Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
จำหลักไว้ในสายลม (บทที่ 14) ติดต่อทีมงาน

ช้าไป 1 วันเพราะเมื่อวานมีประชุมทั้งวันเลยค่ะ ประเภทงานหลวงก็ไม่ยอมขาด งานราษฎร์ก็จะทำ

เข้าไปประมาณกลางเรื่องแล้วเห็นว่ายังไม่ค่อยแสดงเรื่องราวในชีวิตของเจนนิราเท่าไหร่เลย ก็เลยเปิดเผยชีวิตของเจนนิราไว้ในตอนนี้นิดหน่อยค่ะ รวมทั้งชีวิตของแม่ด้วย แล้วก็เป็นตอนที่อดีตกับปัจจุบันมาบรรจบกัน คือถ้าอ่านแล้วงงว่าเรื่องราวในอดีตกับปัจจุบันมาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง ก็ในบทนี้แหละค่ะ ที่ให้เห็นว่าเรื่องของยายและตามาจากหนังสือที่เจนนิรากำลังอ่าน และหนังสือเล่มนั้นมีความเป็นมายังไง

 

บทที่ 13 http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10624207/W10624207.html

 

บทที่ 14

 

             บ้านสองชั้นทรงโคโลเนียลหลังนั้นมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร และพื้นที่โดยรอบก็กว้างขวางจนมองไม่เห็นว่าด้านหลังไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ตัวบ้านตั้งลึกจากถนนเข้าไปมาก ยิ่งเมื่อมีต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งยืนหยัดมาหลายสิบปีบดบังไว้บางส่วน จึงเห็นตัวตึกสีขาวนั้นได้เพียงรำไร

นับแต่มาฝึกงานอยู่ที่สำนักงานอัยการรัฐทั้งเทอม และต่อมาก็ย้ายจากเมืองมหาวิทยาลัยมาอยู่ในเมืองนี้ เจนนิราเคยขับรถผ่านบริเวณนี้สองครั้ง ครั้งแรกที่เห็นก็ให้ตื่นตะลึงกับความเก่าของตัวบ้าน แม้มีความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรมเพียงน้อยนิด หากก็พอรู้อยู่บ้างว่าอาคารก่อสร้างรูปทรงแบบนั้นเป็นที่นิยมกันในยุคปลายศตวรรษที่สิบเก้าต่อต้นศตวรรษที่ยี่สิบ เมื่อรวมเข้ากับความกว้างของอาณาเขตก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะจอดรถลงไปยืนดูอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนด้วยความประทับใจ ยิ่งได้รู้ว่านี่คือบ้านของเจ้าของทุนที่ช่วยให้มีโอกาสได้เรียนหนังสือในระดับมหาวิทยาลัยจนจบและมีชีวิตเป็นหลักเป็นฐานได้ขนาดนี้ก็ยิ่งสนใจ สนใจขนาดไปค้นประวัติของบ้านในห้องสมุดนั่นแหละ ได้รู้ว่าไม่เพียงเป็นบ้านซึ่ง แซมมวล เอลลิส เป็นผู้สร้างขึ้นเมื่อร่วมร้อยปีมาแล้วเท่านั้น ยังได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกของรัฐซึ่งต้องสงวนไว้อีกด้วย

ตามบันทึกประวัติของบ้านระบุว่าทายาทของตระกูลเอลลิสยังคงอาศัยอยู่ที่นั่นกันมาอย่างต่อเนื่อง และมีการบูรณะอยู่เสมอ จึงยังคงความสวยงามไว้ได้โดยแทบไม่มีอะไรแปรเปลี่ยน

บริเวณใกล้กันทางฝั่งขวาซึ่งเวลานี้กลายเป็นป่าโปร่งก็เป็นของครอบครัวเอลลิสเช่นกัน ตรงนั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของ เจเรไมอาห์ เอลลิส เธอพอรู้ประวัติบ้านหลังนั้นมาบ้างเหมือนกัน รู้ว่าเป็นบ้านสร้างด้วยไม้ ไม่ใหญ่โตเท่าบ้านของลูกชาย อีกทั้งยังสร้างได้ไม่แข็งแรงเท่า พอเจ้าของเสียชีวิตและไม่มีใครเข้าอยู่อาศัยอย่างเป็นเรื่องเป็นราวติดต่อกันนานนับสิบๆ ปี จึงได้ชำรุดทรุดโทรม และถูกรื้อไปในที่สุด

          “ไม่รู้เสียยังจะดีกว่า” เจนนิราบ่นพึมกับตัวเองเมื่อรถผ่านบริเวณนั้นมาแล้ว

          ชายหนุ่มซึ่งนั่งขับรถอยู่ข้างๆ ละมือจากพวงมาลัยมาโอบไหล่เธอ แล้วดึงเบาๆ เข้าหาตัวในเชิงปลอบประโลม

          “โกรธหรือเปล่า” เสียงห้าวนั้นอ่อนโยน…ขอโทษขอโพย

          “โกรธเรื่องอะไร”

          “ก็ที่บอกเรื่องครอบครัวเอลลิสไงล่ะ แค่คิดว่าน่าจะได้รู้ไว้”

          เธอทำเสียงปฏิเสธเพียงในลำคอ ไม่ขัดขืนแม้เมื่อเขากดศีรษะให้เอนลงบนบ่าของเขา มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับทรอยที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง นับตั้งแต่ครั้งมาฝึกงานอยู่กับเขาแล้วที่เขาให้ความรู้สึกแบบนี้ ทรอยเหมือนพี่ชายที่คอยดูแลเอาใจใส่และคอยให้คำแนะนำ เพราะเหตุนั้นในเวลาที่มีปัญหาเธอจึงคิดถึงเขาเป็นคนแรกเสมอ ทั้งๆ ที่เรียกได้ว่างานในหน้าที่ของเธอและของเขาทำให้ต้องอยู่กันคนละฝั่งก็ว่าได้

ตลอดระยะเวลาเกือบห้าปีที่ผ่านมา ทรอยทำหน้าที่เสมือนพี่ชายซึ่งเธอไม่เคยมี แท้จริงแล้วไม่เคยมีใครเลยที่ยอมให้เข้ามาใกล้ชิดขนาดนี้นอกจากแม่ ชีวิตเธอเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวและอ้างว้าง ความบกพร่องทางสมองของแม่ทำให้ท่านอยู่แต่ในโลกของตัวเอง เป็นโลกซึ่งปกป้องท่านจากความผิดหวังและความกดดันในทุกด้านของชีวิต แม่เป็นคนที่มีความสุขเสมอไม่ว่าจะต้องเจอกับเรื่องร้ายเพียงไรก็ตาม และเธอก็พอใจที่เป็นเช่นนั้น เชื่อเสมอมาว่าถ้าสมองและจิตใจท่านเป็นปกติเหมือนคนอื่นๆ แม่อาจทนรับสิ่งที่ต้องพบในชีวิตไม่ได้

ปัญหาคือโลกส่วนตัวของแม่เป็นโลกซึ่งเธอหรือใครๆ ถูกขีดเส้นคั่นไว้แต่เพียงรอบนอก กลายเป็นความห่างเหินในบางขณะ แม่แสดงความรักและห่วงใยเธอบ้างเหมือนกัน แต่เธอและแม่เป็นเหมือนเพื่อนกันมากกว่าแม่ลูก

          จริงๆ แล้วเธอไม่เคยหวังอะไรจากแม่มากมาย ไม่เคยหวังว่าท่านจะต้องทำหน้าที่ของแม่ ในเมื่อแต่ไหนแต่ไรมาก็คุ้นเคยกับการช่วยเหลือตัวเองในทุกๆ เรื่องอยู่แล้ว แม้แต่เข้าโรงเรียนเธอก็เป็นคนพาแม่ไปลงทะเบียน…ลงทะเบียนให้ตัวเองได้เข้าเรียนนั่นแหละ เป็นคนบอกแม่ว่าต้องกรอกอะไรตรงไหนบ้างในเอกสาร แม่ต้องเซ็นชื่อรับรองเป็นผู้ปกครองตรงไหน และนับแต่จำความได้ เธอเองต่างหากที่เป็นคนคอยดูแลความเป็นอยู่ของแม่ จนครบเกณฑ์ทำงานได้เมื่ออายุสิบหก เธอก็ออกหางานทำ จากนั้นก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยมาตลอด ไม่เคยมีว่างเว้นแม้ชั่วขณะเดียว เธอทำงานได้ทุกประเภทไม่เคยเกี่ยงงอน ทำงานส่งตัวเองจนเรียนจบนั่นแหละ

ในขณะเดียวกันแม่ไม่เคยทำงานอะไรได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว สมองของท่านเรียนรู้อะไรๆ ได้น้อยมาก ท่านมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเงินซึ่งมาจากใครเธอเองไม่เคยรู้ แม่เองก็ไม่รู้ รู้ก็แต่ว่าแม่มีบัญชีเงินฝากที่ใครคนหนึ่งเปิดให้เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว และใครคนนั้นก็โอนเงินเข้าบัญชีให้แม่ตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เธอเองเป็นคนไปเบิกเงินให้แม่ จึงได้รู้เรื่องนั้นดี รู้ด้วยว่าเมื่อไรมีเงินเหลือมากน้อยแค่ไหน มีเงินโอนเข้ามาอีกเมื่อไร และเพราะเงินในบัญชีนั้นแม่จึงมีชีวิตอยู่มาได้โดยไม่ต้องพึ่งคอนแวนต์ซึ่งเลี้ยงดูท่านมาแต่แรกคลอดจนเข้ารุ่นสาวและได้รู้จักกับพ่อ และแม่ก็มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องทำงานหาเลี้ยงตัวและลูกสาว แม้จะเป็นชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ และยากไร้เพียงไรก็ตาม

          เมื่อได้มารู้ประวัติชีวิตอีกด้านของตัวเอง และหลังจากอาการช็อกในชั่วขณะแรกผ่านไป เธอก็ทำใจได้ คนอย่างเธอไม่มีสิทธิ์ช็อกได้นาน ไม่มีสิทธิ์ตีโพยตีพาย หรือน้อยอกน้อยใจกับวาสนาของตัวเอง ในเมื่อมีแม่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่ทั้งคน ยิ่งเมื่อมาตรึกตรองดูแล้วก็เห็นความจริงที่ว่าแม้จะเป็นญาติกัน แต่ก็เป็นเพียงญาติห่างๆ จึงปลงใจได้ว่ารู้ไปก็เท่านั้น ต่างคนต่างอยู่กันต่อไปเหมือนที่ผ่านๆ มาก็แล้วกัน

          พอทรอยชี้ให้เห็นคราวนี้ เธอจึงกล้าถ่ายทอดความรู้สึกนั้นให้เขาได้มีส่วนร่วมรู้ด้วย

          “ก็ดีเหมือนกัน คิดเสียว่าถึงยังไงก็เป็นแค่ญาติห่างๆ กัน ก็ผ่านมาหลายรุ่นแล้วนี่นับแต่แม่ของยาย”         

“แต่ก็ไม่ห่างขนาดที่เขาไม่คอยติดตามความเป็นอยู่ของญาติผู้ยากไร้อีกคนไม่ใช่หรือ”

รองอัยการหนุ่มเน้นสภาพของเธอชัดเจนเสียจนเจนนิราลอบยิ้มกับตัวเอง ไม่มีเหลืออีกแล้วความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชควาสนาของตัวเอง

“ก็คงงั้น…มั้ง”

“ก็ต้องงั้นสิ ลองคิดอย่างนี้สิเจนนี่ ทุน เจเรไมอาห์ เอลลิส ไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ ใครๆ ก็รู้ รู้หรือเปล่าว่าคนที่ขอไปมีปีละตั้งกี่คน ต้องแข่งกันขนาดไหน ไม่ได้ให้กันทุกปีเสียด้วย ปีไหนไม่มีใครมีคุณสมบัติดีพอ เขาก็ไม่ให้”

ถึงเขาไม่ขยายความต่อเธอก็เข้าใจว่าเขาต้องการบอกอะไร กรณีของเธอนั้นพิเศษขนาดผู้จัดการกองทุนติดต่อเสนอให้ทุนมาด้วยตัวเองเมื่อครั้งที่ใกล้เรียนจบชั้นมัธยมปลาย เขาไม่ได้เสนอให้ทุนเพื่อเรียนกฎหมายเพียงอย่างเดียว ยังเป็นทุนเรียนระดับปริญญาตรีตลอดทั้งสี่ปีอีกด้วย เป็นทุนที่ได้มาอย่างไม่คาดฝันในเวลาที่กำลังมืดแปดด้านว่าจะหาเงินที่ไหนมาเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ในเมื่อก็รู้ๆ กันอยู่ว่าค่าใช้จ่ายสูงแค่ไหน เวลานั้นเธอขอรายละเอียดของแต่ละมหาวิทยาลัยที่คิดว่าพอมีปัญญาสมัครเข้าเรียนได้มาศึกษาอยู่คนเดียว ศึกษาอย่างล้มๆ แล้งๆ ในเมื่อรู้ว่าโอกาสของตัวเองแทบไม่มีเลย ยิ่งเห็นค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ของแต่ละที่ก็ยิ่งกลุ้มใจ ถ้ากู้เงินเรียนกว่าจะเรียนจบคงเป็นหนี้จนไม่รู้ว่ากี่สิบปีจึงจะมีปัญญาใช้คืนได้หมด และถ้าเรียนจบแล้วหางานทำไม่ได้อีกล่ะ นั่นยิ่งหนักเข้าไปใหญ่

          เรื่องนั้นเองที่ทำให้เธอยอมรับโดยไม่ต้องสงสัยว่าอีกแล้วว่าตัวเองเป็น เอลลิส คนหนึ่ง และเกี่ยวดองกับครอบครัวนี้ในลักษณะไหน

ยอมปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอต่อหน้าคนซึ่งเธอวางใจเพียงชั่วครู่ชั่วยามก่อนขยับนั่งตรง ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วเอี้ยวตัวไปทางตอนหลังของรถ มีเป้ใส่เสื้อผ้าสำหรับค้างคืนวางอยู่บนเบาะ ต้องเอื้อมจนสุดแขนเพื่อรูดซิบดึงเอาหนังสือปกแข็งเล่มหนาที่อ่านค้างไว้ออกมา

          “หนังสืออะไรน่ะเจนนี่” รองอัยการหนุ่มถามขณะละสายตาจากถนนมาเอียงคอดูปก “เล่มนี้ใช่ไหมที่เห็นอ่านอยู่หลายวันแล้ว”

          เจนนิราชูหนังสือให้เขาดูพอเป็นพิธีก่อนกอดไว้แนบอกอย่างหวงแหน

          “อือ! ก็อ่านได้ทีละหน้าสองหน้า หาเวลาอ่านจริงๆ ไม่ได้เลย เป็นหนังสือเกี่ยวกับตากับยาย คนเขียนเป็นหลานของตา เล่มนี้มีคนส่งมาให้”

 

จากคุณ : kdunagin
เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 54 04:40:37




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com