Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เพราะทุกสิ่ง ย่อมมีเรื่องราว ติดต่อทีมงาน

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบคือการฟังเพลงเก่าๆ  ซึ่งไม่ได้เก่าแบบสองสามปี  ผมเองฟังแบบเก่ามากกว่ายี่สิบปี  จะว่าเป็นเพลงในยุคที่ผมเกิดมาแล้วยังเป็นเด็กก็ว่าได้  แน่นอนว่าช่วงเวลานั้นไม่ได้ฟังหรอกครับ  กับเพลงเก่าๆในช่วงปี  พ.ศ.  2525  ถึง  ปี  พ.ศ.  2535  จะมาฟังเพลงจริงๆจังๆก็ตอนขึ้นชั้นมัธยมปีที่หนึ่งแล้ว

        การที่ผมฟังเพลงเก่าๆนั้นเพราะว่า  เพลงเก่าๆนั้นเหมือนมีเรื่องราวแฝงอยู่เนื้อเพลง  ประกอบกับความไพเราะของดนตรีที่เรียบง่าย  ความคล้องจองในเนื้อเพลง  ถึงแม้เพลงนั้นจะเป็นเพลงอกหักก็ตาม  เดี๋ยวจะหาว่าผมหัวโบราณกัน  ก็ต้องบอกกันเสียก่อนว่า  ผมเองก็ฟังเพลงใหม่ๆอยู่เรื่อยๆเช่นกัน  ซึ่งก็ยอมรับว่ามีเพลงเพราะๆมากมาย  แต่ความรู้สึกไม่เหมือนได้ฟังเพลงเก่าๆนี่สิครับ  เหมือนขาดเรื่องราวในเนื้อเพลงไป

        ด้วยความเห็นส่วนตัวอีกครั้งหนึ่ง  เพลงสมัยก่อนนั้นไม่มีการทำมิวสิควีดีโอประกอบมากนัก  จำเป็นต้องใช้เนื้อเพลงเล่าเรื่องราวที่ต้องการจะสื่อให้ชัดเจน  หากมีมิวสิควีดีโอก็ยิ่งทำให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น  และ  อีกประเด็นขึ้นงานเพลงสมัยก่อนนั้นไม่ออกมาเกลื่อนกลาดเหมือนสมัยนี้  แต่ก่อนนั้นกว่าจะได้เห็นนักร้องออกอัลบั้มกันต้องรอข้ามเดือนกันก็มี  แต่สมัยนี้ตื่นมาก็เจอนักร้องหน้าใหม่อีกแล้ว

        จากที่ผมบอกไปนั้น  ในมุมมองผมแล้ว  สำหรับส่วนของเนื้อเพลง  ผมมองว่าเป็นเรื่องราวที่เล่าออกมาจากแรงบันดาลใจ  หรือเล่าออกมาจากประสบการณ์  หรือเล่าออกมาจากอารมณ์ในเวลาต่างๆ  หรือจะบอกว่าการแต่งเพลงให้สื่อออกมาเป็นเรื่องราวนั้น  มันคืองานศิลป์แขนงหนึ่งก็คงไม่ขัดปากนัก  เพราะต้องทำให้สอดคล้องลงตัวกันตั้งแต่  เนื้อเพลง  ทำนอง  เมโลดี้  หรือ  แม้แต่อารมณ์ที่ใส่ลงไป

        ลองนึกภาพนักวาดภาพ  หากไม่มีแรงบันดาลใจ  หรือไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งเร้าต่อเขา  ให้เขาได้ลงมือสร้างสรรค์ผลงานแล้ว  ก็คงไม่มีผลงานใดๆออกมาให้ได้รับชมกัน  หรือ  แม้แต่การเรียนก็เช่นกัน  เมื่อคนคนนึงต้องการเรียนวิศวะเพื่อจบไปพัฒนาสร้างบ้านแปลงเมือง  นั่นคือแรงบันดาลใจที่พาเขาไป  สิ่งที่เป็นเรื่องราวของเขาเองนั่นก็คือ  ชีวิตในช่วงที่เรียน  ได้เจอเพื่อนๆ  ได้เจอประสบการณ์ทั้งแปลกและใหม่  มีความทรงจำต่อกัน  จนกระทั่งจบออกมาแล้ว  คนคนนี้ก็ยังคงมีเรื่องราวของเขาต่อไป

        หากเปรียบเรื่องราวต่างๆเป็นตัวหนังสือในหนังสือแต่ละเล่มแล้ว  แต่ละเล่มก็คงเหมือนบันทึกความทรงจำ  ผมจะลองหยิบหนังสือมาเปิดให้อ่านกันดูนะครับ  บางเล่มนั้นอาจจะมีติดตัวกันแล้ว  บางเล่มนั้นอาจจะยังไม่มี  บางเล่มนั้นอาจจะกำลังอยู่ระหว่างเขียนมันขึ้นมา  หรือ  บางเล่มเขียนไม่จบและหยุดเขียนไปเสียดื้อๆ

        เล่มแรกชื่อ  “หนังสือเรียน”  ในหนังสือเล่มนี้นั้นมีกระจายอยู่มากมายเต็มไปหมด  ทั่วไปทุกที่และทั่วไปเกือบทุกๆคน  เพราะหนังสือเล่มนี้นั้นเป็นหนังสือที่ถูกจดบันทึกเรื่องราวของความทรงจำในวัยเรียน  หนังสือเล่มนี้คงมีเรื่องราวน่าอ่านมากมาย  ที่ทำให้เจ้าของหนังสือมาเปิดอ่านแล้วก็จะอดอมยิ้มไม่ได้  ในนั้นจะมีเรื่องราวใสๆของวัยเด็ก  มีการไล่เตะกัน  มีการวิ่งเปิดกระโปรงนั่งเรียนหญิง  มีการเอาไฟแช็คลนก้นเพื่อน  มีการขโมยไม่เรียวคุณครู  มีการท้าต่อยกันหลังวัด  มีการต่อคิวกินนม  มีคณิตคิดในใจทุกๆเช้า  และที่ขาดไม่ได้คือ  มีตัวละครยอดฮิตอย่างมานะมานีปิติชูใจและเจ้าโต  พลิกสันหนังสือดูเขียนไว้ว่า  “ประถมศึกษา”

        ผมยังมี  “หนังสือเรียน”  อีกเล่มที่อยากเปิดอ่านให้คนวัยไล่เลี่ยกันฟังดูว่าหนังสือเรานั้นคล้ายกันหรือไม่  หนังสือเล่มนี้ผมทำสันไว้ว่า  “มัธยมศึกษา”  ในนี้มีเรื่องราวที่ต่างออกไปจากเล่มแรกเพราะเป็นเรื่องราวที่โลดโผนกว่าเดิม  มีการเล่นกีฬาเตะบอล  เล่นบาสเกตบอล  เพื่อนๆก็มีแต่ชายล้วน  มีวินนิ่ง  มีการยกพวกไปเดินสยาม  มีการวิ่งหนีอาจารย์ฝ่ายปกครอง  มีการเวียนเทียนไปรอบๆชุมชน  มีการออกค่ายอาสา  มีวิชาอะไรก็ไม่รู้น่าปวดหัวแต่ก็ตื่นเต้น  มีการทำค้อนเชื่อมเหล็ก  และอื่นๆอีกมากมาย  ข้างๆกันกับเล่มนี้ก็ยังมีหนังสือเรียนที่ทำสันไว้คำว่า  “อุดมศึกษา”  อยู่ด้วย  แต่ขอเก็บไว้แล้วกันนะครับ

        มาที่หนังสือเล่มถัดไป  ผมไปสะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่ง  เป็นเล่มที่หนามากๆที่สันเขียนไว้ว่า  “หนังสือรัก”  หนังสือเล่มนี้เป็นแบบรวมเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับความรักไว้มากมาย  ไม่ได้มีเพียงความทรงจำของใครเพียงคนเดียว  ยังอุดมไปด้วยเรื่องราวความรักหลากหลายรูปแบบในหนังสือเล่มนี้เช่นกัน  และแน่นอนว่าเมื่อขึ้นชื่อว่าหนังสือรักแล้วก็ต้องมีเรื่องราวของความสมหวัง  เศร้า  ดีใจ  เสียใจ  เป็นธรรมดา

        เรื่องแรกที่อยากเล่นก็คือ  เรื่องราวของผู้หญิงสาวคนนึงไม่ได้ระบุชื่อไว้  หน้ากระดาษที่เธอใช้มีเพียงข้อความบรรทัดเดียวที่เขียนไว้ว่า  “รักตลอดไปนะ”  ในหน้าเดียวกันนั้นก็มีรูปถ่ายเธอเองกับสุนัขตัวหนึ่งอยู่รอบๆข้อความที่เธอเขียนไว้ประมาณเจ็ดถึงแปดใบได้  ที่ใครมาเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อนยากของเธอ  และข้อความนั้นเธอก็คงหมายถึงเพื่อนยากของเธออย่างแน่นอน

        แม้เธอคนนี้จะไม่ได้เล่าเรื่องราวอะไรเอาไว้ในหน้าบันทึกของเธอเลย  แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าความทรงจำระหว่างเธอกับเพื่อนยากของเธอนั้นมันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน  จากประโยคสั้นๆประโยคเดียวและภาพไม่กี่ภาพเท่านั้น  มันแทนความหมายและเรื่องราวอันมากมายของเธอคนนี้ไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว        

        เรื่องต่อไปเป็นเรื่องราวของสองตายายที่รักกันมานาน  คุณตาชื่อตามั่งมี  คุณยายชื่อศรีสุข  นานไม่นานก็ต้องเชื่อหละครับเพราะแกลงไว้ว่ารักแกเริ่มต้นเมื่อปี  2500  นั่นหละ  จนตอนนี้ตายายแกก็ยังเขียนบันทึกนี้อยู่เรื่อยๆ  มีหลายๆช่วงที่น่าสนใจเกี่ยวกับมุมมองชีวิตคู่  ที่เป็นเหมือนสูตรสำเร็จของตายายคู่

        ตามั่งมีแกเขียนไว้ว่า  “บางทีแม่สุขแกชอบทำอะไรที่ตาไม่ชอบนะ  แต่ตาคิดว่าแม่สุขแกก็ทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว  ตาก็ไม่ได้ทนอะไรหรอก  ตาแค่ไม่ได้ใส่ใจที่แม่สุขแกทำมากนัก  ปล่อยๆไปเดี๋ยวก็ลืมๆไปเอง  โวยวายไปเดี๋ยวก็ทะเลากันอีก  แต่บางทีก็ต้องโวยวายบ้าง  ไม่ได้เพราะอยากทะเลาะหรือรำคาญจนทนไม่ได้หรอก  ตาก็แค่แกล้งให้แม่สุขงอนแล้วก็จะได้ไปง้อแม่สุขก็เท่านั้นเอง”

        ยายศรีสุขก็มีเขียนไว้เหมือนกันว่า  “ตอนยายทำอะไรเรื่อยเปื่อยนั้น  ยายก็แอบเห็นตามีแกทำเป็นหงุดหงิดนิดหน่อยบ้าง  ทำเป็นไม่สนใจบ้างว่ายายทำอะไรอยู่  ยายรู้แหละว่าตามีแกไม่ชอบ  ตามีแกก็บอกยายหลายรอบแล้วจนยายจำได้ขึ้นแล้ว  แต่เพราะจำได้ขึ้นใจนี่แหละ  เลยอยากแกล้งตามีเขาบ้าง  ยั่วให้ตามีแกโกรธแล้วชวนยายทะเลาะ  พอทะเลาะกันยายก็แกล้งงอนให้ตาแกมาง้อก็เท่านั้นเอง”

        ที่น่าสนใจมากๆก็คือ  เมื่อถึงวันครบรอบวันที่เขาตัดสินใจที่จะรักกัน  ทั้งสองคนก็จะเขียนไว้เหมือนๆกันในบันทึกว่า  “ขอบคุณยายสุขมากนะสำหรับหนึ่งปีที่ผ่านมา”  และ  “ขอบคุณตามีมากนะสำหรับหนึ่งปีที่ผ่านมา”  แล้วก็มีประโยคปิดท้าย  “เรารักกันมาหนึ่งปีแล้วนะ”

        ผมลองเปิดไปทุกๆหน้าที่ครบรอบวัน  สิ่งที่เจอก็คือเมื่อวันครบรอบปีที่สองตามั่งมีกับยายศรีสุขก็เขียนแบบเดิม  “ขอบคุณยายสุขมากนะสำหรับสองปีที่ผ่านมา”  และ  “ขอบคุณตามีมากนะสำหรับสองปีที่ผ่านมา”  แล้วก็มีประโยคปิดท้าย  “เรารักกันมาสองปีแล้วนะ”  เป็นเช่นนี้เรื่อยๆมา  และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง

        และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ใครเมื่อมาเปิดอ่านบันทึกของสองตายายแล้วต้องน้ำตาซึมกัน  นั่นก็คือก็คือประโยคที่ว่า  “เรารักกันมาหนึ่งปีแล้วนะ”  ไล่จนประโยคล่าสุด  “เรารักกันมาห้าสิบสี่ปีแล้วนะ”  ทั้งหมดทุกปีนั้น  จะถูกเขียนด้วยลายมือตามีและยายสุขสลับกัน  ตามีเขียนหนึ่งคำต่อด้วยยายสุขเขียนอีกหนึ่งคำสลับกันจนครบ  และมันเป็นเช่นนั้นทุกปีตลอดห้าสิบสี่ที่ผ่านมาและกำลังจะเป็นต่อไปของบันทึกนี้

        เรื่องที่สามเป็นเรื่องเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าหนุ่มนายหนึ่งชื่อนายปาน  โดยนายปานแกมีหน้าที่ต้องคอยดูแลพิทักษ์ป่า  จากบันทึกของเขาไม่มีอะไรพิเศษมากมายนัก  ถ้าผมไม่ไปสะดุดกับ  บันทึกที่ได้เขียนไว้  ณ  วันแรกที่เข้าทำงานว่า  “ผมจะตามรอยพี่สืบ”  ซึ่งถือเป็นการประกาศแจ้งในอุดมการณ์ของนายปานคนนี้  สำหรับกรณีนี้ผมอยากสื่อให้เห็นถึงเรื่องของแรงผลักดันให้เริ่มต้นเรื่องราวของแต่ละคนเสียมากกว่า  แม้ว่าเรื่องราวของนายปานนั้นจะแสดงความรักที่มีต่อผืนป่าได้อย่างชัดเจนแล้ว  แต่อย่างไรเสีย  คนเราก็ต้องทำอะไรด้วยมีแรงขับและมีอุดมการณ์กันทั้งนั้น

        เรื่องที่สี่ผมบังเอิญไปเจอชื่อนักเขียนขวัญใจผมเข้าในบันทึกรักซะด้วย  เขาชื่อ  “จิก”  แต่ผมขอเรียกว่าพี่จิก  สิ่งที่พี่จิกแสดงความรักไว้ในบันทึกนี้  เป็นความรักที่มีต่อการงานอาชีพของพี่จิก  ทั้งในด้านงานเขียน  งานเพลง  งานสื่อโทรทัศน์  ตลอดไปจนงานบทละคร  ซึ่งทั้งหมดได้ใจความว่าทำงานอะไรก็ตามควรทำออกมาจากใจและสนุกกับสิ่งที่ได้ทำ

        ผมเปิดไปเห็นหน้าที่สนใจมากๆหน้าหนึ่ง  แกเขียนไว้สั้นๆครับว่า  “มหานครใดใด  หาใช่แรงผลักดันฉัน”  เป็นประโยคหนึ่งในเพลงเขียนให้เธอครับ  ลองหามาฟังกันดูได้ครับ  ผมจะไม่ตีความให้เพราะผมเองอยากนึกสนุกแบบพี่จิกบ้างแล้วว่าการเขียนอะไรไว้แล้วปล่อยให้คนอ่านได้ตีความก็เป็นอีกเสน่ห์หนึ่งของงานเขียน

        ฉะนั้นก็พอบอกได้ว่า  “ทุกสิ่งย่อมมีที่มาและที่ไป  และย่อมมีเรื่องราวในตัวมัน  ก็เหมือนหนังสือที่ถูกเขียนว่าจะจบเมื่อไหร่  อย่างไร  และ  เป็นยังไงต่อไป  ทุกสิ่งนั้นแล้วแต่คนเขียนจะกำหนดเอง”  กับชีวิตคนเราก็เช่นกัน  คนทุกคนย่อมมีเรื่องราวมากมายที่ติดต่อมาและกำลังจะติดตัวไป  มีเรื่องราวมากมายที่ทั้งดีและไม่ดีผสมกันอยู่  และมีเรื่องราวมากมายที่เราไม่ได้สร้างมันขึ้นมาคนเดียว  “เพราะชีวิตมีเรื่องราวที่ต้องสร้างด้วยกัน”


เขียนโดย...   ตะวันบนดิน

จากคุณ : Cocopok
เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 20:53:27




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com