลูกครึ่งเหมือนกับเจ้า”

“ถูกต้อง” ฟอร์เซ็ตติตอบสั้นๆก่อนเดินนำหน้าเพื่อนทั้งสองต่อไปโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก

ตลอดการเดินทางหลังจากที่คนทั้งสามพบกับภูตรักษาป่าลูเอนน่า โซลย์และโมไดต่างรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาไม่พบภูตผีหรือสิ่งมีชีวิตใดๆอีกเลย ตรงกันข้ามกับฟอร์เซ็ตติที่ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจกับสิ่งรอบตัวนักราวกับคาดเดาล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว แสงตะวันยามบ่ายเริ่มอ่อนกำลังลง แสงสีแดงอมส้มสาดส่องย้อมผืนป่าให้เป็นสีทอง ความมืดโรยตัวลงมาแทนที่อย่างรวดเร็ว ไอเย็นของป่าเริ่มเคลื่อนเข้ามาครอบคลุมสร้างความเหน็บหนาวแต่ไม่ถึงกับสั่นสะท้าน แสงวับแวมสว่างออกมาจากกองไฟที่ถูกก่อขึ้นอย่างเร่งรีบด้วยฝีมือของโซลย์

“เราจะทำยังไงหากดาร์คเอลฟ์คนนั้นลอบเข้ามาโจมตีพวกเราตอนกลางคืน”

แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถาม ฟอร์เซ็ตติเบนสายตาที่กำลังจ้องไปทางด้านทิศเหนือกลับมามองเขาและตอบ

“นั่นไม่ใช่นิสัยของรัคเชนน์ เจ้าไม่ต้องกังวล”

ดวงตาสีฟ้าเลื่อนกลับไปมองฝ่าความมืดของป่าอีกครั้ง โมไดแอบยื่นหน้าไปกระซิบกับโซลย์ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“สงสัยจอมเวทของเราคงมีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าดาร์คเอลฟ์นั่นแน่ๆ”

“เจ้ารู้ได้ยังไง” โซลย์ย้อนถามเสียงไม่เบานัก เด็กหนุ่มหลิ่วตาไปทางจอมเวทก่อนตอบ

“จากท่าทางของเขาน่ะสิ เจ้าไม่สังเกตหรือว่ากิริยาของเขาน่ะแปลกไปตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในป่าแห่งนี้แล้ว”

“ข้าเพียงแค่เพิ่มความระมัดระวังตัวให้มากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น เพราะคู่ต่อสู้ของพวกเราในครั้งนี้ไม่ใช่ผีดิบหรืออสุรกายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา หากแต่เป็นดาร์คเอลฟ์ผู้ซึ่งมากด้วยมนตราและฝีมือดาบอันร้ายกาจ”

ฟอร์เซ็ตติเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับหันมามองโมไดด้วยสายตาตำหนิและกล่าวต่อ

“คืนนี้เจ้าสองคนเอนกายหลับได้ตามสบาย ข้ารับรองได้ว่าจะไม่มีบริวารหรือภูตผีตนใดลอบมาทำร้ายพวกเจ้าเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากฝีมือของรัคเชนน์”

“ข้าไม่ง่วง” โมไดพูดอย่างดื้นรั้น ดวงตาของจอมเวทหนุ่มวาววับขึ้นทันที เสียงโซลย์ดังแทรกขึ้นมา

“ทำตามที่ฟอร์เซ็ตติบอกดีกว่านะโมได หรือเจ้าอยากจะโดนวางยาเหมือนครั้งที่แล้ว”

สีหน้าของเด็กหนุ่มเข้มขึ้น เขาบ่นเบาๆสองสามคำโดยแม่ทัพแห่งมอร์เซลได้ยินประโยคสุดท้ายแว่วๆว่าฟอร์จีเซล เขาเหลือบตาไปทางฟอร์เซ็ตติแต่เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทางสงบจึงลอบถอนหายใจและเอนกายลงนอน ทั้งสองหลับสนิทลงภายในเวลาไม่นาน

*-*-*-*-*-*

แสงแดดอันเจิดจ้าส่องผ่านใบไม้อันหนาทึบลงมาเป็นลำยาวขับไล่ไอชื้นของผืนป่าซึ่งมีพรรณไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น โมไดก้าวเดินตามหลังฟอร์เซ็ตติโดยมีโซลย์คอยเดินระวังอยู่ด้านท้ายสุด เด็กหนุ่มแหงยหน้าขึ้นมองดูยอดของต้นไม้ที่สูงชะลูดขึ้นไปในอากาศและเริ่มบ่นออกมา

“เดินมาเกือบทั้งวันแล้วทำไมดูเหมือนพวกเราจะยังไปไม่ถึงไหนกันเลย”

จอมเวทหนุ่มชะงักพลางชำเลืองสายตามองมาทางโมไดแล้วถอนหายใจเบาๆ

“ป่าแห่งนี้มีอาณาเขตกว้างขวางมาก พวกเราอาจจะต้องใช้เวลาเดินทางราวๆแปดหรือสิบวันจึงจะผ่านพ้น”

“แล้วดาร์คเอลฟ์ที่เจ้าพูดถึงทำไมวันนี้จึงดูเงียบนัก หรือว่าเจ้าหมอนั่นกลัวพวกเราจนไม่กล้าส่งใครออกมาขัดขวางอีกต่อไปแล้ว”

โมไดพูดเสียงดังจนจอมเวทรู้สึกอยากใช้ไม้เท้าฟาดลงไปบนศีรษะของเขาสักสองสามที

“ระวังปากของเจ้าสักหน่อยจะได้ไหมโมได ป่าแห่งนี้มีหูมีตาจะพูดอะไรขอให้คิดก่อนสักนิดจะได้ไม่มีภัย”

เด็กหนุ่มอ้าปากเตรียมจะโต้เถียงแต่โซลย์คว้าคอของเขาไว้และกระซิบ

“อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ เจ้าเด็กแสบ”

โมไดทำท่าฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งจึงยอมสงบปากสงบคำลง จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสมองดูเขาด้วยสายตาที่แสดงความรู้สึกทั้งระอาและห่วงใยไปในเวลาเดียวกัน

“เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเราไม่หลงทาง”

แม่ทัพหนุ่มเดินไปกระซิบถาม ฟอร์เซ็ตติมองหน้าเขา

“อะไรทำให้เจ้าคิดแบบนั้น”

“ข้ารู้สึกว่าพวกเรากำลังไปได้ไม่ถึงไหน” สายตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ “ไม่รู้สินะ บางทีข้าอาจจะคิดมากไปเองก็ได้”

“ข้าเองก็กำลังสังหรณ์ใจกับเรื่องนั้นเหมือนกัน” จอมเวทหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ข้ากำลังกลัวว่า......”

เสียงระบายลมหายใจหนักๆดังออกมา ฟอร์เซ็ตติหันกลับไปทางโซลย์อีกครั้ง

“บางทีอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ พวกเราอย่ามัวเสียเวลาพูดกันอยู่เลย รีบออกเดินทางต่อกันดีกว่า”

กล่าวจบจอมเวทแห่งมาร์วัลลัสก็เดินนำหน้าออกไปทันทีโดยไม่สนใจที่จะหันกลับมาพูดคุยหรือตอบโต้กับผู้ใดอีก

การเดินทางผ่านป่าอันเป็นชายแดนระหว่างมาร์วัลลัสกับแซฟเวจย์เป็นไปอย่างเชื่องช้าทั้งที่หนทางนั้นก็มิได้ลำบากแต่ประการใด หลังจากคืนวันที่สี่ผ่านไปโมไดจึงโพล่งออกมาด้วยความรู้สึกสิ้นความอดทน

“ข้าว่าพวกเรากำลังหลง!”

ทั้งโซลย์และฟอร์เซ็ตติต่างหันมามองดูเด็กหนุ่มที่กำลังยืนหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธพร้อมกัน แม่ทัพแห่งมอร์เซลเลิกคิ้วสูง

“อะไรทำให้เจ้าคิดแบบนั้น”

เสียงกระแทกลมหายใจดังออกมาแทนคำตอบ โมไดเดินไปที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งแล้วชี้มือไปบนลำต้นหนาของมัน รอยกรีดอันเกิดจากของมีคมรูปกากบาทสองรอยปรากฏอยู่บนเปลือกของต้นไม้นั้น

“ข้าทำรอยนี้เอาไว้เมื่อวันก่อน ถ้าพวกเราไม่หลงแล้วทำไมจึงเดินวนกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่งเล่า”

คราวนี้โซลย์ถึงกับนิ่งอึ้ง เขาเบนสายตาไปทางจอมเวทหนุ่มซึ่งกำลังยืนนิ่งเงียบ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่กำลังเต้นไหวราวกับเผยพิรุธ

“เจ้ารู้มาตลอดสินะ” แม่ทัพแห่งมอร์เซลเอ่ยขึ้น ฟอร์เซ็ตติก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนตอบ

“ข้ารู้มาตั้งแต่สามวันก่อนหน้านั้นแล้ว” เขากล่าวเสียงเบาเรียบ โมไดแยกเขี้ยวและตะโกนเสียงดัง

“เจ้ารู้มาก่อนเรอะ! แล้วทำไมถึงไม่ยอมรับกับพวกข้ามาตรงๆตั้งแต่แรกว่าเจ้านำพวกเราหลงทาง”

“พวกเราไม่ได้หลงทาง โมได แต่พวกเรากำลังถูกรัคเชนน์ใช้มนตร์บงการไพรสร้างทางลวงให้เดินหลงวนเวียนอยู่กับที่จนกว่าจะเป็นที่พอใจ ข้าเองก็พยายามใช้เวทเปิดทางแล้วแต่ก็ไม่อาจสู้พลังอันเข้มแข็งของนางได้”

“พลังของรัคเชนน์เหนือกว่าเวทของเจ้าอีกหรือ” โซลย์ถามด้วยสีหน้าที่มีแววกังวล
ฟอร์เซ็ตติผงกศีรษะรับ

“ถ้าเป็นเวทบงการธรรมชาติ รัคเชนน์เป็นผู้ที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าผู้ใดทั้งสิ้น จะมีก็เพียงราชินีมีย์อาร์เท่านั้นที่พอจะสู้ได้”

“ข้าชักอยากเห็นหน้าเจ้าดาร์คเอลฟ์ที่ว่านี่เสียแล้วสิ” โซลย์พูดพลางเลื่อนมือไปเคาะด้าม
บรุนนาลาสองสามครั้ง “ยิ่งเจ้าบอกว่าเจ้านั่นมีฝีมือในเชิงดาบที่เก่งกาจด้วยแล้ว ข้ายิ่งอยากจะประลองดูให้รู้แน่ว่าเป็นจริงดังที่เจ้ากล่าวยกย่องหรือไม่”

“ข้าคิดว่าเจ้าควรละความคิดนั้นเสียจะดีกว่านะ โซลย์”

“ทำไม”

“เพราะดูเหมือนคนที่เจ้าต้องการจะพบ กำลังอารมณ์ไม่สู้ดีแล้วในเวลานี้”

แม่ทัพแห่งมอร์เซลทำท่าคล้ายจะถามต่อแต่ต้องชะงักคำพูดไว้เมื่อเห็นสีหน้าที่กำลังแสดงความหวั่นวิตกของอีกฝ่าย ดวงตาสีเหล็กไล่มองไปตามต้นไม้ที่ขึ้นอยู่อย่างหนาทึบโดยรอบ เขาสูดลมหายใจลึกๆและขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความรู้สึกแปลกใจเมื่อได้กลิ่นหอมจางๆปะปนมาในอากาศ โซลย์ก้มลงมองดูพื้นดินและอ้าปากเพื่อจะเรียกจอมเวทหนุ่มแต่ร่างกายกลับไม่อาจขยับได้ดังใจ มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังกลอกกลิ้งไปมาได้ มันเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อร่างของโมไดและ
ฟอร์เซ็ตติเลือนหายไปในสายหมอกสีเทาซึ่งลอยตลบออกมาจากป่า

*-*-*-*-*

โมไดหมุนตัวไปรอบๆด้วยความงงงันเมื่อละอองไอหมอกม้วนตัวครอบคลุมรอบกายของเขาอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว เด็กหนุ่มพยายามส่งเสียงร้องเรียกโซลย์และฟอร์เซ็ตติแต่ดูเหมือนความหนาทึบของสายหมอกจะกักกั้นเสียงของเขาเอาไว้เพราะมันจะสะท้อนก้องกลับมาทุกครั้งที่เขาตะโกน

“ฝีมือของภูตลูเอนน่าอีกหรือยังไงกัน”

โมไดบ่นพึมพำอย่างหัวเสีย เขาหยุดนิ่งทันทีเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหูดังตอบกลับมา

“ไม่ใช่หรอก โมได”

ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างด้วยความตระหนกเมื่อเห็นร่างบอบบางคุ้นตาเดินออกมาจากกลุ่มหมอกพร้อมรอยยิ้มสดใส

“แนชท์”

*-*-*-*-*

แสงสีฟ้าสว่างเรืองรองขึ้นท่ามกลางหมอกอันหนาทึบ ฟอร์เซ็ตติขมวดคิ้วด้วยความขัดใจเมื่อพบว่าเวทของเขาไม่สามารถทำลายม่านหมอกที่ปกคลุมรอบตัวให้สลายไปได้ จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของเพื่อนทั้งสองจนเกิดความหงุดหงิด เขากระแทกไม้เท้าลงไปบนพื้นพร้อมกับร้อง

“รัคเชนน์!”

“ท่านมีสองตัวตนในร่างเดียว” เสียงใสดังขึ้น ร่างน้อยๆก้าวออกมาจากสายหมอก รอยยิ้มไร้เดียงสาฉาบฉายอยู่บนใบหน้าอันบริสุทธิ์

“ในที่สุดท่านก็มาช่วยข้าจนได้ ท่านผู้วิเศษ”

ลินซ์ยิ้มอย่างน่ารักขณะที่เดินเข้าไปหาฟอร์เซ็ตติ เขาก้าวถอยหลังออกไปสองสามก้าวก่อนสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือคู่หนึ่งเอื้อมออกมาและโอบกอดเขาจากทางด้านหลัง

“ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป”

“เป็นไปไม่ได้” จอมเวทหนุ่มครางเบาๆ “แนชท์”

รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนประดับบนใบหน้าขาวซีด แนชท์เอนใบหน้าของนางแนบแผ่นหลังของฟอร์เซ็ตติและกล่าวเสียงแผ่ว

“อย่าทิ้งข้าไปอีกเลยนะ ท่านจอมเวท”

จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสขบกรามตนเองจนแน่น เขาพยายามแกะมือของเด็กสาวออกจากกายแต่ลินซ์กลับเดินเข้ามาจนใกล้และดึงมือของเขาเอาไว้พร้อมกับยิ้ม

“ที่นี่ปลอดภัยที่สุดสำหรับพวกเรา” เด็กน้อยโผเข้ากอดฟอร์เซ็ตติแน่น “อยู่กับพวกเราที่นี่ดีกว่านะท่านผู้วิเศษ”

“ผู้คนข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยความโลภ” เสียงอ่อนโยนนุ่มนวลดังขึ้นจากอีกด้าน “กลับมาอยู่ร่วมกับพวกพ้องของเจ้าเถิดลูกรัก”

ร่างอันงดงามของนานนายืนอยู่ข้างกายของเขาพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น หัตถ์ที่แสนนุ่มนวลยกขึ้นวางบนไหล่ของจอมเวทราวกับปลอบโยน

“อย่า....” ฟอร์เซ็ตติพึมพำด้วยความรู้สึกทั้งเศร้าและโกรธระคนกันจนร่างอันงามสง่านั้นสั่นสะท้าน

เขาเงยหน้าขึ้น

“อย่าใช้เวทลวงตาเช่นนี้กับข้า รัคเชนน์!”

*-*-*-*-*

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 15:34:02




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com