มิ่งแก้วจอมหทัย บทที่ ๑๒ : ทัณฑ์แห่งอาชญา (ท่อนเริ่ม)
|
 |
++ "ในนามของอริญชย์ ลาภผลสักการใดๆ อันเกิดขึ้นแต่นวนิยายชุด "สายรุ้ง...เวียงภูแก้ว" ทั้งสามภาคนี้ ทั้งในเบื้องนี้และเบื้องหน้าก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของผลทรัพย์ หรือผลบุญก็ตาม ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศไปยังดวงพระวิญญาณของเจ้าเสือข่านฟ้า เจ้าขุนสามหลวงฟ้า และพระเจ้าสโตมินพญา ตลอดจนดวงวิญญาณของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของนวนิยายทั้งสามภาคนี้เถิด"
วันนี้อินมาขึ้นต้นแปลกๆ นิดนึงค่ะ แต่อย่าได้ตกใจกันไป เพราะตั้งแต่เขียนนวนิยายทั้งสามเรื่องนี้มา ก็มีแต่เรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นมาตลอด ยิ่งช่วงนี้ยิ่งมีมากขึ้นเป็นพิเศษ ก็เลยขอนิดนึง เพื่อความสบายใจของอินเองค่ะ แหะๆ
อีกนิดนึงค่า ตอนนี้บลอคของอินเข้าไม่ได้ชั่วคราวนะคะ เกิดเหตุขัดข้องบางประการ เล่นเอาข้อมูลหายไปทั้งบลอคเลย ตอนนี้อารมณ์อย่างเซ็งเลยค่ะ ++
บทที่ ๑๒ : ทัณฑ์แห่งอาชญา (ท่อนเริ่ม)
ล่วงเข้าเพลาสองยาม ทุกสิ่งก็กลับคืนสู่ความสงบอีกคำรบ ท้องพระโรงแห่งธาตวากรสว่างไสวด้วยแสงประทีปชวาลาแลคลาคล่ำด้วยเสนามาตย์น้อยใหญ่ที่เข้ามารอเข้าเฝ้าแน่นขนัด จนท้องพระโรงที่กว้างใหญ่แลดูคับแคบไปถนัดตา แสงไฟที่กระทบต้องเสาแลราชบัลลังก์ทองเป็นประกายอร่ามเรืองดูงดงามแลน่าเกรงขามอย่างประหลาด สายตาทุกคู่จับนิ่งอยู่เพียงบานประตูด้านข้างที่จักเปิดออกสู่ราชอาสน์สุวรรณหงส์ เสียงพูดคุยเซ็งแซ่จนแทบฟังมิได้ศัพท์ ด้วยข้าราชบริพารบางส่วนเพิ่งถูกเรียกตัวมาจากนอกเมืองโดยปัจจุบันทันด่วน เมื่อเข้ามาก็แลเห็นสภาพร่องรอยการต่อสู้ที่เหลืออยู่ก็ให้สงกานัก จึงไต่ถามสหายตนที่อยู่ถวายการรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ร้ายนั้นก็มิได้ตอบคำถามว่าอย่างใด ด้วยเพลานั้นเจ้าพนักงานขานบอกถึงการเสด็จออกท้องพระโรงของเจ้าหลวงวายุกูลเสียก่อน เสียงเซ็งแซ่จึงพลอยสงัดเงียบลงพร้อมกันในบัดดล
วรกายสูงโปร่งเสด็จออกจากบานพระทวารทางด้านข้างแล้วสืบบาทมาประทับหยัดองค์ตรงเหนืออาสน์สุวรรณหงส์ แม้จักทรงพระประชวรก็ตามที หากแววของความอ่อนโรยนั้นก็ไม่อาจกลบบังรัศมีแห่งเจ้ามหาชีวิตได้ ดวงพักตร์เข้มคมละม้ายเจ้าชายศิขริน หากดูอ่อนโยนกว่าด้วยดวงเนตรสีอ่อนรับกับขนงเข้มที่มีแววเมตตาอยู่เป็นนิตย์
“พวกท่านที่เพิ่งเข้ามาคงสงสัยกระมังว่าไยข้าจึงเรียกประชุมเสวกามาตย์ดึกดื่นดังนี้ นั่นเป็นด้วยข้ามีเรื่องร้อนที่จักแจ้งให้พวกท่านทราบ”
อีกคำรบที่เสียงเซ็งแซ่นั้นดังขึ้นในท้องพระโรง แม้จักเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ ก็ตามที หากเมื่อหลายเสียงรวมกันเข้าก็ย่อมเป็นเสียงที่ดังได้ไม่ยาก ปวงเสวกามาตย์เหล่านั้นราวจักหลงลืมไปชั่วขณะว่าตนนั้นอยู่เข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์ หาควรทำกิริยาดั่งนี้ไม่ แต่เพียงพักเดียวก็รู้ตนแลกลับคืนสู่ความสงบดังเดิม เจ้าหลวงวายุกูลทรงพยักพระพักตร์ให้หัสดินทร์ แม่ทัพเฒ่าจึงค้อมศีรษะลงต่ำรับพระราชโองการ แล้วคลานเข่าถอยไปสามช่วงก่อนลุกขึ้นผละไปทางบานพระทวารด้านทิศใต้ อันเป็นบานพระทวารที่จักเปิดต่อเมื่อพานักโทษอุกฉกรรจ์มาเข้าเฝ้าเท่านั้น สายตาทุกคู่จึงจับนิ่งไปในทิศทางเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย ความสนใจของคนเหล่านั้นอยู่ที่ว่า ผู้ใดคือนักโทษสำคัญคนนั้น แลไยเจ้าหลวงวายุกูลจึงต้องทรงเร่งร้อนที่จักนำตัวมาเข้าเฝ้าเพลาค่อนราตรีดั่งนี้ ทำให้ไม่มีผู้ใดทันสังเกตสีหน้าของท่านผู้เฒ่าแลเจ้าหลวงที่มิสู้ดีนักสักคนเดียว
ทันทีที่บานพระทวารด้านนั้นเปิดออก ทหารชั้นนายกองสี่นายก็เข้าคุมตัวนักโทษสองคนผ่านเข้ามา เมื่อคนโทษทั้งสองปรากฏชัดในคลองจักษุ เสนามาตย์ที่เพิ่งเข้าวังหลวงมาก็ตกใจหาน้อยไม่ ด้วยคนโทษที่ถูกคุมตัวเข้ามาคนแรกในลักษณะถูกเชือกเส้นใหญ่พันธนาการแน่นหนานั้นคือชิณณะ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แลตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นคนโทษคนที่สองซึ่งถูกกุมตัวด้วยลักษณาการไม่ต่างกันนั้น คือเจ้าชายศิขริน ส่วนเสวกามาตย์ส่วนใหญ่นั้นยังคงดำรงตนอยู่ในความสงบนิ่งเช่นเดิม
ชิณณะดิ้นรนเกือบตลอดเพลา จนเมื่อถูกนำตัวมาอยู่เบื้องพระพักตร์แล้วก็ตาม อดีตผู้สำเร็จราชการยังคงแข็งขืนไม่ยอมทรุดตัวลงนั่ง ซ้ำยังเผลอตนจ้องมองไปที่เจ้าหลวงวายุกูลอย่างเคียดแค้น ร้อนถึงนายกองคนหนึ่งต้องเตะเข้าที่ข้อพับ จึงยอมนั่งลงได้ ส่วนเจ้าชายศิขรินนั้นมิได้ทรงแสดงอาการอย่างใด คงสงบนิ่งดุจเคยเป็น วรกายสูงทรุดองค์ลงประทับคุกพระชานุลงกับพื้น เศียรก้มต่ำลงดุจจักทรงคอยสดับทัณฑ์แห่งตน เจ้าหลวงวายุกูลทอดพระเนตรลักษณาการที่แตกต่างกันของสองอนุชาแล้วก็ทอดถอนพระทัย สายโลหิตแห่งขัตติยะที่แท้จริงนั้นดูไม่ยากเลย
“ศิขริน ชิณณะ ข้าให้เจ้าทั้งสองได้แถลงเบิกความแลแก้ต่างให้ตนเอง ไยเจ้าทั้งสองจึงคิดทุรยศเป็นกบฏต่อข้าแลแผ่นดินเยี่ยงนี้”
“ข้าบาทหาได้เป็นขบถดั่งที่ถูกใส่ไคล้ไม่ ข้าบาทแจ้งว่าเจ้าชายศิขรินจักกระทำการใหญ่ในราตรีนี้ จึงได้นำทหารเข้าต่อสู้เป็นสามารถ ข้าบาทฤๅจักมีใจทุรยศดั่งถูกกล่าวหา ขอเจ้าหลวงทรงเมตตามีพระบรมราชวินิจฉัยด้วยเถิด กระหม่อม”
ชิณณะเร่งทูลทันที แทบว่าจักเป็นการสวนพระวาจาของเจ้าหลวงวายุกูลเสียด้วยซ้ำ คำให้การของเขานั้นทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์มาตลอดทั้งทิวาหันขวับมามองผู้ร้ายปากแข็งด้วยสายตาชิงชังแลหมิ่นหยามอย่างที่สุด กิริยาวาจานั้นช่างขัดเสียเหลือเกินกับสิ่งที่เจ้าตัวได้กระทำลงทั้งก่อนนี้ แลที่เพิ่งผ่านไปมิทันถึงอึดใจ วาจาเดียวกันนั้นยังให้อัคนีที่ถูกกันตัวให้ฟังความอยู่ทางด้านหลังพระทวารด้านทิศเหนือกับสหายทั้งสามเกือบพุ่งปราดเข้าไปด้านในด้วยความโกรธ ดีที่สามบุรุษช่วยรั้งตัวเอาไว้เสียก่อน
“ศิขริน เจ้าจักแก้ตัวว่าอย่างใด”
“ข้าบาทไม่มีสิ่งใดจักต้องแก้ตัว กระหม่อม เกิดเป็นคนกล้าทำย่อมกล้ารับ หาไม่คงเสียชาติเกิดกระหม่อม”
พระสุรเสียงตอบราบเรียบเฉกดวงพักตร์ หากเนตรคมนั้นกลับมีแววยิ้มๆ เจือประสมอยู่ ไม่จำเป็นที่จักต้องเหลือบไปให้เสียพระเนตรก็ย่อมทรงทราบว่า บุรุษที่นั่งคุกเข่าอยู่ห่างพระองค์ออกไปราวสองศอกจักมีท่าทีเยี่ยงไร พระวาจานั้นทำให้หลายคนหัวเราะเยาะออกมาอย่างเปิดเผย หลายคนพากันก้มลงซ่อนหน้ากลั้นยิ้ม ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหลวงวายุกูลที่พอสดับพระอนุชาแล้วก็อดที่จักเบือนพักตร์ซ่อนแย้มพระโอษฐ์เสียมิได้ พลางดำริ
'ศิขริน เจ้านี่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด กระบวนใช้วาจาต่างคมดาบนี้ไม่มีผู้ใดเกินเจ้าไปได้'
“เจ้าชายศิขริน พระองค์ทรงหาว่าข้าบาทเสียชาติเกิดกระนั้นรึ”
ชิณณะตวาดถามขึ้นมาอย่างโกรธประสมอายที่ตนถูกหัวเราะเยาะหยันจากคนทั้งท้องพระโรง เจ้าชายศิขรินจึงทรงเบือนพักตร์มาทอดพระเนตรอีกฝ่ายด้วยแววเนตรยั่วโทสะ
“เจ้าว่าอย่างใดนะชิณณะ ฟังผิดฤๅอย่างใด มีความตอนใดบ้างฤๅที่ข้าอ้างถึงเจ้า ข้าทูลความเจ้าหลวงตามจริงมิใช่รึ”
“เจ้าชายศิขริน!” อดีตผู้สำเร็จราชการหน้าแดงก่ำ แม้นโผนเข้าไปทำร้ายได้ก็เห็นจักลงมือโดยมิรอช้า เจ้าชายศิขรินกระตุกมุมโอษฐ์นิดๆ พลางทรงหันไปทอดพระเนตรข้าราชบริพารที่นั่งฟังความเป็นสักขี ก่อนตรัสถาม
“มีผู้ใดได้ยินข้าออกนามชิณณะฤๅไม่”
ไม่มีผู้ใดทูลตอบแม้เพียงสักครึ่งคำ หากความเงียบที่เกิดขึ้นนั้นแทนคำตอบสิ้นแล้ว ชิณณะหน้าซีดสลับแดงก่ำพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่เป็นครู่ ทั้งที่รู้ แต่ยังยอมตนตกบ่วงเล่ห์ของคู่อริเข้าอีกจนได้ จักโทษผู้ใดเล่านอกจากความเขลาของตน
“ศิขริน พอเถิด เพลานี้เจ้าอยู่ต่อหน้ามหาสมาคม ลืมแล้วฤๅ”
สุรเสียงทุ้มนุ่มรับสั่งท้วงขึ้น เจ้าชายแห่งไฟจึงทรงขยับวรกายกลับมาประทับนิ่งดังเดิม หากเนตรสีน้ำตาลไหม้ยังเป็นประกายระยับพราวดุจเด็กหนุ่มเพิ่งรุ่นอย่างที่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมานานหนักหนาแล้ว เจ้าหลวงวายุกูลทอดพระเนตรท่าทีนั้นก็อดแย้มพระโอษฐ์นิดๆ มิได้
“ศิขริน ข้าให้โอกาสเจ้าอีกคำรบ เจ้าจักแก้ต่างให้ตนเองว่าอย่างใด ลำพังให้การรับสารภาพเพียงประการเดียวนั้น หาเป็นเหตุให้ข้าตัดสินความโดยฉับพลันทันใดไม่ อันว่าคนโทษนั้น มิว่าจักทำความผิดเล็กจ้อยหรือใหญ่หลวงสักเท่าใดก็ดี ก็ต้องมีเหตุผลแห่งการกระทำนั้นเป็นมูลเหตุ นี่ข้าไม่รู้ต้นสายปลายเหตุเลยว่าไยเจ้าจึงคิดการใหญ่เยี่ยงนี้ จู่ๆ ก็รับเป็นสัตย์เอาเสียแล้ว”
“รับเป็นสัตย์เสียเท่านั้นก็สิ้นการไต่สวนมิใช่รึ กระหม่อม”
“รับเป็นสัตย์มีอยู่สองประการ ลืมแล้วฤๅ หนึ่งด้วยใจสมัคร แลสองถูกบังคับให้เป็นดั่งนั้น”
“ข้าบาททำด้วยใจสมัคร กระหม่อม”
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าทำด้วยใจสมัคร เช่นนั้นก็จงบอกถึงเหตุที่ดลใจเจ้าให้ทำการครานี้จักเป็นไร”
พักตร์เข้มเงยขวับขึ้นทอดพระเนตรผู้อยู่ในฐานะเจ้ามหาชีวิตแลพระเชษฐาแทบว่าจักทันที่ที่รับสั่งจบ ถ้อยรับสั่งนั้นแม้นฟังเผินๆ ก็คล้ายการไต่สวนตามธรรมดา หากนัยที่อีกฝ่ายทรงจงพระทัยส่งผ่านมายังพระองค์ต่างหากที่ทำให้เจ้าชายแห่งไฟทรงสะดุดพระทัย ไยต้องรับสั่งให้ต้องทรงบอกเล่าถึงสาเหตุอีก ในเมื่อธรรมเนียมการไต่สวนของธาตวากรนั้น ลงว่าจำเลยรับเป็นสัตย์ ราชมัลก็พร้อมจักนำตัวคนโทษผู้นั้นไปลงทัณฑ์ตามระบิลเมือง ไม่เคยสักคราที่จักต้องมีการไต่สวนทวนความอีกสืบไป นี่เจ้าหลวงวายุกูลทรงดำริการใดไว้กันแน่ ครั้นทรงเหลือบแลไปทางหัสดินทร์แลเมฆาที่นั่งประจำอยู่ในตำแหน่งของตระลาการ ก็ทอดพระเนตรสองท่านผู้เฒ่านิ่งอยู่เป็นดุษณี ครั้นเหลือบไปทางคณะลูกขุนก็ทอดพระเนตรคนเหล่านั้นนั่งนิ่งอยู่เฉกเดียวกัน หามีเค้าว่าจักทูลค้านขึ้นอย่างใดไม่ ก็ยิ่งทรงสงกาหนักขึ้น
“แม้นเป็นเช่นนั้น ข้าบาทขอให้ชิณณะแถลงเบิกความก่อนเถิด กระหม่อม ขึ้นชื่อว่าไต่สวนแล้ว ก็ต้องทำโดยเสมอภาคทั่วทุกคนมิใช่ฤๅ”
ทรงเกี่ยงให้ชิณณะทูลก่อนด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่งคือเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตัดสินความโดยเที่ยงธรรม หากสิ่งที่ทรงสังหรณ์เป็นความจริง ทรงเชื่อนักว่าไม่ว่าชิณณะจักกราบทูลแก้ต่างว่าอย่างใด ทัณฑ์ของมันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายถูกกำหนดให้เป็นไปเอาไว้ก่อนแล้ว ทั้งองค์เองแลอดีตผู้สำเร็จราชการเป็นแต่เพียงตัวหมากที่เดินไปตามคนเล่นกำหนดให้เดินแต้มเท่านั้น ประการที่สองนั้นเล่า ทรงมีพระประสงค์จักถ่วงเพลาให้เนิ่นช้าออกไป เพื่อทอดพระเนตรเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินนี้ให้รอบคอบแลรอบด้านมากที่สุด เพิ่งจักทรงสังเกตก็เพลานี้เองว่า สี่ขุนพลธาตุมิได้อยู่ในท้องพระโรงนี้ในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย อันเป็นเรื่องผิดวิสัยยิ่งนัก
เจ้าหลวงวายุกูลทรงลอบสบเนตรด้วยสองผู้เฒ่าน้อยหนึ่งคล้ายจักหารือ ครั้นทอดพระเนตรอีกฝ่ายพนักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงทูลให้ทรงยอมทำตามพระประสงค์ของเจ้าชายศิขริน จึงทรงออกโอษฐ์ให้ทุกสิ่งเป็นไปตามนั้น สายพระเนตรที่สบประสานด้วยพระอนุชาราวจักรับสั่งถาม
“พี่ให้ตามที่เจ้าขอแล้ว สมใจฤๅไม่เล่า”
วรองค์สูงถอนพระทัยเฮือกใหญ่ ก่อนทรงใช้สายพระเนตรทูลตอบไปบ้าง
“ขอบพระทัย กระหม่อม แต่ที่ข้าบาทใคร่รู้ยิ่งไปกว่านั้นคือ ทรงเล่นอันใดอยู่กันแน่”
ไม่มีคำตอบใดกลับมาอีกนอกจากรอยแย้มพระโอษฐ์จางๆ เท่านั้น ก่อนจักทรงหันไปทางชิณณะที่นั่งหน้าชื่นขึ้นบ้างเมื่อสดับความที่คู่อริได้ทูลตอบไปก่อนหน้านี้ กระแสรับสั่งนั้นเยียบเย็นอย่างที่ไม่ว่าผู้ใดก็มิเคยได้ยินมาก่อน
“ชิณณะ มีสิ่งใดใคร่แถลงอีกก็จงว่ามาเถิด แลอย่าลืมว่าเพลานี้เจ้าเองก็ต้องทัณฑ์ขบถเฉกกัน ข้าหวังใจว่าเจ้าจักไม่ลืมเบิกความถึงสาเหตุที่เจ้าอ้างว่าถูกใส่ไคล้หรอกนะ”
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนน้ำลายเหนียวหนับจนกลืนแทบไม่ลงคอ ที่คิดว่าตนเองเริ่มเป็นฝ่ายมีแต้มต่ออยู่ในมืออยู่ก่อนหน้า มาบัดนี้กลับกลายเป็นถูกไล่ต้อนให้เข้าสู่มุมอับโดยมิทันรู้เนื้อรู้ตัว เมื่อแรกก็ค่อยใจชื้นแลสาแก่ใจที่เจ้าชายศิขรินทรงยอมรับออกมาตรงๆ ว่าทรงเป็นขบถเสียเอง ถึงจักเสียหน้าบ้างก็มิเท่าใดนัก แต่นี่เจ้าหลวงวายุกูลกลับทรงให้เขาแลคู่อริคนสำคัญแถลงความถึงมูลเหตุจูงใจเข้าดั่งนี้ ถ้อยคำแก้ต่างให้ตนเองต่างๆ นานาผุดขึ้นมาในหัวอย่างรวดเร็ว ทั้งที่รู้ วาจาโป้ปดคำโตได้พูดจาไปสิ้นแล้วเมื่อชั่วอึดใจที่ผ่านมา วาจาที่เจ้าตัวเพิ่งประจักษ์ชัดว่าคนเดียวที่เขาหวังจักให้เชื่อนั้น มิได้เชื่อถือเขาอีกสืบไป เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เหงื่อกาฬเม็ดใหญ่ๆ ก็ผุดขึ้นทั่วทั้งใบหน้าแลไหลโซมกาย ทั้งที่ทั่วสรรพางค์กายเย็นเยียบดุจอยู่บนยอดดอยยามเหมันต์มิผิดเพี้ยน ถ้อยคำที่ลอดออกจากปากจึงฟังตะกุกตะกักหนักหนา
“ข้าบาท...ข้าบาท”
“จงว่าไปชิณณะ ถ้อยความใดที่จักออกจากปากเจ้านับแต่เพลานี้ไป ใช่แต่ข้าแลทุกๆ คนในที่นี้จักรับรู้ หากยังมีเทวาที่รักษาเศวตฉัตรแห่งธาตวากร ตลอดจนพระเสื้อเมืองทรงเมืองทรงรอสดับความเฉกกัน”
*** มีต่อค่ะ
แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 54 17:20:08
แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 54 15:07:10
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
11 มิ.ย. 54 15:04:57
|
|
|
|