Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรือนกุหลาบ บทที่ ๒ ติดต่อทีมงาน

เสียงประชาสัมพันธ์สาวรายงานมาไม่ขาดสาย บริเวณช่องผู้โดยสารขาออกวันนี้ผู้คนไม่คลาคล่ำนัก สองสาวยืนอำลากันอยู่ตรงนั้นเพียงชั่วเวลาไม่นาน ทว่าคนตัวเล็กกว่าดูจะเหงาหงอยอาลัยเมื่อแหงนหน้ามองเจ้าของร่างสูงเพรียว การเดินทางสู่อนาคตกำลังจะเริ่มต้น ความพลัดพรากกำลังจะบังเกิดแก่หัวใจดวงน้อยที่มีพี่สาวต่างสายเลือดเป็นเสมือนที่พักพิงยึดเหนี่ยวจิตใจมาโดยตลอด


           “กลับมาหาไข่มุกเร็วๆนะคะพี่แพร”

           เด็กสาวสวมกอดนักเรียนทุนคนเก่งราวกับไม่อยากปล่อยให้จากกันจริงๆ

           “พี่ทำตามใจตัวเองอย่างนั้นไม่ได้หรอก รัฐบาลเขามีเวลา หลักสูตรเขามีกำหนดว่าต้องเรียนกี่ปี”

           แพรวาส่ายหน้าน้อยๆ มองเด็กขี้แยอย่างนึกขันในใจ

           “พี่ต้องไปแล้ว..ดูแลตัวเองด้วยนะเด็กน้อย”


           มุกดารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยได้ยินคำกล่าวเช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง จากใครบางคน

           “ตั้งใจเรียนนะ อย่าให้คุณป้าต้องเป็นห่วงล่ะ”

 
         แพรวาตัดใจสั่งลาครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมุนตัวออกพร้อมกระเป๋าเดินทาง เสียงสะอื้นไห้ที่ดังค่อยๆอยู่เบื้องหลัง เสมือนเจ้าตัวตั้งใจสะกดความเสียใจไว้เต็มที่แล้ว


           ดวงเนตรคมเฉี่ยว ปลายหางตามีแพขนงอนงามดำขลับ เหลียวมองด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ เสียงใสกังวานเป็นเอกลักษณ์ทิ้งประโยคนั้นไว้เพื่อหวังให้มุกดามีรอยยิ้มก่อนจากกัน


           “กลับมาคราวหน้า พี่จะโมดิฟายด์ไข่มุกด้วยแฟชั่นที่โมเดิร์นที่สุด พี่สัญญา”




           แสงแดดจ้ายามเที่ยงวันทอดลำอยู่เหนือศีรษะ เจ้าของร่างแบบบางรูดตัวลงซุกใต้ผ้าห่มผืนหนาด้วยความท้อใจ ท่ามกลางกองหนังสือพิมพ์หน้าโฆษณาหางานที่กระจายเกลื่อนรอบตัว เศษกระดาษหมึกขาวดำบางชิ้นปลิวว่อนไปตกอยู่บนหัวผู้เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องโดยไม่ได้นัดหมาย


           “เต็มแล้วหรือคะพี่ โอ..ขอบคุณค่ะ หนูจะพยายามต่อไปนะคะ”


           ไอโฟนเครื่องบางถูกกดเลขหมายปลายทางเบอร์ใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงทอดถอนลมหายใจเริ่มระรวยริน เพทายมองน้องสาวด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับเดินเข้ามานั่งเป็นกำลังใจอยู่ข้างเตียง


           “ยังหางานไม่ได้หรือคะคุณน้อง ให้พี่ช่วยอะไรมั้ย”


           คำถามเจือแววเป็นห่วงลึกๆ ทว่านัยน์ตาขี้เล่นส่อเค้าว่าอยากยียวนเสียมากกว่า


           “ไม่ต้องเลยเพ จะมาหัวเราะเยาะไข่มุกล่ะสิ”


           มุกดาสะบัดดวงหน้ารูปไข่ไปอีกทาง หล่อนวางไอโฟนลงข้างตัวอย่างจะเลิกสนใจอะไรทั้งหมด คิ้วโก่งเรียวสีน้ำตาลอ่อนแทบจะผูกกันเป็นโบ เพทายลอบมองดวงหน้านวลแอร่มวรรณะขาวผ่องนั้นด้วยความอิจฉาแกมชื่นชม มุกดาโตเป็นสาวแล้วยิ่งสวยขึ้นทุกวัน ทว่าเจ้าตัวไม่ได้สนใจ หรือไม่เคยรู้เลยกระมังว่าพี่สาวอย่างหล่อนต้องคอยกีดกันผู้ชายที่เฝ้าหมายปองอยู่ทั้งหลายให้ออกห่าง ด้วยเป็นคำสั่งกำชับนักหนาของคุณหญิงนารี...ผู้บังเกิดเกล้าที่ไม่ต้องการให้ลูกสาวคนเล็กเข้าใจว่าตัวเองสวยมากเพียงใด


           ‘สวยเหมือนไข่มุกสมชื่อ แต่แม่ไม่อยากให้น้องเหลิง..ประเดี๋ยวจะหลงจนกู่ไม่กลับเหมือนใครบางคน’ ความหมายกินนัยที่ผู้เป็นมารดาเคยกล่าวไว้ยามเพทายคอยนวดไหล่ปรนนิบัติให้ทุกวันหยุด ราวกับต้องการกระทบใครคนหนึ่งซึ่งอยู่แดนไกล ทว่าหล่อนเองก็ไม่เข้าใจลึกซึ้งนัก ว่าด้วยสาเหตุใด คุณหญิงนารีจึงเปลี่ยนทีท่าที่เคยมีต่อหลานสาวสุดรักเพียงช่วงเวลาสองปีให้หลังมานี้..หรืออาจเป็นเพราะใครคนนั้นไม่เคยกลับมาเยี่ยมเยียนเรือนกุหลาบแห่งนี้อีก หล่อนสันนิษฐานได้เพียงข้อเดียวจริงๆ


           “แน่ใจหรือว่าจะไม่ให้พี่ช่วย”


           เพทายยังถามย้ำ หากหนักแน่นขึ้นกว่าครั้งไหน จนคนฟังต้องเหลือบมอง ทว่าครู่เดียวก็พ่นลมหายใจยาว


           “อย่ามายุ่งกับเค้าเลย เรื่องแค่นี้เค้าจัดการเองได้”

           มุกดาดึงดันตามประสาคนยึดมั่นในความคิดของตัวเอง


           “งานมัณฑนากรจะหาประจำไปทำไม พาร์ทไทม์ อย่างเดิมก็สบายดีอยู่แล้ว ไม่ต้องกินเงินเดือนง้อเจ้านายนานๆ”


           เพทายพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของน้องสาวด้วยเหตุผลนานาประการ หล่อนไม่ถือสาหรอกที่น้องสาวไม่เรียกหล่อนว่าพี่ เพราะมุกดาอายุห่างกับหล่อนแค่เพียงหนึ่งปี แถมยังเคยเล่นหัวกันมาแต่เด็ก พูดให้ถูกคือหล่อนเป็นพี่สาวที่ทำตัวได้น่าเกรงใจและน่านับถือน้อยที่สุดในบรรดาคนสูงวัยกว่าไข่มุกทั้งหมด


           “ฟรีแลนซ์น่ะดี มีอิสระของชีวิต อยากไปเที่ยวไหนก็ไป อยากติสต์แตกแกล้งไม่รับงานใครก็ได้”


           มุกดาเชื่อสนิทใจเลยว่า ไม่มีใครในโลกหาเหตุผลได้แย่ที่สุดเท่าพี่สาวจอมกวนคนนี้อีกแล้ว


           “หยุดพูดเสียทีได้มั้ย หนวกหูจริงเลย”


           ริมฝีปากมีมุมหยักรูปกระจับเอ่ยพลางเม้มเข้าหากันแน่น สะบัดศีรษะยกมือปิดหูทั้งสองข้างยืนยันความประสงค์นั้นได้ดี


           “งานสมัยนี้หาง่ายเมื่อไหร่กัน อย่าว่าแต่งานประจำเลย พาร์ทไทม์เดี๋ยวนี้ก็แทบไม่มีใครจ้างเค้าแล้ว”


           เพทายพยักหน้ารับฟังอย่างไม่ใส่ใจนัก ราวกับสิ่งที่น้องสาวบอกเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ


           “โอ๊ย เครียด”


           มุกดาร้องบอกพร้อมกับหงายหลังตึงไปกับหมอนแพรรูปหัวใจ เกือบเดือนที่หล่อนไขว่คว้าหางานประจำทำ แต่ติดต่อไปที่ไหนก็มีแต่บอกว่าเต็มแล้ว หรือไม่ก็ทางบริษัทยังไม่เปิดรับตำแหน่งมัณฑนากร


           อาชีพที่หญิงสาวแสนภาคภูมิใจที่สุดในวันรับปริญญา ความสามารถที่เรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์ โปรเจ็คใหญ่ๆ รางวัลสวยๆที่เคยได้สมัยเรียนมหาวิทยาลัยชื่อดัง ทำให้หล่อนค่อนข้างจะมั่นใจเกินร้อยว่าจบมาจะหางานทำเมื่อไหร่ก็ได้


           แต่ด้วยยุคเข็ญทางเศรษฐกิจเลยทำให้หล่อนต้องเผชิญกับสภาวะยุ่งยากลำบากใจอย่างในตอนนี้


           “ถ้าพี่แพรอยู่ ป่านนี้ฉันคงได้งาน”

           เพทายขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งขึ้นมาทันที


           “เขาจะช่วยอะไรเธอได้ คนคนนั้นไม่ใช่นางฟ้าที่จะเนรมิตทุกสิ่งที่เธอปรารถนานะ”


           ดวงตาวาววามมีรอยชื้นขึ้นมา ใบหน้านั้นหันมาแต่ไม่ได้มองคนพูด ทว่ามีแววเลื่อนลอยเสมือนกำลังคิดถึงใครอีกคน


           “พี่แพรจะเป็นกำลังใจให้ฉัน แต่ตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว”


           “เฮ้อ..น่าเบื่อจริง”


           คนพูดไม่มีทีท่าจะเห็นใจคนเจ้าน้ำตาเลยสักนิด


           “ถ้าวันไหนไม่มีคำว่าพี่แพร ก็ต้องมีคำว่าพี่เขียว”


           เพทายจับไหล่บางที่เริ่มสั่นสะท้านน้อยๆให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับหล่อน


           “คิดถึงเป็นอยู่สองคนหรือไง หัดคิดถึงคนอื่นบ้าง เพศตรงข้ามบ้างอะไรบ้าง”


           พี่สาวตัวดีเอ่ยเสียงเครียด ทว่ามุกดามั่นใจว่าหาสาระจริงจังอะไรไม่ได้เลย


           “ฉันยังไม่อยากมีน้องเป็นเลสเบี้ยน”


           เอ่ยเพียงแค่นั้นเมื่อไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น เพทายจึงยันตัวเองออกจากเตียง หมุนตัวกลับพลางยักไหล่


           มือบางสีงาช้างค่อยๆไล้ไปบนรอยแผลที่นิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย ความทรงจำบางอย่างยังคงติดตรึงในหัวใจ..ทำไมหล่อนจะไม่เคยคิดถึงเพศตรงข้าม แม้จะเหมือนความฝันที่ไม่อาจเวียนกลับมาอีกแล้ว แต่หล่อนก็ยังคงยิ้มได้เมื่อนึกถึงมัน


           “เอ เค กรุ๊ป..บริษัทเพื่อนสนิทฉันมีว่างหนึ่งตำแหน่ง ถ้าสนใจเมื่อไหร่ก็บอก”


           มือที่ไล้ความทรงจำเก่าหยุดชะงัก พร้อมๆกับผู้มาเยือนที่กำลังจะหมุนลูกบิดเตรียมผละไป


           “ทำไมเพิ่งมาบอก”

           เสียงใสแจ๋วดังขึ้นอย่างมีความหวังเต็มเปี่ยม เพทายยักไหล่พร้อมกันสองข้าง ก่อนหันกลับมาบอกกวนๆ


           “ก็เธอไม่ยักถาม..”






           อาคารทรงสี่เหลี่ยมคางหมูกรุกระจกสะท้อนแสงโดยรอบดูแปลกตา ตัวตึกไม่สูงมากนักอย่างที่อาคารธุรกิจในเมืองหลวงมักทำกัน  สถาปัตยกรรมเบื้องหน้าถูกใจผู้มาใหม่มิใช่น้อย มุกดาแหงนหน้ามองแล้วกอดอกยืนยิ้มอยู่คนเดียว ผู้คนในวันทำงานเดินสวนเข้าออกอาคารกันขวักไขว่ หลายคนชำเลืองแลมายังสตรีแปลกหน้าด้วยความไม่คุ้นตา ทว่ารอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนมุมปากของผู้พบเห็นโดยเฉพาะชายหนุ่ม บ่งบอกลักษณะดึงดูดของแขกหน้าใหม่ได้ดี


           หญิงสาวในชุดจั๊มสูทสีขาวท่าทางมั่นใจในตัวเองแต่มีประกายอ่อนโยนสดใสต่อสายตาทุกคนที่จ้องมองมา เวลานี้กลับต้องสูดหายใจเข้าเต็มปอด ภายนอกหล่อนอาจดูมั่น แต่ภายในมีแต่ความลุ้นระทึก ความหวังเดียวสุดท้ายที่หล่อนจะได้งานประจำทำกับเขาสักทีฝากไว้ที่บริษัทนี้แห่งเดียวเท่านั้น


           มุกดาถอดแว่นตาดำอันใหญ่เก็บใส่กระเป๋าสะพายเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูกระจกชั้นล่าง พนักงานรักษาความปลอดภัยมองลอดกระจกใสออกมาแล้วยิ้มต้อนรับแบบออกนอกหน้า เมื่อเทียบกับแขกคนอื่นๆ


           พื้นหินกลัดประดับกรวดสีสวยตรงสองข้างทางจะไม่สะดุดตาหล่อนเลย หากไม่มีแปลงกุหลาบขาวออกดอกสะพรั่งเรียงยาวตลอดแนว ความรู้สึกบางอย่างกระตุกวาบขึ้นในใจ ทว่ามุกดาก็สลัดความคิดนั้นออกจากสมอง..มันคงไม่มีอะไรไปมากกว่าความบังเอิญ!


           “เป็นแขกวีไอพีของคุณชโลทรหรือเปล่าครับ”

           พนักงานชายคนนั้นเอ่ยถาม ทีท่าสุภาพนอบน้อม หากแต่สายตากรุ้มกริ่ม

           “นัดท่านประธานไว้ใช่ไหมครับ”


           มุกดาได้แต่นึกขันในใจ หล่อนยังไม่ได้ปริปากพูดอะไรสักคำ กลับโดนทึกทักไปเสียโน่น


           “เปล่าค่ะ ดิฉันมาสมัครงาน”

           หญิงสาวส่ายหน้าเพียงเล็กน้อยแล้วยิ้มตอบอย่างมีไมตรี

           “อะ..อ้อ ครับ”


           ชายวัยฉกรรจ์ร่างป้อมคนนั้นถึงกับทำหน้าไม่ถูก แต่ก็รีบกลบเกลื่อนความเก้อเขินไว้ได้ทัน


           “ดิฉันทราบมาว่า บริษัทนี้เปิดรับสมัครมัณฑนากรทำงานประจำหนึ่งตำแหน่ง”


           หญิงสาวอธิบาย ถึงแม้จะรู้ดีว่าอาจไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับการบอกกล่าว


           “เอ่อ..ตำแหน่งมัณฑนากรหรือครับ”


           เสียงชายคนนั้นฟังแปร่งๆอย่างไรพิกลในความรู้สึกของมุกดา

           “ดิฉันทราบข่าวมาผิดหรือคะ”


           “เอ่อ..” ชายร่างป้อมใบหน้าคร้ามทำท่าเหมือนเสียดาย แต่เพียงอึดใจเดียวก็รีบเอ่ย


           “เชิญที่แผนกฝ่ายบุคคลชั้นสองครับคุณผู้หญิง”


           มุกดายิ้มกว้าง หล่อนก้มศีรษะเล็กน้อยแทนคำขอบคุณก่อนจะตรงดิ่งไปยังบันไดเลื่อนด้านขวามือ


           และท่าทางแบบนั้นก็ทำให้พนักงานผู้หวังดีแอบรู้สึกผิดอยู่ในใจ




           บนชั้นสองของอาคาร แผนกงานต่างๆถูกจัดไว้เป็นสัดส่วน ทว่าแปลกตาตรงที่ไม่ว่าผู้มาใหม่จะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้ชาย ไม่มีพนักงานผู้หญิงเลยสักคนเดียวตั้งแต่หล่อนก้าวเข้ามาในบริษัทแห่งนี้


           มุกดายืนเหลียวซ้ายแลขวาไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหน เพียงครู่เดียวก็มีพนักงานที่คาดว่าจะมีตำแหน่งสูงพอควร เดินตรงเข้ามาหา ก่อนจะรีบแนะนำตัวอย่างไม่เป็นทางการ


           “ผมชื่อ กฤษดา ครับ คุณเป็นแขกท่านประธาน หรือเปล่าครับ”


           ชายคนนั้นรูปร่างหน้าตาพอเป็นนายแบบได้สบาย การแต่งกายในชุดสูทเนี้ยบหรู มุกดานึกเดาเล่นๆ ว่าเขาอาจจะเป็นหัวหน้าฝ่ายอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็เป็นระดับผู้จัดการ  เขายิ้มให้หล่อนอย่างสุภาพ ทว่าสายตาที่มองมาคลับคล้ายจะเหมือนชายฉกรรจ์ที่ยืนต้อนรับหล่อนหน้าประตู ชายหนุ่มยื่นมือขึ้นมา ประสงค์จะทำการทักทายแขกตามแบบฉบับชาวตะวันตก แต่มุกดากลับกระพุ่มมือไหว้อย่างสวยงามเป็นการตอบรับ


           “ดิฉันมาสมัครเป็นมัณฑนากรประจำบริษัทค่ะ”


           หล่อนบอกเสียงเรียบ แต่ไม่กระด้างจนถึงกับขัดหูคนฟัง..อีกครั้งที่มุกดาเห็นสีหน้าแปร่งๆของพนักงานอีกคน เขาทำท่าเหมือนเสียดายไม่ต่างจากที่หล่อนเคยเห็นมาแล้วชั้นล่าง


           “เอ่อ..”


           และคำพูดตะกุกตะกักที่อีกฝ่ายมอบให้ก็เสมือนลอกอาการแบบเดียวกันมาไม่ผิดเพี้ยน


           “มีอะไรหรือเปล่าคะ”


           มุกดารีบเอ่ยถามด้วยความกังวล


           ชายหนุ่มคนนั้นลอบถอนใจ ก่อนจะสั่นศีรษะรัวเร็ว


           “ปะ เปล่าครับ พอดีหัวหน้าฝ่ายบุคคลออกไปทานข้าว อาจจะยังไม่สะดวกตอนนี้”


           มุกดาเลิกคิ้วประหลาดใจพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู


           “บ่ายสองเนี่ยนะคะ”


           “เอ่อ คือ พอดีงานฝ่ายนั้นเขาเยอะช่วงนี้ ก็เลยทานข้าวกันไม่ค่อยตรงเวลาน่ะครับ”


           เขาพยายามให้คำอธิบาย


           มุกดาพยักหน้าเห็นใจ


           “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันรอได้”


           ฝ่ายนั้นทำท่าสะดุ้งขึ้นมาอีกรอบ


           “เอ่อ..คือ”


           คำอธิบายยังไม่ทันนึกได้ เสียงแหบห้าวทว่ามีจริตของใครคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นก่อน



           “มีอะไรหรือฮะคุณกฤษดา”


           บุคคลที่ก้าวเข้ามายืนตรงหน้าหญิงสาววางท่าว่ามีอำนาจพอควร สายตาจิกกัดที่เหลือบแลหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าทำให้รู้สึกหนาวๆร้อนๆอย่างบอกไม่ถูก


           “เอ่อ..คือ”


           คุณพนักงานมาดเนี้ยบออกอาการติดอ่างไม่เลิก จนมุกดานึกรำคาญ จึงชิงพูดขึ้นมาเอง


           “ดิฉันจะมาสมัครเป็นมัณฑนากรประจำค่ะ”




           สีหน้าและแววตาของสาวประเภทสองผู้มาใหม่บอกได้ชัดถึงความเหยียดหยันที่มีต่อหล่อน  เขายืดอกเชิดหน้าก่อนเอ่ย ร่างอวบความสูงไล่เลี่ยกับหล่อนพยายามเขย่งยืนเพื่อข่มรัศมีของผู้มาเยือน


           “มีคนมาสมัครไปเมื่อวาน.ตำแหน่งนี้เต็มแล้ว!”

           หางเสียงห้วนสั้นบอกชัดถ้อยชัดคำ ปราศจากความเป็นมิตร

 
         “ตะ..เต็มแล้ว หรือคะ”


           เสียงมุกดาอ่อยลงอย่างคนหมดหวัง ถ้าหล่อนไม่มีสติพอคงล้มทั้งยืนไปแล้ว


           “เชิญ”


           เขาบอกเสียงนุ่มนวล พลางผายมือไปยังทิศที่หล่อนเดินมา


           มุกดายังปักหลักอยู่ที่เดิม หล่อนตัดสินใจอยู่นาน กว่าจะล้วงลงไปหยิบเอกสารปึกใหญ่ในกระเป๋าขึ้นมา


           “นี่เป็นรีซูเม่ ผลงานสมัยเรียนมหาลัย แล้วก็โปรเจ๊คใหญ่อีกหลายโปรเจ๊คที่เคยรับจ๊อบนะคะ”


           “เอามาให้ฉันทำไม”


           เสียงนั้นติดจะห้วนขึ้นมาอีกครั้ง หางตาที่เหลือบมามองของในมือหล่อนไม่ได้บอกว่าสนใจไยดีแม้แต่น้อย


           เงียบกันไปพักใหญ่ เงยหน้าขึ้นมาอีกที แววอรุณเกือบจะผงะถอยด้วยความคาดไม่ถึง


           หญิงสาวร่างแบบบางในชุดจั๊มสูทกำลังน้ำตาไหลพราก ตัวสั่นเทิ้มจนคนใจแข็งอย่างเลขานุการรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างเขาถึงกับใจอ่อนยวบ


           “ดะ..เดี๋ยวๆ เป็นอะไรไปแม่หนู”


           มุกดาเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยนัยน์ตาวาววามโศกสลด น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจริงใจ มิได้เพื่อเสแสร้งทำจริตอย่างที่เขาคิดไว้ตอนแรก


           “หนูกำลังตกงาน ไม่มีใครรับงานหนูเลย คุณช่วยกรุณารับสิ่งนี้ไว้” มุกดาเอื้อมมือไปคว้ามือหนาหนักของอีกฝ่ายมารับเอกสารปึกนั้นเอาไว้ ก่อนจะวอนขอครั้งสุดท้าย



“ เผื่อจะเปลี่ยนใจรับดิฉันไว้เป็นตัวสำรองก็ยังดี”




หญิงสาวผิวขาวนวลเจ้าของใบหน้าล้อมกรอบผมลอนสีดำสนิทประบ่าคนนั้นเดินจากไปนานแล้ว สภาพที่แววอรุณจำติดตาคือเจ้าหล่อนเดินคอตกกลับไป เห็นชัดว่าผิดหวังรุนแรงเอาการ คนใจแข็งอย่างเขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้เบาะหนังด้วยความรู้สึกอธิบายยาก...เกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้!


“เฮ้อ..”


เลขานุการคนเก่งหันไปมองห้องทำงานด้านหลังโต๊ะประจำการแล้วต้องลอบถอนใจ เขาควรสงสารตัวเอง หรือสงสารหญิงสาวหน้าแชล่มคนนั้นมากกว่า


“แม่หนูเอ๊ย..ไม่รู้เสียแล้วว่ากฎเหล็กของท่านประธานคือห้ามรับพนักงานผู้หญิงเข้าทำงาน”


เขาพึมพำอย่างเหนื่อยใจ


“โดยเฉพาะผู้หญิงรูปร่างหน้าตาอย่างเธอ!”


ความที่มัวสบถอยู่กับเอกสารบนโต๊ะ..เอกสารที่ถูกยัดเยียดโดยที่เขาไม่เต็มใจรับเลยแม้แต่น้อย แววอรุณจึงไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งแอบอ้อมมาทางด้านหลัง มืออุ่นๆตรงเข้ามาปิดตาทั้งสองข้างเขาได้สำเร็จอย่างที่หวัง


“ว้าย ตาเถน กรีดกราย ใครแกล้งชั้นยะ”


“เฮลโหล จำผมได้รึเปล่า”


ชายหนุ่มร่างสูงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะค่อยๆขยับมือออก


“ไฮ้!”


เสียงหวีดร้องดังขึ้นอีก แต่คราวนี้ไม่ใช่ตกใจเหมือนคราวแรก


“คุณกวิน..ไหนบอกจะกลับมาวีคหน้า”


ดวงตาคมใต้คิ้วพาดเฉียงมองมาโดยไม่ตอบอะไร นอกจากฟันขาวเรียงที่เผยชัดว่ายินดีแค่ไหนสำหรับการพบเจอกันครั้งนี้

จากคุณ : pericardium
เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 54 09:24:51




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com