อาณาจักรของเผ่าอาริงกัสตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของทวีปยารี ซึ่งเป็นคนละฟากกับอาณาจักรของพวกซาไชน์ โดยอาณาจักรอาริงกัสถูกล้อมด้วยเทือกเขาน้ำแข็งทางตอนเหนือและใต้ มีทางเข้าอาณาจักรเป็นช่องเขาตรงกลาง ซึ่งเป็นจุดที่เทือกเขาเหนือและใต้มาบรรจบกัน เหมือนซุ้มประตูขนาดใหญ่ มีการสลักข้างเทือกเขาบริเวณซุ้มประตูให้เป็นรูปหมีขาวหันหน้าเข้าหากัน
บ้านของอุปส์ไม่ได้อยู่ใกล้กับสังคมตัวเมือง เขาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆใกล้กับเทือกเขาน้ำแข็งตอนใต้ ซึ่งถ้าเดินทางลึกเข้าไปอีกจะเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่และปราสาทอาริงกัสที่ปกครองโดยราชาฟ็อบส์
สิ่งปลูกสร้างของเผ่าอาริงกัสเหมือนกับพวกมนุษย์ ใช้ไม้ที่ไถจนไร้เสี้ยนปลูกต่อกันโดยเริ่มจากเสาบ้าน พื้น ผนังกั้นห้อง ไปจนถึงหลังคาและปล่องไฟ แต่ด้วยขนาดร่างกายของอาริงกัสที่ใหญ่โตกว่ามนุษย์ บ้านของพวกเขาจึงมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย
สำหรับบ้านของอุปส์ดูอบอุ่นน่านอน หลังคามุงด้วยต้นหญ้าฟีเวอร์กับกระเบื้องดินเผา อุปส์เล่าให้อาริเทียร์กับซิลวาฟังคร่าวๆว่าของบางอย่างไม่มีในทวีปยารี ทั้งต้นไม้ใบหญ้าและพืชผัก ซึ่งต้องนำเข้ามาจากอาณาจักรอื่น
“พวกเจ้าพักที่นี่ก่อน ข้าจะต้มยาล้างพิษให้พวกเจ้าดื่ม”
ซิลวายิ้มรับแต่ไม่ได้รับยิ้มตอบกลับ เขาหันไปเหม่อมองบรรยากาศภายในบ้าน อบอุ่นด้วยกองเพลิงในเตาผิง มีพรมนุ่มนิ่มสีมะกอกปูที่พื้น แม้ว่าบ้านหลังใหญ่ แต่เมื่อซิลวาเปรียบเทียบกับขนาดตัวของอุปส์แล้ว มันดูอึดอัดชอบกล
ส่วนอาริเทียร์ นางคงจะเผลอสูดดมหมอกพิษของดอกรีปส์มากเกินไป จึงดูอ่อนเพลียทำท่าจะสลบเหมือด หรือไม่ก็อาจเพราะร่างกายเอลฟ์บอบบางไม่ทนทานต่อพิษ
อุปส์ใช้เวลาไม่นานในการต้มยาล้างพิษมาให้ทั้งสองดื่ม อาริเทียร์รู้สึกถึงรสขมปร่าจุกคอ แต่ก็ฝืนดื่มจนหมดถ้วย ขณะที่ซิลวาพ่นพรวดตั้งแต่ลิ้มสัมผัส
“อะไรของเจ้า คิดว่ามันจะอร่อยเหมือนนมม้ารึไง” อุปส์ขมวดคิ้วตำหนิ เวลานี้เขาสวมผ้ากันเปื้อนอีกด้วย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของพวกมนุษย์
“ข้าว่ามันขมไปนะอุปส์” ซิลวายิ้มแหย
“ดื่มให้หมด ข้าไม่รู้หรอกว่าพิษจากดอกรีปส์จะทำอันตรายอะไรอีกนอกจากทำให้สลบ”
ได้ยินดังนั้นซิลวาจึงอ้อมแอ้มค่อยๆดื่มยา เขาหลับตาปี๋ แทบอาเจียน แต่ก็ฝืนยกจนหมดถ้วย กระนั้นก็ประหลาดนัก เมื่อดื่มหมดถ้วยแล้วกลับรู้สึกปะแล่มถึงความหวาน
อาริเทียร์ได้รับยาแล้วก็จริง แต่นางก็รู้สึกเหนื่อยอ่อน จึงเอนกายบนเก้าอี้นวมแล้วผล็อยหลับ ซิลวาทำท่าจะปลุกแต่อุปส์ก็ห้ามไว้
“ไม่ต้องปลุกหรอก เอลฟ์ก็เป็นเสียแบบนี้ล่ะ แพ้พิษทุกประการ นางได้รับยาแล้ว พักผ่อนเสียหน่อยก็คงจะฟื้น” อุปส์ว่าพลางหิ้วร่างอาริเทียร์ไปนอนพักบนเตียงนุ่ม จากนั้นเขาก็ถือหม้อซุปใบใหญ่มานั่งประจันหน้ากับซิลวา “พวกเจ้าเป็นใครมาจากไหน” เขาถามเสียงห้วนพร้อมกับตักซุปธัญพืชที่ต้มเหลวใส่ชามให้ซิลวา
“ข้าคือซิลวา ซอร์บร็อม บุตรแห่งลอร์ดอาซีเดียส” ซิลวาแนะนำตัวอย่างอารมณ์ดีพลางสูดกลิ่นอาหารในชาม มันส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอ
“เจ้าชายซิลวางั้นรึ”
“ใช่ ข้าเอง” บร็อมหนุ่มยิ้มแป้นพลางตักซุปธัญพืชเข้าปาก “ส่วนนางเอลฟ์ตนนั้นคือสหายข้า นางมีนามว่าอาริส”
“ข้าก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องของพวกเจ้านักหรอก แต่เอลฟ์กับบร็อมเดินทางมาถึงทวีปยารีด้วยเหตุใด มันไม่ใช่สถานที่ที่น่าพิสมัย”
“ข้ามาช่วยพวกพ้องของข้า” ซิลวาเริ่มเอ่ยอย่างจริงจัง “พวกซาไชน์คุกคามชาวบร็อมมาหลายปีแล้ว”
“เรื่องนั้นข้ารู้ แต่ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่ง”
“ข้าเข้าใจดี แต่ตอนนี้ข้ามีอาริสมาช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นข้าต้องไปช่วยชาวบร็อมที่ถูกจับตัวไปให้ได้ และนี่! ข้ามีดาบเบรซุสมาด้วย ข้าต้องสู้พวกซาไชน์ได้แน่”
“โง่เขลา!” อุปส์เบะปาก ทำรอยยิ้มของซิลวาหดหาย “เจ้าก็แค่โชคดีมีสหายเป็นเอลฟ์ แต่เอลฟ์สาวร่างบางที่ดูท่าอายุไม่กี่ร้อยปี จะไปช่วยอะไรได้ หนำซ้ำเจ้าก็เป็นแค่ชาวบร็อม ต่อให้ถือดาบวิเศษตัดน้ำตัดนภา ก็เหมือนเอาชีวิตไปทิ้งเสียมากกว่า”
“แต่ข้าจำเป็นต้องไป ชาวบร็อมที่ถูกจับตัวไว้ พวกเขาล้วนกล้าหาญยอมเสียสละตนเอง ก่อนที่พวกซาไชน์จะทำอันตรายแก่พวกเขา ข้าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยพวกเขา” ซิลวายังคงเอ่ยอย่างมุ่งมั่น
“เขลาจริงๆ ชาวบร็อมเขลาและไร้ปัญญาที่สุด”
“อย่ามาว่าเผ่าพันธุ์ข้านะ!” ซิลวารู้สึกเคืองโกรธ เขาวางชามซุปและจ้องเขม็งไปที่อุปส์
“อ้อ เจ้าโกรธเป็นด้วยรึบร็อมน้อย รู้ไว้ด้วยว่าถึงเจ้าจะเป็นเจ้าชายที่สูงศักดิ์เพียงใด เจ้ามันก็แค่ชาวบร็อมต่ำต้อย รูปกายเตี้ยม่อต้ออัปลักษณ์ ไร้ปัญญา ไม่มีฤทธาใดใด คนแคระที่กลายพันธุ์จากพวกมนุษย์ยังเก่งกาจกว่าพวกเจ้าเสียอีก”
ตอนนี้ซิลวารู้สึกเหมือนควันออกหู คำสบประมาทของอุปส์ทิ่มแทงใจเขาเสียหลายแผล หมีขาวที่มีดวงตาอ่อนโยน น้ำเสียงทุ้มใหญ่ดูใจดี กลับกล่าวคำดูหมิ่นได้เจ็บแสบนัก
“ถึงเจ้าจะช่วยข้ากับอาริสเอาไว้ แต่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ดูแคลนข้าถึงเพียงนี้ เจ้าไม่มีความเป็นมิตรเอาเสียเลย”
“กินให้หมดซะ ในหม้อยังเหลืออีก ถ้าไม่อิ่มก็ไปตักเพิ่มเอง ข้าจะไปนอน”
อุปส์ไม่ได้มีทีท่าใส่ใจกับอาการโกรธกริ้วของซิลวาแม้แต่น้อย เขาถอดผ้ากันเปื้อนแขวนเอาไว้ก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วหาวเสียงดัง จากนั้นจึงเดินหายลับไปอีกห้องหนึ่ง ซิลวาได้แต่ขบกรามกรอดไล่หลังไป เมื่อไร้ผู้ใด เจ้าชายหนุ่มจึงทอดถอนใจกับตัวเอง เขาเคยลั่นปากกับอาริเทียร์ว่าชาวบร็อมได้รับคำดูหมิ่นเหยียดหยามจนชาชิน แต่อันที่จริงแล้ว ตัวเขาไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลยสักครั้ง
ความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาประดังประเดเข้ามา ทุกครั้งที่นึกถึงคำสบประมาทที่เคยได้รับ เขามักจะโกรธเกรี้ยวเหมือนภูเขาไฟที่กำลังปะทุ อยากจะสำแดงให้ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกนูบลาได้เห็นว่าชาวบร็อมไม่ได้ต่ำต้อยหรือไร้ปัญญาอย่างที่พวกเขาทับถม ยิ่งเมื่อนึกย้อนไปแล้วก็ให้รู้สึกอยากจะเกิดในช่วงห้าพันปีก่อน จะได้ต่อสู้กับพวกนากะไสให้มันรู้แล้วรู้รอด เพื่อไม่ให้คำสาปร้ายพวกนี้มากำหนดชะตาของสรรพชีวิตและตัวเขาเอง
ซิลวาส่ายศีรษะสะบัดไล่ความคิด มึนหัวกับการคิดฟุ้งซ่าน เขาถอนใจยาวอีกครั้งก่อนจะเดินไปตักซุปธัญพืชกินอีกชามด้วยความเอร็ดอร่อย อิ่มแปล้แล้วจึงม้วนกายไปนอนที่อีกเตียงใกล้ๆกับอาริเทียร์
จากคุณ |
:
CaesarNote
|
เขียนเมื่อ |
:
9 มิ.ย. 54 15:19:20
|
|
|
|