Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
หวานรัก ณ ปลายดง - 10 ติดต่อทีมงาน

http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10647314/W10647314.html

บทที่ 10

การเดินทางเข้าสู่หมู่บ้านเป้าหมาย เริ่มต้นขึ้นประมาณยามสาย นายปัญญาตามมาสมทบในวันนี้ แกเดินทางได้เร็วมาก จนสามแสนอุทานทึ่ง เจ้าตัวก็เลยแจงกลั้วหัวเราะว่า

"แหม ผมเป็นคนในพื้นที่นี่ครับ ป่าหรือเมือง ก็บ้านผมเท่าๆ กัน"

"นั่นสิคะ ถ้าสามแสนคุ้นเคยกับป่ามากกว่านี้ ก็คงไม่ต้องรบกวนให้ลุงปัญญากับลุงเก่งกาจมาพลอยลำบาก"

"โอ๊ย ลำบากอะไรกัน เรื่องเล็กครับ ช่วยอะไรได้ก็ช่วยกันไป"

นายปัญญาคุยเก่งกว่านายเก่งกาจ รายโน้นจะพูดเฉพาะธุระจำเป็น ลูกน้องจึงให้ความยำเกรงกันเป็นพิเศษ สามแสนจึงเห็นว่าดี ที่มีนายปัญญาร่วมทางมาด้วย

เพราะการชวนคุยเรื่อยเปื่อยของแก ช่วยลดความตึงเครียดระหว่างทางได้เยี่ยมยอด เวลาสี่ชั่วโมงกับการเดินเลียบลำธาร เพื่อไปให้ถึงตำแหน่งตื้นพอให้เดินข้ามได้ในวันนี้ จึงผ่านไปเร็วมากเลย

"เราเข้าไปกินข้าวกลางวันกันในหมู่บ้านนะครับ คุณสามแสนทนหิวได้ไหม" นายพรานคนเก่งถามเหมือนหารือ

"ได้ค่ะ อีกชั่วโมงเดียวเองไม่ใช่หรือคะ"

สามแสนถามไปอย่างนั้นเอง เธอกำลังสนุกกับการเดินลุยน้ำลึกท่วมเข่า กางเกงยีนตัวเก่งกับรองเท้าผ้าใบอุ้มน้ำจนขาหนักไปหมดหมวกผ้ายีนครอบศีรษะและซ่อนมวลผมหยักศกดกดำไว้ข้างใน พอจะช่วยป้องเปลวแดดอ้าวได้บ้าง

นายพรานคนเก่ง หมั่นเหลียวหลังมาสังเกตการณ์เป็นระยะ แกคงเป็นห่วงว่าสามแสนจะลุยน้ำไม่ไหวกระมัง

"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ" เธอตะโกนบอกไปขำๆ "สามแสนไม่ใช่สาวเหยาะแหยะนะ เคยเดินป่าแบบหลงๆ มาแล้วตั้งสองวันสองคืน แล้วก็ไม่ตายด้วย"

นายปัญญาหัวเราะเบาๆ แกนึกขำเสียงภาคภูมิของสาวสวย ก่อนจะมา คุณหมอแสวงบุญสำทับฝากฝังให้ช่วยดูแลเธอดีๆ ท่าทางเหมือนว่าจะไม่ค่อยสบายใจนัก แกก็แอบเดาไปเรื่อยว่า 'คุณหมอคงเป็นห่วงแฟน'

การลุยลำธารข้ามฟากเหลืออีกครึ่งทาง เสียงปืนสองสามนัดก็มาทำให้การขับเคลื่อนทั้งหมดหยุดชะงัก ลูกน้องของนายเก่งกาจโดนลูกหลง ถูกลูกปืนพุ่งมาเฉี่ยว ได้เลือดกระฉูดบนต้นแขนพอหอมปากหอมคอ

สามแสนเลิกคิ้วตกตะลึงกับเหตุไม่คาดฝัน เธอจมน้ำทั้งตัว เพราะนายเก่งกาจพรวดมากระชาก พร้อมกับสั่งเฉียบ 'ก้มหัวลง'

เสียงปืนสองสามนัดในตอนแรก ทวีความดุเดือดเป็นรัวปังๆ มันดังมาจากป่าฟากโน้น มองจากกลางลำน้ำ ซึ่งเห็นไม่ค่อยถนัดนัก ก็พอจะจับเหตุการณ์คนสองฝ่ายไล่ล่ายิงกันอุตลุดได้บ้าง

"สงสัยจะเป็นไอ้เจ้านักโทษ น่าว่าจะปะทะกับผู้กองพันยศเข้าแล้วละครับ" นายเก่งกาจปรารภ ตาเข้มขึงเขม็ง

"แล้วเราจะทำยังไงคะ" สามแสนถามบ้าง เธอตื่นเต้นและตกใจ แต่เพิ่งจะรู้สึกเอาตอนนี้เองว่า 'ไม่กลัวสักนิด'

"ก็ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่ผมเดา ไอ้หมอนั่นอาจหนีมาทางนี้ ถ้ามันพรวดลุยลำธารมาสมทบกับเรา ก็ลำบากล่ะ"

"ทำไมคะ"

"จุดอ่อนของตำรวจส่วนใหญ่ก็คือตัวประกันนี่แหละ มันอาจจะพรวดพราดจับใครสักคนเป็นตัวประกัน"

"แล้วเราจะทำยังไงคะ"

"เฮ้ย รีบไปเว้ย ดูไอ้ชูด้วย มันโดนกระสุนเฉี่ยวเว้ย"

นายพรานคนเก่งไม่ตอบสามแสน แต่เปลี่ยนเป็นตะโกนเร่งลูกน้องให้รีบเดินทางต่อ เขากระตุกข้อมือเล็กใต้น้ำ พยักพเยิดให้ลอยคอไป

สามแสนนึกห่อเหี่ยวในใจ เสื้อผ้าและทุกอย่างในเป้บนหลังคงเปียะเละหมดแล้ว เสียงปืนก็ยังคงดังรัวไล่หลัง นายปัญญาลอยคอมาประกบรั้งท้าย พลางถามอย่างเป็นห่วงขึ้น

"คุณสามแสนไม่เป็นอะไรนะครับ"

"สบายมากค่ะ นายชูโน่นแน่ะค่ะ โดนลูกหลง น่าสงสารออก"

"อย่ามัวคุย รีบไป"

สามแสนหัวเราะคิกกับนายปัญญา โดนนายพรานคนเก่งเอ็ดเข้าแล้ว เจ้าตัวคงเครียดกระมัง เพราะทุกชีวิตในความดูแล คือหน้าที่สำคัญยิ่งยวด

"คุณสามแสน ไปหลบหลังโขดหินก่อนนะครับ"

ร่างลอยคอถูกลากหยาบๆ เพื่อให้ถึงเป้าหมายเร็วขึ้น นายปัญญาตามติดไปคุ้มครอง ส่วนนายเก่งกาจเจ้าของคำสั่ง ก็รีบลอยคอไปสมทบกับลูกน้อง หารือกันเบาๆ แล้วแยกย้ายกันซุ่มตามพงไม้หรือโขดหิน

การเดินทางต้องหยุดชะงักลงจริงๆ เพราะมันเสี่ยงเกินไป หากจะให้ลุยต่อไปอย่างโจ่งแจ้ง ในขณะที่กระสุนคมยังพุ่งฉวัดเฉวียนเฉียดไปเฉียดมา

"นี่เราต้องหลบไปอีกนานแค่ไหนคะ" สามแสนกระซิบถามนายปัญญา เริ่มรู้สึกหนาวบ้างแล้ว หนักหลังด้วย เพราะเป้อุ้มน้ำไว้เสียเยอะเชียว

"รอจนเสียงกระสุนซาโน่นละครับ ถือคติปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า อีกไม่กี่อึดใจ เราก็ถึงหมู่บ้านแน่ๆ อยู่แล้ว"

สวรรค์กลั่นแกล้งสามแสนหรือเปล่า นอกจากจะส่งฝนมาเป็นตัวกีดขวางแล้ว ยังส่งเหตุการณ์ระทึกขวัญมาสกัดอีก

หมู่บ้านเป้าหมายก็เถอะ เมื่อไปถึงแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าการเดินทางสิ้นสุดลง หรือว่าความปรารถนาจะสัมฤทธิ์ดั่งหวัง พี่ชายอาจไม่อยู่ที่นั่น คนที่นายปัญญากับนายเก่งกาจคาดคะเนไว้ ก็อาจไม่ใช่เขาอีกเหมือนกัน

สามแสนหรี่ตากลบเกลื่อนความรุ่มร้อนเร้นลึกในใจ สมองระดมวาจาตัดพ้อสวรรค์ ขณะลอยคอคลอตามนายปัญญาเลียบไปตามกลุ่มโขดหิน

บางแห่งน้ำตื้นมาก ลอยคอไม่ได้ ก็ต้องเดินก้มเดินคู้กันไป กระตุกหมอบเป็นครั้งคราว กับเสียงลมผิดสังเกตที่วาบผ่านหลังหรือเฉียดสีข้างไปบ้าง

"คุณสามแสน วิ่งครับ"

นายเก่งกาจตะโกนก้อง พร้อมกับโบกมือเร่ง เพราะเป็นไปตามที่แกคาดไว้ไม่มีผิด นักโทษไม่อาจต้านแรงปะทะได้นาน จำเป็นต้องหันเหทิศทางจากดงโจร เป็นกระโจนลงลำธาร

เท่าที่เห็นตอนนี้ โจรพยายามวิ่งจ้ำทุลักทุเลกลางน้ำลึกท่วมเข่า โดยมีตำรวจตามไล่ล่ากันมาทั้งกลุ่ม วิ่งไล่ล่ากันเฉยๆ คงไม่เป็นไร แต่ยิงสกัดปะทะกันอุตลุดแบบนั้นต่างหาก ที่มันไม่ดี ลูกน้องแกบาดเจ็บไปคนหนึ่งแล้ว ขืนรีรอโอ้เอ้ อาจจะมีคนอื่นพลอยซวยเพิ่มขึ้นอีก

"เฮ้ย หยุดเว้ย ตรงนั้นเว้ยตรงนั้น อย่าขึ้นมา"

ชายฉกรรจ์บนฝั่งเล็งปืนยาวตาเขม็ง ไม่ใช่คนเดียวด้วย ยืนเรียงหน้ากระดานตั้งสิบคน

สามแสนหายใจเหนื่อยๆ นายปัญญาช่วยพยุงแขนให้ยืนมั่นคงในน้ำ มันลึกประมาณครึ่งน่อง ลูกน้องของนายเก่งกาจที่มาถึงพร้อมกัน รีบยกแขนสองข้างแสดงความบริสุทธิ์ใจ นายปัญญากับสามแสนก็เลยเลียนแบบบ้าง

"พวกแกเป็นใคร ทำไมแอบเข้าหมู่บ้านทางนี้" หนึ่งในสิบกระชากเสียงถามขึงขัง

"เรา.. "

"ไม่ได้แอบโว้ย" นายเก่งกาจเพิ่งมาถึง ก็รีบกระชากเสียงเข้มกว่า ตัดหน้าสามแสน

"อ้าว ลุงกาจ โผล่มาทำไมทางนี้"

ครั้นเห็นว่าเป็นคนกันเอง ปืนยาวที่จ่อขึงขังก็หมดความจำเป็น ชายฉกรรจ์คนนั้นชื่อ 'นายต้นหมาก' เป็นชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง เจ้าตัวทำหน้าที่สองอย่าง วันหนึ่งก็ช่วยซ่อมสะพาน อีกวันก็เป็นเวรยามเดินตรวจตรา ดูแลความปลอดภัยในหมู่บ้าน

"ลุงแม้นแกเป็นห่วง" นายต้นหมากอธิบายกับนายพรานคนเก่ง "แกกลัวว่าจะมีคนแอบเข้าหมู่บ้านทางนี้ เพราะทางโน้นสะพานขาด ได้ยินว่ามีนักโทษแหกคุกหนีตำรวจเข้ามาซ่อนในดงโจร แกก็ยิ่งเป็นห่วง"

สามแสนไปยืนบิดเสื้อแจ็กเก็ตตัวใหญ่ที่อุ้มน้ำหนักมาก ไม่ได้สนใจฟังนายต้นหมากอรรถาธิบาย แค่ว่าสบายใจขึ้น ที่ไม่ต้องตกเป็นเชลยในข้อหาลักลอบเข้าหมู่บ้านด้วยใจไม่ซื่อ

นักโทษกับตำรวจไล่ล่ากันไปทางไหนเสียแล้วก็ไม่รู้ ลูกน้องที่นายพรานคนเก่งสั่งให้ไปคุมเชิงสังเกตการณ์ ย้อนกลับมารายงายให้สามแสนพลอยได้ยินไปด้วยว่า

"ย้อนไปทางออกโน่น สงสัยไอ้หมอนี่เคยอยู่แถวนี้ รู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี มันคงอาศัยป่าทึบทางโน้นอำพรางตัว แล้วค่อยอ้อมไปทางทิศเหนือ กว่าจะถึงดงโจรก็โน่นแหละ อีกสองหรือสามวันโน่น"

'ผู้กองพันยศคงเหนื่อยตับแลบแน่' สามแสนนึกขำๆ สะบัดเสื้อสองสามที แล้วพาพาดผึ่งบนกิ่งไม้ใหญ่ ตรงที่เธอยืน มันเป็นตำแหน่งโปร่ง แดดสวยลมแรง หากผึ่งตัวแถวนี้ เสื้อผ้าเนื้อตัวก็น่าจะแห้งเร็วหน่อย



เพิงพักใหญ่มาก ปรากฏเบื้องหน้าสายตา ลานดินกว้างเนืองขนัดด้วยผู้หญิงหลายวัย เตาไฟขนาดใหญ่ อุปกรณ์ทำครัว

แคร่ไม้ไผ่สี่ห้าตัววางห่างกันบ้าง วางชิดกันบ้าง บนนั้นก็เต็มไปด้วยถาดผักสารพัดชนิด อีกมุมก็ถาดเนื้อ ตอนนี้ก็ไม่รู้หรอกว่าเนื้ออะไร อีกมุมก็ถาดไข่เป็ดไข่ไก่

ชิดเสาเพิงใหญ่ ยังทำเพิงเล็กเก็บฟืนดุ้นใหญ่ๆ ชิดเสาอีกต้นก็ตั้งตุ่มน้ำวางเรียงกันสามตุ่ม ควันจากเตาลอยโขมง เสียงแม่ครัวตะโกนคุยกันบ้าง บอกโน่นนี่กันบ้าง โหวกเหวกไปหมด

"เขาจัดงานอะไรกันคะ" สามแสนถามอย่างใคร่รู้ แววตาฉายความตื่นเต้น

"อ้อ ไม่ใช่หรอกครับ" นายต้นหมากรีบตอบ "เรามาช่วยกันซ่อมสะพาน ทางนี้ก็เป็นหน้าที่ของผู้หญิง ช่วยกันดูแลเรื่องอาหารการกิน ทำความสะอาดที่หลับที่นอน ช่วยซักผ้าบ้าง"

เธอทำเสียงรับรู้ในลำคอ เดินตามไปหยุดใกล้กับสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่า เจ้าตัวอารมณ์ไม่ค่อยดี ตอนเหลียวมาตามเสียงเรียกของนายต้นหมาก ตาขึงขุ่นจัดทีเดียว เสียงถามย้อนก็กระชากห้วน

"เรียกทำไมนักหนาวะ มีอะไรก็พูดมา"

"มี ขอเขกหัวสักทีได้ไหม"

"พ่อ"

นายเก่งกาจหัวเราะในลำคอ ร่างเซเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้สึกเคือง อุ่นอิ่มในใจเสียอีก ที่บุตรสาวจอมแก่น พอได้ยินเสียง ก็รีบโผมากอดอย่างลิงโลดยินดี ปากก็ร้องตะโกนเรียกภรรยาของแกให้มารุมกอดอีกชั้น

สามแสนถอยห่างไปสองสามก้าว นายต้นหมากชี้ให้ไปนั่งที่แคร่ไม้ตัวเล็ก เธอก็หย่อนลงนั่งว่าง่าย ยิ้มกริ่มกับภาพผูกพันของสามพ่อแม่ลูกตรงหน้า

ใจจริงแล้ว ทันทีที่เจอหน้าพี่ชาย สามแสนก็อยากโผกอดแบบสาวหน้าตาสะสวยคนนั้น แต่พี่ชายคงไม่อ้าแขนรับเหมือนนายเก่งกาจกระมัง เขาอาจเขกหัวแรงๆ ผลักไส หรือถ้าหากอยากเชือดเฉือนหน่อย ก็จะ 'ขับไล่'

ไม่มีวันหรอก เขาจะไม่มีวันขับไล่สามแสนออกไปจากชีวิตโดดเดี่ยว เธอจะใช้ความรักที่มีอย่างเปี่ยมล้น เอาชนะใจชาเย็นดวงนั้น

ชะล้างคราบอดีตโหดร้ายที่เกาะกินและกร่อนจนชีวิตของเขาบิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่างไปจากเดิมแทบไม่เหลือเค้า ไม่ใช่ให้แค่หมดจด แต่จะต้องหมดสิ้นไปจากความทรงจำยาวนานตั้งยี่สิบปีนั่นเลยเชียว

"ลูกสาวผมเองครับ น่าจะวัยไล่เลี่ยกันกับคุณสามแสนนะครับ ชื่อใบพลูครับ"

นายเก่งกาจไม่ทราบว่า สามแสนกำลังท่องเที่ยวอยู่ในดงความคิด แกมาทำลายความเพลิดเพลินอย่างไม่ตั้งใจ ด้วยการแนะนำบุตรสาวให้รู้จัก สามแสนพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันไปทักทายสาวหน้าตาสะสวยด้วยมิตรไมตรีว่า

"สวัสดีค่ะ สามแสนค่ะ ดีใจที่ได้รู้จักนะ ชื่อใบพลูใช่ไหม ชื่อน่ารักมาก น่ารักเหมือนสามแสนเลย"

"ใครบอกว่าน่ารัก" ใบพลูเชิดหน้ายโส "สาวสวยอย่างใบพลู มีแต่คนจะบอกว่าสวยมากเท่านั้น น่ารักน่ะ เก็บไว้ใช้กับเด็กๆ เถอะ"

"อ้อ อย่างนั้นหรือ จริงด้วย ใบพลูสวยออก ตอนสามแสนเห็นครั้งแรก ยังอิจฉาเลยนะ นึกว่าตัวเองตาฝาด เจอนางไม้เข้าแล้ว"

"จริงหรือ เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ"

ใบพลูเลิกคิ้วตาโต ลำพองใจจังที่สาวชาวกรุงยกยอหน้ายิ้ม ร่างปราดเปรียวรีบกระแซะไปนั่งชิด เขย่ามือสำทับถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรขึ้นแล้วล่ะ

นายเก่งกาจหมั่นไส้แกมเอ็นดู แกสบตาขอบคุณกับสามแสน เจ้าตัวน่ารักมาก รีบพยักหน้าให้บุตรสาวของแกยิ้มแต้

รู้สึกซาบซึ้งใจด้วยว่าสาวชาวกรุงไม่ถือสาวาจากระด้างกระเดื่องของสาวชาวดง แปลกใจจริงๆ ชายที่เธอตามหามีเหตุผลอะไรหนอ ถึงได้ตัดใจทิ้งสาวสวยนิสัยน่ารักน่าเอ็นดูคนนี้ไปได้ลงคอ



นายพรานคนเก่งปล่อยให้สองสาวทำความคุ้นเคยกันไปอีกสักพัก ร่างสันทัดเดินแยกมากับนางใจ หยุดคุยกันตรงมุมหนึ่ง อดยิ้มขำไม่ได้ เมื่อฝ่ายภรรยากวาดตาทั่วผิวขาวแต่กร้านหยาบอย่างสำรวจตรวจตรา

"มีอะไรหรือ ฉันไม่มีอีหนูซุกไว้ที่ไหนเลย สาบานได้" แกสัพยอกไปขำๆ

"บ้าหรือ ฉันไม่ระแวงไร้เหตุผลอย่างนั้นหรอก" นางใจก็ตอกกลับหน้าตึง "แค่กำลังคิด พี่ก็อายุมากแล้วนะ หยุดท่องป่า แล้วอยู่บ้านเป็นเรื่องเป็นราวเสียทีดีไหม งูเสือหมีแรดน่ะ ฉันไม่กลัวหรอก รู้ว่าพี่สู้มันได้สบายๆ แต่ฉันห่วงสังขาร"

"ของแบบนี้มันอยู่ที่ใจ ไม่ใช่สังขาร เอ้อ อย่ามัวแต่พูดเรื่องฉันอยู่เลย ข่าวล่าสุดของแกน่ะ บอกว่าไอ้ตัวแสบของเรา มันเหล่หนุ่มแก่คราวพ่อมาเป็นหวานใจหรือไงวะ"

"เออ" นางใจกระแทกเสียง อดเหลือบไปตวัดค้อนบุตรสาวอีกวงไม่ได้ "ฉันก็เคืองมันอยู่นี่แหละ ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ไม่รู้ชอบเข้าไปได้ยังไง นายดุคนนี้น่ะ ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านอยู่ด้วย"

"มันเป็นยังไงล่ะ"

"ก็คนดีๆ ที่ไหนจะทะเล่อทะล่าย้ายเข้าไปอยู่ในดงโจร ฉันถามหน่อยเถอะ แต่พ่อนี่น่ะ แถเข้าไปอยู่ตั้งห้าปี ฉันก็อดแปลกใจไม่ได้อยู่นี่แหละว่า มันมีดีอะไร ทำไมโจรถึงยอมปรองดองกับมันได้"

"อืม ฉันเห็นด้วย อยู่ในดงโจรได้ แสดงว่านิสัยโจรยังพอมี แล้วถ้ามีนิสัยโจร ก็ต้องไม่ใช่คนดีนัก"

นายเก่งกาจหรี่ตาไปจับรอยยิ้มยโสของบุตรสาว หล่อนคงโอ้อวดโน่นนี่ให้สาวชาวกรุงฟังอยู่กระมัง อีกฝ่ายก็ฟังสงบเสงี่ยม ยิ้มกับพยักหน้า ไม่ขัดไม่ทัก เหมือนว่าจะอ่านนิสัยคนเพิ่งรู้จักได้ไม่นานออกอย่างนั้นล่ะ

"ไม่ว่าจะยากแค่ไหนก็ต้องห้ามมันไว้ให้ได้" แกโพล่งขึ้น หลังสิ้นการใคร่ครวญชั่วครู่ "คนนิสัยโจร จะเอามาเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ยังไง ฉันไม่อยากมีลูกเขยเป็นโจรเว้ย"

"ฉันก็บอกอยู่นี่ไงว่าให้พี่กลับมาอยู่บ้านบ้าง จะได้ช่วยกันปรามๆ ลำพังฉันคนเดียว กำราบมันไม่อยู่หรอก อย่างน้อย มันก็กลัวพี่นะ"

"เออ ไว้ค่อยคิดเถอะ ฉันยังคงป้วนเปี้ยนในป่าแถบนี้ไปอีกหลายวัน"

นางใจพยักหน้าเนือยๆ เพื่อนบ้านตะโกนให้มาช่วยจัดสำรับ การสนทนาช่วงสั้นๆ ของสามีภรรยาชาวดงจึงค่อยยุติ

นางใจปลีกตัวไปสมทบกับเพื่อน นายเก่งกาจไปสมทบกับกลุ่มลูกน้องและนายปัญญา แต่ก็หมั่นเหลือบมาสังเกตการณ์สาวชาวกรุงกับบุตรสาวเป็นระยะ



ระหว่างที่ทุกคนกำลังครึกครื้นกับอาหารกลางวันในเพิงพัก สามแสนถือโอกาสไปอาบน้ำริมลำธาร ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก

ใบพลูคนสวยถูกใจว่าสาวชาวกรุงเป็นผู้ฟังที่ดี หล่อนอวดโม้อะไร เจ้าตัวก็ฟังเงียบ และที่ถูกใจมาก ก็ตรงที่ถูกชมว่าสวยเหมือนนางไม้ จึงตบรางวัลด้วยการแบ่งปันเสื้อผ้าให้สามแสนหนึ่งชุด แต่ก็ไม่วายโม้แถมท้ายอีกนิด

"เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นตัวนี้ พี่ขิงซื้อมาฝากจากกรุงเทพเชียวนะ เห็นไหม ยังใหม่อยู่เลย"

"สวยมากเลย สีชมพูก็หวานมาก แหม อยากเห็นตอนใบพลูสวมจัง ต้องสวยที่สุดในละแวกป่านี้เลย จริงไหม"

"โอ๊ย จริงเสียยิ่งกว่าจริง ในละแวกป่านี้ ไม่มีสาวหน้าไหน จะมาสวยทัดเทียมกับสาวสวยอย่างใบพลูได้อีกแล้ว"

"ใช่ สามแสนก็เชื่ออย่างนั้น อยู่เป็นเพื่อนสามแสนก่อนไหม"

"ไม่ล่ะ เธออาบไปคนเดียวเถอะ อ้อ แต่พออาบเสร็จแล้ว ต้องตักน้ำมาเติมให้เต็มตุ่มด้วยนะ คนอื่นเขาจะได้ใช้อาบต่อ"

"ได้ ไม่มีปัญหาหรอก แล้วใบพลูจะไปไหน ทำไมไม่อยู่เป็นเพื่อนสามแสนก่อน"

"จะไปตามอาดุมากินข้าว อาดุเป็นแฟนของฉันเอง"

'อ้าว มีแฟนแล้วหรือ' สามแสนอุทานตามหลัง เธอเลิกสนใจกิริยากระวีกระวาดของสาวสวยชาวดง แล้วหันมาจัดการกับคราบมอมแมมทั่วร่างของตัวเอง

ใจก็นึกย้อนไปถึงยามเย็นเมื่อห้าปีก่อน เธอตื่นอย่างตกใจในกระท่อม ได้พบเจอพี่ชายครั้งแรก ถูกเขาไล่ให้ลงไปเช็ดตัวหลังกระท่อม มันเป็นที่โล่งแจ้ง แล้วเธอก็ไม่คุ้นเคยกับที่แบบนั้นเลย

ตรงนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นลานดินในพงป่าไผ่ ตั้งตุ่มน้ำใบใหญ่ ใกล้กันก็วางถังน้ำ ซึ่งก็คงไว้สำหรับลงไปตักน้ำในลำธารนั่นล่ะ

ส่วนโขดหินข้างๆ ก็ตั้งจำพวกสบู่ แชมพู ถัดไปไม่ไกล ก็ขึงราวไม้ด้วยเชือกเส้นเขื่อง ไว้สำหรับตากผ้าผ่อนได้สักสองสามชิ้น ใบพลูพาดผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ตรงนั้น

สามแสนหัวเราะตัวเอง ที่ต้องนุ่งกระโจมอกอาบน้ำ พอผ้านุ่งเปียก มันก็แนบติดเนื้อ เผยส่วนสัดสะพรั่งเต็มตึงตามวัยยี่สิบสองต้นๆ อย่างชัดเจน

ทุกครั้งที่ตักน้ำรดตัว ก็มักจะเหลียวซ้ายแลขวา หวาดระแวงว่าจะมีใครมาแอบมอง เธอจึงเร่งมือ ใช้เวลาทั้งอาบทั้งแต่งตัวใหม่อย่างรวดเร็ว และเสร็จสิ้นภายในเวลาสิบนาทีเท่านั้นเอง

"สามแสนไม่เคยอาบน้ำแต่งตัวเร็วเท่านี้มาก่อนเลยนะในชีวิต เจอพี่ชายเมื่อไหร่ละก็ สามแสนจะอวด สามแสนไม่ลืมหรอกว่า พี่ชายเคยเอ็ดว่าสามแสนเช็ดตัวช้า"

ระหว่างลงไปตักน้ำมาใส่ตุ่ม สามแสนก็พึมพำคนเดียว ตามประสาสาวอารมณ์ดีและมีความหวังเจิดจ้าตลอดเวลา

น้ำเต็มตุ่มแล้ว เหงื่อก็ออกเต็มหลัง เธอรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย จึงเดินเตร่เลียบริมน้ำ ซึ่งมีลมพัดผ่านปลอดโปร่ง ตั้งใจว่าเหงื่อแห้งแล้ว ค่อยกลับขึ้นไปกินข้าว



ป่าไผ่ข้างหน้าคล้ายจะมีเงาเคลื่อนไหววูบวาบ ทำให้ฝีเท้าเนิบชะงักกึก ร่างโปร่งปราดไปชิดโขดหินใต้ร่มเงาของป่าละเมาะ เอียงหน้าชะแง้สังเกตการณ์ เห็นกิ่งเขียวๆ ไหวสั่น ก็ระแวงไว้ก่อนว่า 'ผิดปกติ'

"อ้อ หรือว่าจะเป็นนักโทษแหกคุกคนนั้น ตายล่ะ ต้องรีบกลับไปบอกลุงเก่งกาจ"

สามแสนพึมพำกับตัวเอง พลางถอยหลังช้าๆ เธอไม่อยากเสี่ยงกับการถูกจับเป็นตัวประกัน นักโทษจนตรอกต้องทำแน่ ถ้าโผล่มาแล้วเห็นเธอเงอะงะ

ตาสวยเพ่งเขม็งกิ่งเขียวๆ ที่ยังไหวสั่นไม่เลิก สองเท้าก็กระเถิบถอยหลังเบากริบ จังหวะหนึ่งก็เหยียบกิ่งไม้แห้ง เสียง 'เป๊าะ' ของมัน ทำเอาหัวใจสามแสนกระตุก พร้อมกับเผลออุทานตกใจในลำคอ 'อุบะ'

แล้วฉับพลันนั้น แผ่นหลังก็เหมือนว่าปะทะกับบางอย่าง มันแข็งแต่ก็ขยับไหวได้ ต้นแขนเล็กร้อนขึ้น ครั้นเหลียวขวับลงมอง ก็พบนิ้วใหญ่สีคล้ำรวบกุมแน่น

สามแสนไม่ขอคิดมาก จะไม่ถามด้วยว่ามือใคร เธอขอปกป้องตัวเองไว้ก่อน ด้วยการกระทืบเท้าเจ้าของนิ้วใหญ่ แล้วหมุนตัวผลักเต็มเหนี่ยว แต่ก่อนหน้านั้น ก็ทันรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามตัวคู้ลง จนไหล่ใหญ่กระทบกับไหล่บางแผ่วๆ

"ช่วยด้วยค่ะ ช่วยสามแสนด้วย นักโทษแหกคุกอยู่ที่นี่ค่ะ ช่วยด้วย"

สามแสนหลับหูหลับตาตะเบ็งเสียงตะโกน เธอนึกว่าตัวเองกำลังซอยเท้าหนี แต่ภาพที่เกิดขึ้น และเท่าที่ลุงแม้น นายเก่งกาจ และนายปัญญาเห็น ก็คือ สาวชาวกรุงถูกรวบเอวแล้วหิ้วด้วยมือเดียว เจ้าตัวตะกายแขนถีบขาพัลวัน

"เกิดอะไรขึ้นหรือนายดุ" ลุงแม้นรีบปรี่เข้ามาถาม ตาก็สำรวจสาวในแขนหนุ่มใหญ่

"ไม่มีอะไร ฉันลากเธอออกมาจากงูบนนั้น"

ทุกคนหันหน้าและเงยไปยังตำแหน่งที่หนุ่มใหญ่พยักพเยิด เห็นว่างูใหญ่ยังพันร่างดำกลมบนกิ่งไม้แข็งแรง สามแสนไม่ทันเห็น เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับกิ่งไผ่ไหวสั่นข้างหน้า

เธอจำเพาะต้องหยุดตรงนั้น และอาจมีแนวโน้มว่า งูจะร่วงลงมารัด หรือไม่ก็ฉกตามประสาตกใจ ลำพังงู พอฉกแล้วก็คงเลื้อยหนีไป แต่คนโดนฉก คงนิ่งขึงตรึงตายอยู่ตรงนั้นนั่นเอง

ภภีมนั่งกินข้าวใกล้กับนายเก่งกาจ ฟังเจ้าตัวเล่าภารกิจสำคัญไปพลาง ตอนแรกก็ไม่ใส่ใจ แต่พอได้ยินเสียงสุขุม พาดพิงชื่อสามแสน มือไม้ก็พานอ่อนช้อนร่วง หัวใจก็วูบไหวเหมือนถูกผลักลงเหว

ครั้นนายพรานบอกว่า เธอมาอาบน้ำแถวนี้ เขาจึงรีบตามมา อยากเห็นกับตาว่า สามแสนที่ลุยดงเข้ามาตามหาพี่ชาย คือ 'สามแสนในหัวใจ' ใช่หรือเปล่า

"เอ้อ ปล่อยเธอก่อนดีไหม" นายเก่งกาจเตือนเสียงร้อนรน เป็นห่วงว่าสาวชาวกรุงจะเหนื่อย

สามแสนจึงค่อยได้เซแซดๆ ไปชนนายเก่งกาจ เธอเหนื่อยมากกับการดิ้นเร่าๆ ในบ่วงแขนร้อน ผู้ชายโรคประสาทคนนี้ หิ้วเธอเหมือนหิ้วตะกร้าไปจ่ายตลาด

เธอไม่อยากเชื่อเลยว่า ตัวเองจะเบาหวิวได้ขนาดนั้น ตั้งใจไว้แล้วว่า ขอหายใจทางปากสักสามสี่เฮือก พอให้อาการเหนื่อยหอบทุเลา เธอจะหมุนตัวไปด่าสักคำ

ภภีมจึงเห็นแค่ว่าสาวร่างโปร่งยืนหันหลังเกาะแขนนายเก่งกาจ มืออีกข้างก็ยกตบอก ส่งเสียงหายใจหอบแรงๆ ได้ยินเธอพึมพำกลั้วมาด้วยว่า 'โอ๊ย เหนื่อย'

ตั้งแต่ตามมาดูให้เห็นสามแสนกับตา ตรงมุมอาบน้ำก็ไม่มี ตรงลำธารก็ไม่มี เดินเตร่หามาจนเจอสาวคนนี้ ซุ่มตัวชะงักชะแง้ใต้ต้นไม้
ถ้าไม่เป็นเพราะงูบนกิ่งไม้เหนือศีรษะเจ้าตัวละก็ เขาคงไม่เสียเวลานึกเป็นห่วง แล้วตรงไปกุมแขน

ก็ตั้งใจแค่ว่าจะลากออกมาให้พ้นรัศมีพิฆาต แต่แล้วเธอก็สนองบุญคุณด้วยการกระทืบเท้าเต็มแรง ผลักอกเต็มเหนี่ยว แล้วจะไม่ให้โมโหจนหิ้วได้ยังไง

"นี่คุณ ทำไมหิ้วสามแสนอย่างนี้ สามแสนไม่ใช่ตะกร้าจ่ายตลาดนะ ตัวสามแสนก็ไม่ได้เบานะ สามแสนเป็นนักกีฬาด้วย ออกกำลังกายทุกวัน สามแสน.. "

"หุบปากเสียที ถ้าฉันเป็นนักโทษแหกคุกจริง สิ่งแรกที่ทำคือฉีกปากเธอนั่นแหละ"

"เอ๊ะ"

"แล้วคราวหน้าคราวหลัง ก็อย่ามาเดินเล่นสุ่มสี่สุ่มห้าคนเดียวอีก นี่มันป่า และป่าทุกแห่ง ก็มักจะมีอันตรายซ่อนตัวอยู่เสมอ ทั้งจากคนจากสัตว์"

"สามแสนไม่ได้มาเดินเล่น สามแสนมาตากเหงื่อ เมื่อกี้นี้ ตักน้ำเต็มตุ่ม เหงื่อมันออก สามแสนตั้งใจเดินแป๊บเดียวเอง แต่บังเอิญ มาเห็น.. "

เสียงใสหยุดไปเอง คล้ายว่าคนพูดเพิ่งจะนึกอะไรได้ ร่างโปร่งวิ่งไปชะเง้อชะแง้อีกแล้ว

"เมื่อกี้นี้ สามแสนเห็นกิ่งไผ่มันสั่นผิดปกติค่ะ" เธอหันกลับมารายงานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ทำตาโตด้วย "สามแสนยังนึกว่าจะเป็นนักโทษแหกคุก ตั้งใจจะไปบอกลุงเก่งกาจ แต่ไม่นึกว่าจะเจอคุณคนนี้.. "

ข่าวที่กรองจากสมองหวาดระแวงยุติกะทันหัน ทุกคนไม่เข้าใจว่าสามแสนหยุดรายงานทำไม แปลกใจว่าทำไมตาโตคู่นั้น เบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม ปากจิ้มลิ้มอ้าค้างจนน่าจะเรียกว่า 'หวอ'

ปฏิกิริยาประหลาดเช่นนั้น ทำให้ทุกคนต้องตั้งคำถามในใจ ซึ่งก็พ้องกันโดยบังเอิญอีกว่า 'เธอเป็นอะไรไป'

จากคุณ : รัชนีกานต์
เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 54 16:38:35




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com