วิหารโบราณอายุนับร้อยปีหลังนั้น ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแมกไม้ร่มครึ้มเขียวขจี แม้จะผ่านกาลเวลามายาวนาน หากความงามสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมยังคงหลงเหลือให้เห็นอย่างครบถ้วน ตัวอาคารเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมกว้างขวาง มีผนังและกำแพงก่อด้วยก้อนศิลาสีขาวสะอาดซ้อนเรียงเป็นระเบียบ สูงจากพื้นจรดจั่วหลังคาซึ่งแกะสลักเป็นลวดลายกนกโบราณงามวิจิตร ส่วนที่ยื่นออกไปดุจระเบียงด้านข้างประดับด้วยเสาหินอ่อนรูปเทพธิดาในพัสตราภรณ์บางพลิ้วตลอดแนว ใกล้ๆ กันนั้นคือพิณโบราณขนาดใหญ่ วางเด่นอยู่เหนือแท่นหินอ่อนขาวพิสุทธิ์ ตัวพิณไร้สาย โลหะที่เป็นโครงหมองมัวหากยังพอมองเห็นลวดลายที่สลักเสลาเอาไว้งดงามได้ไม่ยาก ในยามเที่ยงวันตัววิหารจะสะท้อนแสงแดดเป็นประกายเหลือบรุ้งงามประหลาด หากในยามค่ำคืน แสงที่ถูกดูดกลืนเก็บไว้ในก้อนศิลาจะเปล่งรัศมีนวลกระจ่างออกมาราวกับแสงจันทร์เพ็ญ อันเป็นที่มาของชื่อ...วิหารจันทรา
เจ้าชายกันนาร์สาวพระบาทผ่านสวนสมุนไพรและเรือนพักของเหล่านักบวช ตรงไปยังวิหารเก่าแก่ด้วยท่าทางระแวดระวังเป็นพิเศษ ทรงเหลียวมองเบื้องพระปฤษฏางค์อยู่หลายครั้ง กระทั่งแน่พระทัยว่าไม่มีใครตามมา จึงเสด็จขึ้นบันไดสิบสองขั้น ผ่านเสาหินกลมตันขนาดสองคนโอบที่มีริ้วลายเป็นร่องลึกโดยรอบ หายลับเข้าไปทางซุ้มประตูโค้งด้านหน้า ภายในวิหารค่อนข้างมืด หากเจ้าชายกันนาร์ทรงคุ้นเคยกับสถานที่ดี จนสามารถเสด็จเข้าไปหยุดอยู่หลังหลืบเสาข้างแท่นบูชาได้ โดยไม่ต้องอาศัยแสงสว่างใดๆ พระองค์ผิวพระโอษฐ์เป็นจังหวะดังค่อยสลับกัน สักพักก็มีเสียงผิวปากทำนองเดียวกันตอบกลับมา เจ้าชายทรงเหลียวไปทอดพระเนตรรอบพระวรกายอีกครั้งก่อนจะตวัดผืนพรมประดับผนังออก เสด็จผ่านทางเดินแคบๆ เข้าไปภายใน “มาแล้วหรือ”
ผู้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องโถงยาวโล่ง ปราศจากเครื่องเรือนอย่างอื่นนอกจากรูปสลักหินอ่อน เอ่ยทักขึ้นโดยไม่ยอมละสายตาจากม้วนกระดาษในมือ แสงนวลจากเชิงเทียนติดผนังทำให้ชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้ามาต้องหยีตาลงเล็กน้อย
“ทอดพระเนตรอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายกันนาร์ทูลถาม
“รายงานจากท่านคาร์ลน่ะ ราชาซาเรียตกลงจะเพิ่มจำนวนทหารผลัดใหม่ให้ตามที่เราขอไป แลกกับข้าวสาลีอีกปีละหกพันกระสอบ”
“หกพันกระสอบ! ไม่มากไปหน่อยหรือพะย่ะค่ะ ที่นาในแคว้นรัธเกือบครึ่งก็ต้องปลูกข้าวสาลีส่งไปให้แลมพ์ตันทุกปีอยู่แล้ว ถึงกรีนแลนด์จะอุดมสมบูรณ์ยังไง แต่ประชากรของเราก็ต้องบริโภคข้าวสาลีเหมือนกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสิ ข้าก็ว่ามันออกจะมากเกินไปสักหน่อย เจ้าบอกท่านคาร์ลแล้วกันให้ต่อรองกับราชาซาเรียขอลดเหลือสามพันกระสอบ”
“แล้วทางแลมพ์ตันจะยอมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ประมุขแห่งกรีนแลนด์ทรงยักพระอังสา
“ก็ลองดู ...ว่าแต่ ‘เรื่องนั้น’ มีอะไรคืบหน้าไปบ้างหรือยัง”
“กายย์ได้รับจดหมายตอบจากท่านนักบวชแล้ว เห็นว่าจะมาถึงลินเด็นในอีกสามวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” “อืม...ก็เร็วดี แล้วทางเจ้าหญิงลูเซียล่ะ” “ยังเหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมมีเรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นจะกราบทูล”
เจ้าชายกันนาร์ขยับเข้าไปยืนจนชิดขอบโต๊ะ ตรัสต่อด้วยพระสุรเสียงไม่ดังนัก “ข่าวลือเรื่องอาการประชวรของฝ่าบาทแพร่สะพัดไปจนถึงชายแดนแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” ประมุขหนุ่มแห่งกรีนแลนด์แย้มพระสรวลกว้าง
“ดี เป็นไปตามแผน”
“แต่กระหม่อมว่ามันออกจะเร็วเกินไป เราเพิ่งให้คนไปปล่อยข่าวการประชวรที่ตลาดเมื่อสองวันก่อน เวลาแค่สองวันข่าวจะลือไปไกลถึงชายแดนได้ยังไง”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้วกันน์ ไม่เคยได้ยินคนพูดกันหรือว่าข่าวยิ่งลับแค่ไหนยิ่งลือไปไวแค่นั้น อีกไม่นานเราก็จะได้รู้ว่าเจ้าของตลับเป็นใคร ข้าจะได้หลุดพ้นจากสภาพน่าอึดอัดนี้เสียที”
“ฝ่าบาท...” เจ้าชายกันนาร์แกล้งลากพระสุรเสียง “ยังไม่ทรงชินอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ทรงปลอมองค์เช่นนี้มาก็ตั้งหลายวันแล้ว น่าจะทรงชินได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เป็นเจ้ามั่งเอามั้ยล่ะ”
ราชาหนุ่มพระพักตร์บูด จ้องมองพระสหายด้วยสายพระเนตรคมดุที่ใครๆ ก็กลัวเกรง หากคนถูกจ้องกลับแย้มสรวลร่า ตอบกลับแบบไม่สะทกสะท้านสักนิด
“อย่าดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าชุดนี้ไม่ค่อยเหมาะกับกระหม่อมเท่าไหร่”
“แล้วเจ้าคิดว่ามันเหมาะกับข้า งั้นสิ”
“แหม ฝ่าบาท รูปหล่ออย่างพระองค์ทรงชุดไหนก็เหมาะทั้งนั้นไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“กันนาร์!”
“โอ๊ะ! กระหม่อมเกือบลืม”
เจ้าชายกันนาร์รีบเอาตัวรอดด้วยการเปลี่ยนเรื่องทันควัน ทรงหยิบม้วนกระดาษที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อออกมา ยื่นพรวดไปตรงหน้าราชาหนุ่ม
“นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ราชาเอลเบอเรธทอดพระเนตรม้วนกระดาษอย่างงงๆ
“อะไร”
“ภาพวาดพะย่ะค่ะ ท่านคาร์ลฝากมาให้ทอดพระเนตรอีกรอบ ไหนๆ ช่วงนี้ก็ทรงมีเวลาว่างแล้ว เลือกมาสักคนเถิดพ่ะย่ะค่ะว่าจะอภิเษกกับหญิงสาวคนไหน”
“ขอร้องละกันน์...” ราชาหนุ่มทำเสียงเบื่อหน่าย กระแทกพระองค์ลงนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างไม่สบพระอารมณ์ “ข้าเคยบอกเจ้าหลายครั้งแล้วนี่ ข้ายังไม่อยากจะคิดเรื่องแต่งงาน” “แล้วเมื่อไหร่จะทรง ‘อยากคิด’ เสียทีล่ะพ่ะย่ะค่ะ” องค์ราชาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนพระปัสสาสะแล้วตรัสตอบด้วยประโยคคำถาม ที่เจ้าชายกันนาร์เห็นว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้าสักนิด “เจ้ารู้มั้ยทำไมบิดาข้าถึงไม่ยอมมีพระสนม” “เป็นเพราะทรงได้อภิเษกกับสตรีที่มีโฉมงามยิ่งกว่าหญิงใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ผู้เป็นเพื่อนเดา ราชาเอลเบอเรธทรงพระสรวลน้อยๆ สีพระพักตร์ของพระองค์อ่อนโยนลงอย่างที่เจ้าชายกันนาร์ไม่เคยเห็นมาก่อน “ผิดแล้ว เป็นเพราะทรงเข้าพิธีอภิเษกด้วยความรัก ไม่ใช่เพราะเหตุผลทางการเมืองหรือความเหมาะสมใดๆ ต่างหาก ...ข้าเองก็ปรารถนาจะได้มีโชคเช่นนั้นบ้าง” “แล้วจะทรงรอโชคที่ว่าไปถึงเมื่อไหร่กันเล่าพ่ะย่ะค่ะ อย่าทรงลืมสิว่ากรีนแลนด์เองก็ต้องการรัชทายาทจากพระองค์เช่นกัน” “เอาเถอะน่า ถ้าถึงคราวจำเป็นที่ข้าไม่อาจหลบเลี่ยงต่อไปได้เมื่อไหร่ละก็ ข้าสัญญาว่าจะพิจารณาน้องสาวของเจ้าเป็นรายแรกเลย ดีมั้ย” เจ้าชายกันนาร์ทรงพระสรวลก๊ากออกมาทันควัน “ซนเป็นลิงอย่างนั้นน่ะนะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมว่าคงถูกใจท่านคาร์ลพิลึก” การเอ่ยพาดพิงถึงเจ้าหญิงกาอิยาห์ทำให้ผู้เป็นประมุขของกรีนแลนด์ทรงระลึกขึ้นมาได้
“จริงสิ น้องสาวของเจ้านางสงสัยอะไรพวกเราบ้างหรือเปล่า” “กายย์น่ะหรือพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้นางหายใจเข้าออกเป็นเจ้าหนุ่มเมลคนนั้นไปแล้ว คงไม่มีเวลามาสงสัยใครหรอก” “เจ้าหนุ่มเมลที่ไหนกัน?” “ก็นักบวชคนที่จะมาลินเด็นนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ กายย์บอกว่าเขาเป็นอาจารย์ของนาง” ราชาเอลเบอเรธทอดพระเนตรท่าทางหงุดหงิดของผู้เป็นเพื่อนแล้วอดแย้มสรวลไม่ได้
“อ๊ะ เจ้านี่ท่าจะเริ่มหวงน้องสาวขึ้นมาแล้วหรือไง” “เปล่านะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่กลัวว่านางจะทำตัวไม่เหมาะสมต่างหาก” เจ้าชายกันนาร์ปฏิเสธไม่เต็มเสียง แล้วเลยเสเดินไปหยุดอยู่ริมหน้าต่างบานแคบที่มีอยู่เพียงสองบาน ทอดพระเนตรท้องฟ้าภายนอกที่เริ่มแปรเปลี่ยนจากสีครามเข้มเป็นสีแดงอมทอง ก่อนจะหันกลับมาส่งเสียงกระแอมแก้เก้อ “เอ่อ...จวนมืดแล้ว อีกเดี๋ยวพวกนักบวชก็จะเข้ามาจุดไฟในวิหาร กระหม่อมขอตัวออกไปดูพวกเขาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” “ตามใจเจ้าเถอะ” ราชาหนุ่มทรงแสร้งทำเป็นไม่รู้เท่าทันการเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหันของผู้เป็นสหาย พระองค์ทอดพระเนตรดูเขาก้าวออกจากห้องไป โดยซ่อนรอยแย้มสรวลขบขันเอาไว้ในพระพักตร์ ...เจ้าบ้ากันนาร์หวงน้องสาวแล้วทำเป็นปากแข็งอยู่ได้ แบบนี้ก็ยิ่งทำให้พระองค์อยากจะเห็นหน้านักบวชผู้นั้นขึ้นมาน่ะสิ
กลิ่นหอมเย็นของสมุนไพรสมานแผล และสัมผัสจากมือนุ่มของสตรีที่แสนจะคุ้นเคย ทำให้คนที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงอดยิ้มออกมาไม่ได้ คงจะเป็นท่านแม่นั่นเอง ทุกครั้งที่เขาเจ็บตัว ท่านแม่จะคอยดูแลใส่ยาให้อย่างอ่อนโยนเสมอ ...แต่คราวนี้ท่านแม่ออกจะมือหนักไปหน่อยแฮะ
เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน มองเพดานห้องที่ไม่คุ้นเคย แล้วเลยกวาดสายตามองไปรอบห้อง
ไม่มีแม้แต่เงาของผู้เป็นมารดา...
เจ้าตัวผวาลุกขึ้นนั่งตัวตรงด้วยความตกใจ พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพคมดาบขาววับที่เจ้าชายแห่งทาเนียร์ตวัดฟันลงมาปรากฏชัดในสมอง เด็กหนุ่มเผลอยกมือขึ้นสัมผัสลำคอโดยไม่รู้ตัว
ไม่มีบาดแผล...
เจ้าตัวรีบก้มลงมองสำรวจร่างตนเองอย่างเร่งด่วน
ตามแขนขาและส่วนอื่นของร่างกายยังมีรอยฟกช้ำหลงเหลือให้เห็นอยู่หลายแห่ง หากก็เป็นเพียงรอยจางๆ เท่านั้น ดูเหมือนว่าบาดแผลส่วนใหญ่ของเขาจะได้รับการรักษาด้วยสมุนไพรและเวทมนตร์จนเกือบจะหายสนิทดีแล้ว
“ฟื้นแล้วหรือ?”
เสียงทุ้มนุ่มหูถามมาจากมุมห้อง ชายแปลกหน้าเจ้าของเสียงกำลังง่วนอยู่กับการผสมอะไรสักอย่างลงในถ้วยชาร้อนกรุ่น
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นชายหนุ่มหน้าสวยผู้นี้มาก่อน
ใช่แล้ว!
พี่ชายคนนี้คือคนที่เข้ามารับดาบของเจ้าชายดิเร็กซ์เอาไว้ ก่อนที่มันจะฟาดลงมาบนตัวเขานั่นเอง
“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างน้องชาย เจ้าโดนสองคนนั้นเล่นงานหนักมากรู้มั้ย”
เจ้าของประโยคเดินตรงเข้ามาพร้อมถ้วยดินเผาในมือ
“เอ้า ดื่มนี่สักหน่อย มันจะช่วยรักษาอาการบอบช้ำภายใน ทำให้เจ้าหายเจ็บเร็วขึ้น” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มรับถ้วยใบน้อยมาถือไว้ ก้มลงมองดูน้ำสีเขียวขุ่นขลักในนั้นอย่างไม่ไว้ใจ
“ท่านเป็นหมอหรือ?”
ชายแปลกหน้าหัวเราะ
“เปล่า ...แต่ข้ารับรองว่านั่นไม่ใช่ยาพิษ เจ้าดื่มให้หมดแล้วกัน”
พูดแล้วเขาก็ตวัดเสื้อคลุมเดินทางขึ้นสวม คว้าห่อสัมภาระบนพื้นขึ้นพาดไหล่ เดินดุ่มไปที่ประตู ทว่าก่อนจะออกไปพ้นจากห้องยังมีแก่ใจหันมาบอก
“เจ้าถูกเถ้าแก่ไล่ออกแล้วนะน้องชาย ข้าวของของเจ้าอยู่ในห่อผ้าบนโต๊ะนั่น ถ้าดื่มยาหมดแล้วเจ้าจะนอนต่ออีกหน่อยก็ได้ นี่เป็นห้องพักที่ข้าเช่าไว้เอง เจ้าอยู่ได้จนถึงราวๆ เที่ยง แต่ข้ามีธุระต้องรีบออกเดินทางต่อ ขอโทษด้วยที่อยู่ดูแลเจ้าไม่ได้ ถ้าลุกไหวเมื่อไหร่เจ้าก็หาทางกลับบ้านเอาเองแล้วกัน ข้าไปละ”
“เดี๋ยวก่อน...”
เด็กหนุ่มวางถ้วยยาที่ยังไม่ได้จิบแม้แต่อึกเดียวลงบนโต๊ะข้างเตียง คว้าห่อผ้าสีมอๆ จากโต๊ะตัวเดียวกันมากำไว้แน่น ก่อนผลุนผลันโดดลงสู่พื้น ก้าวตามหลังชายผู้นั้นไปติดๆ
“ข้าจะไปกับท่านด้วย” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ท่าทางบอกชัดว่าเอาจริง ไม่ได้พูดเล่น
ชายหน้าสวยมีสีหน้าลำบากใจ
“จะไปกับข้า... เจ้ารู้หรือว่าข้ากำลังจะไปที่ไหน”
“ไม่รู้ แต่ข้าติดหนี้ท่านพี่ชาย ข้าต้องชดใช้”
“ไม่ต้องหรอกหนุ่มน้อย ข้าไม่ได้ช่วยเพราะหวังสิ่งตอบแทนจากเจ้า ถ้าหายดีแล้วเจ้าก็รีบกลับบ้านไปเสียเถอะ”
“ท่านกลัวว่าข้าจะขโมยม้าของท่านหรือไง” เด็กหนุ่มถามโพล่งออกมาด้วยดวงตาวาววับ ท่าทางถือดีอย่างเดิมหวนกลับมาอีกครั้ง หากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โต้ตอบ เขาก็พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย
“ม้าตัวนั้น ตัวที่ท่านเห็น มันเคยเป็นของข้ามาก่อนจริงๆ นะพี่ชาย แต่ถูกพวกโจรขโมยม้ามันขโมยไป พอข้าได้เจอมันเข้าอีกครั้ง ก็แค่พยายามจะเอามันคืนมาเท่านั้น”
เมลิอานาร์มองสบดวงตาสีน้ำตาลคมกล้า ที่ฉายแววมุ่งมั่นอย่างคนตัดสินใจเด็ดขาดของผู้พูดแล้ว ได้แต่โคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ
“เจ้าชื่ออะไรน้องชาย”
“ซิส...”
“เอาละซิส บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะ..” “วูดแลนด์”
เมลิอานาร์ชะงักก่อนถอนหายใจเฮือก นางลังเลอยู่เพียงอึดใจเดียวก็จำต้องพยักหน้า “เอ้า ก็ได้ ข้าจะให้เจ้าติดตามไปด้วย แต่พอไปถึงลินเด็น เราก็ต่างคนต่างไป เข้าใจมั้ย” ซิสยิ้มกว้างอย่างยินดี หากไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอแบบไม่เต็มใจของอีกฝ่ายแม้แต่คำเดียว
จากคุณ |
:
akihiro
|
เขียนเมื่อ |
:
13 มิ.ย. 54 07:43:07
|
|
|
|