Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
Elve Avatar เอลฟ์ อวาตาร์ : เจ้าชายอัปลักษณ์กับแหวนวิเศษ ตอนที่ 5 ติดต่อทีมงาน

ตอนที่ 1 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10647031/W10647031.html
ตอนที่ 2 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10651823/W10651823.html
ตอนที่ 3 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10657699/W10657699.html
ตอนที่ 4 : http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W10664762/W10664762.html

กรงขังของพวกซาไชน์ค่อนข้างกว้างขวาง จุชาวบร็อมได้หลายสิบโดยไม่แออัด พื้นผนังเป็นหินฝังหิมะ ปุยขาวโพลนยังคงเป็นละอองเกาะลามไปทั่ว ส่งผ่านความเย็นเยียบแต่ก็ไม่หนาวเหน็บเกินไป ลูกกรงที่กักขังเป็นแท่งน้ำแข็งเรียงราย ใสดั่งกระจก แต่ก็แกร่งมากพอที่จะป้องกันแรงทำลายจากชาวบร็อมผู้อ่อนแอ

บัดนี้นางเอลฟ์ผู้สวยสง่ายืนตกตะลึงกับสิ่งของในมือ สร้างความสงัดเงียบให้ชาวบร็อมไม่กล้าจะส่งเสียงไถ่ถาม แม้แต่ซิลวาก็ทำได้แค่ลุกยืนแล้วแหงนมองใบหน้าที่กรำไปด้วยความประหลาดใจของนาง

“แหวนแห่งซอร์... อยู่ใกล้ตัวข้าเพียงนี้เชียว” อาริเทียร์เอ่ย น้ำเสียงสั่นสะท้านด้วยความตื่นใจ

“เจ้าหมายถึงสิ่งที่เหมือนกำไลที่อยู่ในมือของรูปปั้นมหาเวทยากรซอร์ใช่ไหมอาริส” ซิลวาจิ้มนิ้วเอ่ยถาม เอลฟ์สาวค่อยๆหันหน้ามองเขา สายตานางงดงามแต่ก็แฝงแววน่ากลัวนัก

“เจ้าหนอเจ้า” อาริสเอ่ย “ถือของวิเศษที่สุดเช่นนี้แต่กลับไม่รู้ตัวเลยเหรอ สิ่งที่เจ้าว่าเหมือนกำไล มันคือแหวนต่างหาก เป็นแหวนวิเศษของวีรบุรุษซอร์”

“ท่านพ่อไม่เคยบอกข้าเลย”

“เช่นนั้นเจ้าก็จงรู้ไว้นะซิลวา แหวนวงนี้คือแหวนโอสถวิเศษที่...”

อาริเทียร์ชะงักคำ เมื่อเหลือบไปมองรอบด้านเห็นชาวบร็อมทำตาแป๋วยืนรายล้อม นางรู้ดีว่าความลับของแหวนแห่งซอร์ปรากฏในตำราพิชัยสงครามที่เซอร์คารอนจารึกไว้ เพราะฉะนั้นน้อยคนจะรู้ว่าแหวนวิเศษวงนี้มีอำนาจถอนคำสาปได้แม้กระทั่งคำสาปของพวกนากะไส

แน่นอน นางจะเอ่ยออกไปได้อย่างไรว่ามันใช้ถอนคำสาปได้ เพราะชาวบร็อมซึ่งรวมไปถึงซิลวาล้วนต้องการหลุดพ้นจากคำสาปของนากะไส เพื่อให้ตัวเองคืนสู่ความเป็นเอลฟ์ผู้มากฤทธา

“แหวนโอสถวิเศษ? เหมือนข้าจะเคยได้ยินตำนานนี้นะ” ร็อค รูเซย์เกาแก้มขบคิด ดวงตาโปนจ้องมองแหวน อาริเทียร์รู้สึกหายใจติดขัด ถ้าชาวบร็อมรู้ถึงอำนาจวิเศษ แล้วนางจะได้แหวนวงนี้ไปรักษาพระบิดากระนั้นหรือ

“ตำนานอะไรรึร็อค” ซิลวาหันไปเอ่ยถาม

“กระหม่อมเคยได้ยินมาจากอาจารย์ ท่านสิ้นชีพไปแล้ว แต่ครั้งหนึ่งท่านเคยเล่าให้กระหม่อมฟังว่ามหาเวทยากรซอร์มีของวิเศษชิ้นหนึ่ง อาจจะเป็นแหวนวิเศษวงนี้ก็เป็นได้”

“แล้วมันทำอะไรได้ล่ะ”

“กระหม่อมมิทราบพะย่ะค่ะ จำได้ลางๆว่าสามารถใช้ปรุงยาและใช้เพิ่มพลังเวทมนตร์”

นางเอลฟ์ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งอก ดูเหมือนตำนานในหมู่ชาวบร็อมจะรู้เรื่องแหวน แต่ไม่อาจล่วงรู้อำนาจที่แท้จริงของแหวน

ฉับพลันนั้นเอง เสียงลากผ้าคลุมของพวกซาไชน์โขยงหนึ่งเดินมาหยุดเบื้องหน้าลูกกรงน้ำแข็ง มันใช้ไม้เท้าเคาะสองสามที แท่งน้ำแข็งก็หดหายจนเกิดเป็นช่องพอที่พวกมันจะเขยิบกายเข้ามาด้านในได้ กลิ่นหืนสกปรกโชยจนอึดอัด อาริเทียร์ส่งแหวนคืนให้ซิลวาก่อนจะหันประจันหน้าพวกมัน

เหล่าหมอผีซาไชน์ไม่พูดพร่ำสิ่งใด มันส่ายตาไปรอบๆก่อนจะชี้ตัวชาวบร็อมกลุ่มหนึ่ง และดูเหมือนพวกเขาจะรู้ชะตากรรมจึงเดินเข้าหาพวกซาไชน์

“เมื่อภายนอกแสงแดดแรงกล้า พวกมันจะเข้ามาหลบอยู่ในถ้ำ” ร็อค รูเซย์กระซิบข้างหูซิลวา “และนี่ก็คือเวลาที่พวกมันจะเรียกใช้พวกกระหม่อมไปปรุงยาถอนคำสาป”

“พวกเจ้าจะเป็นอันตรายไหม”

“ไม่หรอกพะย่ะค่ะ ถึงจะมีซาไชน์บางตนเกรี้ยวกราด แต่มันก็ไม่กล้าทำร้ายพวกกระหม่อม”

“เราต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่นะซิลวา” อาริเทียร์ลดตัวลงเอ่ยเสียงเบาข้างหูอีกด้าน เส้นผมสีทองไล้ลามให้ซิลวารู้สึกจั๊กจี้ “ปัญหาของซาไชน์ ไม่ใช่เรื่องที่ชาวบร็อมจะต้องมาแบกรับ”

“ข้ารู้ แล้วจะเอายังไงดีล่ะ เจ้าจะเต้นระบำขู่มันอีกเหรอ”

“ตลกน่า ซาไชน์ไม่ได้โง่เขลาทุกตนหรอก” อาริเทียร์เอ่ยพลางขบคิดแผนการบางอย่าง “เราต้องแหกคุก”

พวกซาไชน์นำตัวชาวบร็อมออกไปจากห้องขัง เมื่อพวกมันเดินออกไป มันก็กระทุ้งไม้เท้าลงพื้น แท่งน้ำแข็งผุดขึ้นมาเป็นกรงแกร่งดังเดิม เมื่อปลอดซาไชน์แล้ว ซิลวากับอาริเทียร์ก็เริ่มต้นหาวิธีแหกคุก ร่วมด้วยร็อค รูเซย์

“เราต้องชิงอาวุธมาให้ได้ก่อน ถ้าเจ้ามีดาบเบรซุสและข้ามีหินเยียร์ ก็ค่อยไปช่วยชาวบร็อมที่ถูกพาตัวไป”

“หินเยียร์อาจสร้างเปลวเพลิงได้ไม่ทันท่วงที ข้าว่าเจ้าน่าจะใช้แร่โอไรอุสมากกว่านะ” ซิลวาออกความเห็น อาริเทียร์ถอนใจห้วน

“แล้วจะหาแร่โอไรอุสได้ที่ไหน พวกซาไชน์มันกลัวไฟ มันคงจะเก็บแร่โอไรอุสไว้อย่างมิดชิดเพื่อไม่ให้เป็นอันตราย อีกอย่างนะ เจ้าก็เห็นอยู่ทนโท่ว่าอาวุธของพวกเราถูกเก็บไว้ตรงโน้น ไม่ไกลจากหน้าห้องขังและมีซาไชน์ตนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ มันคงจะง่ายกว่าถ้าใช้อาวุธที่พวกเรานำติดตัวมา”

“แต่ข้ามีแร่โอไรอุส” ซิลวายิ้มแป้น เขาล้วงเข้าไปในเป้ากางเกงก่อนจะหยิบลูกแก้วสีใสออกมาสองลูก อาริเทียร์กับร็อค รูเซย์ผงะ “ข้าแอบหยิบแร่โอไรอุสมาจากบ้านของอุปส์ เขามีเยอะ เอาไว้จุดไฟในเตาหลอม”

“เจ้าเพี้ยนรึไงซิลวา ถ้าแร่โอไรอุสแตกล่ะก็ บริเวณนั้นของเจ้าก็คงจะ...” อาริเทียร์ขนลุกซู่เมื่อจินตนาการเห็นภาพเป้ากางเกงของซิลวาที่กำลังลุกเป็นไฟ

“ข้ารู้น่า ไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอก อุปส์เคยบอกว่าแร่โอไรอุสพวกนี้ได้มาจากคนแคระของเหมืองกานัค มันทนทานกว่าแร่โอไรอุสทั่วไป”

“แต่พระองค์ไม่ถูกซาไชน์ยึดแร่โอไรอุส เป็นไปได้ยังไง” ร็อค รูเซย์เอ่ยสงสัย

“ข้าคิดว่ามันคงประมาทชาวบร็อม และที่สำคัญ คงไม่มีซาไชน์ตนไหนกล้าล้วงเป้ากางเกงของข้าหรอก”

“เจ้านี่มันสัปดนจริงๆนะซิลวา แต่ก็เอาเถอะ ถือว่าหลักแหลมไม่เบา” อาริเทียร์กระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะสำทับต่อ “แผนการที่ข้าคิดได้ก็คือ ข้าจะเรียกซาไชน์ที่ยืนเฝ้าปากทางตรงโน้นให้มาที่นี่ แล้วจะบอกมันว่าข้าอยากลองคิดค้นสูตรยาแก้คำสาปให้ เมื่อมันเปิดประตู พวกเจ้าก็ขว้างแร่โอไรอุสให้แตก แล้วที่เหลือข้าจะจัดการเอง”

“สหายของพระองค์ล้ำลึกนัก เจ้าชายซิลวา” ร็อค รูเซย์ชื่นชม ดวงตาโปนกะพริบปริบ ซิลวายักคิ้วรับ

อาริเทียร์เริ่มต้นด้วยการยื่นแขนอรชรลอดซี่กรงน้ำแข็งเพื่อส่งสัญญาณเรียกซาไชน์ที่ยืนเฝ้าปากทาง เยื้องห้องขังไปหลายช่วงตัว ซาไชน์ตนนั้นก็เดินเข้ามาราวกับสั่งได้ เสียงไม้เท้าก๊อกแก๊กมาตามทางจนหยุดยืนหน้ากรงขัง ซิลวากับร็อค รูเซย์กำแร่โอไรอุสไว้คนละก้อน ใจเต้นตึกตักระทึกขวัญ

“มีอะไรรึนางเอลฟ์” เสียงครางต่ำของซาไชน์เอ่ยถาม แววตาสีเหลืองส่องประกายน่าขนลุก

“คือว่า... เจ้าจะว่าอะไรไหม พอดีข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าข้าเคยเรียนวิชาปรุงยาที่ป่าคาเทียร์ เจ้าก็รู้ ดินแดนของเอลฟ์มากด้วยสรรพวิชา หลังจากที่ข้าได้ฟังเรื่องราวจากชาวบร็อมในห้องขัง ข้าก็เลยคิดว่าอาจจะช่วยพวกเจ้าปรุงยาได้”

“จะปรุงยาแก้คำสาปงั้นรึ”

อาริเทียร์แสร้งยิ้มบริสุทธิ์ใจแล้วพยักหน้าหงึก ขณะที่ซาไชน์ทอดประกายตาเหลืองอร่ามสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของนางเอลฟ์ จากนั้นจึงจ้องที่ดวงตางามเพื่อพยายามขุดหาความจริง ซาไชน์ใช้เวลาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง นาทีนั้นมันยังหันไปมองที่ปากทางซึ่งเป็นขั้นบันไดทอดขึ้นไปสู่ชั้นบน

“ก็ได้” ซาไชน์หันกลับมาเอ่ย “ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านสวัมป์ ผู้นำของเหล่าซาไชน์”

ไม้เท้ายาวใหญ่ของซาไชน์ถูกเคาะลงบนกรงน้ำแข็ง ชั่วประเดี๋ยวนั้นแท่งน้ำแข็งก็หดหาย และขณะที่ซาไชน์จะเดินเข้ามาคุมตัวอาริเทียร์ออกไป

“ตอนนี้ล่ะ!” อาริเทียร์ร้องส่งสัญญาณ

ซิลวากับร็อค รูเซย์ก็ปาแร่โอไรอุสสุดแขน โดยเล็งไปที่เบื้องเท้าของอาริเทียร์ เพื่อให้นางสามารถร่ายมนตร์เพลิงได้อย่างสะดวก แร่โอไรอุสของร็อค รูเซย์กระทบพื้นและแตก เปลวไฟลุกพรึ่บ แต่แร่โอไรอุสของซิลวากระแทกเข้าที่ใบหน้าของซาไชน์อย่างจัง จากนั้นจึงกระดอนไปโดนกรงขังแล้วกระทบลงพื้นจนแตก ไฟลุกพรึ่บขึ้นมาเช่นกัน ซาไชน์ตนนั้นหงายหลังล้มตึงด้วยแรงกระแทกจากแร่โอไรอุสที่แข็งเป็นพิเศษ

“ข.. ข้า... ข้าขอโทษ” ซิลวายิ้มแหย

“ช่างเถอะ ถึงจะผิดแผนแต่มันก็หงายไปแล้ว ข้าก็เลยไม่ต้องออกแรง ว่าแต่แร่โอไรอุสของเหมืองกานัคมันแข็งเกินไปหน่อยนะซิลวา ถึงว่าสิ ราคาแร่โอไรอุสของเหมืองกานัคจึงได้ถูกกว่าที่อื่นๆ”

“ก็คงจะมีแต่พวกร่างใหญ่ยักษ์พลังเยอะอย่างหมีขาวอาริงกัสที่นิยมใช้” ซิลวาเอ่ยเสริม กลบเกลื่อนความผิดพลาดเมื่อครู่

“เจ้าชายซิลวา ท่านอาริส รีบไปเถอะ เดี๋ยวพวกมันจะแห่กันมาซะก่อน” ร็อค รูเซย์เตือนสติ

อาริเทียร์กับซิลวาจึงมุ่งไปยังโอ่งที่สลักเสลาจากน้ำแข็งดูสวยงาม ซึ่งบรรจุอาวุธของพวกเขาเอาไว้ พร้อมกับที่ร็อค รูเซย์ช่วยลำเลียงชาวบร็อมคนอื่นๆให้รีบหนีตาม

พวกเขาก้าวขึ้นบันไดหินจนเจอกับทหารซาไชน์อีกห้าตนที่เดินตรวจเวรยาม อาริเทียร์ไม่รอช้าชักมีดสั้นกระโดดเข้าเฉือนพวกมันด้วยลีลาคล่องแคล่ว แต่ไม่ทันจะเฉือนโดนใคร พวกซาไชน์ก็พากันเตลิดหนีไปคนละทาง ฉับพลันเสียงที่คล้ายระฆังกังวานไปทั่วโถงถ้ำ ราวกับเป็นสัญญาณแจ้งการหลบหนีของพวกเขา อาริเทียร์กับซิลวาวิ่งขึ้นบันไดผ่านสู่ชั้นต่างๆจนถึงโถงถ้ำที่กว้างใหญ่เป็นพิเศษและมีเพดานโล่ง มองขึ้นไปเห็นชั้นเฉลียงต่างๆ

มันช่างเป็นถ้ำน้ำแข็งที่สวยงาม แต่สลัวและมองเห็นยากลำบาก และพวกซาไชน์ก็ไม่ปลาบปลื้มกับการใช้คบเพลิง ความสว่างได้จากแสงที่ส่องลอดมาตามปล่องถ้ำ และพวกซาไชน์ก็ใช้กระจกกับแท่งน้ำแข็งสะท้อนแสงให้เกิดความสลัวทั่วบริเวณเพื่อที่พอจะมองเห็นได้ นอกจากนี้ก็มีความสว่างที่เกิดจากประกายสีเขียวมรกตของยาต้มที่อยู่ในหม้อดินใหญ่ยักษ์หลายใบ เรียงรายตามทางเดิน ส่งกลิ่นหืนชวนอาเจียน

อาริเทียร์กับซิลวาต้องหยุดจังก้า หันรีหันขวาง พลางแหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบน ประกายแสงสลัวสีเขียวทำให้พวกเขาเห็นว่าซาไชน์หลายตนค่อยๆทยอยล้อมปิดทาง แต่ท่าทางพวกมันไม่ได้ฮึกเหิมหรือกระหายการฆ่าฟัน ตรงกันข้าม พวกมันดูหวาดหวั่นและยำเกรงอยู่ในที

ร็อค รูเซย์ที่ช่วยลำเลียงชาวบร็อมหลายสิบชีวิตติดตามมาก็ต้องหยุดยืนรอการตัดสินใจจากซิลวากับอาริเทียร์ ชาวบร็อมตื่นกลัว พวกเขาคือชาวเมืองโลซาน เป็นหมอยาที่ศึกษาเพียงศาสตร์ของนักปราชญ์ ไม่เคยได้จับดาบหรือฝึกฝนเวทมนตร์มหากาฬเหมือนนักรบ อีกเหตุผลก็เนื่องจากความสิ้นสูญในพลังอำนาจ พวกเขาจึงไม่มีสิ่งใดป้องกันตัว นอกจากวิชาความรู้ทางการแพทย์ที่พยายามสั่งสมมาหลายชั่วอายุคน

ชาวบร็อมแห่งเมืองโลซานคล้ายเด็กน้อยที่ตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าอันธพาล ทำได้เพียงกะพริบตาและยืนอกสั่นขวัญหาย จะเวทมนตร์ใดหรืออาวุธแบบไหน ก็ไม่ได้อยู่ในความคิดของพวกเขาเลย

“ข้ามีแร่โอไรอุสเหลืออีกสองก้อนนะอาริส” ซิลวาที่ชักดาบเบรซุสมาถือตั้งท่าไว้เอ่ยขึ้นในห้วงความหวาดหวั่น

“พวกมันมีเยอะเกินไป น่าจะหลายร้อย ทั้งข้างบนนั่นอีก แร่โอไรอุสแค่สองก้อนคงไม่พอให้ข้าใช้ร่ายมนตร์ทำลายพวกมันทั้งหมด”

“ล.. แล้วเราจะทำยังไงกันดี”

“ไม่รู้สิ เจ้าไม่มีแผนเลยรึ”

“ตอนนี้ข้ากำลังคิดอยู่เรื่องเดียว... จะวิ่งยังไงให้เร็วกว่าเจ้า”

ตูม!! เสียงถล่มทลายผนังถ้ำดังขึ้นพร้อมกับโถงถ้ำสั่นสะเทือน เศษหินและเกล็ดน้ำแข็งร่วงกราว พวกซาไชน์หันมองรอบด้านด้วยท่าทีตระหนกตกใจสุดขีด

“ก.. เกิดอะไรขึ้นอาริส เวทมนตร์ของเจ้ารึ?” ซิลวาเอ่ยพลางพยายามทรงตัวไม่ให้ล้มเพราะแรงกระเทือนปริศนา

“จะเป็นไปได้ยังไง ก็ข้ายังยืนบ่นอยู่กับเจ้า แล้วจะใช้เวทมนตร์ได้ยังไงล่ะ!”

ฉับพลันแรงลมกระโชกมหาศาลก็พัดเข้ามาตามช่องประตู เสียงกึกก้องกัมปนาทของบางสิ่งที่กระแทกกระทั้นผนังถ้ำดังขึ้นอีกหลายระลอก ชาวบร็อมเบียดเสียดเข้าหากันเพราะตกใจกลัว

“เหมือนบางอย่างกำลังจะพังผนังถ้ำเข้ามา” ซิลวาแหงนหน้ามองสำรวจ “และสายลมแบบนี้มัน...”

“วายุรำเพย มันเป็นเวทมนตร์” อาริเทียรให้คำตอบชัด

ครืน!! เสียงผนังถ้ำด้านหนึ่งพังทลายพร้อมกับชาวซาไชน์ที่วิ่งแตกฮือไปคนละทาง ร่างใหญ่ยักษ์ของหมีขาวเผ่าอาริงกัสพุ่งผ่านซากเศษหินเข้ามาหลายตน

“อุปส์!” ซิลวาจำได้ทันทีว่าหมีขาวอาริงกัสที่สวมหมวกเหล็กนำหน้าหมีขาวตนอื่นๆคือสหาย เขากับอาริเทียร์พากันยิ้มกว้างดีใจ

“ทันเวลาใช่ไหม” เสียงใหญ่กร้าวเอ่ยถามห้วน

“ถ้าหมายถึงมาช่วยพวกเราล่ะก็ ใช่เลย! เจ้ามาทันเวลา”

“ข้าไม่ได้มาช่วยพวกเจ้า” อุปส์หลบตาตอบ “แค่คิดว่าเสื้อเกราะที่ข้าทำให้อาจจะละลายเพราะพิษของพวกซาไชน์”

“เจ้าเป็นห่วงพวกเราใช่ไหมอุปส์” ซิลวาถามตรง ดวงตากลมโปนส่องประกายสุกสกาวเหมือนความวาววับของลูกแก้ว

อุปส์เกาหน้าเกาคางวางไม้วางมือไม่ถูก แต่ซิลวากับอาริเทยร์รู้ดีว่าอุปส์เป็นพวกปากแข็ง ปากไม่ตรงกับใจ ท่าทางเหมือนนักรบแข็งแกร่งและดุร้าย หากแต่ลงลึกภายในแล้ว อุปส์เป็นหมีขาวที่สุภาพและอ่อนโยนที่สุดเลยก็ว่าได้

“ข้ารวบรวมชาวอาริงกัสแถวๆบ้านข้ามาช่วยพวกเจ้า แล้วก็อยากจะทำลายพวกซาไชน์ด้วย จะได้ไม่มีใครต้องเดือดร้อนอีก”

“ขอบใจเจ้ามากนะอุปส์” อาริเทียร์ยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นข้ากับซิลวาจะไปช่วยชาวบร็อมที่ถูกพาตัวไปห้องปรุงยา”

“งั้นข้าจะพาชาวบร็อมพวกนี้หนีไปเอง พวกเจ้าก็... ระวังตัวด้วย”

ทั้งสามยิ้มให้กันก่อนจะแยกย้ายไปตามประสงค์ หมีขาวอาริงกัสใช้อาวุธเป็นกระบองเหล็กที่เรียกว่าเมซ อุปส์ใช้เมซของตนกวาดพวกซาไชน์กระจัดกระจายไปคนละทิศเพื่อเปิดทางหนีให้ชาวบร็อม หมีขาวอาริงกัสอีกกลุ่มพากันทุบตีหม้อยาแตกระนาวและทำลายยุ้งฉางที่เก็บเมล็ดดอกรีปส์

ในความวุ่นวายของการต่อสู้กันระหว่างซาไชน์กับอาริงกัส ซิลวากับอาริเทียร์วิ่งขึ้นมาที่ชั้นบนเพื่อหาห้องปรุงยากับชาวบร็อมอีกกลุ่ม กระทั่งพบห้องที่ขัดกลอนด้วยเวทมนตร์ แต่อาริเทียร์ก็เป่ามนตร์ใส่มีดสั้นแล้วฟาดฟันที่กลอน ประตูเหล็กเปิดผางออก พบซาไชน์สามตนยืนคุมชาวบร็อมที่กำลังทดลองปรุงสูตรยา ทุกคนต่างมีสีหน้าเหรอหรา

“อาริส!” ซิลวาส่งสัญญาณพลางล้วงหยิบแร่โอไรอุสในเป้ากางเกงแล้วปาลงพื้นอย่างแรง

แร่โอไรอุสแตก เปลวอัคคีลุกพรึ่บขึ้นมาพร้อมกับที่อาริเทียร์ตีลังกาอย่างดงามอ่อนช้อยพร้อมกับร่ายมนตร์ไปด้วย เปลวเพลิงพุ่งปราดเข้าสู่มือบอบบาง นางเอลฟ์เริงระบำวาดมือด้วยท่วงท่าพลิ้วไหวและเย้ายวน เปลวเพลิงร้อนระอุก็ยิ่งทวีความร้อนแรง โหมกระหน่ำพันรอบวงเวทย์กับตัวนางเอลฟ์

“ลีลาเยอะจริง!”

ซิลวาพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่ายกับเอลฟ์สาวแสนงามผู้มากด้วยบทบาทและลีลา เขาละสายตาจากนางก่อนจะกระโดดฟาดฟันเหล่าซาไชน์ด้วยดาบเบรซุส เพียงไม้เท้าของพวกมันที่ยื่นเข้ามารับดาบ ไม้เท้าก็ถูกสับเป็นสองชิ้น พวกซาไชน์ร้องเหวอหนีหายจากไป ซิลวาจึงนำชาวบร็อมออกจากห้อง แต่ดูเหมือนสหายของเขาจะเอ้อระเหยเกินไปหน่อย

“อาริส! เต้นยั่วอยู่ได้ รีบไปกันได้แล้ว!”

“อ้าว นี่เจ้าแย่งบทข้าอีกแล้วเหรอ” อาริเทียร์หน้างอ แต่ก็รีบวิ่งตามซิลวาไป

ทั้งสองนำพาชาวบร็อมออกจากห้องปรุงยาได้ก็สับฝีเท้าผ่านเข้าไปในทางเดิน จนกระทั่งถูกซาไชน์ตนหนึ่งยืนจังก้าดักหน้าไว้

“หนึ่งเอลฟ์ หนึ่งบร็อม ไม่ธรรมดาจริงๆเสียด้วย”

ตั้งแต่ได้สดับฟังเสียงของพวกซาไชน์มาแต่ไหนแต่ไร ซิลวาแน่ใจว่าตนไม่เคยได้ยินเสียงของซาไชน์ตนไหนจะชัดเจนราวเสียงคนหนุ่มเช่นนี้ เพราะส่วนใหญ่พวกซาไชน์จะมีน้ำเสียงครางต่ำและแหบแห้ง

ยิ่งไปกว่านั้น ซาไชน์ที่ยืนขวางทางยังสวมเสื้อคลุมสีดำแต่ไม่สกปรก มันเป็นเสื้อคลุมมันวาวราวกับชุดหนังสัตว์ สิ่งที่ล้อมรอบฮู้ดคล้ายแผงปกที่แผ่ขยายน่าเกรงขาม เหมือนอสรพิษที่กำลังแผ่พังพานก็ไม่ปาน

“ท่านสวัมป์ เราคงต้องลงมือสังหารพวกมันเสียแล้ว” แม่หมอซายิดนั่นเองที่อยู่ข้างๆซาไชน์ปริศนาตนนี้ และคำเอ่ยของแม่หมอ ทำให้ซิลวากับอาริเทียร์รู้ได้ทันทีว่าบุคคลตรงหน้าคือผู้นำของเหล่าซาไชน์

“ข้าไม่ใช่พวกซาไชน์รากหญ้าที่จะต้องใช้ชีวิตราวซากศพเดินได้ ข้าคือผู้ที่เป็นจ้าวแห่งคุณไสยและมนตร์มืด พวกเจ้าช่างบังอาจนักที่มาสร้างความปั่นป่วนให้ดินแดนของข้า”

“เจ้าต่างหากล่ะ!” อาริเทียร์ตวาดกลับ “พวกเจ้าหลงทางในการศึกษาพลังมนตรา จนรูปลักษณ์และชีวิตต้องวิปลาส ไยจึงไม่หาทางแก้ไขด้วยตัวเอง แต่กลับเบียดเบียนชาวบร็อมที่ไร้ทางสู้”

“ข้านึกออกแล้ว... เอลฟ์สาวผู้งดงามช่างคุ้นตานัก ผิวผ่องพรรณ เส้นผมสีทองดุจไหม ความกล้าหาญและแสนซน... เจ้าหญิงอาริเทียร์ ดาลูวิส ราชธิดาของพระราชาอิวาน”

สิ้นคำพูดที่พรั่งพรูมาพร้อมประกายตาสีเหลืองกับรอยยิ้มที่น่าขนลุก อาริเทียร์รู้สึกถึงความเย็นเยียบแผ่ซ่านทั่วทุกอณูของร่างกาย เขาลอบมองซิลวา ก็ได้เห็นแววตางุนงงระคนสงสัย

“หลีกทางไปนะ!” ซิลวากราดเสียงใส่

“โอ้ว... หาญกล้าจริงๆเจ้าบร็อมผู้ต่ำเตี้ย ไม่สิ... ข้ารู้จักเจ้า ข้าติดตามข่าวคราวของพวกบร็อมมาช้านาน และเจ้าก็คือ... เจ้าชายซิลวา ซอร์บร็อม โอรสของลอร์ดอาซีเดียส”

“ใช่ รู้แล้วก็หลีกทางไปซะ”

“มันจะง่ายอย่างนั้นเชียวรึ”

สวัมป์หยิบสิ่งหนึ่งที่เล็กเท่าเมล็ดถั่วออกมาก่อนจะโยนลงพื้น เขาบ่นพึมพำชั่วประเดี๋ยวก็บังเกิดปรากฏการณ์ให้ซิลวากับอาริเทียร์ต้องผงะถอย

สิ่งที่เหมือนเมล็ดถั่วค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นจนเหมือนไข่ของสิ่งมีชีวิต มันมีขนาดใหญ่พอๆกับหม้อดินที่พวกซาไชน์ใช้ต้มยา ฉับพลันเปลือกไข่ก็แตกออก สิ่งมีชีวิตที่ขดตัวอยู่ก็คืบคลานออกจากไข่ มันมีลักษณะเหมือนหนอนยักษ์ที่น่าขยะแขยง มีเมือกสีเขียวอาบทั่วร่าง

“หนอนปากจู๋!” อาริเทียร์ผวา

หนอนปากจู๋สามารถพ่นพิษได้ และเอลฟ์มักจะอ่อนแอต่อพิษ อาริเทียร์กับซิลวาค่อยๆถอยกรูด หมดทางหนี เพราะด้านหลังคือพวกซาไชน์อีกหลายตนถือไม้เท้ามาปิดล้อม

“เจ้าชายซิลวา ข้ามาแล้ว!”

ร็อค รูเซย์นั่นเอง หลังจากที่เขานำพาชาวบร็อมหนีออกจากถ้ำไปสมทบกับพวกอาริงกัส เขาก็ขึ้นขี่นกโครวเวอร์บินฉวัดเฉวียนเข้ามาในถ้ำ ร็อค รูเซย์เป็นชาวบร็อมที่ชำนาญในการขี่ม้า จึงไม่ยากที่จะประยุกต์ความสามารถให้เข้ากับอานบนหลังนกยักษ์ ซึ่งมันจะเชื่องกับผู้ที่ขี่มันเท่านั้น

ด้วยไหวพริบชั่วครู่ ร็อค รูเซย์ควบคุมนกยักษ์ให้เข้าจิกทึ้งหนอนปากจู๋ และแน่นอน หนอนยักษ์ย่อมเป็นอาหารชั้นเลิศสำหรับนกยักษ์ จังหวะเดียวกันนั้น อุปส์ก็ตีผนังเข้ามาอีกด้านแล้วจับร่างของสวัมป์กับแม่หมอซายิดโยนลงไปที่โถงเบื้องล่างอย่างง่ายดาย

“ต้องมีบทให้ข้ามาช่วยเสมอเลยนะพวกเจ้า”

“ขอบใจนะอุปส์” ซิลวายิ้มแป้น

“คำขอบใจของพวกเจ้าจะทับข้าตายอยู่แล้ว รีบหนีเถอะ”



ดินแดนของพวกซาไชน์กำลังถูกทำลาย ซิลวากับอาริเทียร์ พร้อมด้วยทุกๆคน พากันยืนมองถ้ำของพวกซาไชน์ที่กำลังพังครืนทีละส่วน พวกซาไชน์ที่นำโดยสวัมป์พากันหนีตายออกมาได้ทันท่วงที พวกมันบาดเจ็บและหมดกำลังจะต่อสู้ แค่จะขึ้นขี่นกโครวเวอร์แล้วบินหนีก็ยังทำไม่ได้ จึงทรุดลงหมดแรงกายที่หน้าถ้ำ

“ข้าจะจับพวกมันไปให้ราชาฟ็อบส์ลงอาญา” อุปส์เอ่ยถึงพระราชาของเผ่าหมีขาวอาริงกัส ก่อนจะเดินไปกวาดต้อนพวกซาไชน์ให้มาเกาะกลุ่มกันไว้ภายใต้ร่มเงาของภูผา เพราะอย่างไรแสงแดดที่ส่องทะลุม่านหมอกก็ยังคงเป็นอันตรายต่อพวกมัน

หมอผีซาไชน์ เผ่าพันธุ์ที่เคยรับใช้พวกนากะไส แต่เพื่อเอาชีวิตรอดจึงหักหลังพวกนากะไสแล้วมากบดานอยู่ในสถานที่อันหนาวเหน็บ ดื่มกินเพียงสิ่งที่ตัวเองปรุงขึ้นมา ใช้ชีวิตท่ามกลางความอัปยศ ความสกปรก และมนตร์ดำ ผ้าคลุมที่ขาดรุ่งริ่งกับกลิ่นสาบสางเป็นที่น่ารังเกียจต่อเผ่าพันธุ์อื่นๆ

อาจจะเป็นการดีที่พวกซาไชน์จะถูกเผ่าอาริงกัสคุมตัวไปและให้อยู่ในความควบคุมของราชาฟ็อบส์ แต่ในนาทีแห่งความวิปโยคของพวกหมอผีที่คลั่งคุณไสย ซิลวาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างในตัวซาไชน์  

เสียงร่ำไห้ สะอึกสะอื้น แผ่วเบานัก ภายใต้หมวกฮู้ดที่ขาดวิ่นปรากฏใบหน้าเหยเก นัยน์ตาชืดชาชุ่มแฉะ เหล่าซาไชน์กำลังบาดเจ็บและทุกข์ทน พวกมันเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ต่ำชั้น ต่ำยิ่งกว่าการมีอยู่ของชาวบร็อม ร่างซาไชน์หลายต่อหลายตนค่อยๆคลานด้วยหัวเข่าและสองมือเข้าไปสมทบกอดประคองกัน เหมือนเดรัจฉานที่ถูกนายพรานไล่ล่า

ซิลวายังได้ยินเสียงซาไชน์บางตนถามไถ่อาการบาดเจ็บของสวัมป์ มือแห้งเหี่ยวหยาบกร้านและซีดเซียวกำลังช่วยกันปลอบประโลม

“เดี๋ยวก่อน อุปส์” ซิลวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก้นบึ้งในหัวใจของเขารู้สึกถึงความชั่วร้ายของซาไชน์ แต่ก็ให้เวทนานัก

“มีอะไรรึ”

“ปล่อยพวกซาไชน์ไปเถอะ”

“เจ้าคงจะตากแดดมากไปหน่อย รึว่าโดนพิษของพวกมันเข้าล่ะ”

“ข้าพูดจริงๆนะอุปส์” ซิลวาแหงนหน้าวิงวอน ประกายตาเจิดจรัส “ซาไชน์ชั่วร้าย เห็นแก่ตัว แต่ไม่ถึงกับต้องสูญสิ้น”

“ซิลวา พวกมันเกือบจะทำให้ประชาชนของเจ้าเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าเชียวนะ” อาริเทียร์เดินเข้ามาขัด

“แต่สงครามก็ไม่เกิดไม่ใช่เหรอ” ซิลวาว่าพลางเดินเข้าไปหาสวัมป์ที่คู้ตัวด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดบาดแผล “ทั้งที่ชาวบร็อมไม่มีสิ่งใดไปสู้รบ แต่พวกซาไชน์ก็ไม่ได้รุกรานจนเกิดสงคราม จริงอยู่ว่าข้าเคยหวาดกลัวพวกซาไชน์ แต่เมื่อรู้ความจริงข้าก็ไร้ซึ่งความหวาดกลัว พวกเขาเพียงแค่จับตัวชาวบร็อมในเมืองโลซาน ไม่สิ พวกเขาเกือบจะขอร้องเสียด้วยซ้ำ”

“แต่ชาวบร็อมที่ถูกจับตัวมาก็หมดสิ้นอิสรภาพ ต้องถูกจองจำอยู่ในคุก”

“อาริส ที่คุมขังไม่ได้คับแคบจนทรมาน อาหารการกินก็ดีกว่าที่จะหาได้ในแผ่นดินมูโรไค นอกจากเสื้อผ้าที่สกปรกมอมแมมแล้ว ชาวบร็อมที่ถูกจับตัวมาก็มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี พวกเขาไม่ได้ถูกเบียดเบียนให้สิ้นชีพ มันอาจจะผิดที่พวกซาไชน์กระทำเช่นนี้ แต่ก็ผิดด้วยความเขลาชั่ววูบ พวกเขาควรได้รับการอภัยแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่”

สิ้นคำของซิลวา ทุกคนที่ได้ยินก็นิ่งอึ้ง อาริเทียร์ยืนเท้าสะเอวขบคิด อุปส์ขมวดคิ้ววุ่นบนใบหน้าดุดัน ชาวอาริงกัสและชาวบร็อมคนอื่นๆต่างนิ่งเงียบรอดูเหตุการณ์

“นี่เป็นความขัดแย้งของชาวบร็อมกับพวกซาไชน์ ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้นำของพวกเขา เจ้าจึงมีสิทธิ์ตัดสินใจทุกประการ” อุปส์กับชาวอาริงกัสที่ช่วยกันกวาดต้อนพวกซาไชน์ พากันเดินถอยไปสมทบกับกลุ่มชาวบร็อม

“ซิลวา เมตตาของเจ้าควรมีให้แก่ผู้ที่คู่ควร ซาไชน์ล้วนชั่วร้ายและเห็นแก่ตัว เหตุใดเจ้าจึงเห็นใจพวกมัน”

“อาริส...” ซิลวาเอ่ยเสียงแผ่ว ดวงตากลมแกร่งกล้ามองไปที่พวกซาไชน์ “เมื่อเจ้าแลเห็นพวกซาไชน์ เจ้านึกไม่ออกเหรอว่าพวกเขาเหมือนใคร ดูเถอะอาริส พวกซาไชน์คือพวกมนุษย์กับเอลฟ์ที่ถลำสู่ด้านมืดของพลังเวท จนถูกสาปให้ร่างกายวิปริตผิดแผก ใช้ชีวิตบนความสกปรกโสมม ข้าเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเหตุใดม็องส์มูร์กับชาวบร็อมแห่งเมืองโลซานจึงยอมอาสามาช่วยปรุงยาแก้คำสาปให้พวกซาไชน์”

“ซิลวา...”

“ทั้งม็องส์มูร์ ทั้งร็อค รูเซย์ และชาวบร็อมแห่งเมืองโลซาน ล้วนแลเห็นความอัปยศของตัวเองที่สะท้อนออกมาจากแววตาของพวกซาไชน์ ใช่แล้วอาริส ชาวบร็อมก็คือเอลฟ์ พวกเราล้วนปรารถนาที่จะพ้นคำสาปของนากะไส พวกเราอยากจะใช้ชีวิตแบบเอลฟ์ นั่นคือเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมของพวกเรา หากจะมีสิ่งใดที่ทรงอิทธิพลให้หัวใจของข้าเมตตาต่อพวกซาไชน์ ก็คงเป็นเพราะเรามีชีวิตที่ต้องสาปเหมือนกัน”

ราวกับคำพูดของซิลวาเป็นบางสิ่งที่เข้าไปขัดแน่นจุกอกของเหล่าซาไชน์ เสียงสะอื้นไห้คล้ายจะดังระงมขึ้นเรื่อยๆจนน่าสมเพชเวทนาเหลือทน อาริเทียร์ถอนใจยาวและจับบ่าของซิลวาเอาไว้

“ข้าเคารพในทุกการตัดสินใจของเจ้านะ ซิลวา” จากนั้นนางจึงเดินถอยไปสมทบกับพวกอุปส์

สวัมป์ค่อยๆขยับกาย ร่างสั่นเทิ้มค่อยๆคลานมาถึงเบื้องบาท มือซีดเซียวแต่ไม่แห้งกร้านเสียเท่าใดค่อยๆยื่นขึ้นหมายจะสัมผัสร่างของซิลวา เจ้าชายบร็อมผู้ตกอยู่ในความอดสูที่ได้เห็นความพินาศของพวกซาไชน์ เอื้อมมือสัมผัสมือของสวัมป์ เขาจับมือนั้นไว้แน่นราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดให้สวัมป์ได้รับรู้ว่าชาวบร็อมไม่ต้องการสงคราม ชาวบร็อมต้องการพ้นคำสาปไม่ต่างจากพวกซาไชน์

“ข้าสัญญา วันใดที่ชาวบร็อมพ้นคำสาปห้าพันปีของพวกนากะไส วันนั้นข้าจะย้อนกลับมาถอนคำสาปให้พวกเจ้า” ซิลวาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มแข็งและมุ่งมั่น สวัมป์ถึงกับเบิกตากว้าง หยาดน้ำตาหลั่งรินจากแววตาสีเหลืองซีด ไหลเป็นทางราวกับกลั่นจากเลือดในตัว

“ท.. ทรงพระเจริญ... ทรงพระเจริญ” แล้วสวัมป์ก็หมอบแทบพื้นสำนึกในความผิด สะอึกสะอื้นร่ำไห้ พวกซาไชน์ตนอื่นๆพากันแบกสังขารที่เจ็บปวดทรมานมาคุกเข่าหมอบแทบเท้าซิลวา แม้ความเศร้าโศกจะอัดแน่น แต่พวกเขาก็รู้สึกถึงแสงทองแห่งความหวังที่จะพ้นคำสาป

บัดนี้ทุกผู้คนต่างตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า ภาพที่กี่พันปีก็คงไม่มีโอกาสได้เห็น หมอผีซาไชน์เรือนร้อยกำลังเทิดทูนเจ้าชายชาวบร็อมเหนือเกล้า ไม่มีสิ่งใดเกินนี้อีกแล้ว

และขณะที่ซิลวากำลังส่งยิ้มให้พวกซาไชน์พร้อมกับพยายามวิงวอนให้พวกเขาลุกยืน ก็พลันบังเกิดเหตุการณ์ให้ซิลวาถึงกับน้ำตาซึม ดวงตากลมโปนเบิกกว้างทอประกายระยับ

เสียงพึ่บพั่บลดตัวลงคุกเข่ากันถ้วนหน้า ทั้งอาริเทียร์ ทั้งอุปส์ ทั้งชาวอาริงกัส และชาวบร็อมทุกตน ต่างปลาบปลื้มและซาบซึ้งในการตัดสินใจของซิลวา พวกเขาพร้อมใจกันลดตัวลงเพื่อถวายความเคารพ

“ไม่ ไม่ พวกเจ้าทั้งหมดลุกได้แล้ว” ซิลวาร้องบอกพัลวัน อาริเทียร์กับอุปส์ลุกขึ้นยืนก่อน แล้วจึงเดินเข้ามาหาซิลวา

“ข้าตื้นตัน และดีใจที่สุดที่ได้เดินทางมากับเจ้า” อาริเทียร์แถมรอยยิ้มงดงามให้อีก

“ข้าเกลียดคำชื่นชม เกลียดคำขอบคุณ เกลียดที่จะให้คนอื่นรู้ว่าข้าห่วงใย” อุปส์กล่าว เขาสูดหายใจราวกับกักกลั้นน้ำตาเอาไว้ “แต่... ซิลวา ข้าขอกอดเจ้าสักทีได้ไหม”

ซิลวาไม่ได้ให้คำตอบเป็นคำพูด เขายิ้มแป้นแล้วโผกอดร่างใหญ่ยักษ์ของหมีขาวที่กำลังทำท่าว่าจะสะอื้น  อุปส์กระซิกน้ำตาด้วยความซาบซึ้งแล้วลดตัวลงโอบท่อนแขนที่มีขนปุกปุยกอดร่างของซิลวาเอาไว้ พร้อมกับอ้าแขนรับอาริเทียร์เข้าสู่อ้อมกอดด้วยอีกคน

“ทรงพระเจริญ เจ้าชายซิลวา” ร็อค รูเซย์เอ่ย พร้อมกับทุกชีวิต ณ ที่นั้น ต่างถวายพระพรเจ้าชายซิลวาด้วยความพร้อมเพรียง

ติดตามตอนต่อไป...

จากคุณ : CaesarNote
เขียนเมื่อ : 17 มิ.ย. 54 04:58:00




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com