หญิงสาวก้าวออกจากที่พัก เดินลัดเลาะไปตามพุ่มไม้โดยอาศัยเพียงแสงจันทร์ส่องนำทาง สายลมยามค่ำพัดโชยมาเอื่อยๆ พระจันทร์ครึ่งดวงทอแสงนวลละมุนอยู่ตรงปลายฟ้า นางแหงนหน้ามองดวงจันทร์แล้วอดคิดถึงบ้านที่แลมพ์ตันไม่ได้ ป่านนี้ทั้งบิดาและมารดาคงจะรู้แล้วว่าลูกสาวหนีหายไป ท่านแม่คงโกรธน่าดู ส่วนท่านพ่อก็คงใช้เหตุผลปลอบประโลมท่านแม่ให้สงบลงได้ตามเคย หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เมลิอานาร์จึงเดินเลยมาไกลจนถึงเขตวิหาร แสงจันทร์นวลตาสาดกระทบก้อนศิลาสีขาวที่เรียงซ้อนเป็นระเบียบตรงหน้า ก่อให้เกิดประกายวาววามจนดูคล้ายกับว่าก้อนศิลาเหล่านั้นมีแสงเรืองออกมาจากภายในอย่างประหลาด มันเรียกร้องให้หญิงสาวต้องก้าวเข้าไปหาราวกับต้องมนต์
ภายในวิหารค่อนข้างมืด แสงจากกระถางไฟข้างแท่นบูชาไม่ก่อให้เกิดความสว่างแก่ห้องโถงกว้างนั้นมากนัก ดีที่มีคบไฟปักอยู่เป็นระยะทุกช่วงเสา หญิงสาวจึงพอมองเห็นสภาพรอบกายได้ไม่ยาก ที่น่าสนใจคือผนังห้องด้านหนึ่งมีอักขระภาษารูนโบราณจารึกไว้ตลอดแนว เมลิอานาร์ขยับเข้าใกล้เพื่อจะอ่านอักษรโบราณเหล่านั้น มันไม่ใช่บันทึกประวัติวิหารอย่างที่นางคิด หากดูเหมือนจะเป็นคาถาอะไรสักบทมากกว่า หญิงสาวเลื่อนสายตาจากตัวอักษรมาหยุดอยู่ที่ประตูศิลาซึ่งดูกลมกลืนไปกับผนังจนแทบสังเกตไม่เห็น พอนางเอื้อมมือไปหมายจะผลักมันให้เปิดออก เสียงห้าวๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“นั่นใครน่ะ”
เมลิอานาร์ชะงักไปชั่วครู่ พยายามมองหาที่มาของเสียง หากไม่เห็นอะไรนอกจากเงาของตนที่ทาบอยู่บนแผ่นผนัง
...นางคงหูฝาดไปกระมัง
หญิงสาวตั้งท่าจะก้าวเดินต่อ ก็พอดีเสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้ง
“กันนาร์หรือเปล่า”
คราวนี้เมลิอานาร์พอจะจับได้แล้วว่าเสียงนั้นดังมาจากส่วนที่อยู่ลึกสุดของห้องโถง จึงรีบสาวเท้ามุ่งตรงไปยังทิศที่มาของเสียง นางคิดว่าตนเองมองเห็นชายกระโปรงสีเข้มผ่านตาไปแวบหนึ่งด้วยซ้ำ แต่พอมาถึงบริเวณหน้าแท่นบูชา กลับพบเพียงความว่างเปล่า
หญิงสาวขมวดคิ้ว ...หรือว่าเมื่อครู่นี้นางจะตาฝาดไปเอง แต่นางก็ได้ยินเสียงชัดเจนถึงสองครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะหูแว่ว ก็แปลว่าต้องมีใครอีกคนอยู่ในห้องนี้ บางทีอาจจะเป็นหญิงรับใช้ประจำวิหาร
แต่... ผู้หญิงอะไร เสียงห้าวชะมัด!
เมลิอานาร์ค่อยๆ ขยับเท้าก้าวไปหากำแพงหินอย่างลังเล นางเอื้อมมือไปยังผืนพรมประดับผนังที่แขวนอยู่ตรงหน้า ทว่าไม่ทันจะได้สัมผัสผิวผ้า มันก็ตวัดตัวเปิดออกเสียก่อน
“กันนาร์ ทำไมวันนี้เจ้า...”
เสียงห้าวๆ ของผู้ที่ยืนอยู่หลังผืนพรมกลืนหายไปในลำคอ ดวงตาคมกริบสีน้ำทะเลเบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวในนาทีต่อมา
“เจ้าเป็นใคร...เข้ามาทำอะไรที่นี่”
เมลิอานาร์ไม่ได้ตอบคำถามเพราะมัวแต่ตะลึงมองคนตรงหน้าอยู่เช่นกัน นางเป็นสตรีที่มีร่างกายสูงใหญ่ ผมสีทองยาวระบ่า ใบหน้างดงามคมคาย ทว่า...ค่อนข้างแปลก คิ้วเข้มดกหนาพาดตรงไม่เรียวโค้งเช่นคิ้วของสตรีทั่วไป ดวงตาสีน้ำเงินอมเขียวรายล้อมด้วยแพขนตายาวเฟื้อยเป็นประกายคมกล้าดุดัน จมูกโด่งเป็นสัน รับกับริมฝีปากสีสดหยักเป็นขอบชัดเจนได้รูปงาม คางของนางไม่เรียวละมุนเช่นของสตรีอื่นแต่เป็นรูปเหลี่ยมบึกบึน หากสิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกใจที่สุดกลับเป็นรอยสีเขียวจางๆ ที่ปรากฏอยู่แถวข้างแก้มและเหนือริมฝีปากของสตรีผู้นั้น
...เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเห็นนี่แหละ ผู้หญิงมีหนวด!!
“เจ้าจะตอบคำถามของข้าได้หรือยัง” เสียงห้าวๆ ถามย้ำมาอีก คิ้วเข้มเป็นปื้นขมวดเข้าหากัน ท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าชื่อเมลิ..เอ้อ..เมล...”
เมลิอานาร์เกือบจะเผลอตอบชื่อจริงออกไปแล้ว ทว่าปฏิกิริยาของพวกหญิงรับใช้ที่บ้านพักคนเดินทางเตือนให้นางระลึกถึงสภาพของตนเองขึ้นมาได้ จึงยั้งปากเอาไว้ทัน นางยังไม่นึกอยากเป็นตัวตลกให้ใครหัวเราะเยาะตอนนี้ เพราะฉะนั้นปล่อยให้แม่สาวร่างยักษ์คิดว่านางเป็นผู้ชายน่าจะง่ายกว่า
“เมลหรือ...”
หญิงรับใช้ประจำวิหารทวนคำ สีหน้าดุดันคลายลงเล็กน้อย ดวงตาคมกริบตวัดมองสำรวจร่างบางในเสื้อเชิ้ตมอมไปด้วยฝุ่นขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายตลบเหมือนจะจับผิด
“เจ้าดูไม่เหมือนนักบวชเลยสักนิด”
“แล้วใครว่าข้าเป็นนักบวชกันเล่า”
ดวงตาคมปลาบยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้านวลสะอาดของผู้พูดด้วยความเคลือบแคลง
“เจ้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้าหญิงกาอิยาห์หรอกหรือ”
“ไม่ใช่”
“ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นทั้งนักบวชและไม่ใช่อาจารย์ของกาอิยาห์ งั้นบอกข้ามาสิ เจ้าเป็นใครกัน”
เมลิอานาร์ขยับกายอย่างอึดอัด นางไม่ชอบสายตาจับผิดและท่าทางคุกคามข่มขู่ของแม่สาวร่างยักษ์ผู้นี้เอาเสียเลย
“นี่พี่สาว ข้าว่าการที่ข้าจะเป็นใครมันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเจ้าสักหน่อย ถ้าข้าบุกรุกเข้ามาในเขตวิหารที่เจ้าดูแลอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาต ข้าก็ขอโทษแล้วกัน”
พูดจบหญิงสาวก็ตั้งท่าจะเดินหนี แต่อีกฝ่ายกลับยื่นแขนทั้งท่อนออกมาขวางหน้าเอาไว้ ไม่ปล่อยให้นางทำอย่างที่คิดง่ายๆ
“ตอบมาก่อน ไม่งั้นเจ้าก็ออกไปไม่ได้”
“เอ๊ะ?”
เมลิอานาร์จ้องมองหญิงรับใช้ประจำวิหารอย่างไม่พอใจ หากฝ่ายนั้นก็จ้องเขม็งกลับมาไม่ลดละเช่นกัน ดวงตาสีน้ำเงินอมเขียวทอประกายกล้า บอกให้รู้ว่าพร้อมจะเอาเรื่องหากไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการ
หญิงสาวถอนใจเฮือก ตอบเสียงสะบัดด้วยท่าทางรำคาญเต็มแก่
“ก็บอกไปแล้วไงว่าข้าขอโทษ”
“นั่นไม่ใช่คำตอบ ข้าต้องการรู้ว่าเจ้าเป็นใคร แล้วมาทำอะไรที่นี่”
“ข้าชื่อเมล เจ้าหญิงกาอิยาห์มีรับสั่งเรียกข้าให้มาที่นี่ ข้าก็มา... พอใจหรือยังล่ะพี่สาว”
“ยัง”
หญิงรับใช้ประจำวิหารยืนกอดอกพิงผนังศิลา ฟังน้ำเสียงพาลๆ ของคนตรงหน้าอย่างใจเย็น ก่อนจะตั้งคำถามต่อไป
“เจ้าเป็นอะไรกับเจ้าหญิงกาอิยาห์”
“เป็นเพื่อน...” คำตอบสวนกลับมาเร็วทันใจ “เจ้ายังอยากจะรู้อะไรอีกมั้ย”
คนตัวโตกว่าพยักหน้า ถามต่อหน้าตาเฉย “เจ้าเข้ามาที่วิหารจันทราทำไม”
เมลิอานาร์ตวัดสายตามองคนถาม พยายามบังคับตัวเองไม่ให้รู้สึกโมโหมากไปกว่านี้ ...ถึงจะดูไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงเท่าไหร่ แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี
“นี่พี่สาว...ข้าเองก็ไม่ได้อยากเข้ามาที่วิหารจันทราอะไรของเจ้านักหรอก ข้าแค่เดินหาโรงอาบน้ำของพวกนักบวชผ่านมาแถวนี้พอดี เห็นมีวิหารตั้งอยู่ก็เลยแวะมาดูเพราะนึกว่าเป็นวิหารร้าง ถ้ารู้ว่าเป็นเขตหวงห้ามข้าคงไม่เข้ามา”
“วิหารจันทราไม่ใช่เขตหวงห้าม” เจ้าของดวงตาสีน้ำทะเลจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะผ่านเข้าออกได้ตามใจชอบ”
“หมายความว่าไง”
“ก็หมายความว่าเจ้าต้องได้รับอนุญาตก่อนน่ะสิ ถึงจะมีสิทธิเข้ามาที่นี่”
“ได้รับอนุญาต... จากใคร เจ้างั้นสิ”
“ก็... ทำนองนั้น” ผู้พูดยืดอกขึ้นเล็กน้อย ท่าทางชวนหมั่นไส้เป็นที่สุด
“ถ้างั้นก็อย่าห่วงไปเลย เพราะนี่คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเข้ามาในวิหารของเจ้า”
“ครั้งแรกน่ะใช่ แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายแน่...ท่านเมล” คนตัวโตกว่ายิ้มเยาะ
“เจ้ารู้ได้ยังไง”
ไม่มีคำตอบ แต่รอยยิ้มน่าเกลียดนั้นยิ่งขยับกว้างออกไปอีก ดวงตาคมเป็นประกายพราวคล้ายขบขันเสียเต็มประดา
เมลิอานาร์จ้องหน้าคู่กรณีของนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ถามเสียงห้วน
“ถ้าหมดธุระแล้ว ข้าไปได้หรือยัง”
แม่สาวร่างยักษ์ผงกศีรษะน้อยๆ ผายมือให้อีกฝ่ายโดยที่รอยยิ้มยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้า
“เชิญ”
ผู้มาเยือนรีบสาวเท้าออกจากบริเวณนั้นทันที หากเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกเสียงห้าวๆ ของแม่สาวคนเดิมร้องเรียกเอาไว้อีกครั้ง
“มีอะไรอีกล่ะ” นางหันกลับมา ย้อนถามอย่างไม่สบอารมณ์
“ตามข้ามาทางนี้”
หญิงรับใช้ประจำวิหารออกคำสั่ง แต่ดูเหมือนคนฟังจะแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจจึงยังยืนเฉยอยู่
“ข้าบอกให้ตามมาทางนี้ ไม่ได้ยินหรือไง” เสียงห้าวๆ ชักห้วน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมทำตามแน่ๆ เจ้าตัวก็ปรี่เข้าไปคว้าข้อมือ กระชากร่างผอมบางให้ออกเดินตามหลังมาอย่างไม่ปราณี จนฝ่ายนั้นเสียหลักหน้าเกือบคะมำ
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน...หยุด นี่เจ้าจะลากข้าไปไหน”
เมลิอานาร์โวยวาย ขืนตัวเอาไว้สุดแรงเกิด ขณะเดียวกันก็พยายามจะบิดข้อมือให้หลุดจากการเกาะกุมของสตรีตรงหน้า หากไม่ได้ผล อุ้งมือใหญ่ของหญิงรับใช้ประจำวิหารแข็งแรงเกินกว่าที่นางจะดึงมือของตัวเองให้หลุดออกมาได้ มิหนำซ้ำยังถูกลากไปข้างหน้าทั้งๆ ที่สองเท้าปักหลักแน่นอยู่กับพื้นไม่ได้ขยับก้าวตามเสียด้วย ...ผู้หญิงคนนี้ แรงเยอะเป็นบ้า
“เจ้าอย่าดิ้นได้มั้ย ข้าไม่เอาเจ้าไปทำอะไรหรอกน่ะ เป็นผู้ชายแท้ๆ อย่าใจเสาะนักเลย”
คนแรงเยอะส่งเสียงดุพร้อมกับปรายตามองมาด้วยความรำคาญ เมลิอานาร์จึงจำต้องก้าวเดินตามหลังนางไปในที่สุด
“เอ้า ถึงแล้ว”
เจ้าของประโยครีบปล่อยข้อมืออีกฝ่ายทันทีราวกับมันเป็นของร้อน
เมลิอานาร์เพิ่งรู้ตัวว่าถูกลากให้มาหยุดยืนอยู่เหนือช่องหน้าต่างแคบๆ ในวิหาร ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่บาน แสงสีเงินจากดวงจันทร์ส่องให้เห็นต้นไม้หลากชนิดในสวนสมุนไพรด้านนอกเป็นเงามืดทะมึน ถัดจากแนวไม้สีเข้มเหล่านั้นออกไปคือเรือนแถวสีขาวทอดยาวเป็นระเบียบ
“แนวสีขาวที่เจ้าเห็นอยู่นั่นคือที่พักของนักบวช” คนที่ลากนางมาชี้บอก
“ถ้าเจ้าเดินเลยอาคารแถวยาวๆ พวกนั้นไปจนสุดทางแล้วอ้อมไปด้านหลัง จะเห็นเรือนไม้ตั้งอยู่โดดๆ นั่นคือโรงอาบน้ำ”
...เอ๊ะ..เอ๊ะ..เอ๊ะ...!!!
เมลิอานาร์มองหน้าผู้พูดอย่างคาดไม่ถึง หญิงสาวผู้นี้อุตสาห์ลากนางมาจนถึงหน้าต่างก็เพื่อจะบอกทางเองหรือนี่ ไม่ยักรู้ว่าคนหน้าโหดๆ ตาดุๆ ก็ใจดีเป็นเหมือนกัน ทว่าพอนางจะกล่าวคำขอบคุณ อีกฝ่ายกลับยกมือห้าม พูดด้วยเสียงมะนาวไม่มีน้ำ
“ไม่ต้อง ไม่จำเป็น ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าเดินหลงเข้าไปในที่ๆ ไม่ควรจะเข้าไปอีกก็เท่านั้น”
พูดเสร็จเจ้าตัวก็หันหลัง เดินลิ่วๆ กลับเข้าไปหลบอยู่ในเงามืดข้างแท่นบูชาตามเดิม พิลึกคน...
เมลิอานาร์สรุปในใจ แล้วเดินจากไปโดยไม่คิดจะสนใจหญิงรับใช้ประจำวิหารผู้นั้นอีก เมื่อพ้นประตูวิหารออกมาเสียได้นางค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย หากเดินไปยังไม่ทันจะถึงเชิงบันได สายตาเจ้ากรรมก็พลันเหลือบไปเห็นบุรุษที่ก้มหน้าก้มตาก้าวขึ้นบันไดสวนทางมาเสียก่อน รูปร่างของเขาดูคุ้นตานางอย่างประหลาด ทว่าเมลิอานาร์กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบชายผู้นี้ที่ไหน หญิงสาวรีบถอยหลังไปยืนแอบอยู่ข้างเสาต้นใหญ่ หลบให้เขาเดินผ่านไปก่อนเพราะไม่อยากจะถูกกล่าวหาว่าบุกรุกสถานที่สำคัญอีกเป็นครั้งที่สอง
ยังไม่ทันที่นางจะได้ก้าวออกจากที่ซ่อน ชายหนุ่มคนเดิมก็เดินย้อนกลับมาตรงเชิงบันได คราวนี้เขาหยุดยืนกวาดสายตาไปรอบกายด้วยท่าทางระแวดระวัง จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณเรียกให้คนข้างหลังก้าวตามออกมา แสงจันทร์นวลกระจ่างสาดจับร่างสูงใหญ่ในชุดยาวกรอมเท้าสีเทานกพิราบ
...แม่สาวร่างยักษ์ที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนผู้หญิงคนนั้น!
เมลิอานาร์นึกเดาได้ทันทีว่าคนทั้งสองต้องเป็นคู่รักที่ลอบมาพบปะกันแน่นอน มิน่าเล่า แม่สาวร่างยักษ์ถึงได้โมโหโกรธาที่นางล่วงล้ำเข้าไปในวิหาร คงกลัวจะถูกเห็นว่าแอบนัดพบกับผู้ชายสองต่อสองในยามวิกาลนี่เอง
แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 54 23:21:02
จากคุณ |
:
akihiro
|
เขียนเมื่อ |
:
16 มิ.ย. 54 23:17:06
|
|
|
|