Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ลำนำรักใต้แสงจันทร์ ตอนที่6 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 5 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10670366/W10670366.html

======================================================================
       

       หลังจากอาบน้ำอาบท่าจนสดชื่น เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เรียบร้อย เมลิอานาร์ก็ตัดสินใจออกไปเที่ยวชมเมืองแทนการนอนพักผ่อนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก นางกะว่าจะกลับเข้าห้องพักตอนที่พวกหญิงรับใช้พากันนอนหลับหมดแล้ว และจะจากไปในวันรุ่งขึ้นก่อนที่พวกนางจะตื่น หญิงสาวก้าวลงบันไดมายังห้องโถงชั้นล่าง เดินเลยต่อไปจนถึงคอกม้าซึ่งมีลักษณะคล้ายโรงเรือนยาว มุงหลังคาด้วยหญ้าแห้ง ด้านหน้าเปิดโล่ง ด้านหลังและด้านข้างปิดทึบ ภายในกั้นแบ่งเป็นช่องแคบๆ สำหรับผูกม้าตัวละช่อง ไม่ปะปนกัน

       ที่หน้าคอกม้ามีชายสามคนยืนอยู่ก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มร่างผอมซึ่งมีหน้าที่ดูแลม้าให้กับแขกของบ้านพัก ส่วนอีกสองคนเป็นนายทหาร แต่งกายด้วยเครื่องแบบสีแดงเข้มมีตราสัญลักษณ์รูปดาวสี่แฉกสีทองประดับเด่นอยู่กลางอก ข้างๆ พวกเขาคือม้าหนุ่มสีดำตัวงาม มีเครื่องอานราคาแพงผูกอยู่บนหลังของมันพร้อมสรรพ

       “เจ้าหนู กล้ามากนะที่มาขโมยม้าของพวกเรา” นายทหารร่างยักษ์กล่าวคำด้วยท่าทางข่มขู่

       เขามีร่างกายใหญ่โตกว่าเด็กเลี้ยงม้าถึงสามเท่า ผิวคล้ำ ผมสีทองสั้นเกรียนติดหนังศีรษะ

      “ข้าไม่ได้ขโมย ม้าตัวนี้เป็นของข้า” เด็กเลี้ยงม้าเถียงด้วยน้ำเสียงมั่นคง มองสบตานายทหารหนุ่มอย่างไม่กลัวเกรง

       โชคร้ายที่คำตอบนั้นบังเอิญไปกระทบต่อมอันธพาลของคนฟังเข้าอย่างจัง นายทหารร่างยักษ์จึงพุ่งเข้าชกเด็กหนุ่มปาก(ไม่)ดีทันที หมัดของเขาคงจะหนักไม่เบาเพราะเลือดกำเดาสีแดงสดค่อยๆ ไหลย้อยออกมาจากจมูกของคนถูกชก แก้มและปากบวมอูดขึ้นทันตา

       เด็กเลี้ยงม้าถ่มเลือดออกจากปาก ใช้ท่อนแขนเช็ดใบหน้าด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน ดวงตาคมสีน้ำตาลจ้องเป๋งไปที่เจ้าของหมัดเหมือนจะท้าทาย
คนถูกจ้องแค่นยิ้ม อธิบายด้วยน้ำเสียงตะคอก

       “ม้าตัวนี้เป็นของเจ้าชายดิเร็กซ์เว้ยเจ้าหนู พวกเราเพิ่งได้มันมาแทนเจ้าตัวเก่าที่ขาหักไปเมื่อสามวันก่อน รู้แล้วก็ส่งมันคืนมาซะดีๆ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวมากไปกว่านี้”

       “ไม่”

       “อย่าไปเสียเวลาพูดดีกับมันเลยคาลี”

       นายทหารอีกคนที่ยืนกอดอกดูเหตุการณ์อยู่ข้างสหายส่งเสียงขัดขึ้นลอยๆ เขามีร่างเล็ก ใบหน้าเสี้ยมแหลม ผมยาวสีน้ำตาลถักเป็นเปียเดี่ยวทิ้งชายไว้เบื้องหลัง

       “ข้าว่าเจ้าหนูนี่มันอยากเจ็บตัวว่ะ”

       “นั่นสิ ข้าก็ว่างั้น..”  

       คาลีแสยะยิ้ม ย่างสามขุมเข้าหาเด็กเลี้ยงม้าโดยมีชายร่างเล็กผู้เป็นเพื่อนขยับเข้าสะกัดด้านหลัง ทั้งคู่ช่วยกันประเคนทั้งหมัดทั้งศอกลงบนร่างผอมบางของเด็กหนุ่มชนิดไม่มียั้ง เจ้าของร่างเองก็ไม่ยอมอยู่นิ่งให้ถูกทำร้ายฝ่ายเดียว เขาพยายามตอบโต้จนสุดความสามารถ ทว่า...มวยคนละรุ่นขนาดนี้ แถมยังสองรุมหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ปัดป้องหมัดของอีกฝ่าย ไม่ถึงอึดใจร่างผอมบางก็ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น ใบหน้าแตกยับ เนื้อตัวมีแต่รอยฟกช้ำเต็มไปหมด แม้กระนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากสายบังเหียน

       “ชิ นึกว่าจะแน่ ที่แท้ก็แค่สวะดีๆ นี่เอง” คาลีก้มลงมองเด็กเลี้ยงม้าด้วยสายตาเหยียดหยาม

       “นั่นซิ ฝีมือกระจอกขนาดนี้ ริจะมาขโมยม้าของเจ้าชายดิเร็กซ์ ยังเร็วไปสิบปีเจ้าหนู”

       เรย์ถ่มน้ำลายลงกับพื้นเฉียดใบหน้าเด็กหนุ่มไปนิดเดียว เขาใช้ส้นรองเท้าหนาหนักกระทืบลงไปบนอุ้งมือของอีกฝ่ายเต็มแรง ก่อนจะแกะสายบังเหียนออกจากนิ้วอันบอบช้ำ เดินจูงเจ้าม้าจากไปด้วยอาการเยาะเย้ย

        เด็กเลี้ยงม้ากัดฟันกรอด พยายามฝืนความเจ็บปวดหยัดกายขึ้นมายืนโงนเงนจนได้ ดวงตาที่แทบจะปิดไปข้างหนึ่งยังฉายแววถือดีอยู่เช่นเดิม เจ้าตัวเค้นเสียงรอดไรฟันออกมาอย่างยากลำบากเพราะริมฝีปากบวมตุ่ยจากฝีมือของนายทหารทั้งคู่

       “คืนมานะ...ม้าตัวนี้...เป็นของ...ข้า..”

       “หน็อย ยังจะปากดีอีกนะเจ้าหนู”

       คาลีพูดพร้อมกับเตะเข้าที่สีข้างของเด็กหนุ่ม ส่งผลให้ร่างผอมบางลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น พอเจ้าของร่างพยายามจะยันกายลุกขึ้นยืนเขาก็ตามเข้าไปเตะซ้ำอีกหลายครั้ง จนเมลิอานาร์ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่นานแล้วรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมา นางก้าวฉับๆ เข้าไปหานายทหารร่างยักษ์ หากยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกของใครบางคนก็ดังขัดจังหวะเสียก่อน

       “หยุดนะ คาลี เรย์ ข้าให้พวกเจ้ามาเตรียมม้าถวายองค์ชาย ไม่ใช่ให้มามีเรื่องชกต่อยกันแบบนี้”

       คาลีชะงักเท้าค้างเมื่อแลเห็นกลุ่มคนที่กำลังเดินแกมวิ่งตรงมา เขาเบิกตากว้าง มองผ่านชายกลางคนผู้เป็นหัวหน้าไปยังร่างสูงสง่าของบุรุษชุดดำที่อยู่ด้านหลัง อาการกระเหี้ยนกระหือรือเมื่อครู่ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นสงบเสงี่ยมลงทันตาเห็น

       “เกิดอะไรขึ้น” หัวหน้าองครักษ์วัยกลางคนเอ่ยถามลูกน้องทันทีที่เดินมาถึง

       “เจ้าหนูนี่มันคิดจะขโมยม้าของเจ้าชายดิเร็กซ์ขอรับท่านฟีบัส” คาลีรายงาน

       “ใช่แล้วขอรับ พอดีพวกข้าเห็นเข้าเสียก่อน ก็เลยต้องลงมือสั่งสอนกันนิดหน่อย” เรย์ช่วยสนับสนุนอีกแรง

       ผู้เป็นนายถอนหายใจพลางส่ายหน้า

       “นิดหน่อยอะไรกัน ทำไมมีเรื่องแล้วพวกเจ้าไม่รีบไปตามข้า...”

       “ช่างเถอะฟีบัส” เสียงทุ้มต่ำมีกังวานนุ่มหูขัดขึ้น

       ชายหนุ่มชุดดำผู้มีใบหน้างดงามปานเทพบุตร หากเรียบเฉยเย็นชายิ่งกว่าสวมหน้ากากน้ำแข็ง ก้าวเดินเนิบๆ เข้าไปหยุดยืนอยู่เหนือร่างของเด็กหนุ่มที่ยังนอนจุกอยู่กับพื้น

       “เจ้าหรือที่คิดขโมยม้าของข้า” เสียงที่เอ่ยถามเรียบเรื่อย ไร้ความรู้สึก

       “ข้า...ไม่ได้..ขโมย..ม้าตัวนี้..เป็น..ของข้า”

       “ปากดีซะด้วย” ริมฝีปากรูปคันศรเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม...งดงามทว่าเหี้ยมเกรียม

       “ในเมื่อเจ้ากล้าพูดว่าม้าตัวนี้เป็นของเจ้า ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าได้พิสูจน์...”
ชายหนุ่มหันไปทางหัวหน้าองครักษ์วัยกลางคน ออกคำสั่งห้วนสั้น

       “ฟีบัส ส่งดาบให้เขา”

       “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ข้าว่า..”

       “ฟีบัส ไม่ได้ยินหรือ ข้าบอกว่าส่งดาบให้เขา”

       เพียงแค่สายพระเนตรคมกริบที่จ้องเขม็งตรงมา ก็เพียงพอจะทำให้คนเป็นหัวหน้าองครักษ์ไม่กล้ากล่าวอะไรอีก นอกจากขยับเข้าไปพยุงร่างอ่อนปวกเปียกของเด็กเลี้ยงม้าให้ยืนขึ้น แล้วยัดดาบของตนใส่มือเด็กหนุ่ม

       “ที่ทาเนียร์โทษของขโมยคือตายสถานเดียว...” ชายหนุ่มกล่าว น้ำเสียงยังคงฟังนุ่มนวลขณะที่ดาบคมกริบในมือเลื่อนหลุดจากฝัก

       “แต่เจ้าไม่ใช่ชาวทาเนียร์ เพราะฉะนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะไว้ชีวิตและม้าตัวนี้ก็จะเป็นของเจ้า อย่างนี้ยุติธรรมดีมั้ย”

       “ดี..ตกลง..ตามนี้” เด็กเลี้ยงม้ารับคำ ทั้งที่ตนเองแทบจะต้องใช้ปลายดาบยันพื้นเอาไว้เพื่อพยุงร่างไม่ให้ล้ม

       เจ้าชายรูปงามแห่งทาเนียร์ย่างพระบาทเข้าไปหาเหยื่อของพระองค์อย่างแช่มช้า คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องพากันถอยหลังออกไปยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ เว้นแต่เมลิอานาร์ที่ยังคงปักหลักนิ่งอยู่ที่เดิม นิ้วมือเรียวสวยเลื่อนไปแตะอยู่ที่ด้ามดาบในท่าเตรียมพร้อม

       เด็กเลี้ยงม้าสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก สองมือกุมด้ามดาบลากระมากับพื้น น้ำหนักของดาบดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มขึ้นในทุกๆ ก้าวที่เขาย่างเหยียบลงบนดิน  ...เพียงพริบตาเดียวใบดาบคมกริบของฝ่ายตรงข้ามก็ฟาดฉับลงมา หนุ่มน้อยพยายามจะยกอาวุธในมือขึ้นรับ ทว่าน้ำหนักของมันช่างมากมายเหลือเกิน

       เคร้ง!

       เสียงโลหะกระทบกันได้ยินชัดไปทั่วบริเวณ ฝูงนกที่เกาะอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ บินฮือขึ้นไปบนฟ้าด้วยความตกใจ ร่างของเด็กหนุ่มโงนเงนก่อนจะล้มลงกระแทกพื้น สติสัมปชัญญะหลุดลอยออกจากร่าง แล้วทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายก็พลันมืดมิดไปหมด...




       เจ้าหญิงกาอิยาห์วางผ้าซับพระพักตร์ผืนเล็กที่ทรงปักค้างเอาไว้ลงบนพระเพลา เอนพระองค์พิงพนักเก้าอี้ ทอดพระเนตรผ่านหน้าต่างบานยาวไปยังก้อนเมฆสีขาวที่ลอยฟ่องอยู่บนแผ่นฟ้าสีครามด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างที่สุด นับตั้งแต่วันที่มีข่าวว่าองค์ราชาทรงพระประชวร บรรยากาศในปราสาทลินเด็นก็เงียบเหงาไปถนัดใจ  
       
      ตำหนักหลวงปิดเงียบราวกับตำหนักร้าง พี่ชายของพระองค์ก็พลอยหายเข้ากลีบเมฆไปด้วยอีกคน ไม่รู้ว่ามีภารกิจอะไรให้ทำนักหนา ในเมื่อองค์ราชาเองก็ไม่ได้ประชวรจริงเสียหน่อย  

       เด็กสาวนึกนินทาพี่ชายยังไม่ทันจบ คุณพี่เลี้ยงจอมเข้มงวดก็เดินด้วยฝีเท้าของแมวเข้ามายอบตัวรายงานว่า

       “เจ้าชายกันนาร์เสด็จเพคะ”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ผวาลุกขึ้นประทับตัวตรงทันที

       “เจ้ารีบไปเชิญพระองค์มาที่นี่เร็วๆ เข้า แล้วให้ใครจัดน้ำชามาถวายอีกชุดหนึ่งด้วยนะ”

       น้ำเสียงและท่าทางตื่นเต้นยินดีอย่างเปิดเผยของพระองค์ ทำให้คนเป็นพี่เลี้ยงอดรู้สึกขวางหูขวางตาไม่ได้ นางกระแอมเบาๆ พร้อมกับเอ่ยเตือนเสียงเข้ม

       “ทรงสำรวมพระกิริยาหน่อยเพคะเจ้าหญิง ทรงเจริญพระชันษา ไม่ใช่เด็กหญิงเล็กๆ แล้วนะเพคะ”

       “รู้แล้วละน่า” เจ้าหญิงกาอิยาห์รับคำพระพักตร์บูด...นอร่านี่ ถ้าไม่บ่นพระองค์สักนาทีจะตายไหมนะ

       คุณพี่เลี้ยงตวัดหางตาค้อนก่อนเดินจากไป ยังไม่ทันที่เสียงฝีเท้าของนางจะจางหาย เสียงฝีเท้าย่ำหนักๆ ของเจ้าชายกันนาร์ก็ดังสวนเข้ามาในห้องทันทีราวกับทรงรออยู่แล้ว พอมาถึงพระองค์ก็ประทับลงบนเก้าอี้ผ้าไหมบุนวมนุ่มตัวที่อยู่ตรงข้ามกับน้องสาวโดยไม่ต้องรอให้มีใครเชื้อเชิญ หากพอจะอ้าพระโอษฐ์ทักคนเป็นน้อง คุณพี่เลี้ยงนอร่าก็เดินย้อนกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมด้วยถาดบรรจุถ้วยน้ำชาร้อนกรุ่นและขนมเค้กชิ้นเล็กสีสวยในมือ นางวางของทั้งสองสิ่งลงบนโต๊ะตรงหน้าผู้เป็นแขก จากนั้นจึงถอยออกไปยืนทำทีเป็นปัดโน่นเช็ดนี่ด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตรงมุมห้อง ห่างพอที่จะไม่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่ แต่สามารถมองเห็นการกระทำของพวกเขาได้ตลอดเวลา

       “พี่เลี้ยงของเจ้านี่เข้มงวดดีพิลึก”

       เจ้าชายกันนาร์ตรัสด้วยสีพระพักตร์ครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง ทรงยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบขณะที่สายพระเนตรเหลือบไปเห็นกองผ้าที่วางขยุ้มๆ อยู่บนตักของน้องสาวโดยบังเอิญ

       “นั่นผ้าอะไรน่ะกายย์”

       “อ๋ออออ...” เจ้าหญิงกาอิยาห์ลากพระสุรเสียงยาว “นี่น่ะหรือ ก็เป็นผลพวงจากการที่น้องต้องตามติดเจ้าหญิงลูเซียตามคำสั่งพี่กันนาร์ไงคะ”

       พระองค์กรีดนิ้วพระหัตถ์หยิบผ้าซับพระพักตร์ผืนนั้นขึ้นมาโบกไหวๆ อยู่ตรงหน้าพี่ชาย เลยถูกคนเป็นพี่คว้าเอาไปคลี่ดู แล้วเสียงหัวเราะก๊ากแบบไม่อายใครก็ดังขึ้น

       “โอ้โห ฝีมือเจ้าสุดสุดไปเลยกายย์”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์พระพักตร์คว่ำ รีบลุกจากพระเก้าอี้เข้าไปแย่งผ้าผืนน้อยคืนมา พระโอษฐ์ก็เถียงฉอดๆ ไปด้วย

       “รู้แล้วน่ะว่าฝีมือน้องมันไม่ได้เรื่อง พี่กันนาร์ไม่ต้องตอกย้ำนักหรอก ก็เจ้าหญิงลูเซียวันๆ เอาแต่นั่งปักผ้า ถ้าน้องไม่ปักผ้ามั่งแล้วจะไปลอบจับตาดูนางได้ยังไงกันเล่า”

       “เอาเถอะ หัดๆ ไว้มั่งก็ดี ข้าละหวั่นใจว่าจะไม่มีใครรับเจ้าไปเป็นเจ้าสาวเหลือเกิน” พี่ชายแหย่ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้น

       “เจ้าจับตาดูนางมาหลายวันแล้ว เห็นอะไรผิดสังเกตบ้างหรือเปล่า”

       “ไม่นี่คะ นอกจากอาการเงียบขรึมเหม่อลอยแล้ว เจ้าหญิงลูเซียก็ทรงก็ปกติดีทุกอย่าง พวกข้าหลวงตำหนักโน้นคุยกันว่า เป็นเพราะทรงเสียพระทัยที่ฝ่าบาทประชวรก็เลยไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาผิดเป็นคนละคนกับเมื่อก่อน ส่วนท่านน้ายิ่งแล้วใหญ่ ทรงยึดเอาเจ้าหญิงลูเซียเป็นตัวแทนลูกชายไปเลย”

       “น่าเป็นห่วงแฮะ กายย์เจ้าพยายามอย่าให้ท่านน้าประทับอยู่ตามลำพังกับเจ้าหญิงลูเซียบ่อยนัก ข้าเห็นท่าทางของนางเมื่อวันก่อนแล้ว ไม่ค่อยไว้ใจเลยจริงๆ“

       “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ รับรองว่าน้องจะประกบติดนางทุกฝีก้าวเลย มือชั้นนี้แล้ว”
น้องสาวยืดอก ท่าทางมั่นใจจนพี่ชายต้องส่ายหน้า...ก็เพราะเป็นมือชั้นเจ้าหญิงกาอิยาห์นี่แหละ ถึงน่าเป็นห่วงกว่าปกติ

       “แล้วนักบวชของเจ้าล่ะ จะมาถึงกรีนแลนด์เมื่อไหร่ ฝ่าบาททรงเป็นกังวลมาก เร่งให้ข้ามาถามเรื่องนี้อยู่ทุกวัน”

       “ไม่รู้สิคะ ก็คงเร็วๆ นี้ละมั้ง ตอนตอบมากับวาย ก็ไม่เห็นเมลว่าไงนี่นา”

       “กายย์...” พี่ชายลากเสียง “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะทำเป็นเล่นนะ”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์พระพักตร์งอง้ำขึ้นมาทันที พระองค์ขยับจะเถียง ก็พอดีเจ้านกตัวน้อยสีขาวปลอดบินถลาลงมาเกาะอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ดึงความสนพระทัยไปเสียก่อน เจ้านกน้อยเอียงคอมองทางซ้ายทีทางขวาที ก่อนกระโดดสั้นๆ ตรงไปที่จานใส่ขนมเค้ก ก้มลงจิกกินโดยไม่นึกเกรงกลัวมนุษย์ตัวโตที่นั่งมองอยู่ถึงสองคน

       เจ้าชายกันนาร์เอื้อมพระหัตถ์ไปลูบไล้ขนอันอ่อนนุมของมันเล่น น่าแปลกที่เจ้าสัตว์ตัวน้อยไม่ยักบินหนีอย่างที่ควรจะเป็น

       “นกของใครหลงมาล่ะนี่ เชื่องดีเสียด้วย ของเจ้าหรือกายย์”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ส่ายพระพักตร์ ขมวดพระขนงทอดพระเนตรนกตัวนั้นอย่างเพ่งพิศ หากเพียงครู่เดียวก็แย้มพระสรวลร่า

       “จดหมายจากเมลแน่ๆ”

       เจ้าชายกันนาร์ตวัดสายพระเนตรผ่านหน้าน้องสาวด้วยความสงสัย ก่อนจะทรงใช้อุ้งพระหัตถ์ช้อนร่างเจ้าสัตว์ตัวน้อยขึ้นจากโต๊ะ พลิกดูใต้ท้องของมันอย่างเบามือ

       “จดหมายไหน ที่ขานกไม่เห็นมี...”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์รู้สึกขัดพระทัย ก็เอื้อมมือไปแย่งนกน้อยตัวนั้นจากมือพี่ชายมาช้อนประคองไว้เสียเอง ทันทีที่พระองค์สัมผัสถูกตัวนก เจ้าสัตว์แสนเชื่องก็พลันกลายสภาพจากสิ่งมีชีวิตกลับเป็นนกกระดาษไปต่อหน้าต่อตา

       เจ้าชายกันนาร์อ้าพระโอษฐ์ค้าง ตรัสอะไรไม่ออก ในขณะที่คนเป็นน้องรีบคลี่กระดาษออกอ่าน เพียงครู่เดียวก็เงยหน้าขึ้นยิ้มจนตาหยี

       “เมลมาถึงกรีนแลนด์แล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงเมืองลินเด็นสไตน์ ทีนี้พี่กันนาร์ก็เลิกบ่นน้องสักทีนะคะ”

       “รู้แล้วน่า” พี่ชายลากเสียงอย่างรำคาญ

       “จริงสิ ในจดหมาย เมลบอกว่าได้ยินข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับการประชวรของฝ่าบาทด้วยละ”

       เจ้าชายกันนาร์เลิกพระขนงขึ้นข้างหนึ่ง ทรงใคร่ครวญถึงข้อความที่น้องสาวเพิ่งพูดจบ ...ดูเหมือน ‘ข่าว’ จะลือไปไวเหลือเกิน

       เจ้าหญิงกาอิยาห์เห็นพี่ชายทรงนิ่งไป ก็ขยับเข้าไปใกล้ พลางเขย่าท่อนพระกร

       “พี่กันนาร์”

       “หือ”

       “ให้น้องออกไปรับเมลเองได้หรือเปล่า”

       คำถามอย่างกระตือรือร้นของนางทำให้คนเป็นพี่รู้สึกผิดหูจนต้องก้มลงมองใบหน้านวลกระจ่างนั้นอย่างเพ่งพิศ ดวงตาสีม่วงใสของเด็กสาวเปล่งประกายยินดีออกมาอย่างปิดไม่มิด แก้มเป็นสีชมพูจัดขึ้น เจ้าชายกันนาร์เห็นแล้วก็ชักจะเหม็นขี้หน้าเจ้าหนุ่มชื่อเมลคนนั้นขึ้นมาตงิดๆ ทั้งที่ยังไม่ได้เจอตัวกันนี่แหละ น้ำเสียงที่ตรัสตอบน้องสาวจึงห้วนสั้นผิดเคย

       “ไม่ได้ เจ้าหญิงอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกปราสาทตามลำพัง เจ้าไม่รู้หรือไง”

        “รู้...น้องก็ว่าจะชวนนอร่าไปด้วยอีกคน” เจ้าหญิงกาอิยาห์ตอบอุบอิบ เหลือบพระเนตรมองพี่ชายอย่างเกรงๆ

       “เอ้อ...เอาแมรี่ กับ เจนไปด้วยก็ได้ค่ะ...หรือถ้าพี่กันนาร์ว่าง จะไปด้วยกันก็ได้ เอ้า”

       ประโยคท้ายทรงทำพระสุรเสียงแบบ ‘ใจป้ำ’ เต็มที่ หากพี่ชายจะสนพระทัยก็หาไม่

       “เจ้าอยู่นี่แหละกายย์ ข้าจะหาคนไปรับเขาเอง”

       “แต่ในลินเด็นไม่มีใครรู้จักเมลสักคน นอกจากน้อง” เด็กสาวพยายามแย้ง

       เจ้าชายกันนาร์ทรงยักพระอังสา

       “พวกนักบวชสังเกตง่ายจะตายไป ข้าจะให้คนของข้าไปรออยู่ที่ประตูตะวันตกตอนหลังเที่ยงไปแล้วสามชั่วยาม เจ้าแค่ส่งข่าวให้เขารู้ล่วงหน้าก็พอ”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์ตั้งท่าจะเถียง หากพอเห็นผู้เป็นพี่ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวกลับตำหนัก ก็พระพักตร์เสีย

       “อะไรกัน พี่เพิ่งมาเดี๋ยวเดียวเองนะคะ จะกลับแล้วหรือ”

       “ฮื่อ ข้าต้องรีบไปกราบทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบ”

       “งั้นน้องไปด้วย”

       “เฮ้ยยย...ไม่ได้” พี่ชายปฏิเสธเสียงหลง พอนึกได้จึงค่อยกระแอมกลบเกลื่อน
   
       “เจ้าจะไปทำไม ฝ่าบาทประชวรอยู่ นอกจากข้ากับท่านน้าแล้วไม่อนุญาตให้ใครเข้าเฝ้า อย่าลืมสิ”

       “ก็ไม่ได้ลืม...แต่น้องเบื่อนี่นา อยู่ที่นี่ก็ต้องฟังนอร่าบ่นจนหูแฉะทั้งวัน ขอออกไปพักผ่อนหูหน่อยเถอะ นะคะนะ รับรองว่าน้องจะไม่วุ่นวายเด็ดขาด พี่กันนาร์พาน้องไปทิ้งไว้ที่วิหารจันทราก็ได้”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามต่อรอง หากดูเหมือนจะทำให้อาการตกใจของพี่ชายยิ่งทวีขึ้น

       “วิหารจันทรา!!” เขาทวนคำเสียงหลง แล้วรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ได้เด็ดขาด”

       “ทำไมล่ะคะ”

       “อ้าว ก็...เอ่อ...เอาไว้เจ้าค่อยไปวันหลังดีกว่าน่า...”

       “ทำไมต้องวันหลัง ก็น้องอยากจะไปวันนี้นี่นา เอ๊ะ หรือว่าพี่กันนาร์แอบซ่อนอะไรเอาไว้”

        ชายหนุ่มเกือบสะดุ้ง “เปล๊า..ไม่มี ไม่เคยซ่อน...”

       เจ้าหญิงกาอิยาห์จ้องมองอาการพิรุธของพี่ชายด้วยความสงสัย พระองค์ตั้งท่าจะซัก หากไม่ทัน เพราะเจ้าชายกันนาร์ทรงรู้แกว รีบตัดบทด้วยการโบกพระหัตถ์ให้แล้วเสด็จผลุนผลันหนีออกประตูไปเสียก่อน...

แก้ไขเมื่อ 13 มิ.ย. 54 07:33:11

จากคุณ : akihiro
เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 54 07:26:59




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com