วินทร์ พลวานิช เดินก้าวเข้าสู่โรงพยาบาล เมื่อเดินผ่านประตูที่เป็นกระจกสะท้อนภาพชายหนุ่มที่ผมเผ้ารุงรังจึงหันไปขยับสันแว่นตาเทอะทะให้เกี่ยวกลับไปบนจมูกสันคม ปัดทรงผมให้ดูยุ่งเหยิงแล้วเดินถือสัมภาระคู่ใจไปตามทาง พนักงานรักษาความปลอดภัยเดินเข้ามาใกล้ด้วยสายตาระแวดระวัง
มาหาหมอหรือเปล่าครับ
เปล่าครับ
ชายหนุ่มชูบัตรประจำตัวนักข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่ไปหยิบยืมมาจากเพื่อนพร้อมเปิดกระเป๋าเป้ให้เห็นว่าภายในมีกล้องถ่ายรูปพร้อมอุปกรณ์เสริมอยู่เต็ม ไม่มีอาวุธอันตรายอื่น รปภ.เห็นดังนั้นจึงปล่อยให้เดินเข้าด้านในโรงพยาบาล พร้อมกันกับเสียงสัญญาณโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ชายหนุ่มจึงหันไปรับโทรศัพท์ เมื่ออยู่ตามลำพังแล้วชายหนุ่มจึงทำตัวตามสบาย พูดเสียงหวาน
มาถึงแล้วครับคุณแม่
ที่ว่าถึงน่ะ ถึงตรงไหนยะ ตาวินทร์ ลงจากเครื่องแล้วทำไมไม่กลับเข้าบ้าน แม่อุตส่าห์เลือกไฟลท์ที่มาลงแล้วพาเข้าบ้านทันก่อนเคอร์ฟิว ปรากฏเจ้าเชิดบอกว่าไปรับลูกที่สนามบินแล้วได้แต่กระเป๋าเสื้อผ้ากับของฝากกลับบ้าน ส่วนตัวแกเผ่นแน่บไปหาเพื่อน
เสียงมารดาตะโกนแว้ดๆๆ ต่อว่าต่อขานเข้ามาในโทรศัพท์
โธ่ คุณแม่ จะหัวเสียทำไมครับ ก็คุณแม่บอกให้ผมกลับมาทำงาน ตอนนี้ผมก็มาอยู่ที่ทำงานแล้วไงฮะ
ตายแล้ว จำวันผิดหรือเปล่าตาวินทร์ กำหนดการประชุมกรรมการบริษัทที่แม่จะพาลูกไปเปิดตัวเป็นประธานคนใหม่น่ะมันวันพรุ่งนี้นะลูก
จำไม่ผิดหรอกครับ ว่าต้องเข้าประชุมพรุ่งนี้
ลูกชายตอบเสียงกลั้วหัวเราะ
แต่ผมอยากลองเข้ามาสำรวจตอนที่ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งท่านประธานก่อน พอลงจากเครื่อง ก็ได้ยินข่าวปาระเบิดขวดใส่แบงก์ อยู่แถวๆโรงพยาบาลของคุณแม่พอดี เห็นว่าคนเจ็บระนาว งานนี้น่าสนใจดีครับ ผมเลยไม่ขึ้นรถน้าเชิด แต่เรียกแท็กซี่ไปหาไอ้วุฒิแทน ไปยืมชุดนักข่าวของมันมา ถือโอกาสสำรวจแผนรองรับอุบัติเหตุหมู่ของคุณแม่ไปด้วยเลย
โอ๊ย ตายๆๆ ลูกชั้น กลับมาถึงก็มาทำอะไรพิเรนทร์ๆ แล้วแม่ก็ส่งลูกไปเรียนบริหารนะ ไม่ใช่ไปเป็นนักข่าว
โธ่...คุณแม่ครับ นี่แหละงานบริหาร ผมไม่อยากทำตัวเป็นท่านประธานที่เอาแต่นั่งห้องแอร์ เซ็นต์อนุมัติใบขอซื้อเครื่องมือแพทย์ไปวันๆนะครับ ถึงคุณแม่จะอยากให้เป็นอย่างนั้นก็เถอะ
เชื่อเค้าเลย สมกับที่พ่อแกส่งไปร่ำเรียนหลักสูตรบริหารงานโรงพยาบาลจากฮาร์วาร์ดมาโดยตรง นี่เขาสอนให้ทำขนาดนี้เลยเหรอ
เปล่าฮะ ผมก็แค่อยากทำอะไรแก้เซ็งเล่น แค่นี้ก่อนนะครับแม่ ตอนนี้ผมสวมบทนักข่าวอยู่นะครับ เดี๋ยวก็ความแตกกันพอดี
ไม่รอฟังเสียงมารดาคัดค้าน ชายหนุ่มปิดสัญญาณโทรศัพท์แล้วตรงไปยังห้องฉุกเฉิน ช่วงเวลาเย็นย่ำ อาทิตย์อัสดงสาดแสงเข้าระดับสายตาจนภาพข้างหน้าดูพร่าเลือน ประตูห้องฉุกเฉินถูกผลักออกเพื่อขนย้ายผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัด ชายหนุ่มยกกล้องขึ้นเล็งเพื่อถ่ายภาพบรรยากาศด้านใน ท่ามกลางเจ้าหน้าที่เดินขวักไขว่และผู้คนจอแจ กล้องตัวเล็กจิ๋วกลับจับภาพโฟกัสไว้กับเป้าหมายหนึ่ง ที่สะกดตรึงให้เขาไม่สนใจภาพใดอีก
*.,¸,.*.,¸,.*.,¸,.*.,¸,.*
เดียว
ครับพี่สา
ช่วยเข็นคนไข้หญิงเสื้อสีชมพูไปที่โซนแดงนะ คนนี้โคม่าสเกลน้อยกว่า 8 การประเมินแรกรับผิดนะ ปล่อยให้อยู่โซนเหลืองไม่ได้
ครับพี่
แล้วคนไข้เตียง CPR ที่ขาขาดโคม่าสเกลเป็น 0 แล้ว ย้ายขึ้นเฟอร์โน่พาไปโซนน้ำเงินนะ เดี๋ยวพี่รายงานแพทย์ให้ไซน์เดดก่อน แล้วจะตามไปคอนซัลท์ญาติคนไข้ด้วย
ครับ
เด็กหนุ่มยังละล้าละลัง ยืนทบทวนคำสั่ง
ไปโซนเหลือง เข็นคนไข้หนักไปโซนแดงก่อน แล้วย้ายคนไข้ที่ไม่รอดแล้ว ไปไว้โซนน้ำเงิน โอเคมั้ย
รสาสรุปให้โดยย่อและตบบ่าให้กำลังใจ
"ครับ!"
เด็กหนุ่มค่อยเผยรอยยิ้มโล่งใจและกุลีกุจอไปทำงานต่อ
โอยยยย..... หมอช่วยด้วย..... พยาบาลช่วยด้วย
ผู้ป่วยที่นอนบนรถเข็นไม่ห่างออกไปพอได้ยินเสียงพูดคุยก็โอดครวญขอความช่วยเหลือ รสาเหลียวหน้าเหลียวหลังไม่เห็นใครก็เข้าไปประกบ
มาแล้วค่ะ ใจเย็นๆนะคะ คนไข้ลืมตาได้ไหมคะ ขอดูม่านตาหน่อยค่ะ
รสาคว้าอุปกรณ์เท่าที่มี ดึง MASS CASUALTY CARD ออกมาบันทึกและปฐมพยาบาลผู้ป่วยรอแพทย์ที่ยังรักษาผู้ป่วยในโซนแดงไม่แล้วเสร็จ
*.,¸,.*.,¸,.*.,¸,.*.,¸,.*
(มีต่อค่ะ)