Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศาสตราแห่งเดราเนียร์ บทที่ 19 เส้นทางที่ถูกเลือก ติดต่อทีมงาน

ศาสตราแห่งเดราเนียร์บทแรก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=moonyforever&group=17

บทที่ 18 อารักาแห่งแซฟเวจย์
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10660161/W10660161.html

<19>

เส้นทางที่ถูกเลือก


ฟอร์เซ็ตติเดินอย่างช้าๆและหยุดยืนอยู่ริมสระน้ำขนาดเล็ก ดวงตาสีฟ้าสวยทอดมองออกไปเบื้องหน้า ร่างระหงอันงดงามของดาร์คเอลฟ์สาวกำลังนั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของขอบสระและจ้องมองดูผิวน้ำที่เรียบใสด้วยอาการเหม่อลอยโดยมีนิมป์ตัวหนึ่งบินวนเวียนอยู่ไม่ห่าง

“ทำไมถึงยังไม่ไปกันอีก”

เสียงหวานแต่เฉยชาถามขึ้น จอมเวทหนุ่มเดินเข้าไปหานางพร้อมกับตอบ

“เพราะข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้า”

เสียงหัวเราะเบาๆดังออกมาจากร่างที่งดงาม ดาร์คเอลฟ์สาวเงยหน้าขึ้นและหันมามอง       ริมฝีปากอิ่มเหยียดยิ้ม

“เจ้าคงอยากจะถามว่า เหตุใดข้าจึงยอมยืนอยู่ข้างจอมมาร”

“ใช่” ฟอร์เซ็ตติกล่าว “ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าเคืองแค้นต่อเหล่าเอลฟ์และชนชาวแซฟวี แต่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะใช้เป็นข้ออ้างในการยอมสวามิภักดิ์กับราชันย์แห่งแซฟเวจย์”

“ข้าไม่ได้สวามิภักดิ์กับเขา!” รัคเชนน์ตอบเสียงห้วน “เพียงแต่อยากจะทำในสิ่งที่ข้าพอใจเท่านั้น”

“แล้วตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือ” จอมเวทหนุ่มย้อนถาม รัคเชนน์อึ้งไปชั่วขณะก่อนตอบ

“ข้าพอใจ” นางลุกขึ้นยืนและจ้องหน้าฟอร์เซ็ตติด้วยดวงตากร้าว “และจะพอใจมากขึ้นหากเจ้าเลิกมาวุ่นวายกวนใจข้า”

“ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า”

“ห่วง!” รัคเชนน์ทวนคำแล้วหัวเราะ “ข้ามีสิ่งใดที่น่าเป็นห่วงกัน พลังบงการธรรมชาติของข้าเหนือกว่าทุกคนในมาร์วัลลัส ฝีมือดาบก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด ขนาดเจ้าที่มีเวทสูงกว่าเหล่าจอมเวททั้งหลายในอาณาจักรยังพลาดพลั้งเสียทีให้กับข้า แล้วช่วยบอกหน่อยว่าข้าน่าเป็นห่วงตรงไหน”

“ตรงทุกสิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาทั้งหมด” ฟอร์เซ็ตติกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ความเก่งกาจของเจ้าไม่อาจช่วยให้ความเหงาและความเศร้าโศกมลายหายไปจากหัวใจที่แสนอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ภายในตัวของเจ้าได้หรอก ชาเม่”

ดาร์คเอลฟ์สาวถลึงตาจ้องมองจอมเวทหนุ่มด้วยความโกรธทันทีที่เขากล่าวจบ

“อย่าเรียกข้าด้วยชื่อนั้นเป็นอันขาด!” นางพูดด้วยน้ำเสียงขุ่น ดวงตาสีเทาเต้นระริกด้วยเพลิงโทสะที่คุกรุ่นอยู่ภายใน แล้วรัคเชนน์ก็หมุนกายเดินจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก ฟอร์เซ็ตติมองดูร่างระหงที่กำลังหายเข้าไปในป่าด้วยสายตาเศร้า ก่อนเลื่อนออกไปมองผิวน้ำในสระซึ่งกำลังสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับ เสียงฝีเท้าย่ำหนักๆบนพื้นหญ้าทำให้เขาต้องเบนสายตาไปมอง

“นางไปแล้วหรือ”

โซลย์เอ่ยถามเบาๆ จอมเวทหนุ่มผงกศีรษะแทนคำตอบ แม่ทัพแห่งมอร์เซลจึงเดินไปหยุดยืนข้างตัวเขาและมองระลอกคลื่นเล็กๆอันเกิดจากสายลมที่พัดลงไปกระทบกับผิวน้ำในสระ

“ดูเหมือนเจ้ากับนางจะเคยรู้จักกันมาก่อน”

เสียงถอนหายใจเบาๆมาจากร่างของจอมเวท

“ข้ารู้จักรัคเชนน์มานานเกือบร้อยปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่บิดาของนางยังไม่ถูกสังหาร”  

โซลย์หันขวับมามองฟอร์เซ็ตติด้วยสีหน้าแสดงความตกใจ

“พ่อของนางถูกสังหารหรือ” คิ้วเข้มขมวดมุ่น “จากใคร”

“ชาวแซฟวี” จอมเวทหนุ่มตอบ แม่ทัพแห่งมอร์เซลกำมือของตนแน่นแล้วเลื่อนสายตากลับไปมองพลิ้วระลอกคลื่นบนผิวน้ำอีกครั้ง

“ข้ารู้ว่าเจ้าคงไม่อยากพูดอะไรมาก แต่ครั้งนี้ข้าคงต้องขอร้องเจ้าให้ช่วยเล่าเรื่องราวในอดีตของนางว่ามีความเป็นมาอย่างไร ทำไมรัคเชนน์จึงมองทุกคนในโลกนี้ด้วยสายตาเกลียดชังทั้งที่หัวใจของนางเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน”

ฟอร์เซ็ตติชำเลืองตามองดูโซลย์และนิ่งไปเล็กน้อยราวกับทบทวนก่อนเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของดาร์คเอลฟ์สาวให้ฟัง

“รัคเชนน์เป็นลูกครึ่งที่มีสายเลือดผสมของเหล่าเอลฟ์เหมือนกับข้า” เขาพูดช้าๆ “ต่างกันตรงที่นางกำเนิดขึ้นด้วยความรักและเติบโตท่ามกลางความเกลียดชังในขณะที่ข้ากำเนิดมาจากความชังแต่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรัก”

“ข้าไม่เข้าใจ” แม่ทัพแห่งมอร์เซลกล่าว “ทำไมเหตุผลมันถึงดูวกวนแบบนั้น”

  “เจ้าคงจำเรื่องราวของข้าที่เคยเล่าให้ฟังเมื่อครั้งอยู่ในนครต้องสาปนั่นได้ใช่ไหม” จอมเวทหนุ่มพูดกับโซลย์ เขาพยักหน้ารับ อีกฝ่ายจึงเล่าต่อ

“รัคเชนน์นั้นต่างจากข้าตรงที่มารดาของนางซึ่งเป็นชาวเอลฟ์ของป่าแห่งมนตราทางด้านใต้ได้พบรักกับมนุษย์ชาวแซฟวีที่ชายแดนตอนล่างของอาณาจักรมาร์วัลลัส บิดาของนางเป็นปราชญ์ที่เฉลียวฉลาดที่สุดในขณะที่ผู้เป็นมารดานั้นมีความสามารถในการบงการธรรมชาติอันเยี่ยมยอดเหนือเหล่าเอลฟ์ทั้งปวง”

“นั่นก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขัดขึ้นแต่ฟอร์เซ็ตติกลับส่ายหน้า

“มอร์เซลอยู่ห่างจากแซฟวีและไม่ค่อยจะได้ติดต่อกับชาวมาร์วัลลัส จึงไม่รู้ว่าทั้งสองอาณาจักรนี้ไม่ถูกกันอย่างรุนแรงเพราะชาวแซฟวีถือว่าตนเองมีความรู้ที่สูงส่งเหนือผู้ใดในขณะที่ชาวมาร์วัลลัสนั้นคิดว่าพวกตนเป็นผู้ทรงเวทอันเก่งกาจและมีช่วงชีวิตที่ยาวนานกว่ามนุษย์ทุกคน ส่วนเหล่าเอลฟ์นั้นมองว่าชนทั้งสองเป็นเพียงปุถุชนซึ่งมีวันแตกดับและไร้พลังแห่งธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ พวกเขาจะแยกกันดำรงชีวิตโดยไม่มีการติดต่อหรือเชื่อมความสัมพันธ์ใดๆต่อกันป็นอันขาด ดังนั้นการครองคู่ระหว่างคนของชนทั้งสามจึงถือเป็นเรื่องต้องห้าม หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืนจะถูกลงทัณฑ์โดยไม่มีการตัดสินใดๆทันที”

“เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลจริงๆ” โซลย์บ่นด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจ

“ท่านเคลฟเป็นปราชญ์ชาวแซฟวีผู้ทรงความรู้ เขารู้สึกต่อต้านความคิดเหล่านั้นจนถึงกับออกเดินทางท่องเที่ยวไปในป่าซึ่งอยู่รอบๆเขตชายแดนของแซฟวีหลายครั้ง โดนเหล่าเอลฟ์ลอบทำร้ายหลายหน แต่ความเชื่อมั่นในความคิดของตนทำให้เขาไม่สนใจในคำเตือนจากคนรอบข้าง จนกระทั่งไปพบกับ ฟรุนเดแม่ของรัคเชนน์ซึ่งกำลังท่องเดินอยู่ในป่าตามลำพัง น่าประหลาดที่ทั้งคู่เกิดต้องชะตากันทั้งที่เพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรก ทั้งสองจึงตกลงใจที่จะครองคู่กันโดยย้ายไปอาศัยอยู่ในป่าแห่งมนตราเหนือจากที่อยู่ของท่านฟรุนเดขึ้นมาทางด้านแถบภูเขาเพื่อหลบหนีการไล่ล่าจากคนของทั้งสองฝ่ายที่ทราบเรื่อง ข้าแวะเวียนไปเยี่ยมพวกเขาอยู่หลายครั้งจนรู้สึกประทับใจในความมั่นคงต่อความรักของคนทั้งสองจนกระทั่งรัคเชนน์ถือกำเนิดขึ้นมา”

“แล้วเกิดอะไรขึ้น” แม่ทัพหนุ่มถามเมื่อเห็นสีหน้าของฟอร์เซ็ตติฉายแววเศร้า

“ตอนที่รัคเชนน์อายุได้สองขวบ ท่านเคลฟได้เดินทางเข้าป่าเพื่อไปเสาะหาสมุนไพรและอาหาร เหล่าเอลฟ์ได้สะกดรอยตามเขามาจนถึงที่พักจากนั้นจึงทำร้ายและคร่าตัวท่านฟรุนเดและรัคเชนน์กลับไปยังป่าแห่งมนตรา ตอนที่ข้าไปพบกับท่านเคลฟนั้นเขาอยู่ในอาการบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ได้ขอร้องให้ข้าตามไปช่วยท่านฟรุนเดและรัคเชนน์”

“แล้วเจ้าตามไปช่วยพวกเขาหรือไม่”

“ข้ารีบตามไปหลังจากรักษาบาดแผลของเขาเรียบร้อยแล้ว” เสียงของฟอร์เซ็ตติแหบแห้งลงจนโซลย์ต้องหันหน้ามามอง เขารู้สึกตกใจเมื่อเห็นสีหน้าโกรธขึ้งของจอมเวทหนุ่ม

“เอลฟ์เหล่านั้นประณามท่านฟรุนเดว่าเป็นผู้ทรยศต่อพงศ์พันธุ์ พวกเขาลงโทษนางด้วยวิธีรุนแรงจนร่างกายบอบช้ำจากนั้นจึงจับท่านฟรุนเดซึ่งอยู่ในสภาพอิดโรยมัดติดกับต้นไม้ในป่าที่ลึกที่สุดและทิ้งนางไว้ที่นั่น ต่อให้เป็นชาวเอลฟ์ที่มีชีวิตนิรันดร์หากอยู่ในสภาพเช่นนั้นก็ไม่อาจดำรงลมหายใจต่อไปได้ หลังจากทนทรมานกับบาดแผลฉกรรจ์ประกอบกับความเหน็บหนาวในยามค่ำคืนอยู่สามวัน ท่านฟรุนเดก็ดับลมหายใจลง ข้าทำได้เพียงนำร่างไร้วิญญาณของนางมาชำระล้างด้วยเปลวไฟจากนั้นจึงรีบไปช่วยรัคเชนน์ซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่เช่นเดียวกันหนีออกมาและนำนางกลับไปหาท่านเคลฟ จากนั้นจึงพาพวกเขาหลบลึกเข้าไปในหุบเขาเลยเข้าไปในเขตแซฟวีเพื่อให้รอดพ้นจากการค้นหาของชาวเอลฟ์”

“แล้วหลังจากนั้นเล่า”

“ทั้งสองอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างสงบจนรัคเชนน์อายุได้สิบปี พรานชาวแซฟวีซึ่งกำลังออกหาของป่าไปพบเข้า เขารีบนำไปบอกให้พวกตนรู้และพากันมาจับตัวทั้งคู่กลับไปตัดสินโทษ แต่ด้วยความรักของผู้เป็นพ่อ ท่านเคลฟได้ทำการต่อสู้ขัดขืนเพื่อให้รัคเชนน์หลบหนี นางได้เห็นภาพของพ่อซึ่งกำลังถูกรุมสังหารอย่างทารุณก่อนจะวิ่งหนีหายเข้าไปในป่าบนเขาแห่งนั้น กว่าข้าจะรู้เรื่องและพบนางอีกครั้งก็ผ่านไปเกือบสองปี”

“เจ้าทำยังไงกับนาง”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย” จอมเวทหนุ่มตอบ “รัคเชนน์เรียนรู้การอยู่รอดด้วยตนเอง ดวงตาที่เคยแจ่มใสของนางแปรเปลี่ยนไปเป็นแข็งกร้าว จิตใจอันอ่อนโยนกลับกระด้าง นามแห่งความงามถูกเปลี่ยนเป็นรัคเชนน์ซึ่งแปลว่าการแก้แค้นแทน นางบุกเข้าไปในหมู่บ้านของชาวแซฟวีและใช้เวทบงการธรรมชาติทำลายที่นั่นจนพินาศ ยังดีที่หัวใจของนางยังไม่มีความเหี้ยมมากพอที่จะสังหารผู้คน
รัคเชนน์ทำเพียงแค่นำกระดูกของท่านเคลฟและปอยผมของท่านฟรุนเดซึ่งนางเคยเก็บเอาไว้เมื่อยามเยาว์เดินทางขึ้นเหนือไปยังป่าดิบที่เป็นชายแดนระหว่างมาร์วัลลัสกับแซฟวีและสร้างสุสานของบุพการีทั้งสองไว้ที่นั่น จากนั้นนางจึงตั้งตัวเป็นอารักษ์ผู้คุ้มครองป่าคอยขับไล่ทุกคนมิให้เข้าไปเหยียบย่ำดินแดนของนางตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”  

“เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยินมา” โซลย์กล่าวด้วยสีหน้าโศกสลด “ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเหล่าเอลฟ์ที่สูงส่งกับชาวแซฟวีผู้ทรงความรู้จะมีจิตใจอันคับแคบเช่นนี้”

“มันเป็นความคิดอันคับแคบซึ่งเกิดจากสิ่งที่เรียกว่าฐานันดร” ฟอร์เซ็ตติกล่าวเสียงขรึม “พวกเอลฟ์ดูแคลนว่านางถือกำเนิดมาจากมนุษย์อันต่ำต้อยจึงเรียกขานนางเป็นดาร์คเอลฟ์ซึ่งหมายถึงเอลฟ์ที่ไม่มีพวกพ้อง ไม่มีเกียรติ ไม่มีผู้ใดให้การยอมรับ มันเป็นคำดูถูกที่ร้ายแรงซึ่งแม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้”

“แล้วเจ้าเล่าฟอร์เซ็ตติ เจ้าเองก็เป็นลูกครึ่งเหมือนกันแล้วเหตุใดจึงไม่ถูกเรียกว่าเป็นดาร์คเอลฟ์เหมือนรัคเชนน์”

“เอลฟ์ของป่าแห่งมนตราทางตอนเหนือมีนิสัยแตกต่างจากเอลฟ์ด้านใต้อย่างสิ้นเชิง ประกอบกับบิดาของข้าเป็นนักรบเวทซึ่งแม้จะเป็นศัตรูกับชาวเอลฟ์แต่เขาก็มีสายเลือดซึ่งถือว่าสูงกว่าชาว
แซฟวี ข้าจึงถูกเรียกว่าฮาร์ฟเอลฟ์เท่านั้น”

“เป็นการแบ่งแยกชนชั้นที่ไร้สาระยิ่งนัก” แม่ทัพหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “มอร์เซลไม่เคยยึดถือเรื่องแบบนี้มากำหนดชะตาชีวิตของผู้คนเลย”

“แผ่นดินของพวกเจ้าจึงสงบสุขและน่าอยู่ที่สุด และนั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าเหตุใดจอมมารจึงเลือกที่จะทำลายมอร์เซลเป็นอันดับสุดท้าย เพราะอาณาจักรของพวกเจ้าไร้ซึ่งความเกลียดชังระหว่างกันและกัน”

โซลย์อึ้งไปชั่วขณะ เขาระบายลมหายใจออกมาหนักๆก่อนเบนสายตามองเข้าไปในป่า

“ข้าเห็นใจนางยิ่งนัก แต่ข้าจะทำอย่างไรจึงจะสามารถนำแสงสว่างและความอบอุ่นกลับคืนสู่หัวใจของรัคเชนน์ได้อีกครั้ง”

“ท่านได้ทำแล้ว” ฟอร์เซ็ตติพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “รัคเชนน์ไม่เคยหันหลังและละทิ้งคู่ต่อสู้มาก่อน แม้แต่เวลาปะทะคารมกับข้า เจ้าเป็นคนแรกที่นางยอมอ่อนข้อให้”

“แต่ข้า...ยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“เจ้ากล้าพูดในสิ่งที่ข้าทำได้เพียงแค่คิด”

“ข้าพูดอะไร” โซลย์ถามด้วยความงงงัน จอมเวทหนุ่มยิ้ม

“เจ้าพูดถึงหัวใจของนาง หัวใจอันเปลี่ยวเหงาที่ไม่เคยมีใครเคยนึกถึง ความจริงใจของเจ้าจะนำแสงสว่างกลับคืนมาสู่หัวใจของรัคเชนน์อีกครั้ง” ฟอร์เซ็ตติวางมือบนไหล่ของโซลย์

“ข้าขอฝากนางด้วย”

ดวงตาสีฟ้าสวยจ้องมองนัยน์ตาสีเหล็กแน่วนิ่ง จอมเวทหนุ่มบีบไหล่ของเขาเบาๆก่อนหมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบงันโดยมีสายตาสงสัยของโซลย์มองตาม

“ฟอร์เซ็ตติ หรือว่าเจ้า........”

แม่ทัพหนุ่มพึมพำและระบายลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้มใจ

*/*/*/*/*

สายลมแห่งผืนป่าที่แสนสดชื่นพัดผ่านยอดไม้ให้ไหวโอนเอนไปมา สร้างเสียงดนตรีแห่งธรรมชาติที่แสนไพเราะปลุกความสดชื่นให้บังเกิดขึ้นกับทุกคนที่ได้ยิน

แต่ความอ่อนโยนของคีตกะแห่งพงไพรกลับมิได้สร้างความชื่นบานให้บังเกิดแก่รัคเชนน์ซึ่งกำลังนั่งมองเหม่อดูการละเล่นของเหล่านิมป์อยู่บนเถาของไม้เลื้อยซึ่งทอดห้อยลงมาดุจชิงช้า ใบหน้าอันงดงามแฝงไปด้วยความเศร้าขณะที่ภาพดวงตาสีเหล็กแสนอ่อนโยนของโซลย์ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด

‘กับคนที่ไม่มีหัวใจจะสู้อย่างเจ้า ข้าทำไม่ลงหรอก’

ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเข้าหากัน

“สู่รู้เหลือเกินนะ เจ้ามนุษย์”

นางพูดออกมาเบาๆและเอนหลังพิงเถาไม้ที่นั่งอยู่พร้อมกับหลับตาลง

‘ครั้งแรกที่สบตาเจ้า มันบอกกับข้าว่าหัวใจของเจ้ากำลังร้องไห้’

เสียงทุ้มอันนุ่มนวลดังแว่วเข้ามาในโสต รัคเชนน์ถึงกับผุดลุกขึ้นและตะโกนเสียงดัง

“อย่ามายุ่งกับเรื่องของข้า!”

เหล่านิมป์ที่กำลังเล่นกันอยู่นิ่งเงียบลงไปทันที พวกมันรีบบินมาวนเวียนรอบๆกายของดาร์คเอลฟ์สาว เสียงกระดิ่งเล็กๆดังระงมเซ็งแซ่คล้ายแย่งกับถามจนผู้ถูกรุมล้อมรู้สึกรำคาญ

“ข้าแค่หงุดหงิดใจขึ้นมาเท่านั้น ไม่มีอะไร”

นางเดินออกจากบริเวณนั้นทันทีที่กล่าวจบโดยมีฝูงนิมป์บินตามหลัง เสียงร้องห้ามทำให้พวกมันต้องชะงัก

“ข้าอยากอยู่คนเดียว อย่าตามมาเป็นอันขาด!”

ร่างระหงก้าวออกไปจากที่นั่นผ่านแนวป่าและหยุดลงตรงริมขอบสระที่นางพบกับฟอร์เซ็ตติเมื่อวาน ดาร์คเอลฟ์สาวถอนหายใจน้อยๆด้วยความรู้สึกโล่งใจที่บริเวณโดยรอบนั้นไม่มีผู้ใดสักคน ขณะที่กำลังจะหย่อนกายลงนั่ง เสียงทุ้มค้นหูก็ร้องทักขึ้น

“ข้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องมาที่นี่”

ร่างองอาจก้าวเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร ดาร์คเอลฟ์สาวเลื่อนมือไปแตะดาบของตนและทำท่าจะชักออกมา เสียงโซลย์ร้องห้ามพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้น

“ข้าแค่อยากมาคุยกับเจ้าเท่านั้น”

“ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้า” อีกฝ่ายตอบเสียงห้วน แม่ทัพหนุ่มเลิกคิ้วน้อยๆ

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะขอพูดคนเดียว หากเจ้าไม่เต็มใจฟังจะใช้มือปิดหูหรือเดินหนีไปเฉยๆก็ได้ ข้าไม่ห้าม”

รัคเชนน์ถลึงตามองใส่เขาพร้อมกับกล่าวเสียงห้วน

“ข้าไม่ชอบเดินหนีใคร”

ใบหน้างดงามเข้มขึ้นทันทีเมื่อเห็นสายตาล้อเลียนของโซลย์ ดาร์คเอลฟ์สาวจึงรู้ตัวว่าถูกอีกฝ่ายใช้คำพูดล่อหลอกให้ต้องยืนอยู่กับเขา ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นก่อนสะบัดหน้ามองเมินออกไปทางสระน้ำ

“อีกสองสามวันพวกข้าก็จะเดินทางออกจากที่นี่” โซลย์เอ่ยขึ้น รัคเชนน์หัวเราะในลำคอและโต้

“ข้ากลับคิดว่ามันออกจะช้าเกินไปเสียด้วยซ้ำ” นางหันกลับมาจ้องหน้าแม่ทัพแห่งมอร์เซล “พวกเจ้าน่าจะออกไปจากที่นี่เสียตั้งแต่วันนี้”

“หากไม่ติดว่าอยากสนทนากับเจ้า ข้าก็คงจะทำเช่นนั้น” โซลย์ตอบเรียบๆแต่ดวงตากลับทอประกายบางอย่างออกมา ดาร์คเอลฟ์สาวถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

“มีธุระอะไรก็ว่ามา”

นางพูดสั้นๆ หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเขา

“ข้าเพิ่งรู้จักเจ้าเพียงแค่ไม่กี่วัน” แม่ทัพหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “แต่น่าแปลกที่ข้ากลับรู้สึกว่าคุ้นเคยกับเจ้ามานานแสนนาน”

“ไร้สาระ”

รัคเชนน์พูดขัดขึ้นอย่างฉุนเฉียว แต่โซลย์กลับทำท่าเหมือนไม่สนใจ เขายังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ

 “ข้าได้ฟังเรื่องราวของเจ้ามาจากฟอร์เซ็ตติแล้วและข้าพอจะเข้าใจว่าเจ้ารู้สึกเช่นไรในเวลานี้”

“เจ้าคงเวทนาในตัวของข้าสินะ” ดาร์คเอลฟ์สาวกล่าวประชด “หากคิดจะมาพูดจาเพื่อแสดงความเห็นอกเห็นใจกับอดีตของข้าแล้วล่ะก็ จงละความคิดนั้นเสียเพราะข้าไม่ชอบให้ใครมองข้าด้วยสายตาและความรู้สึกน่าทุเรศแบบนั้น!”

“ข้าไม่ได้เวทนาเจ้า และไม่คิดจะเห็นอกเห็นใจสิ่งที่เจ้าเคยประสบมาแล้วด้วย เพียงแต่ข้าอยากจะให้เจ้าเลิกปิดกั้นของตัวเองและมองดูทุกสิ่งรอบตัวด้วยหัวใจที่เบิกบาน”

“เจ้ากำลังจะบอกว่า ให้ข้าลืมการตายของแม่และพ่อเสียแล้วทำหน้าชื่นตาบานกับผู้ที่สังหารพวกเขางั้นรึ”

“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” โซลย์รีบกล่าว “ข้าเพียงแค่......”

“ข้าเบื่อคำสอนของพวกเจ้าเต็มที” รัคเชนน์พูดขัด “ทั้งเจ้าและฟอร์เซ็ตติ”

“ฟอร์เซ็ตติ” แม่ทัพหนุ่มทวนชื่อของจอมเวทหนุ่มเบาๆ “เขาก็เตือนเจ้าแบบนี้ด้วยหรือ”

“ทุกครั้งที่พบกัน” ดาร์คเอลฟ์สาวกระแทกเสียงตอบ “ครั้งหน้าหากข้าได้ยินคำพูดเช่นนั้นออกมาจากปากของเจ้าทั้งสองอีก ข้าจะตัดลิ้นพวกเจ้าแล้วโยนไปให้ปลากิน!”

ร่างในชุดรัดกุมสีเข้มเดินจากไปหลังพูดจบ โซลย์มองตามหลังนางแล้วยิ้มให้กับตัวเอง

“ข้ายินดีถูกตัดลิ้นด้วยฝีมือของเจ้า รัคเชนน์”

สีหน้าของโซลย์เต็มไปด้วยความสดชื่นขณะยืนอยู่ริมสระน้ำเพื่อรอพบรัคเชนน์ในเช้าวันต่อมา เขาเดินวนเวียนไปมาสลับกับหยุดยืนมองผิวน้ำในสระและฮัมเพลงในลำคอเบาๆ แสงแดดยามสายเพิ่มความแรงขึ้น แม่ทัพแห่งมอร์เซลรู้สึกกังวลใจเล็กน้อยแต่มิได้มีอาการหงุดหงิดฉุนเฉียว เขามองผ่านต้นไม้เข้าไปในป่าด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและถอนหายใจออกมา

“เจ้าคงรังเกียจข้าจริงๆ”

แม่ทัพหนุ่มบ่นเบาๆและหย่อนกายนั่งลงริมสระ หลังจากทอดสายตามองระลอกคลื่นเล็กๆที่วิ่งไล่มากระทบฝั่งอยู่พักใหญ่ เขาจึงเอนตัวนอนลงโดยหนุนแขนตนต่างหมอน ดวงตาสีเหล็กมองดูยอดไม้ซึ่งกำลังแกว่งไหวไกวมาโดยมีท้องฟ้าสีสดใสเป็นฉากหลัง ความผ่อนคลายบังเกิดขึ้นต่อภาพที่เห็นสร้างความง่วงงุนจนโซลย์ต้องอ้าปากหาวและปิดเปลือกตาลง เขาหลับสนิทเกือบจะทันทีโดยไม่รู้ตัวว่ารัคเชนน์นั้นลอบยืนมองดูเขาอยู่ในเงาไม้ กิริยาท่าทางตลอดจนใบหน้าอันสง่างามสร้างความประทับใจให้กับเอลฟ์สาวจนนางรู้สึกแปลกใจที่ไม่รู้สึกโกรธหรือรำคาญกับการที่ได้พบเขาอีกครั้ง

รัคเชนน์ค่อยๆจรดปลายเท้าเดินเข้าไปหาโซลย์อย่างระมัดระวังเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นหลับสนิท นางหย่อนกายนั่งลงข้างกายเขาและมองใบหน้าแม่ทัพหนุ่มด้วยสายตาพิจารณา รอยยิ้มน้อยๆแต้มบนริมฝีปากด้วยความรู้สึกขบขันเมื่อเห็นใบหน้าขรึมดุยามหลับดูน่ารักราวกับทารก มือเรียวผ่องเลื่อนไปสัมผัสเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเบาๆและไล่ลงมาแตะเคราที่คาง

“มนุษย์อย่างพวกเจ้านี่ผมเผ้ารุงรังจริง”

นางบ่นเบาๆ ขณะที่สายตายังคงจับจ้องมองดูใบหน้าของโซลย์แน่วนิ่ง ดวงตาสีเทาแข็งกระด้างเริ่มฉายความอ่อนโยนออกมา

“เป็นนักรบแท้ๆกลับประมาท เจ้าอาจจะถูกข้าสังหารได้โดยง่ายหากนอนหลับอย่างไร้ความระวังเช่นนี้”

“ข้าคงไม่นอนนิ่งเฉยให้เจ้าทำเช่นนั้นแน่”

เสียงทุ้มกล่าวตอบ รัคเชนน์รีบดึงมือกลับด้วยความตกใจแต่ยังช้ากว่ามือของโซลย์ซึ่งยื่นออกมาคว้าแขนของนางและรั้งไว้

“ไม่ปลิดชีวิตข้าแล้วหรือ” เขาถามด้วยสีหน้ายิ้มยั่วพลางดันกายลุกนั่ง ใบหน้าของดาร์คเอลฟ์สาวบึ้งตึงด้วยความโกรธ นางพยายามบิดข้อมือของตนให้หลุดออกจากการเกาะกุมของโซลย์แต่ไม่สำเร็จ

“มากเล่ห์ร้อยกลนักนะเจ้ามนุษย์!” เสียงของรัคเชนน์ดังลั่น “เก่งเหลือเกินนะที่แสร้งทำเป็นนอนหลับเพื่อหลอกล่อข้า”

“ข้าไม่ได้เสแสร้งนอนหลับและไม่ต้องการล่อหลอกเจ้า” โซลย์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เพียงแต่ข้าเป็นคนที่ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น”

“ระมัดระวังตัว!” ดาร์คเอลฟ์สาวกระแทกเสียงย้อน “จนข้าเดินมานั่งข้างตัวแล้วเจ้าก็ยังไม่รู้สึก แบบนี้หรือที่เรียกว่าการระมัดระวังตัว!”

“ข้ารู้ตัวตั้งแต่เจ้าเดินออกมาจากป่านั่นแล้ว” แม่ทัพหนุ่มตอบและยิ้ม “หากข้าไม่แสร้งทำเป็นหลับ เจ้าจะยอมเดินออกมาหาหรือ”

“ข้าไม่ได้มาหาเจ้า!” รัคเชนน์กล่าวด้วยใบหน้าสีเข้ม และยิ่งเข้มจัดขึ้นเมื่อเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่าย เอลฟ์สาวรีบสะบัดหน้าเบือนหลบไปอีกด้านทันที

“ข้าควรจะเชื่อคำพูดของเจ้า” โซลย์กล่าวพร้อมกับคลายมือของเขาออก “เจ้าจะลุกเดินหนีข้าไปอีกก็ได้หากเจ้าต้องการ”

“ใครอยากเดินหนีเจ้ากัน!” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความขัดใจเมื่อรู้ตัวว่าหลงกลตอบคำของเขา “ข้าไม่ชอบหันหลังหนีคู่ต่อสู้ เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” ดาร์คเอลฟ์สาวรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน แม่ทัพแห่งมอร์เซลมองกิริยาของนางด้วยความรู้สึกเอ็นดู

“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวจริงของเจ้านั้นงดงามและอ่อนโยนเพียงใด” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล รัคเชนน์นิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบเสียงห้วน

“ข้าไม่เคยสนใจ และไม่คิดจะใส่ใจกับเรื่องไร้สาระแบบนั้นด้วย”

“เพราะเหตุใด” โซล์ถาม “เจ้าต้องการหนีอดีตของตัวเองจนถึงขนาดนั้นเชียวหรือ”

“ข้าไม่ได้หนีอดีตของตัวเอง!” ดาร์คเอลฟ์สาวตอบทันควัน “ข้าเพียงแต่....”

“เจ้าเพียงแต่สร้างภาพลักษณ์อันน่ากรงขามเพื่อลบล้างความหงอยเหงาที่ฝังลึกอยู่ใจจิตใจ” แม่ทัพหนุ่มต่อประโยค “นั่นเป็นแค่เงาที่เจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะของตัวเอง”

รัคเชนน์ถึงกับนิ่ง คำพูดของลินซ์ที่เคยกล่าวไว้กับนางย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง
ดาร์คเอลฟ์สาวถึงกับถอนหายใจ

“เจ้าพูดเหมือนเด็กน้อยผู้นั้น”

คิ้วเข้มของโซลย์ขมวดเข้าหากัน เขามองหน้านางและกล่าวถามด้วยความรู้สึกสังหรณ์ใจ

“เด็กน้อยคนไหนกัน”

“เด็กผู้หญิงชาวมนุษย์ที่จอมมารนำมาด้วย” รัคเชนน์ตอบ

“นางมีผมสีทองตาสีฟ้าใสอายุราวๆสิบขวบใช่หรือไม่” โซลย์ซัก ดาร์คเอลฟ์สาวมองหน้าเขาด้วยความประหลาดใจก่อนตอบ

“ถูกต้อง เจ้ารู้จักนางด้วยหรือ”

“นางชื่อลินซ์ เป็นบุตรีของท่านเดฟล่อนอดีตแม่ทัพแห่งมอร์เซล น้องสาวของเด็กหนุ่มโมไดที่มากับข้า นางถูกจอมมารจับตัวไปหลังจากทำร้ายฟอร์เซ็ตติปางตาย”

“ฟอร์เซ็ตติเคยประมือกับจอมมารด้วยหรือ” เสียงรัคเชนน์เต็มไปด้วยความประหลาดใจแกมพิศวง “อัศจรรย์เหลือเกินที่เขารอดมาได้”

“แต่ก็ต้องทรมานกับรอยแผลและคำสาปจากเจ้าจอมปิศาจนั่นเจียนตาย” โซลย์ถอนหายใจหนักๆ “โมไดคงดีใจที่รู้ว่าน้องสาวของเขาปลอดภัย”

“นางมีพลังของวาลิเทพแห่งธรรมชาติทั้งมวล อำนาจในตัวของนางสามารถโน้มน้าวจิตใจของผู้อื่นให้อ่อนลงได้โดยที่คนผู้นั้นเองก็ไม่รู้สึกตัว”

“แต่คงใช้ไม่ได้ผลกับจอมมาร” แม่ทัพหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้ากังวลแต่รัคเชนน์กลับยิ้ม

“หากไม่ได้ผลจริงเขาคงสังหารนางทิ้งเสียตั้งแต่แรกพบแล้ว ข้าคิดว่าจอมมารคงซึมซับพลังของเด็กน้อยเข้าไปบ้างไม่มากก็น้อย เพียงแต่ผลลัพท์ที่ได้จะออกมาในรูปแบบใดเท่านั้น”

“ฟังจากน้ำเสียง เจ้าเองก็ไม่ได้ชื่นชอบเจ้าปิศาจนั่นสักเท่าใดนัก แล้วทำไมจึงยืนอยู่ฝ่ายเดียวกันกับเขา”

“ข้าแค่ไม่อยากอยู่ด้านเดียวกับชาวมาร์วัลลัสและพวกแซฟวีเท่านั้น” ดาร์คเอลฟ์สาวตอบเสียงขุ่น

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงยินดีที่เห็นภาพพวกเขาถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดจนหมดสิ้นทั้งแผ่นดิน”

โซลย์มองหน้านางขณะกล่าว

“ข้ารู้สึกยินดีปรีดาอย่างที่สุด” รัคเชนน์กัดฟันตอบ “สำหรับข้าความตายของคนพวกนั้นยังไม่สาสมกับความทรมานของพ่อและแม่ที่ได้รับ”

“เจ้าพูดไม่ตรงกับใจ” แม่ทัพแห่งมอร์เซลจ้องดวงตาของนาง”เจ้าไม่เคยรู้สึกยินดีกับความตายของคนเหล่านั้นจริงๆ”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน”

“เพราะเจ้าไม่เคยลงมือสังหารพวกเขาด้วยตัวเองเลยสักครั้ง” โซลย์พูดเสียงเรียบ “ข้าเป็นนักรบ ข้ารู้ดีว่าการเงื้อดาบเพื่อสังหารคนแต่ละครั้งนั้นต้องอาศัยกำลังใจและความกล้าอย่างมากมาย มือของเจ้าจะรู้สึกสะท้านยามที่คมดาบชำแรกลงไปในผิวเนื้อ จมูกของเจ้าจะใช้การไม่ได้ไปชั่วขณะเมื่อกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายไปในอากาศ หูของเจ้าจะอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงร้องโอดครวญของคนใกล้ตาย ข้าขอถามเจ้าว่าเจ้าเคยสัมผัสกับสิ่งที่ข้ากล่าวมาทั้งหมดนี่หรือไม่”

“ข้าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามของเจ้า” ดาร์คเอลฟ์สาวตอบห้วนๆ “แล้วอีกประการหนึ่งข้าไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปปลิดชีวิตผู้ใดหากข้ายังสามารถบงการธรรมชาติได้”

“พูดง่ายๆก็คือเจ้าไม่เคยฆ่าคน” แม่ทัพหนุ่มสรุป “มือของเจ้ายังสะอาด ใจของเจ้ายังบริสุทธิ์ แล้วทำไมจึงต้องสร้างเกราะขึ้นแล้วปิดกั้นตัวเองออกจากโลกภายนอกด้วยเล่า”

“ข้า...” รัคเชนน์ชะงักคำพูดด้วยอับจนปัญญาจะโต้ตอบ นางพ่นลมหายใจแรงๆและกล่าว
“ข้าเกลียดทุกคนในโลกนี้ และพวกเขาก็เกลียดข้าด้วย”

“เขาบอกเจ้าแบบนั้นหรือ”

“การกระทำเลวร้ายทั้งหลายที่พวกเขาทำยังไม่พอเพียงที่จะอธิบายอีกรึ” ดาร์คเอลฟ์ตวาดด้วยน้ำเสียงแสดงความเหลืออด แต่โซลย์กลับส่ายหน้า

“การกระทำของคนเพียงแค่ไม่กี่คน ไม่ได้หมายความว่าคนทั้งหมดจะต้องเหมือนพวกเขา
รัคเชนน์ในโลกนี้ยังมีคนอีกมากมายที่รักและเป็นห่วงเจ้าอยู่นะ”

รัคเชนน์แค่นหัวเราะออกมาดังๆ นางจ้องหน้าแม่ทัพหนุ่มแขม็งพร้อมกับถาม

“ไหนล่ะคนที่เจ้าว่า ลองพามาให้ข้าเห็นหน้าหน่อยสิ”

“เขานั่งอยู่ตรงหน้าของเจ้าแล้วไง” โซลย์พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังในขณะที่ดาร์คเอลฟ์สาวนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไป

“เหลวไหล อย่ามาทำล้อเล่นกับข้า”

“สีหน้าของข้ามันบ่งบอกกับเจ้าว่าล้อเล่นอย่างนั้นหรือ” แม่ทัพแห่งมอร์เซลกล่าวเสียงหนัก     ”เจ้าอาจจะไม่เชื่อหากข้าจะบอกกับเจ้าว่าข้าเป็นห่วงเจ้า”

รัคเชนน์กัดปากตนเองเบาๆก่อนเบือนสายตาหลบอีกฝ่ายและตอบ

“เพียงแค่พบกันไม่กี่วันเจ้าจะมาห่วงใยอะไรในตัวข้านัก”

“บางครั้งเวลาก็ไม่จำเป็นสำหรับความรัก” โซลย์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและนุ่มนวล “หัวใจของข้าเป็นของเจ้าตั้งแต่แรกเห็น ยิ่งได้พบกับความอ้างว้างที่เปี่ยมล้นอยู่ในดวงตา ข้าจึงสาบานกับตัวเองว่าจะคอยอยู่ดูแลเจ้าจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ”

หัวใจที่แสนเย็นชาของดาร์คเอลฟ์เต้นระรัวจนแทบหลุดออกมาจากทรวงเมื่อได้ฟังคำกล่าวของแม่ทัพหนุ่ม ใบหน้าแสนงดงามของรัคเชนน์ผินกลับมามองโซลย์อีกครั้ง แววตาที่เคยแข็งกระด้างอ่อนลงทีละน้อย ดุจหิมะที่ปกคลุมอยู่บนยอดเขาอันหนาวเหน็บเป็นเวลาเนิ่นนานต้องแสงอรุณแรกของฤดูใบไม้ผลิ มันละลายหายไปอย่างช้าๆปล่อยให้ต้นไม้เล็กๆที่ฝังตัวในผืนดินงอกงามขึ้นและผลิดอกบานสะพรั่ง กายของนางสั่นน้อยๆเมื่อมือหนาที่แสนอบอุ่นของโซลย์ไล้บนพวงแก้ม

“แม้จะเป็นคำพูดเพียงฝ่ายเดียวแต่ข้าก็ยินดีที่จะกล่าวด้วยความเต็มใจ” ดวงตาสีเหล็กจ้องตารัคเชนน์นิ่ง

“ข้ารักเจ้า”

ดาร์คเอลฟ์สาวเผยอปากคล้ายจะกล่าววาจาตอบแต่กลับเปลี่ยนใจเป็นก้มหน้าลง โซลย์เลื่อนมือของเขาไปที่ปลายคางของนางและเชยขึ้นอย่างนุ่มนวล

“เจ้าโกรธข้าหรือ”

“ข้าไม่ได้โกรธเจ้า เพียงแต่กำลังคิดว่าควรจะเชื่อใจในคำพูดของผู้ที่เพิ่งเคยพบหน้ากันดีหรือไม่”

“หัวใจของเจ้าคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด” แม่ทัพหนุ่มกล่าว “หากเจ้าไม่คิดจะเชื่อใจข้าก็ขอให้ลุกขึ้นและละทิ้งข้าเอาไว้ รุ่งเช้าข้าจะเป็นฝ่ายเดินทางจากไปโดยไม่รบกวนเวลาเจ้าอีกแม้เพียงสักนาที”

“หากทำเช่นนั้นข้าคงเสียใจไปจนชั่วชีวิต”

คำพูดสั้นๆที่ออกมาจากเอลฟ์สาวสร้างรอยยิ้มแห่งความปิติให้บังเกิดขึ้นบนใบหน้าของโซลย์ หัวใจของแม่ทัพหนุ่มเต้นระรัวราวกับตีกลอง เขาปรารถนาที่จะรั้งร่างงามตรงหน้าเข้ามากอดไว้แนบอกแต่ต้องยั้งใจไว้ โซลย์จึงทำได้แต่เพียงลูบเรือนผมสีเทาสลวยของนางอย่างอ่อนโยน

“เจ้าจะทำเช่นไรต่อไป”

จู่ๆรัคเชนน์ก็เอ่ยขึ้นแม่ทัพหนุ่มชะงักมือของเขาและเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนถาม

“เจ้าหมายถึงอะไร”

“ดูเหมือนพวกเจ้ากำลังจะเดินทางไปยังแซฟเวจย์ หากข้าเดาไม่ผิดจุดหมายของพวกเจ้าก็คือการไปสังหารจอมมาร เจ้าคิดว่าสามารถทำได้สำเร็จหรือ”

“ครั้งแรกพวกข้าไม่คิด แต่หลังจากที่เขาประมือกับฟอร์เซ็ตติและได้รับบาดเจ็บกลับไปทำให้พวกข้าคิดว่าแม้ไม่มีอาวุธวิเศษที่ราชินีมาร์วัลลัสบอกก็สามารถจัดการกับจอมมารได้”

“พวกเจ้าจะจัดการกับเขาด้วยวิธีใด”

“องค์มีย์อาร์บอกว่าให้แทงลงไปที่หัวใจของเขาด้วยดาบกรามร์”

“แล้วเจ้ามีดาบที่ว่านี่ด้วยหรือ” ดาร์เอลฟ์ถาม โซลย์นิ่งไปเล้กน้อยก่อนตอบ

“ข้ามีบรุนนาลา” เขาตบมือบนดาบเพลิงเบาๆ รัคเชนน์ผงกศีรษะสองสามครั้งและพูด

“ต่อให้เจ้ามีทั้งดาบเวทและกรามร์ก็ไม่สามารถจัดการกับราชันย์มานั้นได้แน่”

“เพราะเหตุใด” โซลย์ถามด้วยความสงสัย ดาร์คเอลฟ์สาวมองหน้าเขา

“ข้าเคยแทงลงไปที่หัวใจของเขาครั้งหนึ่งด้วยดาบของข้า” นางยกดาบของตนขึ้น “แต่จอมมารนั่นกลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิดเพราะอะไรรู้หรือไม่”

“เพราะอะไร” แม่ทัพแห่งมอร์เซลถาม สีหน้าของรัคเชนน์กร้าวขึ้นก่อนตอบ

“เพราะเขาไม่มีหัวใจ”

คำตอบของดาร์คเอลฟ์สาวสร้างความตระหนกต่อโซลย์เป็นอย่างยิ่ง สีหน้าของเขาเคร่งเครียดลงไปทันทีพร้อมกับกล่าว

“ฟอร์เซ็ตติเองก็คงยังไม่รู้ในเรื่องนี้แน่” แม่ทัพหนุ่มระบายลมหายใจ”แล้วพวกเราควรจะทำอย่างไรดี”

“เจ้าต้องหาคนมาเพิ่ม” รัคเชนน์กล่าว “คนผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีทั้งฝีมือและพลังเวทที่เข้มแข็ง”

“จนป่านนี้แล้วข้าจะไปค้นหาได้ที่ไหนกัน” โซลย์พูดเสียงขรึมแต่ดาร์คเอลฟ์สาวกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เขาอยู่ตรงหน้าเจ้านี่แล้ว”

หัวใจของม่ทัพหนุ่มกระตุกวูบทันทีที่ได้ยินคำพูดของรัคเชนน์ เขาสั่นหน้าอย่างเร็วพร้อมกับปฏิเสธ

“ไม่ได้”

“ทำไม” ดาร์คเอลฟ์สาวถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เพราะข้าเป็นหญิงใช่หรือไม่”

“เพราะมันอันตรายเกินไปต่างหาก” โซลย์แก้คำ “เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่าจอมมารนั่นร้ายกาจแค่ไหน”

“ข้ารู้ดีเพราะข้าเคยประมือกับเขามาแล้ว และข้าก็มั่นใจว่าสามารถเอาชนะเขาได้โดยไม่ยากนักหากพวกเจ้าร่วมมือกัน”

“แต่.....” แม่ทัพแห่งมอร์เซลขบกรามตนเองแน่น ภาพการตายของแนชท์ปรากฏขึ้นในความทรงจำ “ข้าไม่อยากสูญเสียเจ้าไป”

“ข้าไปรบไม่ได้ไปตาย” รัคเชนน์พูดเสียงห้วน “ลองข้าตัดสินใจจะทำสิ่งใดลงไปแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนใจเป็นอันขาดและที่สำคัญ...” นางมองหน้าโซลย์เขม็ง

“ข้าไม่อยากให้เจ้าจากไปโดยทิ้งข้าไว้เพียงตามลำพัง”

หัวใจของทัพหนุ่มแทบละลายเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายของเอลฟ์สาวอันเป็นที่รัก มือที่แข็งแรงรั้งร่างของนางเข้ามากอดไว้แนบอกด้วยความที่ไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป

“สัญญานะเจ้าจะต้องอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลา”

“ข้าให้สัญญา” รัคเชนน์ตอบเสียงแผ่ว โซลย์มองหน้านางด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก และเมื่อเอลฟ์สาวพริ้มตาลง เขาจึงค่อยๆเลื่อนใบหน้าลงไปจุมพิตบนหน้าผากของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน

*/*/*/*/*

โมไดยืนกอดอกมองดูร่างในผ้าคลุมสีขาวที่กำลังยืนจ้องมองผ่านแนวป่าไปในทิศทางด้านเหนืออย่างเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยทักเขาด้วยความรู้สึกหงุดหงิด

“เจ้ากำลังดูอะไรอยู่ เจ้าจอมเวท”

ฟอร์เซ็ตติสะดุ้งเล็กน้อยก่อนหันกลับมามองฝ่ายทักด้วยสายตาฉายความไม่พอใจ

“ข้ากำลังหาเส้นทางไปแซฟเวจย์”

“งั้นรึ” โมไดกระโดดลงจากขอนไม้ที่เขายืนอยู่และเดินไปยืนป้องตามองเข้าไปในป่าทิศทางเดียวกันกับที่จอมเวทหนุ่มจ้องเมื่อครู่แล้วกล่าว

“แล้วเจ้าเจอสักทางไหม”

“คงพบหากเจ้าไม่มากวนใจข้าเสียก่อน” จอมเวทแห่งมาร์วัลลัสตอบเสียงขุ่น โมไดลดมือของเขาลงพร้อมกับมองหน้าฟอร์เซ็ตติ

“แต่ข้าว่าเจ้าคงไม่มีวันหาทางเจอแน่ๆ”

“อะไรทำให้เจ้าคิดแบบนั้น”

“ก็เจ้ากำลังหลงทางอยู่ไม่ใช่เรอะ” เด็กหนุ่มย้อนเสียงสูง “คนที่กำลังหลงทางน่ะไม่มีวันนำทางให้คนอื่นได้หรอกเจ้าจอมเวท”

“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกัน” ฟอร์เซ็ตติถามด้วยสีหน้างุนงง โมได้ยิ้ม

“ถามใจของเจ้าเองดูดีกว่า” เขาชี้นิ้วจิ้มลงไปบนหน้าอกของจอมเวทสองสามครั้ง “ใจเจ้าน่ะกำลังหลงทางอยู่ไม่ใช่หรือ”

จอมเวทหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะเขาเบือนหน้าหันไปทางด้านสระน้ำและถอนหายใจ

“ข้าแค่กำลังสับสนนิดหน่อยเท่านั้น” ดวงตาสีฟ้าฉายความเศร้าออกมาจางๆ “ข้าควรจะทำอย่างไรดีโมได”

“แล้วใจจริงของเจ้าคิดยังไง” เด็กหนุ่มถามและจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง เสียงระบายลมหายใจดังออกมาอีกครั้ง

“ข้ายินดีที่เห็นนางเปิดใจรับแสงสว่างจากภายนอก” จอมเวทหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย “ถึงแม้ว่าแสงนั้นจะไม่ได้มาจากข้าก็ตาม”

“แล้วโซลย์ล่ะ” โมไดถามสั้นๆ ฟอร์เซ็ตติมองหน้าเขา

“เขาเป็นเพื่อน ทั้งเจ้าและโซลย์เป็นเพื่อนที่ข้าไม่มีวันหาได้อีก” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสง่างาม

“ข้าควรจะยินดีใความสุขของเพื่อน และดีใจในความสุขของผู้ที่ข้ารัก พวกเจ้าทุกคนคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของข้า” เขายื่นมือไปวางบนบ่าของเด็กหนุ่ม “ขอบใจเจ้ามากโมได”

“แค่อย่าพาข้าหลงทางเท่านั้นก็พอ”

โมไดยิ้มกว้างพร้อมกับตอบ ทั้งสองหันไปมองโซลย์ที่กำลังเดินออกมาโดยมีรัคเชนน์เคียงข้างไม่ห่าง แม่ทัพหนุ่มยิ้ม

“เจ้าไปหยอกเย้าอะไรฟอร์เซ็ตติเขาอีก”

“ข้าแค่ถามทางเขาเท่านั้นไม่มีอะไรมาก” เด็กหนุ่มตอบและหันไปหลิ่วตาให้จอมเวท โซลย์สั่นหน้าน้อยๆ

“เจ้าคิดว่าจะเริ่มออกเดินทางกันเมื่อใด”

“ทันทีที่เจ้าพร้อม” ฟอร์เซ็ตติตอบพลางเหลือบสายตาไปมองรัคเชนน์ซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ นางยิ้ม

“ไม่ต้องถามอะไรข้าและอย่าได้คิดห้ามด้วย”

“ข้าคงห้ามอะไรเจ้าไม่ได้” จอมเวทตอบ “ในเมื่อเจ้ายินดีที่จะติดตามพวกเราไปก็ควรจะไปเตรียมตัวให้พร้อมเพราะข้าจะเดินทางออกจากที่นี่ในวันรุ่งขึ้น”

“ข้าจะเปิดเส้นทางให้กับพวกเจ้า” รัคเชนน์กล่าว “มันจะช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางให้เร็วขึ้นกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้ถึงสองวันเลยทีเดียว”

“เยี่ยม” โมไดพูดขึ้นมาบ้าง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ควรรีบไปพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อการเดินทางที่แสนสนุกในวันพรุ่งนี้กันเถอะ”

โซลย์หัวเราะกับคำพูดของโมไดก่อนจะกล่าวสรุปสั้นๆ

“ตกลง”


*/*/*/*/*/*/*

เย้ๆ มีแววว่าจะด่านนี้จะไม่เจ็บแล้ว
จากคุณ : scottie  
- ด่านนี้นอกจากจะไม่เจ็บตัวแล้ว ยังมีอะไรดีๆเกิดขึ้นด้วย ^^

มาให้กำลังใจ อย่าท้อนะค่ะ
แนวแฟนตาซีมีคนเขียนน้อยอยู่แล้ว จะหาอ่านก็ไม่ง่ายเลย
สู้...สู้...ค่ะ
จากคุณ : wor_lek  
- ขอบคุณค่า ตราบใดที่ยังมีคนอ่าน มูนนี่ก็ขอเขียนงานแนวนี้ต่อไป

ผมชอบรัคเชนน์ ^_^..
มีที่มาที่ไปลึกร้าวดีครับ
จากคุณ : GTW  
- รัคเชนน์เป็นอีกตัวละตรหนึ่งที่มูนนี่ชอบมากๆ คือถึงจะเก่งแต่ก็เป็นพวกแข็งนอกอ่อนใน ถึงได้มัดใจโซลย์ได้ไงคะ

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนิยายของมูนนี่ค่ะ
และมีข่าวจะแจ้งให้ทุกท่านทราบ เวลานี้เซ็นซูได้วางจำหน่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะคะ ฝากทุกท่านอุดหนุนฮารุคาเสะ นักปราบมารหนุ่มรูปหล่อด้วยค่ะ ^^







แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 54 09:22:42

แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 54 09:14:53

แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 54 09:10:37

จากคุณ : Moony_Lupin
เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 54 09:09:56




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com