มิ่งแก้วจอมหทัย บทที่ ๑๒ : ทัณฑ์แห่งอาชญา (ท่อนจบ)
|
 |
++ ขออภัยที่มาช้าค่ะ พอดีมีเรื่องวุ่นๆ ในทางดีเกิดขึ้น เลยยุ่งไปพักนึง ตอนนี้เรียบร้อยแล้วค่ะ ^^
เหตุที่มาช้าอีกอย่างก็คือว่า ผู้ใหญ่ในวงการท่านหนี่งที่อินเคารพ ท่านได้กรุณาแนะนำอินว่า ให้ดรอปภาษาลงมาอีกนิด อินก็เลยสองจิตสองใจอยู่ว่า จะดรอปตั้งแต่ตอนนี้เลยดีไหม แต่คิดไปคิดมาก็ว่า เอาไปแก้ในต้นฉบับดีกว่า เพราะว่าอินกลัวจะไม่กลมกลืนนั่นแหละสำคัญ 55 ท่อนก่อนมาอย่างนึง ท่อนนี้มาอย่างนึง มันคงลักลั่นกันน่าดู สุดท้ายก็ อย่างที่เห็นนี่ล่ะค่ะ คนอ่านท่านใดจะกรุณาแนะนำติชมเรื่องภาษาของอินก็จะเป็นพระคุณค่ะ ++
บทที่ ๑๒ : ทัณฑ์แห่งอาชญา (ท่อนจบ)
จู่ๆ สุรเสียงใสที่ตรัสแจ้วๆ กลับเงียบหาย จนคู่สนทนาที่เดินพลางสั่งงานพลางอยู่ทางด้านหลังอดแปลกใจมิได้ ต่อเมื่อมองเห็นต้นเหตุจึงเข้าใจ ราชองครักษ์หนุ่มหันมาทางผู้เป็นนายก็ทันเห็นพักตร์งามที่เบือนหนีไปอีกทางราวกับว่าทอดพระเนตรสิ่งที่ไม่สมควรจักเห็นเข้าแล้ว ก็ออกจักเห็นใจ 'ตัวต้นเหตุ' อยู่ไม่น้อย เพราะกิริยานั้นทำให้ผู้ที่กำลังเดินเข้ามาถึงกับชะงักไปชั่วขณะ ก่อนแสร้งทำเป็นไม่มีอันใดเกิดขึ้น แลทำทีเป็นดึงมือของคนเดินอยู่ข้างๆ ให้เร่งก้าวตามตนเองไป แจ้งหล้าที่ยืนเยื้องไปทางเบื้องปฤษฎางค์ด้านซ้ายของนายสาวแอบเหลือบสายตามองผู้อ่อนวัยกว่ามิได้ เมื่อเห็นสีพระพักตร์ปึ่งชาก็ส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนที่เจ้าตัวจักทูลเสียงเบา
“เจ้านางน้อยเจ้า อย่างใดก็ทรงเป็นเจ้าพี่หนาเจ้า”
“เจ้าพี่หรือเจ้าน้องก็ไม่อยากให้เป็นทั้งนั้นล่ะ” สุรเสียงใสตอบสะบัด
“เจ้านางน้อย” แจ้งหล้าทูลเสียงหนักๆ ทำให้ผู้เป็นนายถึงกับถอนพระทัยยาว
“ก็ได้ เห็นแก่พี่หรอกหนา”
“มิใช่เห็นแก่ข้าเจ้า ชะรอยว่าบ่ายนี้ข้าเจ้าต้องถวายการสอนอีกแล้วกระมัง”
“สอนอันใดอีกเล่า”
“น่าจักทรงทราบดีกว่าข้าเจ้าเสียอีก หากไม่ทรงว่าอย่างใดแล้ว ข้าเจ้าขอตัวไปช่วยท่านน้อยอินทร์เตรียมงานก่อน”
แจ้งหล้าทูลบอกเสียงเรียบๆ ด้วยนับแต่เสด็จนิวัติเข้าเวียงมา ถ้าเจ้านางกาสะลองไม่เอาแต่ปลีกพระองค์ไปวุ่นวายอยู่ด้วยการจัดเตรียมพระราชพิธี ก็ทรงหลบเข้าห้องทรงงานส่วนพระองค์เสีย ต่อเมื่อใดเจ้าเมืองดาวเสด็จมาหาพระภคินีเพียงลำพัง เจ้านางกาสะลองจึงจักทรงละจากราชกิจทั้งปวงเข้ามาสนทนากับอนุชาด้วยดี กระทั่งเจ้าเทพสิงห์เสด็จมาสมทบด้วย เมื่อนั้นวรกายโปร่งบางก็จักเผ่นหายไปทางหนึ่งทันที หรือไม่ก็ทรงแสร้งง่วนอยู่กับการตรงหน้าเสีย กิริยานั้นแจ้งหล้ามองอยู่เงียบๆ โดยมิได้ทูลทักท้วงว่าอย่างใด หากทิวานี้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉยให้ทรงทำการตามพระทัยได้อีก เขาจึงยกมือขึ้นไหว้สาสองบุรุษที่ตามเข้ามาสมทบแล้วผละหนีไปเสียดื้อๆ หากสายตาที่ราชองครักษ์หนุ่มมองสบเจ้าเทพสิงห์ก่อนที่จักออกไปนั้น มีแววเห็นใจแกมให้กำลังใจอยู่ด้วย เจ้าเทพสิงห์ทอดพระเนตรเข้าก็แย้มพระโอษฐ์บางๆ เป็นเชิงขอบพระทัย เจ้านางกาสะลองทรงเม้มโอษฐ์แน่นพลางชายพระเนตรไปทางตัวต้นเหตุวิบหนึ่งอย่างขัดพระทัย หากไม่ติดว่าจักทำให้แจ้งหล้าต้องเคืองขุ่น ก็คงเสด็จตามไปด้วยแล้ว เนตรสีนิลมันระยับมองผ่านบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าราวกับอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุแล้วให้ความสนพระทัยกับพระอนุชาแทน
“เมืองดาว จักออกไปแอ่วในเวียงฤๅ”
“เปล่าเจ้า น้องตั้งใจมาหาเจ้าพี่นางเจ้า เอ้อ แท้แล้วเจ้าพี่เทพสิงห์ทรงมีเรื่องสนทนาด้วยเจ้าพี่นางเจ้า”
เจ้าเมืองดาวทรงอึกอักน้อยหนึ่งเมื่อสบสายพระเนตรคาดคั้นของพระพี่นาง เจ้าราชบุตรหนุ่มเหลือบไปทางคนที่อยู่ข้างๆ แวบหนึ่งคล้ายเกรงพระทัยหนักหนาที่ต้องตรัสความจริง
“อ้อ!”
เจ้านางกาสะลองตรัสสั้นๆ ปรายเนตรมาทางตัวต้นเหตุด้วยพระกิริยาคล้ายไม่เต็มพระทัยที่จักทอดพระเนตรนัก
“จักมาคอยจับผิดอันใดน้องอีกฤๅเจ้า”
“กาสะลอง เมินแล้วหนาที่มิได้พบกัน เจ้ายังเคืองยังโกรธพี่อยู่ฤๅอย่างใด”
เจ้าเทพสิงห์ตรัสพ้อ ถึงเพลาจักผ่านไปนานเพียงใดในสายพระเนตรของพระขนิษฐาก็ยังเห็นองค์เองเป็นคู่ปรับเก่าอยู่นั่นเอง ทั้งที่ทรงเร่งการเดินทางล่วงหน้ามาก่อนหมายจักได้พบปะพระขนิษฐา หากเมื่อเสด็จมาถึง เจ้าบ้านก็แสดงท่าทีชัดเจนว่ามิอยากต้อนรับเข้า ก็ทำให้เจ้าเทพสิงห์พระทัยแป้วหาน้อยไม่ อันที่จริงจักทรงโทษน้องสาวก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ความที่เป็นคู่ปรับกันมานานปี มิหนำยังเสด็จมาประจวบเหมาะเข้ากับเหตุที่อีกฝ่ายเพิ่งเสด็จกลับเข้าเวียงมาอีก ไหนเลยเจ้านางกาสะลองจักไม่ทรงหวาดระแวงแลมองพระองค์ในทางร้ายได้เล่า
“มิได้โกรธเจ้า แต่ไม่ไว้ใจ เจ้าพี่คอยแต่จักแกล้งจักเอาคืนน้องเรื่อยมา จักให้น้องคิดเป็นอื่นอย่างใดได้”
“เอ่อ เจ้าพี่นางเจ้า แต่ครานี้น้องยืนยันเจ้า ว่าเจ้าพี่เทพสิงห์ไม่ทรงทำเยี่ยงนั้นเด็ดขาด”
เจ้าเมืองดาวทรงนิ่งสดับมานาน เมื่อเห็นว่าเริ่มไปกันใหญ่ก็เร่งตรัสห้ามทัพเสียก่อน ทรงกระทุ้งเชษฐาเพื่อเตือนให้อีกฝ่ายนำสิ่งที่เตรียมไว้ออกมา เจ้าเทพสิงห์จึงทรงหยิบเอาบางสิ่งออกมาจากภูษารัดพระองค์ส่งให้พระขนิษฐาที่ยืนรอทอดพระเนตรอยู่
“พี่มายินดีกับเจ้าด้วยใจจริง กาสะลอง ทิวาที่ทำพิธีเจ้าอาจไม่มีเพลามากพอจักอยู้ตามลำพัง พี่จึงเอามาให้เจ้าก่อน”
เจ้านางกาสะลองทอดพระเนตรของที่พระเชษฐาประทานมาให้แล้วก็ถึงแก่นิ่งงันไป พระแสงมีดสั้นด้ามงาเล่มนี้เมื่อยังเยาว์ชันษาทรงเคยร่ำร้องจักเอาหนักหนา พระปิตุลาก็จักพระราชทานให้อยู่แล้ว แต่ก็ถูกเจ้าเทพสิงห์แย่งไปเสียก่อน มิหนำคนแย่งยังไม่ยอมคืนให้ทั้งที่เจ้าหลวงเมืองแก้วทั้งขู่ทั้งปลอบสักเท่าใดก็ตาม เจ้านางกาสะลองตัวน้อยจึงยิ่งชังน้ำหน้าเชษฐาองค์นี้เสียหนักหนา
“มีดเล่มนี้”
“เล่มเดียวกับที่เจ้าเคยเข้าใจว่าพี่แย่งไปอย่างใดเล่า ความจริงพี่แค่แกล้งเจ้าเล่นเท่านั้น หมายใจว่าจักคืนให้เจ้าตอนกลับเวียงฟ้า แต่เจ้าก็โกรธพี่เสียจนไม่ยอมพบหน้าพี่อีกเลย พี่จึงเก็บไว้รอเพลามอบให้เจ้าด้วยตนเอง รับไปเถิดหนากาสะลอง พี่ชายคนนี้ไม่มีของกำนัลใดจักถวายแด่เจ้าหลวงพระองค์ใหม่ นอกจากสิ่งนี้เท่านั้น”
เจ้านางกาสะลองทอดพระเนตรเชษฐาด้วยสายพระเนตรที่ยากจักอ่านความรู้สึกได้ ไม่ทรงคิดเลยว่าเจ้าพี่องค์ที่ทรงเรียกขานลับหลังว่า 'เจ้าพี่ตัวร้าย' จักทรงทำเยี่ยงนี้ ทั้งถ้อยวาจาที่ตรัสเรียกองค์เองนั้นก็เต็มไปด้วยความเคารพสูงสุด แล้วยังกิริยาประทานพระแสงมีดสั้นอีกเล่า วรกายสูงที่คุกพระชานุแล้วชูของขึ้นเหนือเศียรนี้ คือกิริยาอันพึงแสดงต่อผู้มีศักดิ์เหนือกว่าตน หาใช่กิริยาที่พี่ชายพึงทำกับน้องสาวไม่
“เจ้าพี่ ลุกขึ้นเถิดเจ้า อย่างใดน้องก็เป็นน้องอยู่นั่นเอง อย่าทรงทำเยี่ยงนี้เลยเจ้า”
“เจ้าจักยังเป็นน้องพี่ได้อีกสักกี่ทิวากันเล่า กาสะลอง ปะกันคราวหน้าพี่ต้องเรียกขานเจ้าว่าเจ้าหลวงแล้ว”
“ยศศักดิ์ฤๅจักเลือนสายสัมพันธ์ได้ น้องเองก็ต้องขอสุมาเจ้าพี่ด้วยที่เคย เอ้อ...ร้ายเอาไว้มาก”
เจ้าเทพสิงห์ทรงลุกขึ้นยืนพลางสรวลออกมาเบาๆ เนตรที่จับนิ่งเพียงพักตร์ของผู้อ่อนวัยกว่าแฝงแววเอ็นดูแกมขบขันใช่น้อย
“เราทั้งสองต่างร้ายพอกันนั่นล่ะหนากาสะลอง”
เจ้านางกาสะลองสรวลคิกกับพระวาจานั้น แน่ละ ร้ายพอกัน หากไม่ร้ายไหนเลยจักทันเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าพี่ตัวร้ายได้เล่า
“ให้มีด โบราณว่าต้องให้ของตอบแทน เอ! น้องจักเอาสิ่งใดตอบแทนเจ้าพี่ดีหนอ”
“พี่ไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนจากเจ้าหนากาสะลอง”
“แน่ล่ะ น้องรู้ว่าเจ้าพี่ไม่ทรงต้องการสิ่งใดตอบแทน แต่เรื่องเยี่ยงนี้คนเฒ่าคนแก่เขาปฏิบัติกันมานานช้าแล้ว น้องคิดออกละ พี่เอาสร้อยเส้นนี้ต่างของตอบแทนเถิดหนา”
ตรัสพลางปลดสุวรรณวลัยนาคเกี้ยวเส้นน้อยออกจากข้อพระหัตถ์ แล้วถวายให้พระเชษฐาพร้อมรอยแย้มพระโอษฐ์สดใส เจ้าเทพสิงห์ทรงส่ายพักตร์ยิก พลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ทำท่าจักไม่ทรงรับ แต่เมื่อทอดพระเนตรสีเขียวจางๆ ในเนตรคู่สวยของ 'เจ้าน้องตัวร้าย' ก็ทำให้จำพระทัยต้องยื่นหัตถ์ไปรับเอามา อย่างน้อยเพลานี้ก็ไม่ทรงมีพระประสงค์จักให้ความสัมพันธ์อันดีที่เพิ่งก่อเกิดต้องหายไป
“เจ้าพี่คงมิได้ตั้งใจมาท่ารอน้องเพียงเพื่อเอามีดด้ามงานี้มาให้เท่านั้นกระมังเจ้า คงมีเรื่องอื่นใดอีกกระมัง หาไม่คงมิทรงพาเมืองดาวเร่งรุดมาล่วงหน้าเยี่ยงนี้”
พักตร์แย้มยิ้มจืดเจื่อนของเจ้าเทพสิงห์แปรเป็นเคร่งขรึมทันใดกับพระวาจาที่ตรัสขึ้นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยของพระขนิษฐา ทั้งที่เจ้าตัวยังก้มพักตร์ชื่นชมกับพระแสงด้ามงาในพระหัตถ์ เจ้าราชบุตรหนุ่มจนต่อวาจามิรู้ว่าจักเริ่มต้นตรัสว่าอย่างใดจึงจักสม กิริยาที่ทรงผินพักตร์ไปสบเนตรด้วยเจ้าเมืองดาวนั้น ทำให้เจ้านางกาสะลองที่ทรงลอบทอดพระเนตรอยู่นั้นทรงแน่พระทัยว่ามิได้คาดการณ์ผิดแต่อย่างใด เพียงแต่มิทรงแน่พระทัยเท่านั้นว่าเป็นเรื่องอันใดแน่
*** มีต่อค่ะ
จากคุณ |
:
อินทรายุธ
|
เขียนเมื่อ |
:
20 มิ.ย. 54 16:41:00
|
|
|
|