ชีวิตบ้านคลองหวะ-สะพานไม้มีหลังคา
|
 |
ชีวิตบ้านคลองหวะ- สะพานมีหลังคา
ในสมัยก่อนการเข้าออกหมู่บ้านคลองหวะ ถ้าจะเข้าเมืองหาดใหญ่หรือมาจากหาดใหญ่ จะต้องข้ามลำคลองสองสายคือ สายคลองเตยกับสายคลองหวะ สายคลองเตยช่วงสุดสายสาม แถว ๆ หลังถนนศรีภูวนารถปัจจุบัน กับสายคลองหวะในปัจจุบัน ถ้าไม่อยากเดินข้ามคลองทั้งสองเส้น ต้องเดินเลียบทางรถไฟ แล้วเดินบนสะพานรางรถไฟ จึงจะเข้าเมืองหาดใหญ่ได้
แต่การเดินบนรางรถไฟ ถ้าเดินกันจริง ๆ แล้วไม่ค่อยสนุกเท่าไรนัก เพราะก้อนหินแข็งบาดเท้าส่วนหนึ่ง กับรางรถไฟมักจะลื่นเพราะคาบน้ำ กับการเสียดสีของรถไฟที่วิ่งไปมา ทั้งยังต้องระมัดระวังรถไฟที่สัญจรไปมาด้วย
สายคลองเตยที่เห็นเป็นคลองคอนกรีต ในปัจจุบันสร้างขึ้นมาในภายหลัง สมัยนายกเคร่ง ทำขึ้นมาเพื่อเป็นคลองระบายน้ำท่วม ให้ไหลลงคลองหวะออกสู่คลองอู่ตะเภาได้เร็วขึ้น แต่เดิมเป็นลำรางเล็ก ๆ มีน้ำไหลมากในช่วงหน้าฝน แต่พอหน้าแล้งจะพอทำนาหรือปลูกพืชล้มรุกได้บ้าง หรือบางจุดก็มีสภาพเป็นปลักเป็นหย่อม ๆ
ต่อมากำนันวร ทวีรัตน์ ได้ขอไม้จากเถ้าแก่และคนจีนในหาดใหญ่ เพื่อนำมาสร้างสะพานให้ชาวบ้านสร้าง กำนันเป็นนักเลงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในสมัยก่อน เป็นที่นับหน้าถือตาและชาวบ้านให้ความเคารพเชื่อฟังมาก เคยเขียนเกี่ยวกับเรื่อง กำนันวร ทวีรัตน์ ไว้สามเรื่องแล้วอยู่ในคลังกระทู้
ส่วนแรงงานในการสร้างสะพาน ตลอดจนข้าวปลาอาหารก็เกณฑ์จากชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านต่างยินดีให้การช่วยเหลือ เพราะเป็นประโยชน์กับชาวบ้านเองในการเดินทางสัญจร รวมทั้งในสมัยก่อนแรงงานมีเหลือเฟือ กับเป็นการช่วยเหลือชุมชนด้วยกัน มักจะไม่มีการนำเรื่องเงินทองค่าจ้างมาเป็นแรงจูงใจ เป็นเรื่องของน้ำจิตน้ำใจที่มีต่อกันมากกว่า
สะพานจุดที่มีหลังคาคือ เส้นข้ามคลองหวะ สมัยนั้นสะพานในภาคใต้ มักจะสร้างหลังคาไว้ ให้เป็นที่หลบฝนของชาวบ้านที่เดินทางไปมา เพราะภาคใต้ฝน มักจะตกชุกเป็นประจำ เป็นเรื่องของน้ำจิตน้ำใจที่มีให้แก่กัน กับเป็นที่นั่งเล่นคุยเล่นกันของชาวบ้านละแวกนั้น ในยามที่เสร็จจากงานประจำวันแล้ว
จำได้ว่า ผู้เขียนเองก็เคยไปนั่งหลบฝน เพราะขับจักรยานไปเก็บลูกยาง ที่สวนยางพาราเต๊อะหยาง (ชื่อเรียกสมัยนั้น) เก็บไปเรื่อย ๆ ปรากฏว่าฝนตกหนัก เลยต้องไปหลบฝนที่สะพานแห่งนี้ ตรงทิศตะวันออกของทางเข้าสะพานด้านซ้ายมือ ถ้าหันหน้าลงทิศใต้ของสะพาน จะมีม้านั่งยาวให้ชาวบ้านนั่งหลบฝนได้ แต่ถ้าฝนตกหนัก ๆ ก็เปียกปอนเหมือนกัน เพราะฝนมักจะสาดใส่ทางด้านข้าง
ในสมัยนั้นที่ยังจำได้แม่นคือ ไม่ได้เดินทางเข้าไปในหมู่บ้าน เพราะสภาพข้างทางยังเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ๆ ดูน่ากลัวและมืดทึบกับเงียบสงบ สองข้างทางก็ยังเป็นป่ายางพารากับป่าเสม็ด คลองหวะในฤดูน้ำหลาก ก็ดูน่ากลัว น้ำไหลเชี่ยวแรงมาก
ก่อนเข้าหมู่บ้านสมัยนั้นจะผ่าน หน้าศพ เป็นหลุมศพที่ใหญ่โตกว้างขวางมาก คือ ที่ฝังศพของ คุณพ่อขุนนิพัทธ์จีนนคร ชาวบ้านมักจะรู้กันว่า ถ้าไปหน้าศพ มีสองความหมายคือ เข้าเมือง กับไปเลี้ยงวัวแถวหน้าศพ เพราะเป็นลานโล่งมีพื้นที่ราบกว้างขวาง มีหญ้าขึ้นจำนวนมากและประปราย จึงเป็นที่เลี้ยงวัวของชาวบ้านคลองหวะสมัยนั้น
ปัจจุบันมีการย้ายสุสานดังกล่าวแล้ว ไปทำการฝังใหม่ที่แถวตำบลน้ำน้อยในปัจจุบัน พร้อมกับศพของขุนนิพัทธ์จีนนคร
เขียนขึ้นจากความทรงจำเก่า ๆ ก่อนที่จะเลือนหายไปเหมือนสะพานไม้มีหลังคาในอดีต
จากคุณ |
:
ravio
|
เขียนเมื่อ |
:
9 มิ.ย. 54 13:03:47
|
|
|
|