“ท่านเจ้ามณฑลให้ซื้อม้าแค่ตัวเดียวไม่ใช่เหรอ” แอชลีนน์อดถามไม่ได้ เมื่อทั้งสองกลับขึ้นมานั่งบนรถม้า มุ่งหน้าไปยังบ้านพักตากอากาศที่เจ้าหญิงพำนักอยู่ในเวลานี้ “ที่จริง...เอาแค่ตัวขาวไปให้ข้าหัดขี่ตัวเดียวก็พอแล้วนี่”
“ข้าว่าเจ้าต้องฝึกตัวเองให้คุ้นกับม้าศึกไว้บ้าง ม้าพวกนี้ทนกว่าพัลเฟรย์ พัลเฟรย์น่ะขี่นิ่มและเหมาะกับการเดินทางไกลก็จริง แต่ใช้หนีจากการต่อสู้หรือวิ่งสมบุกสมบันลำบาก”
“...งั้นเหรอ” หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ
“ตอนหัดขี่ม้า เจ้าหัดกับพัลเฟรย์ใช่ไหม”
“เอ่อ...” แอชลีนน์อ้ำอึ้ง แล้วก็จำใจตอบตามตรง “ข้า...ไม่รู้ว่าพัลเฟรย์คืออะไร”
“พัลเฟรย์คือม้าที่มีลักษณะการวิ่งนิ่มนวลกว่าวิ่งเหยาะธรรมดา พวกขุนนางจึงนิยมใช้ขี่เล่น ขี่ล่าสัตว์ ไม่ก็ขี่ในขบวนแห่ ม้าที่เจ้าใช้ฝึกขี่วิ่งเหยาะได้ไหม”
“น...น่าจะได้นะ ตอนหัดขี่ ครูฝึกให้มันวิ่งเร็วกว่าเดินเฉยๆ แล้ว”
“วิ่งเหยาะหรือเดินเหยาะล่ะ”
“...ต่างกันด้วยเหรอ” เจ้าหญิงเริ่มทำสีหน้าไม่ถูก
“ต่างสิ ม้าทั่วไปจะมีรูปแบบการเดินและวิ่งสี่อย่าง อย่างแรกคือเดิน เร็วขึ้นมาคือเดินเหยาะ เร็วขึ้นอีกคือวิ่งเหยาะ ส่วนเร็วที่สุดเรียกว่าวิ่งควบ แต่พัลเฟรย์จะทำสิ่งที่เรียกว่า ‘วิ่งนิ่ม’ ได้ วิ่งนิ่มจะเร็วกว่าเดิน แต่ช้ากว่าวิ่งเหยาะ ข้อดีคือมันไม่กระเทือนเท่ากับการวิ่งธรรมดาตั้งแต่เดินเหยาะขึ้นไป”
“เอ...ที่ข้ารู้แน่ๆ คือมันไม่ค่อยกระเทือนเท่าไร...ละมั้ง” หญิงสาวขมวดคิ้ว “แต่ตอนอยู่ในวังเขาให้ข้าสวมกระโปรง เลยต้องใช้อานข้าง มันต่างจากอานธรรมดามากหรือเปล่า”
“ต่างกันมากนะ เขาคงให้เจ้าหัดกับพัลเฟรย์จริงๆ เพราะถ้านั่งอานข้างคงยิ่งกระเทือนขึ้นไปอีก ว่าแต่ม้าที่เจ้าใช้ฝึกเป็นม้าตอนใช่ไหมล่ะ”
“ม้าตอน...คือยังไงเหรอ”
“ม้าตัวผู้ที่ถูกตอนน่ะ” ครั้นเห็นสีหน้างุนงงของเจ้าหญิง อาเมียร์ก็เกาศีรษะ แต่ยังตอบเรียบๆ “‘ตอน’ คือการทำหมันสัตว์ตัวผู้ โดยการตัด...เอ่อ...อัณฑะของมันออกไป โดยมากสัตว์ตัวผู้จะคะนองหรือดุร้าย เพราะสัญชาตญาณแย่งชิงตัวเมีย จึงอาจต่อสู้กับตัวผู้ด้วยกันจนบาดเจ็บหรือตาย และทำร้ายคนเลี้ยงได้ แต่ถ้าถูกตอน สัญชาตญาณหาคู่ของมันจะหายไป แล้วมันก็จะสงบเรียบร้อยขึ้น”
“ต...แต่ทำให้ม้าเป็นขันที มีลูกไม่ได้นี่นะ” หญิงสาวตกใจ “ไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
“มองในมุมของคนก็คงไม่เกินไปหรอก ปรกติม้าตัวผู้ที่สมบูรณ์ตัวเดียว ก็ผสมพันธุ์กับม้าตัวเมียหลายๆ ตัวเพื่อให้มีลูกในเวลาเดียวกันได้อยู่แล้ว เหมือนในฝูงที่เราเห็น ดังนั้นเก็บแค่ม้าพ่อพันธุ์ที่คัดเลือกมาดีแล้วไม่กี่ตัวก็ได้ ส่วนตัวที่เหลือก็ตอนให้หมดสัญชาตญาณหาคู่ จะได้ใช้งานได้ดีขึ้น”
“งั้น...ม้าตัวเมียล่ะ”
“ม้าตัวเมียถือว่ามีค่ากว่าม้าตอน เพราะสามารถผลิตลูกม้าใหม่ๆ ได้ แต่ก็ใช้งานได้ด้อยกว่าบ้าง ตรงที่ช่วงติดสัดมันจะหงุดหงิดง่าย แล้วถ้าปล่อยให้มันผสมพันธุ์จนมีลูกขึ้นมา ก็ต้องให้แม่ม้าได้พักเลี้ยงลูก ใช้งานไม่ได้มากเท่าม้าตอน ถึงอย่างนั้น พื้นนิสัยม้าตัวเมียโดยทั่วไปจะอ่อนโยนและฝึกง่ายกว่าม้าตัวผู้ที่ไม่ได้ตอน”
แอชลีนน์ค่อยๆ พยักหน้ารับ “งั้นพวกตัวที่ข้าหัดขี่ในวังคงเป็นม้าตอน รู้สึกว่าชื่อจะเป็นผู้ชายกันหมด แต่เรียบร้อยกันทั้งนั้น ถึงอย่างนั้น ข้าก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีม้าตอนแบบนี้ด้วย”
“ปรกติในฝูงม้าตามธรรมชาติจะมีตัวผู้ได้แค่ตัวเดียวหรือสองตัว นอกจากนั้นจะเป็นตัวเมีย ที่ต้องมีม้าตอนก็เพราะม้าตัวผู้อยู่ด้วยกันไม่ได้ถ้ามีตัวเมียอยู่ใกล้ๆ แต่ม้าตัวผู้อยู่กับม้าตอนได้ถ้าไม่มีตัวเมียอยู่ด้วย และม้าตัวเมียก็อยู่กับม้าตอนได้ไม่มีปัญหา ถึงอย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องตอนม้าแต่จัดกลุ่มม้าในคอกหรือทุ่งเลี้ยงดีๆ ก็หลีกเลี่ยงได้ แล้วม้าตัวผู้ที่ฝึกมาดีแล้วก็สามารถทำงานอยู่ใกล้ม้าตัวเมียที่ติดสัดได้ อย่างชาวทรายหรือชาวอัสลานมีความเชื่อว่าไม่ควรตอนสัตว์เหมือนซาเกรดา โซล กับธีร์ดีเร ก็จะใช้วิธีเลี้ยงแบบจัดกลุ่มแยกม้าตัวเมียกับตัวผู้ เพราะถ้าตัวผู้อยู่ด้วยกันโดยไม่มีตัวเมียอยู่ใกล้ ก็ยังรักษาความสงบกันได้ เหมือนฝูงม้าหนุ่มๆ ที่จับกลุ่มกันหลังโดนขับออกจากฝูงเดิม”
“อ๋อ” หญิงสาวพยักหน้าอีกครั้ง “แสดงว่าม้าตัวผู้ตัวนั้นก็เป็นจ่าฝูงสิ”
“เปล่า เป็นรองจ่าฝูง”
“อ้าว! แล้วจ่าฝูงล่ะ” เจ้าหญิงประหลาดใจ
“ก็ตัวเมียสีขาวตัวนั้น” อาเมียร์อธิบาย “คนส่วนมากจะเข้าใจกันว่าจ่าฝูงม้าเป็นตัวผู้ แต่ที่จริงเป็นตัวเมียที่แข็งแรงที่สุดในฝูงต่างหาก ส่วนตัวผู้เป็นรองจ่าฝูง คอยรั้งท้ายระวังภัย ตัวเมียที่เป็นจ่าฝูงจะเป็นตัวตัดสินใจว่าควรวิ่งหนีหรือสู้ศัตรู และนำทางฝูงไปหาอาหาร โดยจ่าฝูงจะได้ดื่มน้ำหรือกินอาหารก่อนลูกฝูงทุกตัว”
“อย่างนี้นี่เอง” แอชลีนน์นึกถึงตอนที่ม้าสีขาวนั้นดื่มน้ำในรางเพียงตัวเดียว ขณะที่ตัวอื่นๆ ยืนรออยู่
“เห็นไหมล่ะ กระทั่งม้ายังรู้เลยว่าผู้หญิงก็เป็นผู้นำได้ และทำได้ดีเสียด้วย” เจ้าชายแห่งความมืดสัพยอก จนเจ้าหญิงหัวเราะน้อยๆ “นอกจากรองจ่าฝูง ในฝูงอาจจะมีม้าหนุ่มอีกตัวตามมาห่างๆ โดยมากจะเป็นตัวที่รองจ่าฝูงเก็บไว้เป็นผู้สืบทอดของตัวเอง เพราะเวลาลูกม้าเกิดใหม่เริ่มโตได้ราวสองสามปี รองจ่าฝูงจะขับออกจากฝูงให้หมด ทั้งลูกตัวเมียและตัวผู้”
“หือ...ทำไมไม่เก็บลูกม้าตัวเมียไว้ล่ะ”
“เข้าใจว่าเพราะถ้าพ่อม้าผสมพันธุ์กับลูกมันเอง สายเลือดจะด้อยลง เลยต้องขับออกไปอยู่ฝูงอื่น จะได้รักษาความหลากหลายทางสายเลือดไว้”
“อือม์...” หญิงสาวนึกทึ่งกับความรอบรู้ของอาเมียร์ขึ้นมาอีกครั้ง และสงสัยขึ้นมาอีกอย่าง “แล้วเดสทริเยร์ที่ว่าเป็นม้าแบบไหนหรือ”
“เป็นม้าศึกที่มีลักษณะดีที่สุด เหมาะกับการประลองบนหลังม้า เพราะแข็งแรงและอดทนมาก เลยใช้แต่งเกราะหนักได้ สมัยก่อนเห็นว่าอัศวินกับขุนนางของธีร์ดีเรนิยมกันมาก ถึงได้มีราคาสูงอย่างเมื่อครู่ โดยเฉพาะเดสทริเยร์ตัวผู้ เขานิยมใช้ออกรบ เพราะว่ามันจะดุ และช่วยกัดหรือเตะศัตรูด้วย แต่คนทรายนิยมใช้ม้าตัวเมียรบ เพราะสงบเรียบร้อยกว่า”
“แล้วที่พ่อค้าบอกว่ามันเป็นม้าอกสิงห์คอหงส์...อะไรนั่นน่ะ เป็นลักษณะของเดสทริเยร์เหรอ”
“ฮื่อ ม้าอกสิงห์หมายถึงม้าที่มีอกกว้าง กล้ามเนื้อหนั่น แสดงว่าปอดใหญ่ จะแข็งแรงอดทนดี คอหงส์คือคอโค้ง เขาว่ากันว่าวิ่งเรียบฝีเท้าเร็ว ถ้าม้าหลังตรงจะรับน้ำหนักดีและขี่สบาย ผิดกับม้าหลังโค้ง รับน้ำหนักได้มากแต่ขี่กระเทือน เหมาะจะใช้บรรทุกของมากกว่า ส่วนม้าหลังแอ่นขี่สบายแต่รับน้ำหนักได้ไม่มากและไม่นาน แล้วถ้าบั้นท้ายม้าหนาใหญ่ มันจะมีกำลังดี จะหยุดวิ่งหรือเลี้ยวกลับตัวกะทันหันก็ทำได้ง่าย”
“งั้นก็มีม้าศึกแบบอื่นอยู่สินะ”
“ใช่ ถ้าแบ่งม้าตามลักษณะการใช้งานที่เหมาะสมกับสรีระของมัน ไม่เกี่ยวกับสายพันธุ์ รองจากเดสทริเยร์มีม้าศึกที่เรียกว่าคอร์เซอร์ เป็นม้าเบา เร็ว และแข็งแรง เวลารบจะใช้แพร่หลายกว่าเดสทริเยร์ แล้วก็ใช้ในการล่าสัตว์ด้วย นอกจากนั้นก็มีม้าเล็กเบาฝีเท้าจัดที่เรียกว่าฮอบบี เหมาะสำหรับใช้ลาดตระเวน ส่วนชนิดที่ใช้ได้สารพัดประโยชน์ ตั้งแต่เป็นม้าศึก ม้าขี่อื่นๆ หรือแม้แต่ม้าขนของเรียกว่าเราน์เซย์ ถึงอย่างนั้น พวกเราน์เซย์เขาไม่ใช้เทียมรถ และม้าขนของหรือทำงานในไร่จะเป็นพวกม้าทำงานที่ตัวเตี้ยตัน โครงหนา เหมือนตัวที่ข้าซื้อมาลากรถในตอนนั้น”
“ข้าพอเข้าใจว่าม้าแบ่งเป็นม้าขี่กับม้าขนของ แต่ไม่นึกเลยว่าจะแยกย่อยลงไปได้เยอะอย่างนี้” เจ้าหญิงเปรยขึ้น “นึกว่าแค่หัดขี่ม้าไปเรื่อยๆ ก็พอเสียอีก”
“ที่จริง ถ้าจะหัดแบบใช้การได้ เจ้าหัดขี่ม้าแบบนั่งคร่อมอย่างผู้ชายดีกว่า นั่งเบี่ยงข้างเหมาะจะเอาไว้ขี่สวยๆ ในขบวน แต่ทรงตัวและเร่งความเร็วยาก ถ้าจะขี่ม้าเพื่อเอาตัวรอดหรือสู้รบ ก็อย่าหวังพึ่งนั่งเบี่ยงข้างเลย”
“ก็จริง ข้าอยากขี่ม้าแบบผู้ชายมากกว่านะ แต่ในวังเขาไม่ยอมให้ข้าใส่กางเกงขี่ม้า” แอชลีนน์ย่นหัวคิ้ว “ยังกะใส่กระโปรงนั่งเบี่ยงข้างสบายนักล่ะ เรียนเสร็จที ชายกระโปรงก็เปื้อนฝุ่น แถมชุ่มเหงื่อม้าไปหมด กลิ่นแรงแถมยังซักออกยากด้วย ใส่กางเกงกับบู๊ตขี่ม้าแบบผู้ชายคงสบายกว่ากันเยอะ”
อาเมียร์หัวเราะน้อยๆ “ม้าคงจะตามไปหาเจ้าในอีกสองสามวัน ดังนั้นช่วงนี้ข้าจะให้การบ้านไปศึกษาสรีระของม้า กับอุปกรณ์ขี่ม้าก่อนก็แล้วกัน”
หญิงสาวชะงัก “...หา?”
“จะขี่ม้าก็ต้องรู้จักม้าให้ดีก่อน ทั้งเรื่องของม้าโดยทั่วๆ ไป กับนิสัยใจคอและลักษณะของม้าที่เราขี่ ข้าขนตำราเกี่ยวกับม้าจากจวนมาให้เจ้าอ่านเรียบร้อยแล้ว วันนี้กลับไปอ่านสักสองบท คงไม่หนักเกินไปหรอกนะ”
“ท่านทิ้งความเป็นอาจารย์ไม่ลงจริงๆ เลย...อ๊ะ!”
ชายหนุ่มยื่นมือมาลูบผมของเธอ (แต่ติดช้องผมสั้นทรงผู้ชายที่สวมทับอยู่)
“ตั้งใจเรียน แล้วอาจารย์จะสอน ‘คาถาสะกดใจม้า’ ให้ ตกลงไหม”
“...ข้าจะใช้อะไรแบบนั้นได้ด้วยเหรอ” เจ้าหญิงสงสัย
“มันเป็นคาถาที่ใครๆ ก็ใช้ได้ ไม่จำกัดว่าเป็นสายเลือดของสุริยเทพหรืออสุรเทพ ไม่เชื่อก็รอดูแล้วกัน แต่สำคัญที่สุดต้องทำการบ้านมาก่อน”
“ขอรับ...ขอรับ อาจารย์”
อาเมียร์หัวเราะออกมา ยังผลให้แอชลีนน์หัวเราะตามเช่นกัน เมื่อหวนนึกถึงความทรงจำดีๆ เมื่อปีก่อนนั้น
* * * * *
“เคียรา รถม้าเรียบร้อยแล้วนะ” เสียงตอบยืนยันตัวตนดังขึ้นหลังเสียงเคาะประตู
“พ...เพคะ” นางกำนัลสาวตอบเสียงสั่น และจัดสายประคำที่สวมกับชุดสำหรับไปโบสถ์อย่างประหม่า ก่อนจะเปิดประตูออกไปพบนายเหนือ ซึ่งอยู่ในฉลองพระองค์อย่างผู้ชาย ถุงพระหัตถ์หนัง กับฉลองพระบาทบู๊ตขี่ม้าสูงเหนือเข่า ส่วนพระเกศารวบมัดเป็นหางม้าง่ายๆ
ต่อให้เห็นติดต่อกันมาได้หลายวันแล้ว เคียราก็ทำใจให้คุ้นกับภาพแบบนี้ของเจ้าหญิงไม่ได้เสียที ยิ่งทรงม้าแบบนั่งคร่อมราวกับผู้ชาย แล้วในตอนเย็นก็มอมแมมไปทั้งพระวรกายจากการทำงานในคอกม้า หรือมีรอยฟกช้ำจากการซ้อมอาวุธ ถูกม้ากัด หรือตกม้า...ก็ยิ่งให้ขุ่นเคือง ว่าคนทรายนั่นช่างยุยงให้เจ้าหญิงทรงทำเรื่องพิเรนทร์และเสี่ยงอันตรายเกินรับ
แต่เมื่อไรที่นางกำนัลสาวขอร้องให้พอ เจ้าหญิงแอชลีนน์ก็จะทรงแก้ต่างทันควัน ว่ามีอาเมียร์คอยช่วยระวังให้แล้ว และเธอทำทุกอย่างนี้เพื่อฝึกฝนให้ป้องกันตนเองจากภัยต่างๆ ได้...ทั้งๆ ที่เคียราเห็นว่าม้าตัวสูงใหญ่นั้นต่างหากที่เป็นภัย
แล้วต่อให้เพื่อฝึกฝนป้องกันตนเอง ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหญิงต้องทรงถึงกับลงไปแปรงขนม้า อาบน้ำให้ม้า ให้อาหารม้า แคะทำความสะอาดกีบเท้าม้า ตลอดจนล้างคอกม้าด้วยพระองค์เองเลย
แต่ก็นั่นเอง พอหญิงสาวแย้งเรื่องนั้นขึ้นมา นายเหนือก็ตีสีพระพักตร์ยุ่ง ตรัสอย่างเคร่งขรึมว่าการทำความรู้จักคุ้นเคยกับม้าเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งในเวลาจำเป็นที่หาคนดูแลม้าไม่ได้ เจ้าของหรือคนขี่ก็ต้องรู้ว่าม้ามีปัญหาที่ตรงไหน และจะช่วยมันได้อย่างไร ถึงแม้ว่านางกำนัลสาวจะมองไม่ออกอีกเช่นกัน ว่าชีวิตของเจ้าหญิงและราชินีในอนาคตจำเป็นต้องมานั่งดูแลม้าเพราะหาคนดูแลม้าไม่ได้เชียวหรือ
ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร เจ้าหญิงแอชลีนน์ก็ดูเหมือนจะทรงพอพระทัยกับเรื่องที่อาเมียร์หามาให้ทำเสียเหลือเกิน ต่อให้ทรงบ่นว่าชายคนทรายสอนให้ดูแลม้ากับคอก และฝึกเข้าหากับใส่เครื่องม้าอย่างถูกต้องอยู่หลายวัน แต่ไม่ยอมให้ขึ้นหลังม้าเสียที กว่าจะได้ฝึกขี่ม้าสีขาวตัวเล็ก ซึ่งทรงตั้งชื่อว่า ‘เฟเนลลา’ แต่เรียกย่อๆ ว่า ‘เฟ’
ส่วนม้าสีน้ำตาลแดงตัวใหญ่นั้นทรงตั้งชื่อว่า ‘เอ็มบาร์’ อาเมียร์ขี่มันบ้างในตอนเย็นที่มาสอน แต่ยังไม่อนุญาตให้เจ้าหญิงทรงม้าตัวนี้ ถึงอย่างนั้นก็ทรงต้องดูแลมันเช่นเดียวกับเฟ และเก็บเรื่องมาบ่นให้เคียราฟังว่าถูกมันกัดหรือเอาหัวชนพระอังสาเรียกร้องขอขนมบ่อยๆ แต่มีอาเมียร์คอยปรามมันอยู่ อีกทั้งพระองค์ทรงยืนยันว่าจะเอาชนะใจมันให้ได้
ดูเหมือนจะทรงตั้งพระทัยเช่นนั้น แม้ในวันศักดิ์สิทธิ์ประจำสัปดาห์อย่างวันนี้ แต่เคียราก็อดถามไม่ได้
“ไม่เสด็จไปโบสถ์ด้วยกันหรือเพคะ”
“เมื่อเช้าเราสวดมนต์ยาวแล้ว อีกอย่างมีแค่วันนี้ที่อาเมียร์ว่างทั้งวัน เราเองก็อยากขี่ม้านานๆ ด้วย” เจ้าหญิงตรัสบอก “ตอนนี้เฟเริ่มคุ้นกับเดินเหยาะแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเรียนวิ่งเหยาะกับวิ่งควบให้ได้เร็วๆ”
“อย่าเร่งมากนักเลยเพคะ” นางกำนัลสาวยังคงเตือน “อะไรที่อันตราย ก็ทรงระวังไว้ก่อนเถอะ”
“เรารู้” พระขนงเรียวขมวดทันควัน “แต่ถ้ากลับวังจริงๆ จะมีโอกาสได้ฝึกขี่ม้าอย่างนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
เคียราปิดปากเงียบในเรื่องนั้น ด้วยไม่รู้ว่าหากพูดไปแล้ว จะกลายเป็นการทำให้เจ้าหญิงทรงบ่นเรื่องที่ครูฝึกม้าในวังไม่ยอมให้สวมกางเกงทรงม้าแบบผู้ชาย แถมยังไม่ได้สอนการเลี้ยงม้าให้แบบชายคนทรายไปแทนหรือไม่
ต่อให้ทรงบ่นอยู่ว่าทำไมท่านดูลัสถึงเงียบหายไปหลังออกเดินทาง จนล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่สามแล้ว ก็ดูเหมือนพระองค์จะตรัสว่าดีที่มีเวลาฝึกอาวุธกับฝึกขี่ม้า (กับอาเมียร์) นานขึ้น และร่าเริงอยู่แทบทุกเย็นหรือวันว่างที่ชายคนทรายแวะมา
“หม่อมฉันทูลลาก่อนนะเพคะ องค์หญิงก็ทรงระวังพระองค์ให้มากด้วยล่ะเพคะ”
“อื้อ” หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวกลับไป “เคียราก็เดินทางดีๆ นะ เดี๋ยวเราลงไปดูเฟกับเอ็มบาร์ก่อน”
“เพคะ” นางกำนัลสาวได้แต่มองนายหญิงเดินกึ่งวิ่งจากหน้าประตูห้องของเธอไปยังประตูด้านหลังบ้าน ซึ่งออกไปทางคอกม้าได้สะดวกกว่า จนลับตาแล้วจึงได้ตรวจดูความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายอีกครั้ง แล้วเดินไปทางหน้าบ้านที่มีรถม้าจอดรออยู่กับคนรับใช้
หัวใจยังเต้นรัวเร็วอยู่ในอก เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงที่เธอขออนุญาตออกไปเข้าโบสถ์ในวันนี้
* * * * *
คนเขียนขอคุย
ที่จริง ตอนนี้น่าจะตั้งชื่อว่า “เรื่องม้าๆ” ก็ได้นะนี่ ^^a
คิดมาได้พักนึงว่าแอชน่าจะหัดขี่ม้าเป็นเรื่องเป็นราว อาจจะเป็นอิทธิพลจากนิยายเรื่อง Magic Study (ภาคต่อของ Poison Study) ด้วยก็ได้ เพราะอ่านนิยายแฟนตาซีมาหลายเรื่อง ก็ยังไม่เคยเห็นเรื่องที่ลงลึกเกี่ยวกับการเรียนขี่ม้าของตัวเอกตั้งแต่ขั้นเบสิคแบบนี้ แล้วส่วนตัวก็เป็นคนชอบอ่านอะไรที่เป็นเกร็ดความรู้หรือรายละเอียดในนิยายอยู่มาก แถมชอบลักษณะเจ้าหญิงชอบม้าอย่างเซรีในเซรีญาของคุณลวิตร์ด้วย (แต่เซรีเป็นโปรเรื่องการขี่ม้ากับดูแลม้าไปแล้ว...)
แต่พอคนเขียนไม่เคยขี่ม้า + ไม่มีทุนทรัพย์ไปเรียนเป็นเรื่องเป็นราว =w=a เลยต้องใช้วิธีถามและอ่านหาข้อมูลเอา เลยเลือกส่วนที่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับม้าในยุคกลาง ธรรมชาติของฝูงม้า กับลักษณะของม้ามาก่อน เรื่องของการแบ่งประเภทม้าในยุคกลางผมว่าน่าสนใจดี แล้วมานึกดูว่าการแต่งกระโปรงยาวย้วยทำให้ต้องนั่งอานข้างสำหรับผู้หญิงนี่ก็ท่าทางจะลำบากไม่เบา
ส่วนลักษณะการเดินของม้า ผมเทียบจากภาษาอังกฤษ เพราะลองหาของในเน็ตแล้วไม่เจอแหล่งข้อมูลภาษาไทย walk-เดิน trot-เดินเหยาะ canter-วิ่งเหยาะ gallop-วิ่งควบ และ amble-วิ่งนิ่ม เทียบเอาให้อ่านเข้าใจง่ายในตัวเรื่อง หากมีใครเรียนขี่ม้าแล้วทราบศัพท์เทคนิคจริงๆ ช่วยบอกหน่อยก็ดีนะครับ
ในช่วงครึ่งหลังของตอน จุดประสงค์ที่แท้จริงที่เคียราออกมาคืออะไร ขอให้ติดตามชมต่อไปครับ
และในตอนนี้ ขอขอบคุณน้องปลาตากลมจากบอร์ด dek-d ที่แนะนำข้อมูลหลายๆ อย่างครับผม :)
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
11 มิ.ย. 54 00:53:04
|
|
|
|