Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่5 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่1 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10523850/W10523850.html
ตอนที่2 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10570032/W10570032.html#4
ตอนที่3 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10608311/W10608311.html#5
ตอนที่4 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10640799/W10640799.html

==========================================
ตอนที่ 5

      แสงแดดอุ่นยามสายสาดจับร่างของบรรดาชายฉกรรจ์ที่มารวมตัวกันอยู่บริเวณลานโล่ง ด้านหน้าอาคารก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลแดงขรึมขลัง ซึ่งเป็นทั้งคลังเก็บอาวุธและที่พักของทหารองครักษ์ด้วยในตัว พวกเขากำลังตั้งหน้าตั้งตาฟาดดาบเข้าใส่กันอย่างเอาเป็นเอาตายจนเสียงของโลหะที่กระทบกันดังออกไปไกลถึงถนนด้านนอก

       สตรีสาวร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกางเกงสีเข้มทะมัดทะแมงเดินลอดซุ้มประตูศิลาที่ขนาบสองข้างด้วยหอคอยสูง เข้ามาหยุดยืนอยู่หลังกำแพงหนาอันเป็นอาณาเขตชั้นนอกของวังหลวง นางกวาดสายตาผ่านบรรดาชายหนุ่มที่กำลังฝึกซ้อมอาวุธไปยังอาคารทรงเหลี่ยมหลังใหญ่เบื้องหน้า แล้วมองเรื่อยไปถึงเพิงพักริมกำแพงซึ่งสร้างอย่างง่ายๆ ด้วยเสาไม้เพียงสี่ต้น ดาดด้วยผ้าทอมือเนื้อหยาบหนาแทนหลังคา ใต้ร่มเงาของผ้าผืนใหญ่ที่สะบัดพึ่บพั่บตามแรงลมคือโต๊ะและเก้าอี้ไม้ตัวยาว มีทหารองครักษ์นั่งกันอยู่แล้วหลายคน หนึ่งในนั้นคือเจ้าของดวงหน้าที่นางคุ้นเคย หญิงสาวตั้งท่าจะเดินเลี่ยงไปเสียทางอื่น หากแล้วกลับเปลี่ยนใจ สาวเท้าตรงเข้าไปหาชายผู้นั้น

       ชายกลางคนร่างผอมสูงท่วงท่าผึ่งผายสง่างามในเครื่องแบบทหารระดับหัวหน้าองครักษ์ เบือนสายตาจากบรรดาลูกศิษย์ที่กำลังซ้อมฟันดาบอยู่อย่างขะมักเขม้น หันไปมองสตรีผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

       “ขัดคำสั่งท่านแม่อีกแล้วสินะลูกพ่อ”

       “ก็อยู่บ้านเฉยๆ มันเบื่อนี่คะ ข้าเลยออกมาเดินเล่นสูดอากาศสักหน่อย ท่านพ่ออย่าบอกท่านแม่นะคะ” ลูกสาวยิ้มประจบ แล้วรีบตั้งคำถามด้วยเรื่องอื่นที่ไกลตัวเพื่อเบนความสนใจของผู้เป็นบิดา

       “คนเยอะจริง พวกนี้เป็นทหารกลุ่มใหม่ที่จะส่งไปกรีนแลนด์หมดเลยหรือคะ”

       “ใช่แล้วลูก องค์ราชาของกรีนแลนด์ทรงขอกำลังทหารจากเราเพิ่มขึ้นอีก”
หญิงสาวทำเสียง ‘ฮึ’ ออกมาอย่างไม่ชอบใจ

       “ขอเพิ่มอีกแล้ว...เสียแรงกรีนแลนด์เป็นประเทศใหญ่โตมั่งคั่งซะเปล่า แต่กลับต้องอาศัยกำลังทหารจากประเทศของเราอยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าองค์ราชาของประเทศนั้นจะทรงรู้สึกละอายพระทัยบ้างหรือไม่ที่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจอยู่แบบนี้”

       “อย่าพูดอย่างนั้นสิเมล มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับต่างหาก แลมพ์ตันต้องการเงินและความอุดมสมบูรณ์ของกรีนแลนด์ ในขณะที่กรีนแลนด์เองก็ต้องการกำลังทหารของแลมพ์ตัน ต่างคนต่างก็ให้ในสิ่งที่ตนมีและรับในสิ่งที่ตนขาด ซึ่งพ่อเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ดีเสียอีกที่ทั้งสองฝ่ายต่างตกลงกันได้ด้วยสันติวิธี แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่กรีนแลนด์มีกำลังทหารอันเข้มแข็งเป็นของตัวเองนั่นแหละ จึงจะถือเป็นความเสียหายร้ายแรงของแลมพ์ตัน”

       “แต่กรีนแลนด์ก็ไม่ได้มีกำลังทหารที่เข้มแข็งไม่ใช่หรือคะ ถ้าแลมพ์ตันต้องการเงินต้องการทรัพยากรของกรีนแลนด์ แค่ใช้กำลังบุกเข้ายึดก็ได้แล้ว ง่ายนิดเดียว”

       “เมลเอ๊ย...”

       ผู้เป็นพ่อหัวเราะเบาๆ มือใหญ่แข็งแรงโยกศีรษะของลูกสาวด้วยความเอ็นดู

       “แล้วเรามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องทำอย่างนั้นเล่าลูก สงครามไม่ใช่เรื่องที่น่าพิสมัยนักหรอก ประชาชนชาวแลมพ์ตันจะต้องสู้รบเพื่อสิ่งที่สามารถได้มาง่ายๆ ด้วยการแลกเปลี่ยนอย่างตรงไปตรงมาทำไมกัน ที่องค์ราชาของพวกเรายังทรงปฏิบัติตามพันธสัญญากับกรีนแลนด์อย่างเคร่งครัดไม่ใช่เพราะพระองค์กลัว แต่เป็นเพราะนั่นคือวิธีที่ดีที่สุดต่างหาก”

       เลดี้เมลิอานาร์นิ่งไปไม่เถียงต่อ ผู้เป็นบิดาจึงคิดว่านางยอมจำนนด้วยเหตุผล หากในความเป็นจริงแล้วหญิงสาวแทบจะไม่ได้ฟังในสิ่งที่เขากล่าวเลยด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่ตั้งหน้าตั้งตามองหาใครคนหนึ่งในหมู่ทหารที่กำลังฝึกอาวุธอยู่กลางลาน เมื่อไม่พบ จึงแกล้งถามเปรยๆ ขึ้นเหมือนจงใจเปลี่ยนเรื่องว่า

       “ลูกศิษย์คนสำคัญของท่านพ่อเสด็จไปไหนเสียล่ะคะวันนี้ ไม่เห็นอยู่ที่สนามฝึกอย่างเคย”

       “อ๋อ...พระองค์เสด็จกลับตำหนักไปแล้วล่ะลูก เห็นว่าพระชายาประชวร เจ้าชายเอเดรียนก็เลยพลอยขาดคู่ซ้อมไปด้วย”

       ท่านหัวหน้าองครักษ์จ้องหน้าลูกสาวอย่างลังเล ก่อนจะเอ่ยประโยคต่อไป

       “ไหนๆ เจ้าก็มาถึงนี่แล้วเมล อยากจะเป็นคู่ซ้อมให้เจ้าชายเอเดรียนสักหน่อยมั้ยล่ะ ตอนนี้พระองค์คงจะสนทนากับท่านปราชญ์อยู่ที่วิหารหลวง”

       “โอ๊ย ไม่ดีกว่าค่ะ ข้าขี้เกียจถูกท่านแม่ดุอีก”

       หญิงสาวปฏิเสธแล้วเถลไถลอยู่คุยกับบิดาต่ออีกครู่หนึ่งก็ขอตัวแยกจากมา นางแสร้งเดินย้อนไปที่ประตูใหญ่ทำทีเหมือนว่าจะกลับบ้าน หากพอลับตาคนก็แอบเลี้ยวไปทางซ้ายมือ ลอดผ่านซุ้มประตูโค้งที่มีทหารยามยืนตรวจตราอย่างเข้มงวดเข้าสู่เขตวังหลวงชั้นใน มุ่งหน้าตรงไปทางทิศที่ตั้งของอาคารสีขาวอีกฟากของกำแพงอันมีหอคอยสูงตระหง่านเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นเด่นชัดอยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวขจี

       เมลิอานาร์ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการตามหาตัวเจ้าชายเอเดรียนนานนัก เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าหากพระองค์เสด็จมาที่วิหารหลวง ถ้าไม่ได้อยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง ก็มักจะแอบหลบไปบรรทมอยู่เพียงลำพังในหอสมุด เวลานี้ยังเช้าเกินไปสำหรับการลอบจู๋จี๋กับนางข้าหลวงในสวนดอกไม้ ดังนั้นหญิงสาวจึงมุ่งหน้าตรงไปยังหอคอยสีขาวทรงแปดเหลี่ยมโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด...


       อันที่จริงหอสมุดของวิหารหลวงน่าจะถูกเรียกว่าโกดังเก็บหนังสือมากกว่า เพราะตั้งแต่ผนังส่วนที่อยู่ต่ำสุดเรื่อยไปจนกระทั่งถึงเพดานสูงประดับโคมทองเหลือง ล้วนแต่อัดแน่นไปด้วยบรรดาตำรับตำราทางวิชาการเต็มพรืดไปหมด เรียกได้ว่าแทบจะไม่เหลือที่ว่างให้เห็น ยกเว้นเพียงทางเดินแคบๆ และบันไดสำหรับไต่ขึ้นไปหยิบหนังสือบนชั้นสูงๆ เท่านั้น แม้พวกนักบวชจะจัดเรียงเอกสารและหนังสือต่างๆ แยกเป็นหมวดหมู่ไว้ในช่องชั้นรอบผนังอย่างดี แต่ภายในหอคอยก็ยังดูมืดทึบชวนให้รู้สึกอึดอัดจนหอสมุดของวิหารหลวงกลายเป็นสถานที่ซึ่ง ‘หากไม่มีความจำเป็นแล้วก็ไม่มีนักบวชคนไหนอยากจะย่างกรายเข้ามา’ โดยปริยาย

       ที่โต๊ะสี่เหลี่ยมตัวยาวกลางห้องมีชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพัง เขากำลังอ่านตำราเล่มหนาอยู่ด้วยท่าทางสนอกสนใจยิ่ง แสงสีเหลืองทองจากตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะสาดจับใบหน้าหล่อเหลาที่ก้มน้อยๆ ก่อให้เกิดเงาลึกบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก แลดูงดงามปนลึกลับราวกับรูปสลักสัมฤทธิ์

       พอได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นแถวหน้าประตูห้อง ชายหนุ่มก็ละความสนใจจากหนังสือ เงยหน้าขึ้นมอง แล้วรอยยิ้มพึงใจก็สว่างวาบขึ้นทั้งที่ริมฝีปากและดวงตา

       “ว่าไงเมล ลมอะไรพัดเจ้ามาหาข้าจนถึงที่นี่ได้ล่ะวันนี้”

       เขาเอ่ยทักพลางปิดหนังสือ เอนกายลงพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่วงท่าเรื่อยเฉื่อยตามสบาย

       หญิงสาวผู้มาใหม่ก้าวฉับๆ เข้าไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้ตรงข้ามชายหนุ่ม นางไม่แม้แต่จะเสียเวลาลากเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดมาทิ้งตัวลงนั่ง หากแต่เปิดฉากถามเข้าประเด็นเลยทีเดียว

       “ทรงทราบข่าวการหมั้นหรือยังเพคะ”

       “ของใครล่ะ”

       “ก็ของพระองค์กับหม่อมฉันนี่ไงเพคะ สาวใช้ของหม่อมฉันเล่าว่าได้ยินคนเขาลือกันทั้งตลาด แต่หม่อมฉันเพิ่งทราบเรื่องจากปากท่านแม่เมื่อครู่นี้เอง”

       เจ้าชายเอเดรียนทอดพระเนตรริมฝีปากที่ขยับขึ้นลงรวดเร็วจนน่ากลัวลิ้นพันกันของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเอ็นดูเป็นพิเศษ จะว่าไปเมลิอานาร์กับพระองค์ก็รู้จักคบหากันมานาน ตั้งแต่ต่างฝ่ายต่างยังเป็นเด็กด้วยซ้ำ แต่น่าแปลกที่พระองค์ไม่เคยรู้สึกสนใจในตัวญาติสาวผู้นี้มาก่อนเลย จนกระทั่งคืนนั้น...คืนที่ทรงมีโอกาสได้เห็นนางในชุดราตรีเต็มยศเป็นครั้งแรก

       “งั้นก็เรื่องนี้สินะที่ทำให้เจ้าหน้าตาตื่นมาหาข้าจนถึงที่นี่”

       “เพคะ”

       “ทำไมล่ะเมล เจ้าไม่เห็นด้วยหรือไง”

       “มันก็แหงอยู่แล้วละเพคะ ท่านแม่เล่นคิดเองตัดสินใจเองคนเดียวเสร็จสรรพ ไม่ถามหม่อมฉันเลยสักคำ พระองค์เองก็คงจะถูกองค์ราชาบังคับเหมือนกันใช่มั้ยล่ะเพคะ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันคิดว่าเราสองคนควรมาร่วมมือกันดีกว่า”

       ประโยคแสดงความหงุดหงิดที่เผยออกมาจากปากญาติสาวเรียกรอยแย้มสรวลให้ผุดขึ้นบนเรียวโอษฐ์ของเจ้าชายเอเดรียนได้อีกครั้ง พระองค์เองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่านางจะหาทางดิ้นหลุดไปจากเรื่องนี้ได้ด้วยวิธีไหน

       “ร่วมมือยังไงล่ะ เจ้ามีแผนดีๆ แล้วหรือ”

       เมลิอานาร์ชะงักไปอึดใจหนึ่ง จะว่าไปสิ่งที่นางคิดไว้คงเรียกว่าแผนดีๆ ไม่ได้ ถ้าจะพูดให้ถูกคือไม่มีแผนเสียมากกว่า เพราะนางตั้งใจจะชวนเจ้าชายเอเดรียนไปเข้าเฝ้าองค์ราชา เพื่อขอให้ทรงยกเลิกการหมั้นเอาดื้อๆ เลยต่างหาก แต่ขืนบอกไปอย่างที่คิด น่ากลัวเจ้าชายเอเดรียนจะไม่ทรงยอมร่วมมือด้วยเป็นแน่

       “อย่าเรียกว่าแผนดีกว่าเพคะ เอาเป็นว่าหม่อมฉันมีวิธีก็แล้วกัน”

       หญิงสาวเหลียวไปมองประตูห้องด้วยท่าทางร้อนใจ ก่อนจะหันกลับมาทางชายหนุ่ม ร้องชวนแกมบังคับว่า

       “เชิญเสด็จเถอะเพคะ ขืนช้าเดี๋ยวจะไม่ทันการณ์”

       “เจ้าจะให้ข้ารีบไปไหนกันล่ะ?”

       “อ้าว ก็ไปเข้าเฝ้าพระบิดาของพระองค์น่ะสิเพคะ ถ้าเราสองคนช่วยกันกราบทูลให้ทรงทราบว่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่เต็มใจที่จะหมั้น หม่อมฉันคิดว่าคนมีเหตุผลอย่างราชาซาเรียต้องทรงเข้าพระทัยแน่”

       “เจ้าผิดแล้วเมล”

       เจ้าชายเอเดรียนทรงพระสรวลหึๆ แล้วขยายความต่อไปด้วยท่าทางสบายอารมณ์อย่างยิ่ง

       “ข้าเต็มใจหมั้นต่างหาก”

       เมลิอานาร์จ้องมองคนพูดตาค้าง เป็นไปไม่ได้ นางต้องหูฝาดแน่นอน คนอย่างเจ้าชายเอเดรียนน่ะหรือจะทรงเห็นด้วยกับการหมั้นแบบคลุมถุงชนเช่นนี้

       “แปลกใจอะไรล่ะเมล ข้าเต็มใจแล้วมันผิดตรงไหน”

       “ก็ตรงที่พระองค์ทรงมีทั้งเลดี้โจเซฟิน เลดี้โรซามุนนด์ แล้วยังบรรดาเลดี้อะไรต่อมิอะไรอีกตั้งโขยงที่หม่อมฉันจำชื่อไม่ได้เป็นคนรักอยู่แล้วนะสิเพคะ” หญิงสาวทำท่านับนิ้ว กระแทกเสียงตอบอย่างหมั่นไส้

       “พระองค์จะเต็มพระทัยหมั้นกับหม่อมฉันได้ยังไง แล้วพวกนางล่ะเพคะทรงเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน อย่าบอกนะว่าทรงลืมพวกนางไปหมดแล้ว”

       เจ้าชายเอเดรียนทรงเท้าศอกลงบนโต๊ะ ประสานพระหัตถ์เข้าด้วยกันเป็นรูปสามเหลี่ยมขณะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินจัดของสาวสวยตรงหน้า ก่อนตรัสด้วยรอยยิ้มขบขัน

       “ไม่ลืมหรอก พวกนางก็ยังอยู่ในใจของข้าทุกคนนั่นละ รวมทั้งเจ้าด้วย...เมล”

       เลดิ้เมลิอานาร์ทำท่าขนลุกขนพองจนเจ้าชายเอเดรียนต้องกลั้นพระสรวล

       “ทำไม่ล่ะ รังเกียจข้ามากหรือไง”

       “ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ แต่หม่อมฉัน...”

       “ไม่อยากจะแต่งงานกับข้า” ชายหนุ่มช่วยต่อประโยคให้ แล้วเลยพูดต่อไปด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

       “ข้าไม่สนหรอกนะเมลว่าเจ้าจะคิดยังไง เพราะสุดท้ายแล้วเจ้าก็ต้องยอมแต่งงานกับข้าอยู่ดี แต่ถ้าเจ้าเชื่อว่าจะสามารถหาทางเลี่ยงได้ ก็ลองดูสิ ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะใช้วิธีแบบไหนทำให้เสด็จพ่อและท่านอายอมรับการตัดสินใจของเจ้า แต่บอกไว้ก่อนนะว่าลูกไม้ตื้นๆ อย่างการถอดหมุดยึดเพลารถม้าน่ะ ใช้กับเรื่องคราวนี้ไม่ได้ผลหรอก”

       เลดี้เมลิอานาร์ฟังคำตอบจากพระโอษฐ์ของเจ้าชายเอเดรียนแล้วก็ได้แต่อึ้งพูดอะไรไม่ออก ความหวังสุดท้ายของนางดูเหมือนจะหลุดลอยไปแล้ว แถมสถานการณ์ยังทำท่าจะพลิกไปสู่ความเลวร้ายชนิดที่คาดไม่ถึงเสียอีก นี่นางควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?

จากคุณ : akihiro
เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 54 21:22:36




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com