Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Elve Avatar เอลฟ์ อวาตาร์ : เจ้าชายอัปลักษณ์กับแหวนวิเศษ ตอนที่ 4 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 1 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10647031/W10647031.html
ตอนที่ 2 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10651823/W10651823.html
ตอนที่ 3 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10657699/W10657699.html

       สำเภาลำเล็กล่องผ่านอ่าวสามเหลี่ยมยารี เป็นอ่าวที่มีน้ำวนค่อนข้างมาก มีแผ่นน้ำแข็งเลื่อนกระจัดกระจาย ด้วยสภาพอากาศที่ค่อยๆเย็นเยียบลงเพราะเข้าเขตทางตอนเหนือ อาริเทียร์จึงสวมเสื้อคลุมสีครีมผืนหนาทับอีกชั้น ขณะที่ซิลวาก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลแก่ผืนหนาด้วยเช่นกัน

ทั้งสองใช้เวลาบนสำเภาไปกับการนอนหลับพักผ่อน เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายและจิตใจในการเผชิญกับความน่ากลัวที่ปลายทาง ซึ่งเพียงวันครึ่ง สำเภาลำน้อยก็ฝ่าแผ่นน้ำแข็งเลื่อนและสายลมยะเยือกที่พัดพาปุยหิมะจนมาถึงแผ่นดินของทวีปยารี พวกเขาเทียบเรือใกล้กับภูเขาน้ำแข็งซาไชน์ที่ทอดตัวยาวขวางกั้น และถ้าอ้อมภูเขาน้ำแข็งซาไชน์ไปได้ ก็จะถึงอาณาจักรของพวกมัน

“ข้าเคยอ่านในตำรา ว่ากันว่าพวกมันหลบซ่อนในถ้ำ” อาริเทียร์เอ่ยขณะที่ย่ำเดินไปบนผืนหิมะ

“หนาวนะ เจ้าว่าไหม” ซิลวาตอบไปคนละเรื่อง เขาถูมือตัวเองไปด้วยขณะก้าวเท้าเดิน

“นี่เจ้าฟังข้าพูดอยู่ไหมนี่”

“ฟังอยู่ เจ้าบอกว่าพวกซาไชน์อาศัยอยู่ในถ้ำ ท่านพ่อเคยเล่าให้ข้าฟังเหมือนกันว่าถ้ำของพวกมันเป็นโพรงลึกเข้าไปและอาจลงไปยังใต้พื้นดินเพื่อหนีอากาศหนาว ข้าเดาว่าคงจะเหมือนเหมืองของพวกคนแคระไม่ก็บ้านเมืองของเผ่าอิกรอส”

ลมหิมะชะลอตัวเมื่ออาริเทียร์กับซิลวามาถึงเชิงเขาด้านตะวันตก ใช้เวลาเกือบครึ่งวัน พวกเขานั่งพักก่อนจะเริ่มเดินอ้อมเทือกเขาน้ำแข็ง

“เสกไฟหน่อยสิอาริส พวกเราจะนั่งพักเฉยๆโดยไม่มีกองไฟเนี่ยนะ” ซิลวาว่าพลางหยิบรากวิทช์อบแห้งส่งให้อาริเทียร์ มันคือเสบียงเพียงอย่างเดียวที่พวกเขานำติดตัวมา กับน้ำจืดกระบอกหนึ่งที่เริ่มจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง

“ข้าใช้มนตร์เพลิงได้ก็จริง แต่เนรมิตมันขึ้นมาไม่ได้หรอกรู้ไว้ด้วย”

“จริงหรือ ข้าเพิ่งรู้ว่ามีสิ่งที่เอลฟ์ทำไม่ได้ด้วย” ซิลวาก้มหน้าขำคิกคัก

“ถึงจะเสกไฟไม่ได้ แต่ข้าก็ชักมีดปาดคอได้ก็แล้วกัน” ดูเหมือนเอลฟ์สาวจะเคืองเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นบาดใจเหมือนความเย็นของหิมะที่กัดเนื้อหนัง ทำให้ซิลวาต้องรีบกลืนก้อนหัวเราะลงคอ

“ข้าแค่ล้อเล่นน่า เจ้าเก่งกว่าสหายทุกคนที่ข้ารู้จักเสียอีก”

อาริเทียร์ยักไหล่ข้างหนึ่งราวกับไม่สนใจในคำพูดของซิลวา นางหยิบก้อนหินสองก้อนที่นำติดตัวออกมา จากนั้นจึงกะเทาะมันเข้าด้วยกันสองสามที เกิดเปลวไฟลุกพรึ่บในบัดดล ซิลวาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจก่อนจะผงะหงายท้อง

“หินเยียร์ เจ้ารู้จักไหม” อาริเทียร์กระตุกยิ้มมุมปาก สะใจที่ทำให้ซิลวาหน้าหงาย

“มันเป็นของวิเศษหรือ”

“เปล่า มันเป็นหินที่พบในดินแดนของพวกโยเบิร์ก พวกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตแห่งธาตุ สรรพสิ่งรอบตัวก็เลยซุกซ่อนเวทมนตร์แห่งธาตุไว้ด้วย เช่นหินเยียร์ เดิมก็เป็นก้อนหินธรรมดา แต่อิฟฟรีทโยเบิร์กหรือพวกสิ่งมีชีวิตธาตุไฟ ทำให้มันกลายเป็นหินที่จุดไฟได้ เราชาวเอลฟ์ได้รับวัฒนธรรมจากสิ่งเหล่านี้มาหลายพันปีแล้ว”

“อัศจรรย์นัก ก้อนหินธรรมดาก็จุดไฟได้ มันเหมือนแร่โอไรอุสที่พวกเราใช้จุดไฟ” ซิลวาเพิ่งเคยเห็นหินเยียร์ และเปรียบเทียบไปถึงแร่โอไรอุสซึ่งมีลักษณะเป็นลูกกลมๆใสๆ ถ้าทำให้แตกจะกลายเป็นไฟ

“ใช่ แร่โอไรอุสมีดาษดื่นในโลกนูบลา แทบทุกเผ่าพันธุ์นิยมใช้ แต่ไม่นิยมพกพา เพราะมันบอบบางพอๆกับกระจกเงา แต่หินเยียร์ทนทานสามารถพกพาได้สะดวกกว่า แต่เจ้าก็รีบนำมือมาอังให้อบอุ่นเถอะ พวกเราไม่มีเชื้อเพลิง สักเดี๋ยวมันก็คงจะดับแล้วล่ะ”

ซิลวากระโดดเข้ามาอังมือ ความร้อนแผ่ซ่านจากปลายนิ้วสู่ส่วนอื่นๆ เขายิ้มกริ่ม มันช่างอบอุ่นนัก เริ่มรู้สึกมีเรี่ยวแรงกระฉับกระเฉงพร้อมที่จะออกเดินทางต่อ

ยามนี้ตะวันสาดแสงตรงเที่ยงวัน แต่ดูเหมือนไอความเย็นที่ระเหิดจากหิมะและน้ำแข็งลอยวนจนเป็นกลุ่มฝ้า เหมือนเมฆที่ลอยเอื่อย กลุ่มฝ้านี้กรองแสงอาทิตย์ให้อ่อนลง ทำให้ไม่ได้รับความอบอุ่นเท่าที่ควร

อาริเทียร์กับซิลวามีเรี่ยวแรงมากพอ รากวิทช์อบแห้งเป็นอาหารที่ช่วยให้อิ่มท้องและให้พลังงานสูง เขาทั้งสองเดินทางฝ่าเนินเขาน้อยใหญ่ ตรอกเขาเล็กแคบ แผ่นน้ำแข็งที่เคยเป็นบึง จนมาถึงทุ่งน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยดอกไม้ประหลาด พวกเขายืนนิ่งจดจ้อง มันสวยงามผิดแปลก ดอกไม้น้ำแข็งมีกลีบลู่เหมือนดอกตูม สีขาวจนใส มีหิมะเกาะประปราย

ทุ่งดอกไม้น้ำแข็งสร้างความฉงนให้อาริเทียร์ นางไม่รู้จักและไม่เคยอ่านพบในตำราว่าจะมีดอกไม้แบบนี้ขึ้นและเติบโตในทวีปยารี

ขณะที่ซิลวาเดินยิ้มชื่นชมฝ่าทุ่งดอกไม้น้ำแข็ง มันสูงเกือบถึงเอวของเขา ถ้าเข้าไปจดจ้องให้ดีจะเห็นกลีบดอกวาววับเหมือนสลักจากน้ำแข็งก็ไม่ปาน แสงแดดอ่อนๆที่ส่องกระทบก็ทำให้เกิดประกายระยิบระยับงดงามตา ซิลวาสุขสำราญถึงขั้นลองยื่นมือสัมผัสกลีบดอกไม้

ทันใดนั้นเอง! หมอกสีเขียวพิลึกพิลั่นพุ่งขึ้นจากดอกไม้น้ำแข็ง พร้อมกับการสลายตัวของดอกไม้ราวกับละลายหายไป จากหนึ่งต้นก็กลายเป็นสองและลามละลายไปทั่วทุกต้น ด้วยสัญชาตญาณการปกป้องตัวเอง ทั้งสองรีบปิดจมูกโดยพลัน

“นี่มันอะไร!” ซิลวาร้องถาม หวังว่าภูมิความรู้ของเอลฟ์สาวจะช่วยได้

“ข้าไม่รู้” อาริเทียร์หันซ้ายหันขวา หมอกเขียวกำลังรายล้อมรอบด้าน

“มีสิ่งที่เอลฟ์ไม่รู้ด้วยรึ”

“ยังจะพูดเล่นอยู่อีก รีบหนีเร็ว มันอาจจะเป็นหมอกพิษก็ได้!”

อาริเทียร์วิ่งย้อนทางเดิม ซิลวายกสองมือบีบจมูกวิ่งตาม หมอกเขียวทวีความหนาหนักจนน่ากลัว ไม่ว่าใครก็ต้องผวาและพากันวิ่งหนี จนเมื่อหมอกเขียวปิดทางเบื้องหน้า ไม่รู้ทิศใดเป็นทิศใด แทบสิ้นหวังที่จะหนีออกจากหมอกปริศนา นาทีนั้นบังเกิดลมกระโชกมหากาฬพัดเข้ามา ซิลวาร้องเหวอก่อนจะหงายท้องเพราะแรงลม  อาริเทียร์ทรุดเข่ายันตัวไว้เพื่อไม่ให้ปลิวตามแรงนั้น

“วายุรำเพย...” อาริเทียร์พึมพำ หมอกเขียวจางหายหมดจดพร้อมกับสายลมกระโชกที่หยุดลงในทันที

“อ... อะไรนะ” ซิลวาพยายามยันกายขึ้น

“มันเป็นเวทมนตร์ คงจะถูกร่ายโดยใครสักคน”

ทั้งสองหันไปทางต้นทิศของลมกระโชกเมื่อครู่ ปรากฏร่างใหญ่ยักษ์ที่เดินตรงมาทางพวกเขา อาคันตุกะผู้ร่ายมนตร์วายุรำเพยคือหมีขาวสวมเสื้อโมม็อกซ์ เป็นเสื้อที่ทอขึ้นสำหรับเผ่าทางเหนือ มีขนปุกปุยที่แผงคอและข้อมือ

“เผ่าอาริงกัส? อาริส นั่นใช่ชาวอาริงกัสใช่ไหม”

“ใช่ คงจะเป็นเขาที่ร่ายมนตร์เมื่อครู่”

เมื่อชาวอาริงกัสเดินถึงตัวทั้งสอง เขาก็ปรายตามองซิลวาที่กำลังยืนไขว้มือสลับกับมองอาริเทียร์ที่กำลังเท้าสะเอวสางผมสีทอง

“หนึ่งเอลฟ์หนึ่งบร็อม? ช่างเป็นการจับคู่สหายที่แปลกนัก” เสียงทุ้มใหญ่เอ่ย “เรือแตกรึไงพวกเจ้า ถึงได้เดินหลงทิศมาทางทุ่งรีปส์”

“รีปส์?” อาริเทียร์ทวนเสียงสูงด้วยความสงสัย

“ดอกไม้น้ำแข็งที่พวกซาไชน์ปลูกจากเวทมนตร์ของมัน เพื่อเป็นกับดักทำร้ายพวกนักเดินทางต่างถิ่น ใครที่สูดดมหมอกนั่นเข้าไปก็จะล้มฟุบหมดสติ”

“แล้วจากนั้นล่ะ?” ซิลวาลอบกลืนน้ำลาย “ซาไชน์จะนำนักเดินทางไปสังหารแล้วต้มกินใช่ไหม”

“สังหาร? ซาไชน์จะกล้าสังหารใครได้ เจ้านี่พูดตลกดีชะมัด” หมีขาวร่างใหญ่หัวเราะในลำคอก่อนจะหันหลังให้พวกเขา “มากับข้าสิ ถึงพวกเจ้าจะโดนพิษหมอกไม่มาก แต่ก็ควรไปล้างพิษที่บ้านของข้า จากนั้นค่อยออกเดินทางต่อก็ได้”

อาริเทียร์กับซิลวาหันมาจ้องหน้ากัน พวกเขารู้ดีว่าอาริงกัสไม่ใช่เผ่าที่เลวร้าย ออกจะเป็นมิตรด้วยซ้ำ เพียงแต่อาณาจักรของเผ่าอาริงกัสอยู่ห่างไกลจากทุกเผ่าพันธุ์ เผ่าหมีขาวนี้ก็เลยดูเหมือนไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด

อาริเทียร์ไม่รู้ว่าพิษของหมอกเขียวเมื่อครู่จะส่งผลอะไรบ้าง แต่มันก็เป็นสิ่งที่ชาวเอลฟ์ไม่สันทัด นางจึงพยักหน้าให้ซิลวา ซึ่งเขาก็คิดอย่างเดียวกัน ทั้งสองก้าวเดินติตตามอาริงกัสผู้นี้ไป หวังจะล้างพิษแล้วพักผ่อนอีกสักวัน คาดว่าคงจะไม่ล่าช้าเกินไปนักที่จะเดินทางไปช่วยชาวบร็อม ณ อาณาจักรของพวกซาไชน์  

อาริงกัสไม่ได้เดินเท้า เขามีแคร่เลื่อนตัวใหญ่มาด้วย แคร่นี้ถูกลากโดยตัวมาร์บี้ขนปุย มันเป็นสัตว์ทางเหนือขนาดเท่าฟักทอง มีขนปุกปุยสีขาวบ้าง สีน้ำตาลอ่อนบ้าง ห่มคลุมทั่วตัวของมัน ชาวอาริงกัสใช้ตัวมาร์บี้ในการลากแคร่เลื่อน เพราะถึงตัวมันจะเล็ก แต่ก็มีพละกำลังมหาศาล สี่ซ้าห้าตัวก็ลากแคร่เลื่อนคันหนึ่งได้พอดี

“ข้ามีนามว่าอุปส์” หมีขาวแนะนำตัวเองพร้อมกับสวมแว่นกันลม และไม่ทันที่อาริเทียร์กับซิลวาจะแนะนำตัวบ้าง แคร่เลื่อนก็ออกตัวฉับพลันจนพวกเขาเกือบจะหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ทัน

จากคุณ : CaesarNote
เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 15:16:27




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com