หญิงสาวเดินวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่ในห้องนอนของตนหลายตลบ หลังจากที่ได้คุยกับเจ้าชายเอเดรียนเมื่อตอนสาย นางก็พยายามคิดหาวิธีที่จะไม่ต้องเข้าพิธีหมั้นในวันรุ่งขึ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่วิธีเดียวที่นางพอจะคิดออกคือ
หนี!
ไม่ว่านางจะคิดทบทวนกี่ครั้งกี่หนคำตอบที่ได้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
เมลิอานาร์ไม่อยากหนี เพราะถ้านางหนีหายไปก่อนวันหมั้น ผู้ที่จะต้องเดือดร้อนอย่างหนักก็คือบิดาและมารดาของนางเอง ดีไม่ดีท่านทั้งสองอาจจะต้องผิดใจกับองค์ราชาไปเลย หรือถ้าโชคร้ายหนักกว่านั้นก็อาจจะถูกลงโทษ ซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่ต้องการให้เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ...แต่ถ้าไม่หนี นางก็ต้องเข้าพิธีหมั้นและแต่งงานกับเจ้าชายเอเดรียน ซึ่งเรื่องนี้นางเองก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน
“โอ๊ย ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม”
เมลิอานาร์เดินไปเปิดประตูไม้กรุกระจกใสด้านหลัง แล้วเลยออกไปยืนรับลมที่ริมระเบียง ด้วยหวังว่าสายลมเย็นและอากาศบริสุทธิ์จะช่วยให้สมองปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง บรรยากาศรอบกายเงียบสงัดเพราะเป็นเวลาเลยเที่ยงคืนมานานแล้ว ดวงจันทร์รูปเคียวทอแสงสีเงินซีดจาง มัวหม่น ดาวดวงน้อยๆ ที่เคยกระจายเกลื่อนเต็มท้องฟ้า ก็ดูเหมือนจะพร้อมใจกันซ่อนตัวอยู่หลังกลุ่มเมฆหนาทึบ ทำให้คืนข้างแรมที่มืดมิดอยู่แล้วยิ่งมืดหนักขึ้นไปอีก แม้แต่สายลมเย็นที่เคยพัดต้องยอดไม้เสียงดังซู่ซ่าก็กลับนิ่งสนิทจนใบไม้ไม่กระดิกแม้สักใบ
ช่างเป็นคืนที่เหมาะกับการหนีออกจากบ้านดีแท้!
หญิงสาวคิดอย่างประชดประชันพลางทอดตามองไปยังถนนด้านหลังคฤหาสน์อย่างชั่งใจ ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น จู่ๆ แสงสีแดงสุกใสก็สว่างวาบขึ้นตรงหน้า เมื่อแสงจางลงนางจึงเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดขนาดเท่าลูกสุนัข หน้าตาคล้ายมังกร ลอยอยู่กลางอากาศในระดับสายตา ลำตัวกลมป้อมสีแดงของมันเคลื่อนไหวขึ้นๆ ลงๆ อยู่ระหว่างปีกคู่เล็กที่กระพือไม่หยุด
เมลิอานาร์จำเจ้าภูติรับใช้ตัวน้อยได้ในทันที นางเป็นคนมอบมันให้กับเจ้าหญิงกาอิยาห์ในวันที่พระองค์ต้องเสด็จกลับกรีนแลนด์ เพื่อไว้ใช้ติดต่อกันในยามฉุกเฉินหรือเวลาที่เจ้าหญิงทรงต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนจากนาง
“มีอะไรหรือวาย เจ้าหญิงทรงเป็นอะไร” หญิงสาวเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วง เจ้าสัตว์ตัวน้อยขยับปากคล้ายกำลังพูดตอบ ทว่าเสียงที่ดังออกมากลับกลายเป็นเสียงแหลมใสของเด็กสาววัยแรกรุ่น
“ข้าต้องการความช่วยเหลือด่วน ให้มาที่ลินเด็นทันที”
เลดี้เมลิอานาร์ขมวดคิ้ว
ข้อความที่ส่งมากับภูติรับใช้สั้นเสียจนเดาอะไรไม่ได้เลย เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงต้องการความช่วยเหลือเรื่องอะไร หรือว่าพระองค์กำลังตกอยู่ในอันตราย!?
เจ้ามังกรจิ๋วบินวนไปวนมาอยู่รอบร่างหญิงสาว พูดซ้ำประโยคเดิมอีกหลายเที่ยวด้วยน้ำเสียงของเจ้าหญิงกาอิยาห์ จนนางชักรำคาญ
“เอาล่ะวาย กลับไปทูลเจ้าหญิงว่าข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการ เจ้ามังกรน้อยก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมาครั้งหนึ่ง แล้วบินจากไปด้วยปีกคู่เล็กๆ ของมันจนหายวับไปในความว่างเปล่าเบื้องหน้า
เมลิอานาร์ยังคงยืนมองถนนด้านล่างอย่างใช้ความคิดอยู่ที่เดิม หากนางเดินทางไปกรีนแลนด์เสียคืนนี้ ก็จะสามารถหลบเลี่ยงการหมั้นไปได้อย่างไม่ต้องสงสัย และกว่านางจะจัดการกับปัญหาของเจ้าหญิงกาอิยาห์เสร็จเรียบร้อย บางทีเจ้าชายเอเดรียนอาจจะทรงเปลี่ยนพระทัยเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับหญิงอื่นไปแล้วก็เป็นได้
หญิงสาวอมยิ้มกับตัวเองในความมืด...นับว่าเจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงขอความช่วยเหลือมาได้ถูกเวลาจริงๆ
เมลิอานาร์เดินย้อนกลับเข้าไปภายในห้องนอน ตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือมุมห้อง หยิบปากกาขนนกกับกระดาษขึ้นมาเขียนจดหมายถึงบิดา-มารดา โดยอาศัยแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ เมื่อเขียนเสร็จนางก็พับแล้วนำจดหมายไปวางไว้บนหมอน จากนั้นก็ใช้เวลาอีกครู่หนึ่งในการจัดเตรียมของใช้จำเป็นสำหรับการเดินทาง หยิบดาบพร้อมเข็มขัดมาคาดเข้าที่เอว เหน็บมีดสั้นอันเล็กพร้อมปลอกหนังไว้ด้านในรองเท้า คว้าเสื้อคลุมตัวหนาแบบมีฮู้ดมาสวม เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว หญิงสาวก็ก้าวตรงไปยังระเบียงด้านหลัง โหนตัวข้ามขอบระเบียง ปีนลงไปสู่ความมืดมิดเบื้องล่างอย่างเงียบกริบ
เสียงฟ้าร้องครืนครางดังอยู่ไกลๆ สลับกับแสงฟ้าแลบแปลบปลาบมองเห็นอยู่ลิบๆ ทางทิศตะวันออก คงจะมีฝนตกที่ไหนสักแห่งในหุบเขา อากาศร้อนอบอ้าวเมื่อกลางดึกจึงค่อยคลายลง สายลมที่สงบมาเกือบทั้งคืนเริ่มพัดเข้ามาทางประตูระเบียงที่เปิดทิ้งไว้เป็นระยะ หอบเอากระไอฝนและกลิ่นหอมของดินชื้นเย็นมาด้วย ม่านลูกไม้สีขาวบางเบารอบเตียงนอนว่างเปล่าปลิวสะบัดตามแรงลม จดหมายฉบับน้อยบนหมอนถูกกระแสลมพัดปลิวไปตกอยู่บนพื้นใต้ชายผ้าม่าน แล้วทอดตัวนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้นต่อมาอีกเป็นเวลานาน...
ตลาดนัดบริเวณชายแดนที่เคยคึกคักวุ่นวายเต็มไปด้วยผู้คน บัดนี้กลับดูเงียบเหงาไปถนัดใจ ชาวบ้านที่เดินอยู่ตามถนนหรือคนขายของที่นั่งประจำอยู่หน้าแผงร้านค้า ล้วนแต่มีสีหน้าเศร้าหมองเป็นกังวลด้วยกันทุกคน มองไปทางไหนก็มีแต่คนทอดถอนใจใหญ่เหมือนมีปัญหาหนักอกที่ยังหาทางออกไม่พบ เมลิอานาร์มองดูอาการของชาวเมืองแล้วก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ นางมุ่งหน้าตรงไปยังอาคารสองชั้นสร้างด้วยปีกไม้ มีป้ายแขวนบอกไว้ชัดเจนว่าเป็นที่พักสำหรับคนเดินทาง
รูปแบบของที่พักพวกนี้มักเหมือนกันทุกแห่งคือชั้นล่างขายอาหาร ชั้นบนแบ่งซอยเป็นห้องนอนย่อยๆ หลายสิบห้อง บางแห่งก็มีที่อาบน้ำเป็นสัดส่วนอยู่ภายในห้องด้วย แต่บางแห่งผู้เข้าพักก็ต้องไปใช้บริการสถานที่อาบน้ำรวมของหมู่บ้านซึ่งตั้งแยกออกไปต่างหาก บริเวณด้านหลังของที่พักส่วนใหญ่มักจัดทำเป็นคอกขนาดเล็กสำหรับรับฝากม้า โดยมีเด็กรับใช้คอยดูแลให้น้ำและอาหารแทนผู้เป็นเจ้าของ
“ท่านลุง ข้าขอเช่าห้องพักหนึ่งคืน”
“ห้าร้อยเกรน” ชายกลางคนศีรษะล้านส่งเสียงตอบออกมาจากหลังแผงกั้นโดยไม่เงยหน้า ท่าทางของเขาคล้ายไม่เต็มใจต้อนรับลูกค้าเอาเสียเลย แม้ปากจะยังคงพูดแนะนำต่อไปราวกับท่อง
“ถ้าต้องการแบบมีที่อาบน้ำและอาหารเช้าด้วยก็เจ็ดร้อยเกรน”
เมลิอานาร์เบ้ปาก ค่าเช่าห้องพักที่กรีนแลนด์แพงไม่ใช่เล่น ขนาดหมู่บ้านที่อยู่ติดกับชายแดนค่าเช่ายังแพงขนาดนี้ ถ้าเป็นที่พักในตัวเมืองจะแพงสักแค่ไหน นางไม่อยากจะคิด
“เอาแบบมีที่อาบน้ำและอาหารเช้าด้วยแล้วกันค่ะ ข้าไม่อยากไปใช้ที่อาบน้ำรวม”
“โชคดีจริงๆ มีว่างอยู่ห้องหนึ่งพอดี ช่วงนี้ผู้คนเดินทางมากรีนแลนด์กันมากเหลือเกิน ห้องพักของข้าเต็มเกือบหมดแล้ว”
ชายเจ้าของที่พักหันไปหยิบกุญแจดอกสุดท้ายที่แขวนอยู่กับแผงไม้ด้านหลังมายื่นส่งให้ หญิงสาวชำระเงินค่าที่พัก รับกุญแจแล้วเดินตามหลังสาวใช้ขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสอง ระหว่างทางก็อดตั้งคำถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“นี่น้องสาว เจ้าบอกข้าหน่อยได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนทั้งเมืองถึงได้พากันดูหดหู่ไปหมดเช่นนี้”
สาวน้อยหันมาจ้องหน้าคนถามก่อนจะหลบสายตาลงต่ำ ตอบเสียงแผ่วเบา
“มีข่าวลือมาจากเมืองหลวงว่าองค์ราชาทรงพระประชวรค่ะ”
“เอ๊ะ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทำไมข้าไม่เห็นเคยรู้มาก่อน”
“ก็นายท่านเพิ่งเดินทางมาถึงนี่คะ จะทราบได้อย่างไร”
ท่าทางของคนตอบดูขัดๆ เขินๆ ชอบกล หากเมลิอานาร์ไม่ได้ใส่ใจเพราะมัวแต่สนใจกับข่าวใหม่ที่เพิ่งได้ยิน ถ้าเรื่องที่แม่สาวใช้เล่าเป็นความจริงก็นับว่าประเทศกรีนแลนด์ตกอยู่ในสภาวะล่อแหลมอย่างยิ่ง แต่น่าแปลกที่ข่าวใหญ่ขนาดนี้ทางแลมพ์ตันไม่ยักมีใครพูดถึงสักคน
“เจ้ารู้มั้ยว่าพระองค์ประชวรพระโรคอะไร พระอาการหนักแค่ไหน”
แม่สาวใช้ส่ายหน้า
“ข้าไม่ทราบหรอกค่ะ แต่ได้ยินมาว่าพระอาการหนักพอดู ถ้านายท่านอยากทราบรายละเอียด คงต้องไปถามเอาจากพวกทหาร แต่พวกเขาจะยอมบอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ข้าได้ยินมาว่าทางเมืองหลวงพยายามปิดเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอดทีเดียว”
เลดี้เมลิอานาร์ย่นหัวคิ้ว...ขนาดความลับสุดยอดนะนี่ ยังลือกันมาได้จนถึงหมู่บ้านชายแดน!
เมื่อเดินขึ้นบันไดมาจนถึงระเบียงยาวบนชั้นสอง หญิงรับใช้ก็พาผู้เป็นแขกเลี้ยวไปทางปีกซ้ายของอาคารจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง
“นี่ห้องพักของท่านค่ะ ข้าชื่อแมรี่ มีอะไรขาดเหลือก็เรียกข้าได้นะคะ”
เมลิอานาร์ส่งยิ้มให้แม่สาวใช้อีกครั้งแทนคำขอบใจ หากฝ่ายนั้นกลับก้มหน้างุดแล้วรีบเดินจากไปทันที หญิงสาวได้มองตามอย่างไม่เข้าใจ นางยักไหล่ก่อนจะไขกุญแจเข้าสู่ห้อง หญิงสาวเดินตรงไปที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งตั้งอยู่ติดกับเตียงนอนเป็นอันดับแรก หยิบกระดาษเขียนจดหมายบนโต๊ะขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ลงมือเขียนข้อความสั้นๆ ลงไปบนแผ่นกระดาษแล้วกลับด้านเขียนสัญลักษณ์แปลกๆ ลงไปที่มุมทั้งสี่ จากนั้นจึงพับกระดาษเป็นรูปนก ท่องคาถาด้วยสำเนียงแปลกหูแล้วเป่าพรวดลงไป เมื่อสายลมอุ่นจากริมฝีปากปะทะกับนกกระดาษ ประกายแสงสีทองก็พวยพุ่งออกมาจากตัวนกไล่จากส่วนหัวไปจนสุดปลายหาง เปลี่ยนสภาพของนกกระดาษตัวนั้นให้กลายเป็นนกสีขาวตัวเล็กที่มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ พอหญิงสาวสะบัดมือโยนนกน้อยขึ้นสู่อากาศ มันก็โผบินผ่านบานหน้าต่างที่นางผลักให้เปิดออกกว้างสู่ท้องฟ้าสีครามภายนอก มุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของปราสาทลินเด็นทันที
หลังจากส่งข่าวถึงเจ้าหญิงกาอิยาห์เสร็จเรียบร้อย เมลิอานาร์ก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนนุ่มริมผนังอย่างเหนื่อยล้า นางควบม้ามาค่อนคืนกับอีกเกือบหนึ่งวันเต็มๆ รู้สึกเมื่อยขบไปหมดทั้งตัว อยากจะแช่น้ำอุ่นให้สบายแล้วนอนหลับเอาแรงสักงีบ สัมผัสของที่นอนนุ่มๆ สะอาดเอี่ยมบวกกับความอ่อนเพลียจากการเดินทางทำเอาหญิงสาวเกือบจะเคลิ้มหลับไปจริงๆ ถ้าเสียงเคาะประตูจะไม่ดังขึ้นเสียก่อน
เมลิอานาร์สะดุ้ง ผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับร้องถามออกไปทันที
“ใครน่ะ”
“ข้าเองค่ะ แมรี่...ข้านำน้ำขึ้นมาให้นายท่านอาบ กรุณาเปิดประตูด้วยค่ะ” เสียงใสๆ ของหญิงรับใช้คนเดิมตอบกลับมา
เมลิอานาร์เหลือบมองไปยังฉากไม้แกะสลักมุมห้อง เห็นอ่างไม้ทรงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลังฉากที่กั้นแยกบริเวณสำหรับอาบน้ำเอาไว้เป็นสัดส่วนก็เข้าใจ นับว่ากรีนแลนด์มีห้องพักสำหรับนักเดินทางที่ทันสมัยทีเดียว นางเดินไปเปิดประตูออกกว้าง อนุญาตให้หญิงรับใช้ก้าวผ่านเข้ามาภายใน
แมรี่เดินนำเข้ามาก่อนเป็นคนแรก ตามด้วยสาวใช้หน้าตาเกลี้ยงเกลาอีกสามสี่นาง เมลิอานาร์มองดูขบวนสาวใช้เหล่านั้นด้วยความรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง นางเพิ่งจะรู้ว่าที่กรีนแลนด์ให้ผู้หญิงทำงานหนักเช่นนี้ด้วย...แล้วคนงานชายหายไปไหนกันหมด?
แม่สาวน้อยทั้งกลุ่มเดินหิ้วถังน้ำไปเทลงในอ่างมุมห้อง แล้วกลับลงไปตักน้ำจากชั้นล่างขึ้นมาใหม่ เพียงครู่เดียวอ่างไม้ขนาดใหญ่ก็มีน้ำอุ่นบรรจุอยู่เกือบเต็ม
“เดี๋ยวข้าจะไปเอาผ้าเช็ดตัวกับเครื่องหอมมาให้ กรุณารอสักครู่นะคะ” แมรี่เอ่ยอย่างเอื้อเฟื้อ
เจ้าของห้องพยักหน้ารับยิ้มๆ รอยยิ้มของนางก่อให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นในหมู่สาวใช้แตกต่างกันออกไป บางคนก็ก้มหน้างุดอย่างเอียงอาย บางคนก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ในขณะที่บางคนแสร้งมองเมินไปทางอื่นไม่กล้าสบสายตากับนาง...แปลกแท้ๆ ทีเดียว
“ขอบใจพวกเจ้ามาก ถ้าข้ารู้ว่าจะต้องลำบากพวกเจ้าขนาดนี้ล่ะก็ ข้ายอมไปใช้ที่อาบน้ำรวมของหมู่บ้านก็ได้” เมลิอานาร์กล่าวอย่างสำนึกผิดเมื่อเดินตามไปส่งบรรดาสาวใช้จนถึงหน้าประตู
ทันทีที่นางถอยกลับสู่ห้อง เสียงจ้อกแจ้กราวกับนกกระจอกแตกรังก็ดังขึ้น “เห็นมั้ยล่ะ ข้าบอกแล้วว่าหล่อมาก เจ้าเชื่อหรือยัง”
“จริงๆ ด้วย หล่ออะไรอย่างนี้ก็ไม่รู้”
“นี่ถ้าไม่เอาเรื่องน้ำอาบมาเป็นข้ออ้างก็ไม่ได้เห็นเขาหรอก ใช่ม้า”
“จ้า จ้า แม่จอมวางแผน รีบทวงบุญคุณเชียวนะยะ”
“...ฯลฯ...”
เสียงพูดคุยทำนองนี้ดังลอดบานประตูเข้ามาให้เจ้าของห้องได้ยินอย่างชัดเจน จนกระทั่งแม่สาวทั้งกลุ่มเดินห่างออกไปแล้วนั่นแหละ เสียงคุยจึงค่อยเบาลงและเงียบหายไปในที่สุด เมลิอานาร์ยืนตัวแข็งพิงบานประตูอยู่พักใหญ่ เพิ่งจะเข้าใจปฏิกิริยาแปลกๆ ของพวกหญิงรับใช้เดี๋ยวนี้เอง นางก้มลงมองสำรวจตัวเอง ไล่ตั้งแต่รองเท้าหนังนุ่มแบบหุ้มข้อสีน้ำตาลเข้มเปื้อนฝุ่นและคราบโคลนจนมีสีกระดำกระด่างเป็นหย่อมๆ เรื่อยมาถึงกางเกงเนื้อหนาสีเข้มกับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ตอนนี้มอมไปด้วยฝุ่น จนสีขาวชักจะคล้ายกับสีน้ำตาลอ่อนของเสื้อกั๊กตัวสั้นที่สวมอยู่เข้าไปทุกที เสื้อคลุมเดินทางถูกปลดออกไปแขวนไว้ที่ขอบนผนังแล้ว เหลือแต่เข็มขัดดาบคาดอยู่ที่เอว ให้ดูยังไงสารรูปของนางขณะนี้ก็ห่างไกลจากคำว่า ‘หญิงสาว’ ลิบลับชนิดไม่เห็นฝุ่น ส่วนคำว่า ‘เลดี้’ ลืมไปเสียเลยจะดีกว่า
เมลิอานาร์ได้แต่นึกปลง... ตระกูลโรเซสซัสของนางเป็นตระกูลใหญ่ซึ่งทำหน้าที่เป็นทหารองครักษ์มาหลายชั่วอายุคน บิดาของนางจึงให้ลูกสาวเพียงคนเดียวเรียนรู้การใช้อาวุธทุกอย่างเหมือนกับที่บุตรชายของตระกูลทุกคนพึงต้องเรียนรู้ ด้วยหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งลูกสาวจะเป็นผู้สืบทอดภาระของตระกูลต่อไป แต่เนื่องจากนางเป็นสตรี พละกำลังย่อมจะสู้บุรุษไม่ได้ ผู้เป็นพ่อจึงให้ลูกสาวได้ศึกษาการใช้เวทมนตร์กับท่านปราชญ์แห่งวิหารหลวงด้วยอีกทางหนึ่ง เพื่อสร้างข้อได้เปรียบให้กับนาง ดังนั้นเพื่อความคล่องตัวสำหรับการฝึกอาวุธและเวทมนตร์ เลดี้เมลิอานาร์จึงมักจะแต่งกายแบบผู้ชายอยู่เป็นประจำ จนติดเป็นนิสัยแล้วเลยกลายเป็นความเคยชินไปในที่สุด นึกไม่ถึงจริงๆ ว่ามันจะทำให้นางถูกชาวกรีนแลนด์เข้าใจผิดว่าเป็นชายหนุ่มไปเสียได้!
จากคุณ |
:
akihiro
|
เขียนเมื่อ |
:
10 มิ.ย. 54 21:29:49
|
|
|
|