...คืนนี้แล้วงั้นหรือ...
เคียรายืนเกาะขอบรั้ว มองเข้าไปในทุ่งโล่งเบื้องหน้า ซึ่งมีหญิงสาวในชุดผู้ชายบนหลังม้าสีขาว และชายหนุ่มต่างชาติบนหลังม้าสีน้ำตาลแดงวิ่งช้าๆ อยู่ข้างกัน
สี่วันผ่านไปรวดเร็ว โดยแทบไม่รู้ตัว
ขวดยาใสเหมือนน้ำเปล่ายังซ่อนอยู่ในลิ้นชักห้องพักของเธอ ลงกุญแจไว้เป็นอย่างดี ในระหว่างที่นางกำนัลสาวพยายามเลียบเคียงเจ้าหญิงแอชลีนน์ให้ยอมเสด็จกลับด้วยพระองค์เอง โดยนำสารและความเป็นห่วงของผู้สำเร็จราชการมาอ้าง แต่เจ้าหญิงยังทรงย้ำคำว่าจะกลับไปก็ต่อเมื่อได้รับคำตอบจากทางดูลัสแล้วเท่านั้น
‘อะไรทำให้ทรงเชื่อว่าท่านดูลัสจะยอมถอนหมั้นหรือเพคะ’ เคียราเคยถามออกไป เมื่อคืนก่อน ขณะสางพระเกศาให้ก่อนเข้าบรรทม
‘นั่นคือสิ่งที่เขาควรทำที่สุด ถ้าเขารักและหวังดีต่อเราจริงๆ’ คำตอบจากเจ้าหญิงของเธอฟังดูแทบไม่เหมือนคำตอบ
‘แต่ท่านดูลัส...ต่อสู้จนได้สิทธิ์ที่จะเสกสมรสกับองค์หญิงมาอย่างยุติธรรมนะเพคะ’ นางกำนัลสาวพยายามติง ...แม้จะไม่กล้าพูดออกไปโดยตรงว่าเจ้าหญิงต่างหาก ที่กำลังบิดพลิ้วสัญญาซึ่งต่างฝ่ายตกลงกันมาดีแล้ว
‘แล้วถ้าเราบอกว่าพิธีสยุมพรมันไม่เป็นธรรมมาตั้งแต่ต้นล่ะ เคียราจะเชื่อหรือเปล่า’ สีพระพักตร์ของนายหญิงในเงาสะท้อนบนกระจกดูจริงจัง กระนั้นน้ำเสียงยังลังเล
หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง ‘...หมายความว่ายังไงหรือเพคะ’
‘เราไม่อยากให้เคียรารู้เลย แต่ยิ่งเวลาผ่านไปแบบนี้ ก็...อาจจะจำเป็นก็ได้’ สายพระเนตรปรากฏแววเศร้าแวบหนึ่ง ‘ถ้าเราบอกว่ามีขุนนางคนหนึ่งในธีร์ดีเรอยู่เบื้องหลังการปลงพระชนม์...เคียราจะเชื่อไหม’
มือของนางกำนัลสาวชะงักไป ‘ร...เรื่องแบบนั้น...’
‘เป็นไปไม่ได้ เราก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน’ เจ้าหญิงทรงรับ ‘แต่มันเป็นความจริง เคียรา มีคนทำเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ เพื่อให้เกิดพิธีสยุมพร คนของ...เขา...จะได้มีอำนาจเหนือธีร์ดีเร ที่เรามาอยู่ยาร์ลาธ ก็เพราะว่าท่านเบเรคเชื่อเรื่องนี้ และจะช่วยปกป้องเราจากอิทธิพลของคนคนนั้น’
‘แล้วทำไมไม่ลงโทษเขาล่ะเพคะ’ เคียราตั้งคำถาม ‘ทำไมไม่ทรงเอาผิดเขา เรื่องใหญ่แบบนี้...’
‘ถ้าเราพูดไป ก็อาจจะเกิดสงคราม เขาเป็นคนที่มีอิทธิพลมาก...มากเกินไป เคียรา’ เจ้าหญิงแอชลีนน์ตรัสเสียงแผ่วลง ‘ตอนนี้เราถึงได้ต้องการเจรจา ถ้าเขายอมวางมือ ให้เราได้ปกครองด้วยตัวเอง เราจะไม่เปิดโปงความผิดของเขา และไม่ลงโทษเขากับลูกหลาน’
‘แต่...ทรงยอมได้ยังไงกันเพคะ’ นางกำนัลสาวโคลงศีรษะ ‘หากเรื่องนี้เป็นความจริง ท่านผู้สำเร็จราชการกับท่านดูลัสจะอยู่เฉยได้ยังไง ไม่ว่าเขาจะใหญ่โตมาจากไหน จะปล่อยให้ทั้งสามพระองค์ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้เชียวหรือเพคะ’
‘ถ้าดูลัสเห็นด้วยกับเรา เขาจะยอมตามเงื่อนไขนี้ ในเมื่อเขาคือคนที่จะออกไปเจรจากับคนคนนั้นเอง’
‘อะไรกัน! งานเสี่ยงอันตรายแบบนั้น!’ เคียราแทบร้อง ‘แล้วถ้า...ถ้าเขาทำร้ายท่านดูลัสล่ะเพคะ!’
‘เขาเป็นคนสัญญากับเราเอง ว่าจะกำจัดศัตรูทุกอย่างของเรา’
‘แล้วถ้าเขาทำเพื่อองค์หญิงถึงขนาดนี้ แล้ว...ทำไมองค์หญิงถึงยังจะทรงถอนหมั้นกับเขาอีกล่ะเพคะ’ นางกำนัลสาวตั้งคำถาม ‘ถึงพิธีสยุมพรจะเกิดจากแผนร้ายของคนคนนั้น แต่ท่านดูลัสก็มีความสามารถ...ชนะมาอย่างใสสะอาด เป็นคนที่พร้อมจะเป็นราชามากที่สุดแล้วนะเพคะ’
‘แล้ว ‘เรา’ ไม่ควรจะได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ว่าพร้อมจะเป็นราชินีหรือเปล่าเลยหรือ’
‘ม...ไม่ใช่นะเพคะ หม่อมฉันก็แค่…’ เคียราละล่ำละลัก...
“ตามจังหวะก้าวให้ทัน วางน้ำหนักดีๆ อย่าทิ้งน้ำหนักลงไปที่ไหล่ ระวังเรื่องสายบังเหียนด้วย อย่าให้ยาวเกินไป”
เสียงที่ดังแว่วมาทำให้ความคิดของนางกำนัลสาวขาดห้วง และเงยหน้าขึ้นก่อนจะเบิกตากว้างในทันใด
บนเนินหญ้าที่อยู่ห่างออกไป ม้าทั้งสองตัววิ่งเร็วจี๋ ด้านข้างของม้าสีขาวอยู่ใกล้กับเคียรามากกว่า เธอจึงเห็นว่าเวลานี้เจ้าหญิงทรงม้าโดยแทบไม่ได้นั่งติดบังเหียน แต่ดูเหมือนจะกำลังยืนย่อพระเพลา โน้มพระเศียรกับพระอังสาไปข้างหน้า พระบาทรับน้ำหนักอยู่ในโกลน พระเกศาปลิวไปตามลมแรงเช่นเดียวกับขนแผงคอและขนหางสีขาว
ตายแล้ว!
เคียราอยากร้องห้าม แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียง เธอกลัวว่าร้องออกไปแล้วม้าจะตื่นจนสลัดนายของเธอลงจากหลังของมัน จึงได้แต่มองต่อไปขณะที่เจ้าหญิงแอชลีนน์ทรงขยับพระองค์เพื่อทรงตัวบนหลังม้า และอาเมียร์ซึ่งควบตามไปข้างๆ ให้คำแนะนำ
ดูเหมือนจะนานเหลือเกินในความรู้สึก กว่าชายคนทรายจะบอกให้เจ้าหญิงค่อยๆ ชะลอม้าลง และปรับท่านั่ง จนกระทั่งม้ากลับมาวิ่งช้าๆ อีกครั้ง ก่อนจะกลายเป็นเดิน และหยุดนิ่งในที่สุด
จากนั้น อาเมียร์คงจะพูดแนะนำเจ้าหญิงแอชลีนน์เรื่องการขี่ม้าอีกสักเล็กน้อย แล้วพระองค์จึงทรงลงจากหลังของเฟ ก่อนจะจูงมันมายังริมรั้วที่เคียรายืนอยู่
“เป็นไงบ้าง! เคียรา! ตะกี้เห็นไหม! เราวิ่งควบได้แล้วละ! สนุกมากเลย!” เจ้าหญิงทรงตรัสอย่างดีใจราวกับเด็กเล็กๆ สีพระพักตร์ยังคงแดงก่ำและพราวด้วยเหงื่อ
“พ...เพคะ” นางกำนัลสาวพยายามบังคับตนเองให้ยิ้ม แม้จะฝืดเฝือ
“เอ้อ เดี๋ยวเราพาเฟไปเข้าคอกก่อน เคียราจะเดินไปด้วยกันไหม”
“ไม่เป็นไรเพคะ รีบไปเถอะ หม่อมฉัน...เอ่อ...คงเดินเล่นอีกสักหน่อย แล้วจะไปเข้าเฝ้าเวลาเสวยพระกระยาหารนะเพคะ”
“งั้นเหรอ” นายหญิงของเธอรับ แต่ก็ทรงจูงม้าดำเนินจากไป โดยดูเหมือนจะไม่สงสัยอะไรมากนัก
นางกำนัลสาวมองพระองค์อยู่ข้างรั้วอีกพักหนึ่ง จนกระทั่งอาเมียร์จูงเอ็มบาร์เดินตามมา เขาหันมามองเธออย่างสงสัย
เคียราสูดลมหายใจลึกรวบรวมความกล้า และบอกตนเองว่าชายคนทรายสัญญาต่อหน้าพระพักตร์ของเจ้าหญิงแล้ว ว่าจะไม่อ่านใจของเธออีก
ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะรักษาสัญญาจริงๆ แต่เธอก็จะพยายามไม่คิดเรื่องที่ไม่ควรคิดเช่นกัน
“ทำไมถึงให้เจ้าหญิงทรงทำอะไรเสี่ยงๆ อย่างนั้น”
“เจ้าหญิงทรงคุ้นกับม้าพอจะลองวิ่งควบแล้ว แต่ข้าก็กำชับให้พระองค์ฝึกวิ่งควบต่อเมื่อมีข้าอยู่ด้วยเท่านั้น”
“แล้วทำไมถึงต้องให้วิ่งควบ ข้ารู้ว่าพระองค์ทรงอยากทรงม้าให้เป็น แต่ต้องให้ทำอะไรอันตรายแบบนั้นด้วยเหรอ นี่คิดอะไรของเจ้ากันแน่”
“ในเวลาศึกหรือเวลาคับขัน หากไม่วิ่งควบจะเอาตัวรอดได้หรือ”
“เจ้าจะให้พระองค์ไปออกรบรึยังไง” เคียราขมวดคิ้ว “อยากให้เกิดสงครามในธีร์ดีมากนักหรือ”
สีหน้าของชายหนุ่มยังคงสงบ ออกจะเคร่งเครียดกว่าเดิมด้วยซ้ำ “ไม่อยาก แต่เรื่องนั้นข้าไม่ใช่คนกำหนดได้หรอก”
“แล้วใครที่จะกำหนด คนที่ท่านดูลัสไปเจรจาด้วยงั้นเหรอ”
อาเมียร์ดูประหลาดใจอยู่แวบหนึ่ง “เจ้าหญิงทรงบอกท่าน?”
หญิงสาวพยักหน้า
“แล้วทรงบอกหรือเปล่า ว่าคนคนนั้นเป็นใคร”
“จะเป็นใคร...สำคัญไปกว่าต่อให้มีคนวางแผนร้ายเบื้องหลังพิธีสยุมพร ท่านดูลัสก็ฝ่าฟันจนเอาชนะทุกอย่างมาได้ตามกติกา...ทั้งๆ ที่เจอกลโกงของชาลัวห์ แต่ก็ยังถูกบังคับให้ถอนหมั้นกับเจ้าหญิงอีกอย่างนี้หรือ”
“แสดงว่าเจ้าหญิงทรงยังไม่ได้บอกท่านทุกอย่าง” ชายคนทรายสรุปเช่นนั้น แล้วก็จูงม้าเดินผละไป
แต่เคียราจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น
“เจ้าเคยบอกไม่ใช่เหรอ...ว่าพร้อมจะใช้ ‘ความจริง’ ทำให้ข้าเชื่อ” เธอเดินตามเขาไปจากอีกฟากหนึ่งของรั้ว “ก็ทำเสียทีสิ!”
“ข้าไม่ใช่ฝ่ายที่ไม่พร้อม แต่เป็นท่านต่างหาก”
“นั่นคือคำพูดของคนที่ไม่ยอมแม้แต่จะพูดความจริงเหรอ!”
ชายหนุ่มหยุดเดินอีกครั้ง แล้วก็ถอนใจน้อยๆ “ต่อให้ข้าพูดไป ท่านก็ไม่เห็นว่าเป็นความจริงอยู่ดีกระมัง”
“นั่นไม่ใช่ข้ออ้างไม่ให้พูดหรอกนะ”
“ก็จริงของท่าน” อาเมียร์วางมือข้างหนึ่งลงบนรั้ว และสบตากับหญิงสาว “หากไม่ลองก็คงไม่รู้ ว่าแต่แอชบอกอะไรกับท่านแล้วบ้าง”
เคียราพูดไปตามตรง ทั้งเรื่องที่มีขุนนางบงการการลอบปลงพระชนม์ และเงื่อนไขซึ่งท่านดูลัสได้รับมอบหมาย
ถึงอย่างนั้น เธอก็อดเสริมไม่ได้ “แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องบีบให้เขายอมถอนหมั้น ในเมื่อเขาก็ไม่ได้ทำผิดอะไร”
“ใช่ เขาอาจไม่ได้ทำผิด แต่เมื่อความจริงเรื่องนี้แพร่ออกไป เขาก็จะสูญเสียความชอบธรรมไปในทันที”
“เพราะอะไร”
นัยน์ตาสีดำสนิทของอาเมียร์จ้องตรงมาอย่างเคร่งขรึม ขณะที่เสียงลดลงแผ่วเบาเป็นกระซิบ “คนที่อยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์คือเจ้ามณฑลอุลทูร์”
เคียราตะลึงงันอยู่เป็นนาน กว่าจะรวบรวมเสียงพูดของตนสำเร็จ
‘“ป...เป็นไปไม่ได้!”
“ข้านึกแล้วว่าท่านต้องไม่เชื่อ”
หญิงสาวบีบรั้วไม้ตรงหน้าแน่นเต็มสองมือ โดยไม่ใส่ใจว่ามันจะเปื้อนฝุ่นอย่างไรอีกต่อไป “เจ้าโกหก”
“นี่คือความจริง ท่านเบเรคกับแอชเองก็เชื่ออย่างนั้น หลักฐานกับพยานยืนยันก็มีอยู่...แม้จะหายากสักหน่อย เรายังมีทางเอาผิดเขาได้ แต่เพราะต้องการให้เรื่องนี้จบลงอย่างเงียบๆ มากกว่า จึงได้ตัดสินใจเจรจาก่อน”
“หมายความว่าที่ท่านดูลัสยอมถอนหมั้น เป็นเพราะเชื่อว่าพ่อของเขาเป็นคนผิดเหมือนกันเหรอ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
และท่านดูลัสก็ไม่ได้ยอมถอนหมั้นด้วย... นางกำนัลสาวห้ามตนเองก่อนหลุดความจริงนี้ออกไปได้สำเร็จ
เพราะอย่างนี้นี่เอง ท่านดูลัสถึงต้องรีบพาเจ้าหญิงกลับไป...ออกไปจากอิทธิพลของเจ้าคนทราย เขาอาจจะปรึกษากับผู้สำเร็จราชการแล้ว จึงได้ย้อนกลับมาอย่างลับๆ เช่นนี้ก็ได้
“แล้วหากไม่เชื่อ ทำไมถึงยอมจากไปอย่างเงียบๆ เล่า” อาเมียร์กลับย้อนถาม “สารที่อยู่กับเขาระบุข้อกล่าวหาของแฟคท์นาไว้ชัดเจน หากนั่นไม่เป็นความจริง ทำไมดูลัสถึงไม่ท้าให้เปิดโปงเรื่องนี้ พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพ่อเขา แล้วจะได้ย้อนกลับมาเล่นงานข้า ว่าเป็นคนกุข้อหาไม่มีมูลขึ้นมาเอง ใส่ร้ายยุยงให้ขุนนางผู้ใหญ่เสื่อมเสีย และหลอกลวงเบื้องสูง...ข้อหาพวกนี้มากเกินพอที่จะประหารข้ากับครอบครัวในฐานะกบฏแผ่นดินได้ไม่ยากเลย ส่วนท่านเบเรคจะยอมเสี่ยงช่วยปกป้องข้าทำไม ในเมื่อตัวท่านเองกับมณฑลก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเป็นรูปธรรม แถมยังอาจได้รับโทษไปด้วย”
เคียรานิ่งงันไป ครั้นจะบอกว่าท่านดูลัสอาจไม่แน่ใจว่าท่านเจ้ามณฑลอุลทูร์มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่...ก็ตระหนักได้ว่านั่นไม่ใช่เหตุผล ไม่มีทางที่ท่านดูลัสจะระแวงว่าพ่อของตนทำเรื่องชั่วช้าแบบนั้นได้เป็นอันขาด
หมายความว่า...ท่านดูลัสยอมจากไป เพราะรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ
เป็นไปไม่ได้ พวกมันต้องข่มขู่เขามากกว่า ไม่มีทางที่ท่านดูลัสจะรู้เห็นกับแผนการทั้งหมด เขาเองเป็นคนเสี่ยงอันตราย พาเธอกับเจ้าหญิงแอชลีนน์ควบม้าหนีออกจากวงล้อมของการปะทะ จนปลอดภัยในที่สุดไม่ใช่หรือ
เป็นไปไม่ได้...เป็นไปไม่ได้เลย
อาจมีเหตุอื่น...ไม่สิ...ต้องมีเหตุอื่นแน่ คนทรายนั่นอาจไม่เพียงแต่หลอกลวงเธอ ทว่าหลอกลวงทั้งเจ้าหญิงกับเจ้ามณฑล เขามีเวทมนตร์ จะเสกพยานหลักฐานใดๆ ขึ้นมา หรือดลใจใครให้เชื่อเรื่องหลอกลวงของเขาก็ทำได้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ
แต่แล้ว เคียราก็ฉุกคิด หากใช้เวทมนตร์คาถาหลอกลวงให้เชื่อได้จริงๆ ...ทำไมไม่หลอกลวงเธอด้วยเวทมนตร์ จะมัวมาเสียเวลาพูดคุยโต้เถียงอย่างนี้ทำไม
แล้วทำไมไม่ใช้เวทมนตร์ดลใจให้ท่านดูลัสยอมถอนหมั้นแต่โดยดี ทำไมไม่ใช้เวทมนตร์ให้ใครๆ เห็นดีให้เขาแต่งงานกับเจ้าหญิงเสียเลยเล่า
หรือต่อให้หลอกลวงด้วยเวทมนตร์ไม่ได้มาแต่แรก ทำไมถึงต้องข่มขู่ด้วยคดีลอบปลงพระชนม์...หากว่านั่นไม่มีมูลความจริง ทั้งท่านแฟคท์นาและท่านดูลัสล้วนเป็นขุนนางมีศักดิ์ศรี มีคนศรัทธามาก ต่อให้พวกมันกุข่าวลือแพร่งพรายไปทั่ว ก็ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี
เวทมนตร์ของอาเมียร์ทำไม่ได้ทุกอย่าง... เท่าที่หญิงสาวเห็น เขาห่วงใยรูอาร์คจริงๆ แต่ก็ใช้เวทมนตร์ปกป้องหรือช่วยเหลืออีกฝ่ายจากการถูกทำร้ายไม่ได้ ดลใจใครๆ ให้เชื่อเขาก็ไม่ได้ แล้วจะเสกหลักฐานและพยานปรักปรำคนอื่นจากอากาศว่างเปล่าได้อย่างไร
ท่าทางของเจ้าหญิงแอชลีนน์ไม่ใช่คนที่ถูกมนตร์เสน่ห์...อย่างน้อยก็เท่าที่เคียรารู้มา แล้วก็ไม่ใช่คนที่ถูกล้างสมองให้เชื่อฟังอาเมียร์ไปทุกอย่าง ชายคนทรายไม่ได้ตามใจเพื่อซื้อใจพระองค์ แต่เจ้าหญิงทรงร่าเริงสดใสขึ้นเพราะ...เขารับฟังพระองค์ต่างหาก
ผิดกับเวลาอยู่กับท่านดูลัส
เจ้าหญิงเสด็จมากับอาเมียร์ด้วยความสมัครพระทัยของพระองค์เอง แต่ท่านดูลัสกำลังจะให้เคียราวางยานอนหลับให้พระองค์ แล้วลักพาไปในเวลาที่ทรงไม่ได้สติ ...ต่อให้หวังดีกับพระองค์อย่างไร นั่นมีแต่จะทำให้เจ้าหญิงยิ่งกริ้ว และอาจถึงกับทรงเกลียดชังท่านดูลัสไม่ใช่หรือ จะอธิบายอย่างไรหลังจากนั้น ก็คงยากที่จะทรงรับฟัง
นั่นไม่ใช่สิ่งที่ควรทำไม่ใช่หรือ
ไม่ได้... นางกำนัลสาวไม่รู้จะคิดอย่างไรอีก ท่านดูลัสย่อมมีเหตุผลของท่านดูลัส เหตุผลที่เธอไม่ต้องเข้าใจ แต่ทำตามก็เพียงพอแล้ว การวางแผน...เรื่องของบ้านเมือง...เป็นเรื่องของผู้ชาย ไม่ใช่เรื่องที่ผู้หญิงอย่างเธอจะตัดสินได้ด้วยความรู้สึก หรือเหตุผลแคบๆ ของตัวเอง ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร
“ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ...” เสียงของชายคนทรายดังขึ้นมาอีกครั้ง “ข้ารู้ว่านี่เป็นวิธีที่สกปรก และไม่ยุติธรรมต่อดูลัส เขามีความสามารถพร้อมที่จะเป็นกษัตริย์ แต่เป็นความผิดของพ่อเขาที่ทำให้เขาไม่มีความชอบธรรมในพิธีสยุมพรมาแต่แรก ถึงอย่างนั้น...นั่นก็ไม่สำคัญไปกว่าเขาไม่ใช่คนที่แอชเลือกด้วยความปรารถนาของตนเองหรอก”
เคียราไม่รู้จะพูดอะไร และไม่รู้จะรั้งชายหนุ่มที่เดินจูงม้าต่อไปเพื่ออะไรอีก
“ข้าเห็นใจเขา ข้ารู้...ว่าตัวข้าเองก็ไม่มีความชอบธรรมในฐานะพระคู่หมั้นมากไปกว่าเขา แต่ต่อให้แอชไม่ได้เลือกข้า ต่อให้ข้าไม่มีสิทธิ์...หรือไม่มีวันได้เป็นราชาแห่งธีร์ดีเร ข้าก็ไม่คิดจะเรียกร้องอะไร และยังยิ่งกว่าเต็มใจที่จะเป็นกำลังให้นาง เพื่อความปรารถนาของนางอยู่ดี ...หากเขารักนางอย่างที่ข้ารัก ก็ย่อมรู้สึกเช่นเดียวกับข้าไม่ใช่หรือ”
นางกำนัลสาวได้แต่ยืนนิ่งอยู่เพียงลำพัง ขณะที่ความคิดต่างๆ ตีปั่นป่วนอยู่ในสมอง
หนึ่งในนั้นคือคืนนี้แล้วที่ท่านดูลัสจะมา...มาเพื่อรับตัวเจ้าหญิง ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงไม่ปรารถนาเช่นนั้น
...แล้วจู่ๆ เคียราก็รู้สึกขึ้นมา ว่าการวางยานอนหลับให้พระองค์มีแต่จะเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์เท่านั้นเอง...
* * * * *
คนเขียนขอคุย
กลับมาทางดูลัสกับเคียรากันบ้าง ทางเลือกของดูลัสคงเป็นเรื่องที่ใครหลายคนคาดเอาไว้แล้ว แต่ต้องรอดูว่าเคียราผู้สับสนจนโอเวอร์โหลดกับข้อมูลที่ได้รับจะทำตามแผนการหรือไม่ และเหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไปครับ
แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้านะครับ
จากคุณ |
:
Anithin
|
เขียนเมื่อ |
:
13 มิ.ย. 54 22:41:36
|
|
|
|